GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
[บทความ] พาทัวร์ Runeterra กับ 12 ดินแดนขั้วอำนาจในโลกของ League of Legends
ลงวันที่ 02/12/2021

แม้จะไม่ใช่ส่วนที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญนัก แต่แท้ที่จริงแล้ว League of Legends ถือเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างลึกซึ้ง ด้วยการผูกปมขมวดเรื่องที่เข้มข้น ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความสัมพันธ์และความขัดแย้งของเหล่าตัวละครในแบบที่ไม่เหมือนเกม MOBA เกมอื่นๆ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เล่นหลายคนให้ความสนใจเกม League of Legends ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่เกมเปิดให้บริการมา

หลังจากที่ซีรีส์อนิเมชัน Arcane ได้ออกมาสร้างกระแสเปรี้ยงปร้าง โดยอิงเนื้อเรื่องและตัวละครจาก League of Legends ทำให้เรื่องราวของโลก Runeterra กลายเป็นที่สนใจของคนในวงกว้างมากกว่าที่ผ่านมา และวางรากฐานให้ผู้สร้างซีรีส์อย่าง Riot Forge สามารถแนะนำให้ผู้เล่นรู้จักกับแง่มุมอื่นๆ ของโลกต่อไปได้ด้วย โดยหลังจากที่ซีรีส์ Arcane ได้แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเมืองพี่น้องอย่าง Piltover และ Zaun ไปแล้ว ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลกของ Runeterra กันมาก ให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับสถานที่ที่เราอาจได้เห็นในซีรีส์ Arcane ต่อไปในอนาคต


Piltover & Zaun


ก่อนอื่น เรามาทบทวนข้อมูลของเมือง Piltover และ Zaun ที่เป็นที่ตั้งของซีรีส์ Arcane นั่นเอง


ครั้งหนึ่งในอดีต สองเมืองนี้เคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อนภายใต้ชื่อ "Piltover" ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่หันหน้าออกสู่ทะเล จนกระทั่งมีการคิดระเบิดภูเขาเพื่อสร้างเส้นทางเดินเรือตัดผ่านสำหรับการทำมาค้าขายและเก็บภาษีในฐานะเมืองท่า ทว่าแรงระเบิดนั้นรุนแรงจนเกินไป ส่งให้เมืองฝั่งล่างต้องจมไปสู่ก้นบึ้งของหน้าผา เกิดเป็น "เมืองเบื้องล่าง" ซึ่งจะกลายมาเป็น Zaun ที่คอยรับเศษของเหลือวิวัฒนาการจากเมืองส่วนบนอย่าง Piltover

ด้วยความเป็นเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย รวมไปถึงวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการไล่ตามความก้าวหน้าอยู่เสมอทำให้ Piltover มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดใน Runeterra และยังเป็นศูนย์กลางของศิลปะและวัฒนธรรมของทวีป Valoran อีกด้วย นักประดิษฐ์และศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกต่างอยากจะเข้ามาทำงานวิจัยในเมืองนี้โดยหวังจะได้รับการอุปถัมภ์โดยตระกูลพ่อค้าผู้มั่งคั่งมากมายในเมือง และด้วยความเป็นแหล่งกำเนิดและพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Hextech ทำให้ Piltover กลายเป็นเมืองที่ทุกคนต่างต้องการผูกมิตรด้วย แม้กระทั่งจักรวรรดิ Noxus ผู้กระหายสงครามยังไม่กล้าแตะต้องเลยทีเดียว


ในด้านของ Zaun นั้น เปรียบเสมือนอีกด้านของเหรียญเดียวกับ Piltover โดยชาวเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่หลังจากการระเบิดภูเขา ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางมลพิษจากสารเคมีเหลือทิ้งจาก Piltover รวมไปถึงสารพิษที่พบได้ตามธรรมชาติในหุบเหวที่เมืองตั้งอยู่ แต่ถึงกระนั้น Zaun ก็ยังได้รับอานิสงค์จากความก้าวหน้าของเมือง Piltover ด้วย สินค้าและเทคโนโลยีหลายชนิดของ Piltover มักลงเอยอยู่ในตลาดมืดของ Zaun ไม่ช้าก็เร็ว แถมชาวเมืองยังค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากสารเคมีรอบตัวผ่านเทคโนโลยี 'Chemtech' รวมไปถึงเทคโนโลยี Hextech ที่อันตรายเกินไปจนถูกปฏิเสธโดย Piltover ก็มักจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยชาวเมือง Zaun เสมอ




Noxus


ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ในโลก Runeterra จักรวรรดิ Noxus ดูเป็นเพียงประเทศกระหายสงครามที่ต้องการจะกลืนกินดินแดนและวัฒนธรรมของประเทศอื่น ๆ อย่างไม่จบสิ้น แต่แท้จริงแล้วสังคมของ Noxus เป็นสังคมที่มีความเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่างมากอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยสิ่งเดียวที่ชาว Noxus ให้ความสำคัญเหนือชาติกำเนิด เงินทอง หรือฐานะทางสังคม นั่นก็คือ "พลัง" หรือ "ฝีมือ" นั่นเอง ตราบใดที่คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีสองสิ่งนี้ สังคม Noxus ก็พร้อมจะเปิดรับคุณเสมอ ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นใครมาก่อนก็ตาม


วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ "พลัง" ของ Noxus มีที่มาจากอดีตในฐานะชนเผ่าคนเถื่อนที่ต้องต่อสู้เอาตัวรอดจากศัตรูที่รายล้อมอยู่ทุกทิศทาง โดยพวกเขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายบุกออกไปสู้กับศัตรูถึงที่มากกว่าจะเป็นฝ่ายรอตั้งรับ ทำให้อาณาเขตของเผ่าเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นจักรวรรดิในปัจจุบัน โดยอดีตอันโชกเลือดนี้เองทำให้ชาว Noxus รู้สึกภาคภูมิใจในจักรวรรดิของพวกเขาเป็นอย่างมาก และให้ความสำคัญกับผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถที่จะพัฒนาจักรวรรดิ โดยเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์ ที่มักจะถูกเกณฑ์มารับใช้กองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย


ในซีรีส์ Arcane ได้มีการแสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันแข็งกร้าวของ Noxus ผ่านตัวละคร Mel Medarda สมาชิกสภาปกครองเมือง Piltover นั่นเอง โดยการมาถึงของแม่ของเธอผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพในกองกำลังของ Noxus น่าจะเป็นการปูทางให้จักรวรรดิเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของ Arcane ในอนาคตอย่างแน่นอน

 



Ixtal


ดินแดนลับแลท่ามกลางพงไพร Ixtal เป็นดินแดนที่โด่งดังในฐานะแหล่งรวมของเหล่าจอมเวทย์สายธรรมชาติผู้ทรงอิทธิฤทธิ์มากมาย โดยในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ได้ตัดขาดตนเองออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานับพันปีด้วยฝีมือของนักเวทอันทรงพลัง เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ที่โหมโชนไปทั่วทวีป Valoran ในอดีต แต่ถึงกระนั้นชนเผ่า Ixtal จำนวนมากก็ยังตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทั้งหลาย ทำให้ชนเผ่าผู้เหลือรอดยิ่งพยายามปลีกตัวออกจากความเป็นไปของโลกภายนอกยิ่งกว่าเดิม


Ixtal ถือเป็นวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาถือเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าและอารยธรรมโบราณมากมาย และยังเป็นบ้านเกิดของเหล่าชนเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือ 'Vastaya' ชนิดต่างๆ อยู่มากมาย โดยชนเผ่า Vastaya นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผูกพันธ์กับเวทมนต์มาก ถึงขนาดที่หลายคนเชื่อว่าพวกเขามี "เวทมนตร์ไหลเวียนภายในร่างกายราวกับออกซิเจน" เลยทีเดียว

ในยุคปัจจุบัน ชนเผ่า Ixtal มักจะมองผู้คนของดินแดนอื่นๆ ว่าเป็นพวกหัวรุนแรงป่าเถื่อนที่กระหายอำนาจ และพวกเขาพร้อมจะใช้เวทมนต์อันทรงพลังที่สืบทอดกันมาเพื่อกีดกันโลกภายนอกออกจากดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาให้จงได้



Bandle City


เมืองบ้านเกิดของเหล่า Yordle เผ่าพันธุ์ที่หน้าตาเหมือนสิ่งมีชีวิตขนปุยที่พบเจอได้ทั่วไปในดินแดน Runeterra โดยสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือจริงๆ แล้วเผ่าพันธุ์ Yordle นั้นไม่ได้กำเนิดมาจากโลก Runeterra แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นภูติจากมิติคู่ขนานที่มีชีวิตเป็นอมตะต่างหาก โดยชนเผ่า Yordle บางส่วนก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในโลก Runeterra ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอาศัยอยู่ที่ Bandle City ซึ่งเชื่อมต่อกับโลกภายนอกผ่านประตูมิติมากมาย


นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ Yordle แล้ว มีคนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของ Runeterra ที่บอกว่าตัวเองเคยเห็นเมือง Bandle City มาก่อน แถมทุกคนยังบรรยายสิ่งที่เห็นไม่ตรงกันเลยแม้แต่คนเดียว สิ่งเดียวที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนกันคือ "ความชรา" ที่ดูจะเพิ่มขึ้นชั่วข้ามคืน ซึ่งชวนให้หลายๆ คนสันนิษฐานว่าเวลาในโลก Runeterra และ Bandle City อาจจะดำเนินไปไม่เท่ากัน


ในซีรีส์ Arcane เราได้ทำความรู้จักกับ Yordle ชื่อดังอย่าง Heimerdinger ผู้ซึ่งเปิดเผยออกมาช่วงหนึ่งว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเมือง Piltover ผู้ซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปีแล้ว (จริงๆ มี Yordle ชื่อดังอีกตัวที่ปรากฏแบบลับๆ...)




The Void


เช่นเดียวกับเมือง Bandle City นั้น 'The Void' ไม่ใช่ประเทศหรืออาณาเขตในดินแดน Runeterra หากแต่เป็นมิติคู่ขนานที่เป็นบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจอันทรงพลังที่ชื่อว่า "The Watchers" ซึ่งต้องการจะกลืนกินโลก Runeterra เข้าสู่ความเวิ้งว้างของ The Void ให้จงได้ ด้วยการส่งสัตว์ปีศาจ 'Voidborn' ที่พวกมันสร้างขึ้นข้ามมาโจมตีผู้คนใน Runeterra พร้อมกับหาวิธีเปิดประตูมิติให้พวกมันข้ามมาอีกฝั่งได้ด้วยตัวเองซักวัน


หากจะต้องยกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น "ตัวร้าย" ในจักรวาล League of Legends ก็คงจะเป็น The Void นี่แหละ ในฐานะมิติปีศาจที่ไม่ต้องการอะไรนอกไปจากการกลืนกินทุกสิ่ง โดยความพยายามในการรุกรานโลกของ The Void ได้นำไปสู่สงครามขนาดใหญ่มากมายตลอดประวัติศาสตร์ของ Runeterra และแม้ในยุคปัจจุบัน ผู้คนแห่ง Runeterra ส่วนใหญ่จะหลงลืมภัยร้ายนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังมีปีศาจ Voidborn จำนวนมากที่ตกค้างอยู่ และพร้อมจะตอบรับเสียงเรียกของเหล่า The Watchers ทุกเมื่อเช่นกัน




Bilgewater


เมื่องท่าอันโสมมแห่งนี้เปรียบเสมือนที่พำนักของผู้คนที่ต้องการหลบหนีกฏหมายของดินแดนอื่น ๆ โดยแม้ว่า Bilgewater จะเป็นดินแดนไร้กฏหมายที่แสนอันตราบ แต่ก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ที่ทุกอย่างสามารถซื้อได้ด้วยเงินอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือเวทมนต์ต้องห้าม ไปจนถึงกองทัพโจรสลัดที่พร้อมออกรบแทนคุณ


แต่แม้จะเป็นเมืองโจรสลัด Bilgewater ก็มีหน้าที่สำคัญในฐานะที่พำนักของชนเผ่า Buhru ผู้ซึ่งมีพลังเวทมนต์โบราณที่สามารถปัดเป่า "หมอกดำ" จากเกาะ Shadow Isles ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งนำพาวิญญาณร้ายมาหลอกหลอนและเข่นฆ่าผู้คนในดินแดนอื่น ๆ อีกด้วย


ในปัจจุบันนี้ เมือง Bilgewater กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด เมื่อราชาโจรสลัด Gangplank ถูกกัปตันสาว Sarah Fortune โค่นลง ส่งผลให้เหล่ากัปตันกลุ่มโจรสลัดที่มัอำนาจอื่นๆ เริ่มขยับตัวเพื่อแย่งชิงบัลลังค์ที่ว่างลงของ Gangplank โดยเรื่องราวของ Bilgewater ได้ถูกสำรวจในเกม RPG สปินออฟอย่าง Ruined King: A League of Legends Story อีกด้วย (อ่านรีวิวของเรา)




Shurima

Shurima เป็นอาณาจักรทะเลทรายที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล โดยครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจที่ปกครองทั้งทวีป Valoran เลยทีเดียว โดยพวกเขาได้ค้นพบเวทมนต์โบราณที่ทำให้สามารถเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นนักรบครึ่งเทพที่เรียกว่า Ascended ได้ และใช้เหล่านักรบอมตะเหล่านี้ในการบดขยี้ใครก็ตามที่ขัดขืนการปกครองของพวกเขา


ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายลงชั่วข้ามคืน เมื่อจอมเวทย์ผู้ชั่วร้าย Xerath ได้ลอบสังหารองค์จักรพรรดิคนใหม่อย่าง Azir ก่อนที่จะขโมยพลังของเขามาเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักรบกึ่งเทพที่มีร่างกายเป็นพลังงานเวทมนต์บริสุทธิ์ โดยการกระทำของเขาครั้งนั้นส่งผลให้เวทมนต์โบราณที่ปกป้อง Shurima อยู่เสื่อมสลายไปด้วย และทำให้เมืองทั้งเมืองจมลงสู่ทะเลทรายในที่สุด


การจากไปขององค์จักรพรรดิ ส่งผลให้เหล่านักรบเทพที่กระจัดกระจายไปปกครองเขตแดนต่าง ๆ อยู่เริ่มต่อสู้กันเองเพื่อแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ โดยการต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลให้กองกำลังทั้งหมดของ Shurima เกิดความแตกแยก และเปิดช่องให้เหล่าอาณาจักรที่ถูกยึดครองไปสามารถลุกฮือขึ้นมาปลดแอกตนเองได้


หลังจากที่เหล่านักรบเทพได้ล้มตายกันไปจนหมด และอาณาจักรถูกทะเลทรายดูดกลืนไปเป็นระยะเวลานับพันปี ได้เกิดปาฏิหารย์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อจักรพรรดิ Azir ที่ทุกคนนึกว่าตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งในฐานะนักรบกึ่งเทพ ผู้ซึ่งพร้อมจะรวบรวมผู้คนของอาณาจักร Shurima ที่กระจัดกระจายกันเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อทวงคืนอาณาจักรของเขาอีกครั้ง




Shadow Isles


กาลครั้งหนึ่งในอดีตนับพันปีมาแล้ว เกาะต้องสาป Shadow Isles เคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยเวทมนต์อันทรงพลัง ซึ่งไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกบนโลก รวมถึงสระน้ำวิเศษที่ว่ากันว่าสามารถรักษาโรคภัยทั้งหมดบนโลกนี้ได้ ก่อนที่โศกฆนาฏกรรมบางอย่างในอดีตจะทำลายเกาะจนราบคาบ แถมยังส่งผลให้เหล่าประชากรบนเกาะติดอยู่ในสภาพวิญญาณที่ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้


ในปัจจุบันนี้ เกาะ Shadow Isles กลายเป็นสถานที่ที่ปกคลุมไปด้วยมวลเวทมนต์ต้องสาป โดยผู้ที่เยือนเกาะจะถูกดูดซึมพลังชีวิตไปทีละน้อย ซึ่งก็จะดึงดูดเหล่าวิญญาณเร่ร่อนบนเกาะมาจู่โจมสิ่งมีชีวิตอะไรก็แล้วแต่ที่ย่างเท้าลงสู่เกาะ อีกด้วย และถ้าหากคุณตายบนเกาะ Shadow Isles คุณก็จะกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณเร่ร่อนของเกาะไปด้วยเช่นกัน


ยิ่งไปกว่านั้น เกาะ Shadow Isles ยังเป็นแหล่งกำเนิดของมวลหมอกดำปริศนา ที่มักจะลอยจากเกาะไปตกอยู่ในดินแดนต่างๆ ทั่ว Runeterra โดยหมอกดำเหล่านี้ยังเปรียบเสมือน "สะพาน" ให้เหล่าวิญญาณร้ายจาก Shadow Isles สามารถเดินทางไปจู่โจมสิ่งมีชีวิตนอกเกาะได้ เป็นปรากฏการณ์ที่คนในโลกเรียกว่า "The Harrowing" นั่นเอง


เช่นเดียวกับเมือง Bilgewater นั้น เกาะ Shadow Isles ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราจะได้เดินทางไปเยือนในเกม Ruined King: A League of Legends Story เช่นกัน




Targon


ภูเขา Mount Targon ถือเป็นจุดที่สูงที่สุดบนโลก Runeterra เลยทีเดียว โดยตัวภูเขาตั้งอยู่กลางดินแดนรกร้างขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้การเดินทางไปยังภูเขาเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนทั่วไป และมีเพียงผู้คนที่มีจิตใจมุ่งมั่นแรงกล้า หรือมีกำลังทรัพย์มหาศาลเท่านั้น จึงจะมีบุญได้เดินทางไปเยือนภูเขานี้ด้วยตัวเอง


แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีนักผจญภัยและผู้กล้ามากมายที่ใฝ่ฝันจะพิชิตยอดเขานี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศในฐานะผู้พิชิตภูเขา Targon แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่ายอดเขา Targon เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สามารถสื่อสารกับเหล่าทวยเทพได้โดยตรง และขอพรต่าง ๆ จากพวกเขาได้อีกด้วย




The Freljord


ด้วยสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของดินแดนน้ำแข็ง The Freljord ส่งผลให้เหล่าชนเผ่าในดินแดนนี้มีสายเลือดนักรบอันเข้มข้น จนทำให้เหล่าผู้คนจากแคว้นอื่นๆ มองเหล่าชนเผ่าของ The Freljord เป็นเพียงคนเถื่อนไร้อารยธรรม โดยหารู้ไม่ว่าดินแดน Freljord เป็นดินแดนเก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์และเวทมนต์เร้นลับ และเคยเป็นสนามรบอันยิ่งใหญ่ที่ชี้ชะตาของโลก Runeterra มาแล้วในอดีต เมื่อเหล่าปีศาจ Watcher จากมิติ The Void พยายามจะก้าวข้ามมิติมายังดินแดน Runeterra แต่ก็ได้เวทมนต์ของแม่มด Lissandra แช่แข็งเอาไว้เสียก่อน ทำให้โลก Runeterra รอดพ้นจากการรุกรานของเหล่าเทพปีศาจต่างมิติเหล่านี้


ในปัจจุบันนี้ ดินแดน Freljord ถูกปกครองโดยชนเผ่าใหญ่ ๆ 3 เผ่าด้วยกัน เผ่าแรกคือเหล่า Frostguard ซึ่งนำโดยแม่มดน้ำแข็ง Lissandra ผู้ซึ่งเฝ้าระวังไม่ให้น้ำแข็งที่ตรึงเหล่า Watcher เอาไว้ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาละลายลงได้ เผ่าต่อมาคือพวก Winter's Claw ชนเผ่ากระหายสงครามที่มักจะรุกรานอาณาเขตของดินแดน Demacia ทางใต้ และเผ่าสุดท้ายคือเผ่า Avarosan ซึ่งนำโดยราชินีน้ำแข็ง Ashe ผู้ซึ่งต้องการจะรวมชนเผ่าอันกระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเพื่อสถาปนา Freljord ให้เป็นอาณาจักรอันเป็นปึกแผ่น ทั้งสามเผ่าล้วนมีวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายที่ต่างกันในการปกครองดินแดน Freljord และสงครามระหว่างเผ่าทั้ง 3 ดูจะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยากขึ้นไปทุกที




Ionia


แคว้น Ionia มีลักษณะเป็นหมู่เกาะที่รวมตัวกันเป็นรัฐเล็กๆ ของตัวเอง โดยดินแดน Ionia เป็นสถานที่สำคัญในโลก Runeterra ที่ถูกเรียกว่า "The First Lands" หรือ "ดินแดนแห่งปฐมภูมิ" ในโลก Runeterra ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากม่านกั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ที่ดูจะเบาบางเป็นพิเศษในเขตของหมู่เกาะ Ionia ส่งผลให้มีภูติผีและสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณอาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นชาว Ionia ก็มีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุข โดยอาศัยเวทมนต์อันแก่กล้าของหมู่เกาะในการปกป้องตนเองจากภัยภายนอก


แต่แล้วความสงบสุขของ Ionia ก็ถึงจุดจับอย่างกระทันหัน เมื่อกองทัพของจักรวรรดิ Noxus ได้รุกรานเข้ามาโดยหวังจะยึกครองดินแดน Ionia เป็นของตนเอง สงครามระหว่างจักรวรรดิและเหล่ากองกำลังของ Ionia ดำเนินไปอย่างดุเดือดเป็นระยะเวลาหลายปี ก่อนที่กองทัพของจักรวรรดิจะยอมล่าถอยกลับไปในที่สุด


แม้ว่าสุดท้าย Ionia จะรอดพ้นจากการโจมตีของ Noxus มาได้ แต่ความสงบสุขของแคว้นก็ได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยในปัจจุบันนี้เหล่าหัวเมืองใน Ionia ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองก๊ก ก๊กแรกต้องการจะย้อนคืนสู่วิถีชีวิตอันสงบสุขที่พวกเขาเคยมี ในขณะที่อีกก๊กต้องการจะรวบรวมนักรบจากทั่ว Ionia เพื่อล้างแค้น Noxus อย่างสาสม




Demacia


อาณาจักรอันเกรียงไกร ที่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์อันบริสุทธิ์อย่างความยุติธรรม เกียรติยศ และหน้าที่เหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งอุดมการณ์เหล่านี้เองทำให้ชาว Demacia มีความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตนเองเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความภูมิใจนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเย่อหยิ่ง ทำให้ Demacia กลายเป็นแคว้นที่แม้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้มีมิตรแท้ที่เพิ่งพาได้นัก


ด้วยความที่อาณาจักรถูกก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจุดจบของสงครามเวทมนต์ Rune Wars ที่เกือบจะทำลายล้างโลก Runeterra ไป ทำให้ผู้คนในอาณาจักร Demacia ถูกเสี้ยมสอนให้เกลียดกลัวเวทมนต์มาก แม้ว่ากองทัพของ Demacia จะเริ่มรับเหล่าผู้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์เข้ามามากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังถูกเพ่งเล็งและเหยียดหยามโดยผู้คนในเมืองอยู่เสมอ


นอกจากนี้ สถานที่ตั้งของเมือง Demacia ยังอุดมไปด้วยหินประหลาดที่เรียกว่า "Petricite" ซึ่งสามารถดูดซับเวทมนต์ได้ เมื่อนำมารวมกับความเกลียดกลัวเวทมนต์เป็นทุนเดิมของผู้คน ทำให้กำเนิดองค์กรที่ชื่อว่า 'Mageseeker' ซึ่งมีหน้าที่ในการตามหาและจับกุมเหล่านักเวทย์นอกรีตในอาณาจักรที่ไม่ได้รายงานตัวต่อกองทัพ Demacia


ในปัจจุบันนั้น Demacia กำลังเผชิญกับอนาคตที่สั่นคลอน เมื่อราชา Jarvan III ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน ในขณะที่องค์ชาย Jarvan IV ก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสายตาตระกูลชั้นสูงของ Demacia ทำให้อาณาจักรอยู่ในสภาวะขาดผู้นำ ท่ามกลางการรุกรานของเหล่าคนเถื่อนจาก The Freljord ที่เริ่มรุกล้ำเข้ามามากขึ้นทุกที



แหล่งข้อมูล: universe.leagueoflegends

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[บทความ] พาทัวร์ Runeterra กับ 12 ดินแดนขั้วอำนาจในโลกของ League of Legends
02/12/2021

แม้จะไม่ใช่ส่วนที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญนัก แต่แท้ที่จริงแล้ว League of Legends ถือเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างลึกซึ้ง ด้วยการผูกปมขมวดเรื่องที่เข้มข้น ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความสัมพันธ์และความขัดแย้งของเหล่าตัวละครในแบบที่ไม่เหมือนเกม MOBA เกมอื่นๆ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เล่นหลายคนให้ความสนใจเกม League of Legends ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่เกมเปิดให้บริการมา

หลังจากที่ซีรีส์อนิเมชัน Arcane ได้ออกมาสร้างกระแสเปรี้ยงปร้าง โดยอิงเนื้อเรื่องและตัวละครจาก League of Legends ทำให้เรื่องราวของโลก Runeterra กลายเป็นที่สนใจของคนในวงกว้างมากกว่าที่ผ่านมา และวางรากฐานให้ผู้สร้างซีรีส์อย่าง Riot Forge สามารถแนะนำให้ผู้เล่นรู้จักกับแง่มุมอื่นๆ ของโลกต่อไปได้ด้วย โดยหลังจากที่ซีรีส์ Arcane ได้แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเมืองพี่น้องอย่าง Piltover และ Zaun ไปแล้ว ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลกของ Runeterra กันมาก ให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับสถานที่ที่เราอาจได้เห็นในซีรีส์ Arcane ต่อไปในอนาคต


Piltover & Zaun


ก่อนอื่น เรามาทบทวนข้อมูลของเมือง Piltover และ Zaun ที่เป็นที่ตั้งของซีรีส์ Arcane นั่นเอง


ครั้งหนึ่งในอดีต สองเมืองนี้เคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อนภายใต้ชื่อ "Piltover" ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่หันหน้าออกสู่ทะเล จนกระทั่งมีการคิดระเบิดภูเขาเพื่อสร้างเส้นทางเดินเรือตัดผ่านสำหรับการทำมาค้าขายและเก็บภาษีในฐานะเมืองท่า ทว่าแรงระเบิดนั้นรุนแรงจนเกินไป ส่งให้เมืองฝั่งล่างต้องจมไปสู่ก้นบึ้งของหน้าผา เกิดเป็น "เมืองเบื้องล่าง" ซึ่งจะกลายมาเป็น Zaun ที่คอยรับเศษของเหลือวิวัฒนาการจากเมืองส่วนบนอย่าง Piltover

ด้วยความเป็นเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย รวมไปถึงวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการไล่ตามความก้าวหน้าอยู่เสมอทำให้ Piltover มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดใน Runeterra และยังเป็นศูนย์กลางของศิลปะและวัฒนธรรมของทวีป Valoran อีกด้วย นักประดิษฐ์และศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกต่างอยากจะเข้ามาทำงานวิจัยในเมืองนี้โดยหวังจะได้รับการอุปถัมภ์โดยตระกูลพ่อค้าผู้มั่งคั่งมากมายในเมือง และด้วยความเป็นแหล่งกำเนิดและพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Hextech ทำให้ Piltover กลายเป็นเมืองที่ทุกคนต่างต้องการผูกมิตรด้วย แม้กระทั่งจักรวรรดิ Noxus ผู้กระหายสงครามยังไม่กล้าแตะต้องเลยทีเดียว


ในด้านของ Zaun นั้น เปรียบเสมือนอีกด้านของเหรียญเดียวกับ Piltover โดยชาวเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่หลังจากการระเบิดภูเขา ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางมลพิษจากสารเคมีเหลือทิ้งจาก Piltover รวมไปถึงสารพิษที่พบได้ตามธรรมชาติในหุบเหวที่เมืองตั้งอยู่ แต่ถึงกระนั้น Zaun ก็ยังได้รับอานิสงค์จากความก้าวหน้าของเมือง Piltover ด้วย สินค้าและเทคโนโลยีหลายชนิดของ Piltover มักลงเอยอยู่ในตลาดมืดของ Zaun ไม่ช้าก็เร็ว แถมชาวเมืองยังค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากสารเคมีรอบตัวผ่านเทคโนโลยี 'Chemtech' รวมไปถึงเทคโนโลยี Hextech ที่อันตรายเกินไปจนถูกปฏิเสธโดย Piltover ก็มักจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยชาวเมือง Zaun เสมอ




Noxus


ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ในโลก Runeterra จักรวรรดิ Noxus ดูเป็นเพียงประเทศกระหายสงครามที่ต้องการจะกลืนกินดินแดนและวัฒนธรรมของประเทศอื่น ๆ อย่างไม่จบสิ้น แต่แท้จริงแล้วสังคมของ Noxus เป็นสังคมที่มีความเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่างมากอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยสิ่งเดียวที่ชาว Noxus ให้ความสำคัญเหนือชาติกำเนิด เงินทอง หรือฐานะทางสังคม นั่นก็คือ "พลัง" หรือ "ฝีมือ" นั่นเอง ตราบใดที่คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีสองสิ่งนี้ สังคม Noxus ก็พร้อมจะเปิดรับคุณเสมอ ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นใครมาก่อนก็ตาม


วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ "พลัง" ของ Noxus มีที่มาจากอดีตในฐานะชนเผ่าคนเถื่อนที่ต้องต่อสู้เอาตัวรอดจากศัตรูที่รายล้อมอยู่ทุกทิศทาง โดยพวกเขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายบุกออกไปสู้กับศัตรูถึงที่มากกว่าจะเป็นฝ่ายรอตั้งรับ ทำให้อาณาเขตของเผ่าเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นจักรวรรดิในปัจจุบัน โดยอดีตอันโชกเลือดนี้เองทำให้ชาว Noxus รู้สึกภาคภูมิใจในจักรวรรดิของพวกเขาเป็นอย่างมาก และให้ความสำคัญกับผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถที่จะพัฒนาจักรวรรดิ โดยเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์ ที่มักจะถูกเกณฑ์มารับใช้กองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย


ในซีรีส์ Arcane ได้มีการแสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันแข็งกร้าวของ Noxus ผ่านตัวละคร Mel Medarda สมาชิกสภาปกครองเมือง Piltover นั่นเอง โดยการมาถึงของแม่ของเธอผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพในกองกำลังของ Noxus น่าจะเป็นการปูทางให้จักรวรรดิเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของ Arcane ในอนาคตอย่างแน่นอน

 



Ixtal


ดินแดนลับแลท่ามกลางพงไพร Ixtal เป็นดินแดนที่โด่งดังในฐานะแหล่งรวมของเหล่าจอมเวทย์สายธรรมชาติผู้ทรงอิทธิฤทธิ์มากมาย โดยในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ได้ตัดขาดตนเองออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานับพันปีด้วยฝีมือของนักเวทอันทรงพลัง เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ที่โหมโชนไปทั่วทวีป Valoran ในอดีต แต่ถึงกระนั้นชนเผ่า Ixtal จำนวนมากก็ยังตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทั้งหลาย ทำให้ชนเผ่าผู้เหลือรอดยิ่งพยายามปลีกตัวออกจากความเป็นไปของโลกภายนอกยิ่งกว่าเดิม


Ixtal ถือเป็นวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาถือเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าและอารยธรรมโบราณมากมาย และยังเป็นบ้านเกิดของเหล่าชนเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือ 'Vastaya' ชนิดต่างๆ อยู่มากมาย โดยชนเผ่า Vastaya นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผูกพันธ์กับเวทมนต์มาก ถึงขนาดที่หลายคนเชื่อว่าพวกเขามี "เวทมนตร์ไหลเวียนภายในร่างกายราวกับออกซิเจน" เลยทีเดียว

ในยุคปัจจุบัน ชนเผ่า Ixtal มักจะมองผู้คนของดินแดนอื่นๆ ว่าเป็นพวกหัวรุนแรงป่าเถื่อนที่กระหายอำนาจ และพวกเขาพร้อมจะใช้เวทมนต์อันทรงพลังที่สืบทอดกันมาเพื่อกีดกันโลกภายนอกออกจากดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาให้จงได้



Bandle City


เมืองบ้านเกิดของเหล่า Yordle เผ่าพันธุ์ที่หน้าตาเหมือนสิ่งมีชีวิตขนปุยที่พบเจอได้ทั่วไปในดินแดน Runeterra โดยสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือจริงๆ แล้วเผ่าพันธุ์ Yordle นั้นไม่ได้กำเนิดมาจากโลก Runeterra แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นภูติจากมิติคู่ขนานที่มีชีวิตเป็นอมตะต่างหาก โดยชนเผ่า Yordle บางส่วนก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในโลก Runeterra ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอาศัยอยู่ที่ Bandle City ซึ่งเชื่อมต่อกับโลกภายนอกผ่านประตูมิติมากมาย


นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ Yordle แล้ว มีคนจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของ Runeterra ที่บอกว่าตัวเองเคยเห็นเมือง Bandle City มาก่อน แถมทุกคนยังบรรยายสิ่งที่เห็นไม่ตรงกันเลยแม้แต่คนเดียว สิ่งเดียวที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนกันคือ "ความชรา" ที่ดูจะเพิ่มขึ้นชั่วข้ามคืน ซึ่งชวนให้หลายๆ คนสันนิษฐานว่าเวลาในโลก Runeterra และ Bandle City อาจจะดำเนินไปไม่เท่ากัน


ในซีรีส์ Arcane เราได้ทำความรู้จักกับ Yordle ชื่อดังอย่าง Heimerdinger ผู้ซึ่งเปิดเผยออกมาช่วงหนึ่งว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเมือง Piltover ผู้ซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปีแล้ว (จริงๆ มี Yordle ชื่อดังอีกตัวที่ปรากฏแบบลับๆ...)




The Void


เช่นเดียวกับเมือง Bandle City นั้น 'The Void' ไม่ใช่ประเทศหรืออาณาเขตในดินแดน Runeterra หากแต่เป็นมิติคู่ขนานที่เป็นบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจอันทรงพลังที่ชื่อว่า "The Watchers" ซึ่งต้องการจะกลืนกินโลก Runeterra เข้าสู่ความเวิ้งว้างของ The Void ให้จงได้ ด้วยการส่งสัตว์ปีศาจ 'Voidborn' ที่พวกมันสร้างขึ้นข้ามมาโจมตีผู้คนใน Runeterra พร้อมกับหาวิธีเปิดประตูมิติให้พวกมันข้ามมาอีกฝั่งได้ด้วยตัวเองซักวัน


หากจะต้องยกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น "ตัวร้าย" ในจักรวาล League of Legends ก็คงจะเป็น The Void นี่แหละ ในฐานะมิติปีศาจที่ไม่ต้องการอะไรนอกไปจากการกลืนกินทุกสิ่ง โดยความพยายามในการรุกรานโลกของ The Void ได้นำไปสู่สงครามขนาดใหญ่มากมายตลอดประวัติศาสตร์ของ Runeterra และแม้ในยุคปัจจุบัน ผู้คนแห่ง Runeterra ส่วนใหญ่จะหลงลืมภัยร้ายนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังมีปีศาจ Voidborn จำนวนมากที่ตกค้างอยู่ และพร้อมจะตอบรับเสียงเรียกของเหล่า The Watchers ทุกเมื่อเช่นกัน




Bilgewater


เมื่องท่าอันโสมมแห่งนี้เปรียบเสมือนที่พำนักของผู้คนที่ต้องการหลบหนีกฏหมายของดินแดนอื่น ๆ โดยแม้ว่า Bilgewater จะเป็นดินแดนไร้กฏหมายที่แสนอันตราบ แต่ก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ที่ทุกอย่างสามารถซื้อได้ด้วยเงินอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือเวทมนต์ต้องห้าม ไปจนถึงกองทัพโจรสลัดที่พร้อมออกรบแทนคุณ


แต่แม้จะเป็นเมืองโจรสลัด Bilgewater ก็มีหน้าที่สำคัญในฐานะที่พำนักของชนเผ่า Buhru ผู้ซึ่งมีพลังเวทมนต์โบราณที่สามารถปัดเป่า "หมอกดำ" จากเกาะ Shadow Isles ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งนำพาวิญญาณร้ายมาหลอกหลอนและเข่นฆ่าผู้คนในดินแดนอื่น ๆ อีกด้วย


ในปัจจุบันนี้ เมือง Bilgewater กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด เมื่อราชาโจรสลัด Gangplank ถูกกัปตันสาว Sarah Fortune โค่นลง ส่งผลให้เหล่ากัปตันกลุ่มโจรสลัดที่มัอำนาจอื่นๆ เริ่มขยับตัวเพื่อแย่งชิงบัลลังค์ที่ว่างลงของ Gangplank โดยเรื่องราวของ Bilgewater ได้ถูกสำรวจในเกม RPG สปินออฟอย่าง Ruined King: A League of Legends Story อีกด้วย (อ่านรีวิวของเรา)




Shurima

Shurima เป็นอาณาจักรทะเลทรายที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล โดยครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจที่ปกครองทั้งทวีป Valoran เลยทีเดียว โดยพวกเขาได้ค้นพบเวทมนต์โบราณที่ทำให้สามารถเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นนักรบครึ่งเทพที่เรียกว่า Ascended ได้ และใช้เหล่านักรบอมตะเหล่านี้ในการบดขยี้ใครก็ตามที่ขัดขืนการปกครองของพวกเขา


ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายลงชั่วข้ามคืน เมื่อจอมเวทย์ผู้ชั่วร้าย Xerath ได้ลอบสังหารองค์จักรพรรดิคนใหม่อย่าง Azir ก่อนที่จะขโมยพลังของเขามาเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักรบกึ่งเทพที่มีร่างกายเป็นพลังงานเวทมนต์บริสุทธิ์ โดยการกระทำของเขาครั้งนั้นส่งผลให้เวทมนต์โบราณที่ปกป้อง Shurima อยู่เสื่อมสลายไปด้วย และทำให้เมืองทั้งเมืองจมลงสู่ทะเลทรายในที่สุด


การจากไปขององค์จักรพรรดิ ส่งผลให้เหล่านักรบเทพที่กระจัดกระจายไปปกครองเขตแดนต่าง ๆ อยู่เริ่มต่อสู้กันเองเพื่อแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ โดยการต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลให้กองกำลังทั้งหมดของ Shurima เกิดความแตกแยก และเปิดช่องให้เหล่าอาณาจักรที่ถูกยึดครองไปสามารถลุกฮือขึ้นมาปลดแอกตนเองได้


หลังจากที่เหล่านักรบเทพได้ล้มตายกันไปจนหมด และอาณาจักรถูกทะเลทรายดูดกลืนไปเป็นระยะเวลานับพันปี ได้เกิดปาฏิหารย์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อจักรพรรดิ Azir ที่ทุกคนนึกว่าตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งในฐานะนักรบกึ่งเทพ ผู้ซึ่งพร้อมจะรวบรวมผู้คนของอาณาจักร Shurima ที่กระจัดกระจายกันเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อทวงคืนอาณาจักรของเขาอีกครั้ง




Shadow Isles


กาลครั้งหนึ่งในอดีตนับพันปีมาแล้ว เกาะต้องสาป Shadow Isles เคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยเวทมนต์อันทรงพลัง ซึ่งไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกบนโลก รวมถึงสระน้ำวิเศษที่ว่ากันว่าสามารถรักษาโรคภัยทั้งหมดบนโลกนี้ได้ ก่อนที่โศกฆนาฏกรรมบางอย่างในอดีตจะทำลายเกาะจนราบคาบ แถมยังส่งผลให้เหล่าประชากรบนเกาะติดอยู่ในสภาพวิญญาณที่ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้


ในปัจจุบันนี้ เกาะ Shadow Isles กลายเป็นสถานที่ที่ปกคลุมไปด้วยมวลเวทมนต์ต้องสาป โดยผู้ที่เยือนเกาะจะถูกดูดซึมพลังชีวิตไปทีละน้อย ซึ่งก็จะดึงดูดเหล่าวิญญาณเร่ร่อนบนเกาะมาจู่โจมสิ่งมีชีวิตอะไรก็แล้วแต่ที่ย่างเท้าลงสู่เกาะ อีกด้วย และถ้าหากคุณตายบนเกาะ Shadow Isles คุณก็จะกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณเร่ร่อนของเกาะไปด้วยเช่นกัน


ยิ่งไปกว่านั้น เกาะ Shadow Isles ยังเป็นแหล่งกำเนิดของมวลหมอกดำปริศนา ที่มักจะลอยจากเกาะไปตกอยู่ในดินแดนต่างๆ ทั่ว Runeterra โดยหมอกดำเหล่านี้ยังเปรียบเสมือน "สะพาน" ให้เหล่าวิญญาณร้ายจาก Shadow Isles สามารถเดินทางไปจู่โจมสิ่งมีชีวิตนอกเกาะได้ เป็นปรากฏการณ์ที่คนในโลกเรียกว่า "The Harrowing" นั่นเอง


เช่นเดียวกับเมือง Bilgewater นั้น เกาะ Shadow Isles ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราจะได้เดินทางไปเยือนในเกม Ruined King: A League of Legends Story เช่นกัน




Targon


ภูเขา Mount Targon ถือเป็นจุดที่สูงที่สุดบนโลก Runeterra เลยทีเดียว โดยตัวภูเขาตั้งอยู่กลางดินแดนรกร้างขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้การเดินทางไปยังภูเขาเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนทั่วไป และมีเพียงผู้คนที่มีจิตใจมุ่งมั่นแรงกล้า หรือมีกำลังทรัพย์มหาศาลเท่านั้น จึงจะมีบุญได้เดินทางไปเยือนภูเขานี้ด้วยตัวเอง


แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีนักผจญภัยและผู้กล้ามากมายที่ใฝ่ฝันจะพิชิตยอดเขานี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศในฐานะผู้พิชิตภูเขา Targon แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่ายอดเขา Targon เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สามารถสื่อสารกับเหล่าทวยเทพได้โดยตรง และขอพรต่าง ๆ จากพวกเขาได้อีกด้วย




The Freljord


ด้วยสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของดินแดนน้ำแข็ง The Freljord ส่งผลให้เหล่าชนเผ่าในดินแดนนี้มีสายเลือดนักรบอันเข้มข้น จนทำให้เหล่าผู้คนจากแคว้นอื่นๆ มองเหล่าชนเผ่าของ The Freljord เป็นเพียงคนเถื่อนไร้อารยธรรม โดยหารู้ไม่ว่าดินแดน Freljord เป็นดินแดนเก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์และเวทมนต์เร้นลับ และเคยเป็นสนามรบอันยิ่งใหญ่ที่ชี้ชะตาของโลก Runeterra มาแล้วในอดีต เมื่อเหล่าปีศาจ Watcher จากมิติ The Void พยายามจะก้าวข้ามมิติมายังดินแดน Runeterra แต่ก็ได้เวทมนต์ของแม่มด Lissandra แช่แข็งเอาไว้เสียก่อน ทำให้โลก Runeterra รอดพ้นจากการรุกรานของเหล่าเทพปีศาจต่างมิติเหล่านี้


ในปัจจุบันนี้ ดินแดน Freljord ถูกปกครองโดยชนเผ่าใหญ่ ๆ 3 เผ่าด้วยกัน เผ่าแรกคือเหล่า Frostguard ซึ่งนำโดยแม่มดน้ำแข็ง Lissandra ผู้ซึ่งเฝ้าระวังไม่ให้น้ำแข็งที่ตรึงเหล่า Watcher เอาไว้ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาละลายลงได้ เผ่าต่อมาคือพวก Winter's Claw ชนเผ่ากระหายสงครามที่มักจะรุกรานอาณาเขตของดินแดน Demacia ทางใต้ และเผ่าสุดท้ายคือเผ่า Avarosan ซึ่งนำโดยราชินีน้ำแข็ง Ashe ผู้ซึ่งต้องการจะรวมชนเผ่าอันกระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเพื่อสถาปนา Freljord ให้เป็นอาณาจักรอันเป็นปึกแผ่น ทั้งสามเผ่าล้วนมีวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายที่ต่างกันในการปกครองดินแดน Freljord และสงครามระหว่างเผ่าทั้ง 3 ดูจะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยากขึ้นไปทุกที




Ionia


แคว้น Ionia มีลักษณะเป็นหมู่เกาะที่รวมตัวกันเป็นรัฐเล็กๆ ของตัวเอง โดยดินแดน Ionia เป็นสถานที่สำคัญในโลก Runeterra ที่ถูกเรียกว่า "The First Lands" หรือ "ดินแดนแห่งปฐมภูมิ" ในโลก Runeterra ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากม่านกั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ที่ดูจะเบาบางเป็นพิเศษในเขตของหมู่เกาะ Ionia ส่งผลให้มีภูติผีและสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณอาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นชาว Ionia ก็มีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุข โดยอาศัยเวทมนต์อันแก่กล้าของหมู่เกาะในการปกป้องตนเองจากภัยภายนอก


แต่แล้วความสงบสุขของ Ionia ก็ถึงจุดจับอย่างกระทันหัน เมื่อกองทัพของจักรวรรดิ Noxus ได้รุกรานเข้ามาโดยหวังจะยึกครองดินแดน Ionia เป็นของตนเอง สงครามระหว่างจักรวรรดิและเหล่ากองกำลังของ Ionia ดำเนินไปอย่างดุเดือดเป็นระยะเวลาหลายปี ก่อนที่กองทัพของจักรวรรดิจะยอมล่าถอยกลับไปในที่สุด


แม้ว่าสุดท้าย Ionia จะรอดพ้นจากการโจมตีของ Noxus มาได้ แต่ความสงบสุขของแคว้นก็ได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยในปัจจุบันนี้เหล่าหัวเมืองใน Ionia ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองก๊ก ก๊กแรกต้องการจะย้อนคืนสู่วิถีชีวิตอันสงบสุขที่พวกเขาเคยมี ในขณะที่อีกก๊กต้องการจะรวบรวมนักรบจากทั่ว Ionia เพื่อล้างแค้น Noxus อย่างสาสม




Demacia


อาณาจักรอันเกรียงไกร ที่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์อันบริสุทธิ์อย่างความยุติธรรม เกียรติยศ และหน้าที่เหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งอุดมการณ์เหล่านี้เองทำให้ชาว Demacia มีความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตนเองเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความภูมิใจนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเย่อหยิ่ง ทำให้ Demacia กลายเป็นแคว้นที่แม้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้มีมิตรแท้ที่เพิ่งพาได้นัก


ด้วยความที่อาณาจักรถูกก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจุดจบของสงครามเวทมนต์ Rune Wars ที่เกือบจะทำลายล้างโลก Runeterra ไป ทำให้ผู้คนในอาณาจักร Demacia ถูกเสี้ยมสอนให้เกลียดกลัวเวทมนต์มาก แม้ว่ากองทัพของ Demacia จะเริ่มรับเหล่าผู้มีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์เข้ามามากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังถูกเพ่งเล็งและเหยียดหยามโดยผู้คนในเมืองอยู่เสมอ


นอกจากนี้ สถานที่ตั้งของเมือง Demacia ยังอุดมไปด้วยหินประหลาดที่เรียกว่า "Petricite" ซึ่งสามารถดูดซับเวทมนต์ได้ เมื่อนำมารวมกับความเกลียดกลัวเวทมนต์เป็นทุนเดิมของผู้คน ทำให้กำเนิดองค์กรที่ชื่อว่า 'Mageseeker' ซึ่งมีหน้าที่ในการตามหาและจับกุมเหล่านักเวทย์นอกรีตในอาณาจักรที่ไม่ได้รายงานตัวต่อกองทัพ Demacia


ในปัจจุบันนั้น Demacia กำลังเผชิญกับอนาคตที่สั่นคลอน เมื่อราชา Jarvan III ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน ในขณะที่องค์ชาย Jarvan IV ก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสายตาตระกูลชั้นสูงของ Demacia ทำให้อาณาจักรอยู่ในสภาวะขาดผู้นำ ท่ามกลางการรุกรานของเหล่าคนเถื่อนจาก The Freljord ที่เริ่มรุกล้ำเข้ามามากขึ้นทุกที



แหล่งข้อมูล: universe.leagueoflegends

บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header