GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 8 เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์
ลงวันที่ 17/02/2020

สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด ซึ่งในบทนี้จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมภาคหนึ่งที่ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็น Undead นิรนามที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำตามคำทำนายให้สำเร็จ แต่ก่อนอื่นผมจะต้องขอชี้เเจ้งว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ขอหยิบยกสิ่งที่เป็น “Gameplay” หรือระบบการเล่นมาเล่าเป็นเนื้อหาโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างก็เช่นเรื่องการตายเเล้วเกิดใหม่ที่ผมจะขอพูดถึงเเต่ในเเง่ของเนื้อเรื่องและ Lore ภายในเกมเท่านั้น….ถ้าเราเข้าใจตรงกันเเล้วกระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เเปด “เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์”


( ภาพประกอบ : เส้นทางของ Undead นิรนามจะเต็มไปด้วยขวากหนามที่จะทดสอบความมุ่งมั่นในภารกิจต่อชีวิตของ The First Flame )


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 


บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่


บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด


 

ก้าวเเรกของผู้ถูกเลือก…


             ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตอนเหนือ ได้มีเรือนจำเเห่งหนึ่งที่ถูกเรียกวว่า Northern Undead Asylum ซึ่งภายในนั้น Undead นิรนามของเรากำลังพยายามหนีออกตากคุกนรกแห่งนี้ให้ได้ จะติดก็เเต่ประตูทางออกกลับถูกเฝ้าโดยอสูรร้ายที่ถูกขนานว่า Asylum Demon ที่มีร่างกายใหญ่โตเเละปีกเล็กๆอันทรงพลังพอที่จะสามารถพยุงน้ำหนักอันมหาศาลของมันให้บินขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างสบายๆ เเละความเป็นมาของมันก็คือ เจ้าอสูรตัวนี้เป็นหนึ่งในบรรดาอสูรไม่กี่ตนที่ได้ละทิ้งวิถีเเห่งเพลิง Chaos Flame ซึ่งเป็นขุมพลังหลักของปีศาจเเละได้หันหลังให้กับเเม่มดเเห่ง Izalith อันเป็นเหมือนมารดาแห่งเหล่าอสูรทั้งปวง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้มีหลายๆอาณาจักรอ้าเเขนตอนรับอสูรไร้นายเหล่านี้ให้เข้ามาทำงานที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้


( ภาพประกอบ : Asylum Demon ใช้อาวุธที่ทำมาจากต้นไม้ Arch Tree ซึ่งในยุคโบราณเคยเป็นต้นไม้ที่เป็นอยู่อาศัยของเหล่ามังกรนิรันดร )


หากจะเปรียบการเผชิญหน้าระหว่าง Undead นิรนามเเละ Asylum Demon เเล้วละก็มันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับช้างที่กำลังพยายามไล่เหยียบหนู ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็จับตัวไม่ได้เสียทีเพราะว่า Undead นิรนามของเราได้อาศัยความคล่องเเคล่วในการกลิ้ง...จนสามารถหนีพ้นเงื้อมือของมันไปได้ เเละได้ไปพบเข้ากับ Oscar ที่เคยช่วยเขาออกจากห้องขัง เเต่ตอนนี้กำลังนอนบาดเจ็บเพราะถูก Asylum Demon เล่นงานมาเช่นเดียวกัน Oscar ได้บอกว่าตนกำลังจะกลายสภาพเป็น Hollow ในอีกไม่นาน ฉะนั้นเขาจึงได้มอบยารักษาบาดเเผล Estus Flask เเละขอส่งต่อภารกิจในการปลุกชีพของ The First Flame ให้เเก่ Undead นิรนามของเรา เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของคนที่กำลังจะสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล


( ภาพประกอบ : Oscar ที่กำลังกลายสภาพเป็น Hollow เเละได้ฝากฝังความตั้งใจเเก่ Undead นิรนามเป็นครั้งสุดท้าย)


การเสียสละของ Oscar ได้ทำให้ Undead นิรนามของเรามีกำลังใจกลับไปต่อสู้กับเจ้าอสูรอีกครั้งจนสามารถเอาชนะมาได้ แต่เมื่อเขาได้ก้าวเท้าผ่านประตูสู่อิสรภาพไปนั่นก็กลับต้องพบว่าความจริงแล้ว ภายนอกสถานที่เเห่งนี้ต่างถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเหวลึกมากมายจน Undead นิรามต้องบ่นว่าคงจะมีเเค่นกเท่านั้นเเหละจึงจะสามารถหนีออกจากไปจากคุกแห่งนี้ได้ เเต่ในระหว่างที่เขากำลังสิ้นหวังอยู่นั้นอยู่ๆก็มีอีกายักษ์บินมาโฉบร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าหายไป ซึ่งเจ้านกยกตัวนี้มันเป็นหนึ่งในสมุนของเทพเจ้า Velka ที่จะคอยทำหน้าที่เป็นแมวมองจับตาเหล่า Undead ที่มีเเววว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนาย เเละก็ลักพาตัวไปยังดินเเดน Lordran เพื่อทำตามเป้าหมายหลักของ Velka ซึ่งก็คือการปลดปล่อยเหล่าสมุนของนางที่ติดอยู่ใน Painted World of Ariamis จากเหตุการณ์อันอื้อฉาวในอดีตที่ถูกเรียกว่า “กบฏทมิฬ”


( ภาพประกอบ : Undead นิรนามกำลังถูกลักพาตัวไปยัง Firelink Shrine ที่ตั้งอยู่ในดินเเดน Lordran )


อีกายักษ์ได้เหินเวหาไปตามสายลมจนกระทั้งเข้าเขตดินแดน Lordran และได้ปล่อยพระเอกของเราลงที่ Firelink Shire อันเป็นสถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นวิหารที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า Velka โดยพวกมนุษย์ เเต่ปัจจุบันก็ได้ถูกทิ้งร้างจนชํารุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนปัจจุบัน Firelink Shrine ได้เเปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่พักเเรมของเหล่านักเดินไปเเล้ว


( ภาพประกอบ : สภาพบรรยากาศโดยรอบที่ Firelink Shrine )



( ภาพประกอบ : วิหารโบราณใน Firelink Shrine )


เมื่อเดินทางมาถึง Undead นิรนามของเราก็ได้พบกับผู้คนบางส่วนที่กำลังพักเเรมอยู่ที่ Firelink Shrine ไม่ว่าจะเป็นพระนักรบนามว่า Reah ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของศาสนา Way of White ที่เดินทางมาจากดินเเดน Thorolund อันห่างไกลเเละกำลังเฝ้ารอพรรคพวกของเขาที่จะมาสมทบ ส่วนอีกคนก็คือชายผู้สิ้นหวังซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ตัวเขาไม่เคยเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามให้ใครฟังเเต่ผู้คนต่างเรียกเขาว่า Crestfallen Warrior หรือ”นักรบผู้สิ้นหวัง” ซึ่งเจ้าหมอนี้มันมีนิสัยน่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพูดถ่มถุยเหล่านักเดินทางทุกคน ว่าการพยายามทำตามคำนายนั่นไร้ประโยชน์เเละรังเเต่จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Hollow เร็วขึ้น


( ภาพประกอบ : Crestfallen Warrior ชอบพูดถากถาง Undead )


เเต่คนที่ดูจะน่าสงสารมากที่สุดก็คือสตรีนางหนึ่งที่ถูกจองจำอยู่ในสถานที่เเห่งนี้ นามว่า Anastacia โดยชะตากรรมของนางนั้นเรียกได้ว่าน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับให้ทำหน้าที่ Fire Keeper อยู่ที่ Firelink Shire อย่างไม่เต็มใจเเละเมื่อ Anastacia พยายามจะหนีพวกมันจึงได้ตัดปัญหาด้วยการขังนางไว้ในคุก เเละตัดลิ้นของนางออกเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเจ้าได้อีก


( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Fire Keeper Anastacia นางมีความปรารถนาที่จะตายเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่ในฐานะของ Undead )


 

เมืองคนบาป Undead Burg


Undead นิรนามของเราที่เพิ่งเดินทางมาถึงยัง Firelink Shire ได้ไม่นานก็ได้รับแนะนำจาก Crestfallen Warrior ให้เดินทางไปยังป้อมปราการ Undead Burg ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีระฆัง Bell of Awakening อยู่ที่นั่น เมื่อฟังจบ Undead นิรนามก็กล่าวขอบคุณเเละรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที...โดยไม่รู้เลยว่าเจ้า Crestfallen Warrior มันต้องการให้ผู้กล้าของเราไปเผชิญหน้าความตายจนต้องท้อแท้และกลายเป็นหมาขี้แพ้เหมือนกับมัน…


( ภาพประกอบ : ทางท่อระบายน้ำที่เชื่อต่อ Firelink Shrine เเละ Undead Burg เข้าด้วยกัน )


หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของป้อมปราการ Undead Burg ก็คงต้องกล่าวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่กันเลยทีเดียว โดยเมืองนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะการก่อกบฏของเหล่าสาวกแห่งเทพเจ้า Velka ที่ถูกเรียกขานว่ากบฏทมิฬ หรือจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการปิดกั้นตัวเองของเมืองหลวง Anor Londo ที่บีบให้ป้อมปราการ Undead Burg ต้องกลายเป็นชุมชนที่ปกครองและดูแลกันเอง 


( ภาพประกอบ : สภาพโครงสร้างภายในของ Undead Burg )


โดยเมืองนี้มีกฏหมายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนจะได้รับอิสระในการนับถือเทพเจ้าต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ เเถมภายหลังยังได้มีการหลอมรวมเทพเจ้า Velka ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนมากของประชาชนในเมืองนี้ เข้ากับความเชื่อของศาสนา Way of White ที่เป็นเหมือนกองทัพศาสนาของเหล่าเทพเจ้า โดยทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทั้งศึกในบ้านหรือนอกบ้านโดยไม่จำเป็น แม้กระทั้งพวก Warrior of Sunlight ที่ปกติจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ยังได้รับอนุญาตให้ตั้งเทวรูปของ Nameless King ไว้ในที่สาธารณะและสามารถทำการเคารพบูชาได้อย่างเปิดเผย เเละในภายหลังได้มีมังกรเผ่าพันธุ์ Wyvern ตนหนึ่งบินลงมาจำศีลอยู่เหนือเทวรูปของ Nameless King อย่างสงบโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไม... 


( ภาพประกอบ : Wyvern เป็นมังกรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรโดยจุดสังเกตความแตกต่างก็คือ Wyvern จะยืนสองขาในขณะที่มังกรนิรันดรจะยืนสี่ขา )


ตอนนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Undead Burg เลยก็ว่าได้ จนก่อเกิดเป็นสันติภาพที่จะยั่งยืนยาวนานนับพันปี....จนกระทั้ง Curse of Undead ได้กลับมาเยี่ยมเยือนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เเละในเมื่อ The First Flame กำลังจะดับลงจึงทำให้พวก Undead จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเร่งที่จะทำตามคำทำนายให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนมากมายจะต้องเดินทางผ่าน Undead Burg อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่ามากันทีละคนสองคนมันก็คงไม่เป็นไรแต่ทว่าบางคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยหรือมีบรรดาศักดิ์เป็นชนชั้นสูงก็จะนิยมจ้างนักรบหรือแม้แต่ยกกองทัพส่วนตัวเเห่เข้าเมืองมาด้วย ตัวอย่างเช่นเจ้าชาย Rendal ที่พี่แกเล่นยกกองทัพ Balder Knight ของตัวเองมาแบบเต็มยศ ทำให้ยิ่งนับวัน Undead Burg ก็เริ่มประสบปัญหาความแออัดและความหวาดระแวงจากคนเเปลกหน้า เเละถ้าหากจะห้ามไม่ยกกองทัพเข้ามาในเมืองเเล้วละก็ นั่นก็จะเป็นเหตุทำให้มีเรื่องผิดใจกันและอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นทำศึกชิงเมืองเลยก็เป็นได้ 


( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่านักรบจากอาณาจักร Berenike ซึ่งมาที่ Lordran เพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ  )


( ภาพประกอบด้านขวา : เหล่านักรบ Balder Knight ที่ติดตามเจ้าชาย Rendal มายัง Lordran  )


เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำนับวันความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ (นี่ขนาดยังไม่นับปัญหาของพวก Hollow ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนกับภูเขาไฟเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้เเละจะนำ Undead Burg กลับเข้าสู่ความโกลาหลเป็นครั้งเเรกในรอบหลายพันปีนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏทมิฬ...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าท่าผู้ชมคิดว่านี่มันเลวร้ายสุดๆแล้วละก็...ผมก็ขอบอกบอกเลยว่านี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆก็มีเหล่าอสูรแห่ง Izalith โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง พวกมันมองข้ามเหล่าประชาชนที่อ่อนแอซึ่งไม่มีทางสู้แต่กลับมุ่งเป้าไปยังพวก Undead ที่เดินทางมาเพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ ทำให้ ณ เวลานั้นที่ใจกลางของเมืองซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าคนที่เดินพลุกพล่านได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นเขตสงครามไปเป็นที่เรียบร้อย สงครามได้ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้พวก Black Knight ที่ปกติจะคอยทำงานให้กับเทพเจ้าอย่างลับๆก็ยังต้องเปิดเผยตัวเองและเข้าร่วมทำสงครามกลางเมืองในครั้งนี้


 ( ภาพประกอบ : อสูร Taurus จะคอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg  )


การสู้รบใน Undead Burg ได้ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนแรกก็คือตัวเมืองด้านล่างที่ได้ถูกปกครองโดยอสูรแห่ง Izalith ไปเป็นที่เรียบร้อย เเละสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่นก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่สุดๆ เหล่า Undead มากมายต่างถูกทอดทิ้งให้อดอยากปากแห้งจนต้องรวมตัวพากันออกปล้นสะดม Soul กับ Humanity จากมนุษย์คนอื่นๆเพื่อความอยู่รอด จนที่แห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว


 ( ภาพประกอบ : ภาพรวมของเมือง Undead Burg ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากรากฐานเก่าที่ป้อมปราการ )


และอีกส่วนก็จะเป็นตัวเมืองด้านบนซึ่งได้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มี Bell of Awakening ตั้งอยู่นั่นเอง ซึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ก็ถือได้ว่าดีกว่าตัวเมืองด้านล่างอยู่ไม่น้อย เพราะที่โบสถ์แห่งนี้ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็น Fire Keeper คอยทำหน้าที่ปลอบประโลมและเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจให้แก่เหล่าผู้คนที่กำลังเสียขวัญ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่า Channeler ที่กำลังจับตามองอยู่ห่างๆ.... พวก Channeler นั้นก็คือพวกข้ารับใช้ของ Seath มังกรไร้เกล็ดซึ่งได้ถูกส่งออกมาผ่านช่องทางลับภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อคอยทำตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมายจาก Seath ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการลักพาตัวหญิงสาวเพื่อไปเป็นหนูทดลอง 


 ( ภาพประกอบ : โบสถ์ใน Undead Burg ที่มีหอคอย Bell of Awakening ตั้งอยู่  )



 ( ภาพประกอบ : Channeler ก็คือพวกนักเวทย์ที่ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับมังกรไร้เกล็ด Seath )


พวก Channeler พยายามเสนอตนเองว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระอันล้นมือของ Fire Keeper เพื่อที่จะคอยหาโอกาสลักพาตัวนางไป… แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า Undead Burg ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่มากมายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เเละหนึ่งในนั้นก็คือชายโรคจิตนามว่า Lautrec ซึ่งมีความหลงใหลในร่างกายของผู้หญิงที่สะสวยอย่างรุนแรงและมันก็ได้ลงมือสังหาร Fire Keeper ผู้โชคร้ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เหล่าผู้คนในที่นั่นต่างตกใจและได้รุมสกรัมเจ้า Lautrec  อย่างหนักแต่เนื่องจากเป็น Undead ที่ไม่มีวันตาย เหล่าผู้คนจึงทำการคุมขังมันเอาไว้ที่ด้านหลังของโบสถ์แทน


 ( ภาพประกอบ : เเท่นบูชาเทวรูปของเทพเจ้า Velka ที่ตั้งอยู่ภายในโบสถ์ ซึ่งศพของ Fire Keeper ได้ถูกนำมาวางไว้ที่นี่  )


แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายนั้นมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว....ทุกๆคนในโบสถ์ต่างเฝ้ารอให้ Fire Keeper กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ เเต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่สักทีจนเหล่าผู้คนเริ่มสิ้นหวังจนเริ่มเสียสติเเละได้กลายเป็นความโกลาหลและเหตุจลาจลภายครั้งใหญ่ภายในตัวเมืองด้านบน จนเเม้เเต่เทวรูปของ Nameless King ที่อยู่ใกล้ๆก็โดนลูกหลงจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี และแทบจะทันทีที่เทวรูปถูกทำลายเจ้ามังกร Wyvern ก็ได้ตื่นขึ้นจากการจำศีลด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราดพร้อมกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพ่นลูกไฟยักา์ลงมาแพรดเผาทุกชีวิตใน Undead Burg จนตายเกลี้ยงและได้กลายเป็น Undead กันไปทั้งเมือง...และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา Undead Burg ก็ได้กลายเป็นแค่จุดเข็คอินเเละสุสานเก่าๆซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ Bell of Awakening


( ภาพประกอบ : ในตอนนั่นสภาพของ Undead Burg อยู่ในขั้นวิกฤติสุดๆ เเละไหนจะต้องมานั่งระวังพวกมนุษย์ด้วยกันเองไปจนถึงพวกอสูรเเละมังกรที่สามารถจะฆ่าทุกคนได้ทุกเมื่อ )


 

เสียงระฆังแห่งผู้มีชัย


 

กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ในตอนนี้ Undead นิรนามของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังสะพานยาวที่เป็นทางด้านหน้าของโบสถ์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป Undead นิรนามก็ได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองดวงตะวันบนท้องฟ้าและเอาแต่ร้องพร่ำเพ้อราวกับเป็นคนบ้า นามของชายคนนี้ก็คือ Solaire โดยเขามาที่นี่ก็เพื่อทำตามคำทำนายของเทพเจ้า Gwyn เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อได้สนทนากัน Solaire ก็เสนอตัวว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ Undead นิรนามอย่างเต็มที่


 ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Concept Art ของ Solaire ชายผู้รักพระอาทิตย์ยิ่งชีพ )


 ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Lautrec ชายใจโฉดผู้ชื่นชอบในการสังหารสาวงาม )


Undead นิรนามได้กล่าวลา Solaire จากนั้นก็บุกป่าฝ่าดงเหล่า Hollow จนสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์จนได้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันได ก็พลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของ Lautrec ที่ขอร้องให้ปล่อยมันออกไป...ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามของเราก็ได้ช่วยมันออกมา เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบถึงธาตุแท้จริงของเจ้าฆาตกรโรคจิตนี่


( ภาพประกอบ : Lautrec ที่โดนกักขังอยู่ ณ หลังโบสถ์ )


เมื่อช่วย Lautrec เสร็จพ่อพระของเราก็ได้ปีนบันไดขึ้นไปยังหลังคาเเละสามารถมองเห็น Bell of Awakening ได้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอยู่ๆรูปปั้นสัตว์ประหลาด Gargoyle ที่เป็นเป็นรูปปั้นตกแต่งตามหลังของโบสถ์ก็เริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งเดิมทีรูปปั้นพวกนี้มันก็ไม่ได้มีชีวิตแต่ด้วยการเล่นแร่แปลธาตุของเหล่านักปราชญ์ จึงสามารถคิดค้นวิธีในการนำวิญญาณของคน, สัตว์, ยักษ์, หรือแม่แต่เทพเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่ตามสิ่งของต่างๆเพื่อให้มันขยับและคอยทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย 


( ภาพประกอบ : Gargoyle ที่คอยปกป้อง Bell of Awakening จะมีหน้าที่ทดสอบเหล่า Undead ว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ถูกเลือกโดยเทพเจ้าหรือไม่ )


Undead นิรนามของเราสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้อย่างสูสีจนกระทั้งเขาเริ่มสังเกตว่าจำนวนของมันเพิ่มมาเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เเละยังไม่ทันขาดคำ! เจ้าตัวที่สามก็บินาจู่โจมลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ Undead นิรนามถึงแก่กรรมไปในที่สุด... เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Undead นิรนามของเรานั้นก็รู้ดีว่าถ้าหากดันทุรังต่อไปเห็นทีก็คงจะตายเปล่าเสียเป็นแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจยกพรรคพวกอย่าง  Solaire และ Lautrec มาช่วยกันรวมพลังสามัคคี(หมาหมู่) จนสามารถเอาชนะและขึ้นไปสันระฆัง Bell of Awakening ได้สำเร็จ เสียงของมันได้ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดินแดน Lordran อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีกล้าที่สามารถทำตามคำทำนายได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบหลายปี


( ภาพประกอบ : ด้วยพลังมิตรภาพ จะไม่มีสิ่งใดต้านทานเราได้! )



( ภาพประกอบ : การลั่นระฆัง Bell of Awakening เป็นเหมือนการบอกเหล่าทวยเทพว่ามีคนที่อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้ว เเต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการบอกผู้ที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน )


แต่ในขณะที่ Undead นิรนามของเรากำลังปีนบันไดกลับลงมายังข้างล่าง เขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายแปลกประหลาดคนหนึ่งนามว่า Oswald ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบวชของเทพเจ้า Velka ที่จะค่อยออกตระเวนทำพิถีไถ่บาปให้กับเหล่าผู้คนเพื่อแลก Soul เป็นค่าเหนื่อย (ไม่ฟรี)...หลายคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมเราถึงต้องไถ่บาปด้วยละ? คำตอบก็คือหากเรามีบาปติดตัว ไอ้พวกกลิ่นความชั่วร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราก็จะลอยไปเตะจมูกของพวกหน่วยลับ Darkmoon Blade ซึ่งจะออกตามไล่ล่าฆ่าพวกเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะสาสมกับความผิดที่เคยก่อ


 ( ภาพประกอบ : Oswald เป็นนักบวชของ Velka ไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ )


หลังจากที่ Undead นิรนามของเราออกมาจากโบสถ์ได้ไม่นาน ก็บังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กกำลังกระทบกันดังซ้ำไปซ้ำมาออกมาจากทางเดินแคบๆที่อยู่ติดกับโบสถ์ เเละด้วยความสงสัยจึงทำให้ Undead นิรนามของเราต้องออกไปตามหาที่มาของเสียงปริศนานั่น....


 ( ภาพประกอบ : ทางเดินที่มีเสียงปริศนาดังออกมาอย่างต่อเนื่องเเละไม่หยุด  )


 

คุยกันหลังเรื่องเล่า


         ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด หลายท่านที่ได้อ่านไปแล้วก็อาจจะเห็นถึงวิธีการเขียนและการเล่าเรื่องของผมที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะไม่ใช่แค่เอาตำนานของเกมมาเล่าให้ฟังอย่างเดียว แต่จะมีการใส่ชีวิตและจิตใจเข้าไปในตัวละครต่างๆเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากท่านผู้ชมรู้สึกตะขิดตะขวงใจละก็ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับผม เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเจอกันใหม่ในบทที่เก้าแล้วกันครับ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีครับ


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 8 เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์
17/02/2020

สวัสดีครับ! กระผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่  Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด ซึ่งในบทนี้จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงแรกของเกมภาคหนึ่งที่ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็น Undead นิรนามที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำตามคำทำนายให้สำเร็จ แต่ก่อนอื่นผมจะต้องขอชี้เเจ้งว่าต่อจากนี้ไปผมจะไม่ขอหยิบยกสิ่งที่เป็น “Gameplay” หรือระบบการเล่นมาเล่าเป็นเนื้อหาโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างก็เช่นเรื่องการตายเเล้วเกิดใหม่ที่ผมจะขอพูดถึงเเต่ในเเง่ของเนื้อเรื่องและ Lore ภายในเกมเท่านั้น….ถ้าเราเข้าใจตรงกันเเล้วกระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่เเปด “เสียงระฆังจากฝากฟ้า และแรงริษยาในกายมนุษย์”


( ภาพประกอบ : เส้นทางของ Undead นิรนามจะเต็มไปด้วยขวากหนามที่จะทดสอบความมุ่งมั่นในภารกิจต่อชีวิตของ The First Flame )


< ลิงค์บทความก่อนหน้า > 


บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่


บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด


 

ก้าวเเรกของผู้ถูกเลือก…


             ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตอนเหนือ ได้มีเรือนจำเเห่งหนึ่งที่ถูกเรียกวว่า Northern Undead Asylum ซึ่งภายในนั้น Undead นิรนามของเรากำลังพยายามหนีออกตากคุกนรกแห่งนี้ให้ได้ จะติดก็เเต่ประตูทางออกกลับถูกเฝ้าโดยอสูรร้ายที่ถูกขนานว่า Asylum Demon ที่มีร่างกายใหญ่โตเเละปีกเล็กๆอันทรงพลังพอที่จะสามารถพยุงน้ำหนักอันมหาศาลของมันให้บินขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างสบายๆ เเละความเป็นมาของมันก็คือ เจ้าอสูรตัวนี้เป็นหนึ่งในบรรดาอสูรไม่กี่ตนที่ได้ละทิ้งวิถีเเห่งเพลิง Chaos Flame ซึ่งเป็นขุมพลังหลักของปีศาจเเละได้หันหลังให้กับเเม่มดเเห่ง Izalith อันเป็นเหมือนมารดาแห่งเหล่าอสูรทั้งปวง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้มีหลายๆอาณาจักรอ้าเเขนตอนรับอสูรไร้นายเหล่านี้ให้เข้ามาทำงานที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้


( ภาพประกอบ : Asylum Demon ใช้อาวุธที่ทำมาจากต้นไม้ Arch Tree ซึ่งในยุคโบราณเคยเป็นต้นไม้ที่เป็นอยู่อาศัยของเหล่ามังกรนิรันดร )


หากจะเปรียบการเผชิญหน้าระหว่าง Undead นิรนามเเละ Asylum Demon เเล้วละก็มันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับช้างที่กำลังพยายามไล่เหยียบหนู ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็จับตัวไม่ได้เสียทีเพราะว่า Undead นิรนามของเราได้อาศัยความคล่องเเคล่วในการกลิ้ง...จนสามารถหนีพ้นเงื้อมือของมันไปได้ เเละได้ไปพบเข้ากับ Oscar ที่เคยช่วยเขาออกจากห้องขัง เเต่ตอนนี้กำลังนอนบาดเจ็บเพราะถูก Asylum Demon เล่นงานมาเช่นเดียวกัน Oscar ได้บอกว่าตนกำลังจะกลายสภาพเป็น Hollow ในอีกไม่นาน ฉะนั้นเขาจึงได้มอบยารักษาบาดเเผล Estus Flask เเละขอส่งต่อภารกิจในการปลุกชีพของ The First Flame ให้เเก่ Undead นิรนามของเรา เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของคนที่กำลังจะสูญเสียตัวตนไปตลอดกาล


( ภาพประกอบ : Oscar ที่กำลังกลายสภาพเป็น Hollow เเละได้ฝากฝังความตั้งใจเเก่ Undead นิรนามเป็นครั้งสุดท้าย)


การเสียสละของ Oscar ได้ทำให้ Undead นิรนามของเรามีกำลังใจกลับไปต่อสู้กับเจ้าอสูรอีกครั้งจนสามารถเอาชนะมาได้ แต่เมื่อเขาได้ก้าวเท้าผ่านประตูสู่อิสรภาพไปนั่นก็กลับต้องพบว่าความจริงแล้ว ภายนอกสถานที่เเห่งนี้ต่างถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเหวลึกมากมายจน Undead นิรามต้องบ่นว่าคงจะมีเเค่นกเท่านั้นเเหละจึงจะสามารถหนีออกจากไปจากคุกแห่งนี้ได้ เเต่ในระหว่างที่เขากำลังสิ้นหวังอยู่นั้นอยู่ๆก็มีอีกายักษ์บินมาโฉบร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าหายไป ซึ่งเจ้านกยกตัวนี้มันเป็นหนึ่งในสมุนของเทพเจ้า Velka ที่จะคอยทำหน้าที่เป็นแมวมองจับตาเหล่า Undead ที่มีเเววว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกตามคำทำนาย เเละก็ลักพาตัวไปยังดินเเดน Lordran เพื่อทำตามเป้าหมายหลักของ Velka ซึ่งก็คือการปลดปล่อยเหล่าสมุนของนางที่ติดอยู่ใน Painted World of Ariamis จากเหตุการณ์อันอื้อฉาวในอดีตที่ถูกเรียกว่า “กบฏทมิฬ”


( ภาพประกอบ : Undead นิรนามกำลังถูกลักพาตัวไปยัง Firelink Shrine ที่ตั้งอยู่ในดินเเดน Lordran )


อีกายักษ์ได้เหินเวหาไปตามสายลมจนกระทั้งเข้าเขตดินแดน Lordran และได้ปล่อยพระเอกของเราลงที่ Firelink Shire อันเป็นสถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นวิหารที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า Velka โดยพวกมนุษย์ เเต่ปัจจุบันก็ได้ถูกทิ้งร้างจนชํารุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนปัจจุบัน Firelink Shrine ได้เเปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่พักเเรมของเหล่านักเดินไปเเล้ว


( ภาพประกอบ : สภาพบรรยากาศโดยรอบที่ Firelink Shrine )



( ภาพประกอบ : วิหารโบราณใน Firelink Shrine )


เมื่อเดินทางมาถึง Undead นิรนามของเราก็ได้พบกับผู้คนบางส่วนที่กำลังพักเเรมอยู่ที่ Firelink Shrine ไม่ว่าจะเป็นพระนักรบนามว่า Reah ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของศาสนา Way of White ที่เดินทางมาจากดินเเดน Thorolund อันห่างไกลเเละกำลังเฝ้ารอพรรคพวกของเขาที่จะมาสมทบ ส่วนอีกคนก็คือชายผู้สิ้นหวังซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ตัวเขาไม่เคยเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามให้ใครฟังเเต่ผู้คนต่างเรียกเขาว่า Crestfallen Warrior หรือ”นักรบผู้สิ้นหวัง” ซึ่งเจ้าหมอนี้มันมีนิสัยน่ารังเกียจอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพูดถ่มถุยเหล่านักเดินทางทุกคน ว่าการพยายามทำตามคำนายนั่นไร้ประโยชน์เเละรังเเต่จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Hollow เร็วขึ้น


( ภาพประกอบ : Crestfallen Warrior ชอบพูดถากถาง Undead )


เเต่คนที่ดูจะน่าสงสารมากที่สุดก็คือสตรีนางหนึ่งที่ถูกจองจำอยู่ในสถานที่เเห่งนี้ นามว่า Anastacia โดยชะตากรรมของนางนั้นเรียกได้ว่าน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับให้ทำหน้าที่ Fire Keeper อยู่ที่ Firelink Shire อย่างไม่เต็มใจเเละเมื่อ Anastacia พยายามจะหนีพวกมันจึงได้ตัดปัญหาด้วยการขังนางไว้ในคุก เเละตัดลิ้นของนางออกเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือสวดอ้อนวอนต่อเหล่าเทพเจ้าได้อีก


( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Fire Keeper Anastacia นางมีความปรารถนาที่จะตายเยี่ยงมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่ในฐานะของ Undead )


 

เมืองคนบาป Undead Burg


Undead นิรนามของเราที่เพิ่งเดินทางมาถึงยัง Firelink Shire ได้ไม่นานก็ได้รับแนะนำจาก Crestfallen Warrior ให้เดินทางไปยังป้อมปราการ Undead Burg ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีระฆัง Bell of Awakening อยู่ที่นั่น เมื่อฟังจบ Undead นิรนามก็กล่าวขอบคุณเเละรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที...โดยไม่รู้เลยว่าเจ้า Crestfallen Warrior มันต้องการให้ผู้กล้าของเราไปเผชิญหน้าความตายจนต้องท้อแท้และกลายเป็นหมาขี้แพ้เหมือนกับมัน…


( ภาพประกอบ : ทางท่อระบายน้ำที่เชื่อต่อ Firelink Shrine เเละ Undead Burg เข้าด้วยกัน )


หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของป้อมปราการ Undead Burg ก็คงต้องกล่าวย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เทพเจ้า Gwyn ยังคงมีชีวิตอยู่กันเลยทีเดียว โดยเมืองนี้ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะการก่อกบฏของเหล่าสาวกแห่งเทพเจ้า Velka ที่ถูกเรียกขานว่ากบฏทมิฬ หรือจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการปิดกั้นตัวเองของเมืองหลวง Anor Londo ที่บีบให้ป้อมปราการ Undead Burg ต้องกลายเป็นชุมชนที่ปกครองและดูแลกันเอง 


( ภาพประกอบ : สภาพโครงสร้างภายในของ Undead Burg )


โดยเมืองนี้มีกฏหมายที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนจะได้รับอิสระในการนับถือเทพเจ้าต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ เเถมภายหลังยังได้มีการหลอมรวมเทพเจ้า Velka ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนมากของประชาชนในเมืองนี้ เข้ากับความเชื่อของศาสนา Way of White ที่เป็นเหมือนกองทัพศาสนาของเหล่าเทพเจ้า โดยทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทั้งศึกในบ้านหรือนอกบ้านโดยไม่จำเป็น แม้กระทั้งพวก Warrior of Sunlight ที่ปกติจะต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดก็ยังได้รับอนุญาตให้ตั้งเทวรูปของ Nameless King ไว้ในที่สาธารณะและสามารถทำการเคารพบูชาได้อย่างเปิดเผย เเละในภายหลังได้มีมังกรเผ่าพันธุ์ Wyvern ตนหนึ่งบินลงมาจำศีลอยู่เหนือเทวรูปของ Nameless King อย่างสงบโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไม... 


( ภาพประกอบ : Wyvern เป็นมังกรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆกับเผ่าพันธุ์มังกรนิรันดรโดยจุดสังเกตความแตกต่างก็คือ Wyvern จะยืนสองขาในขณะที่มังกรนิรันดรจะยืนสี่ขา )


ตอนนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Undead Burg เลยก็ว่าได้ จนก่อเกิดเป็นสันติภาพที่จะยั่งยืนยาวนานนับพันปี....จนกระทั้ง Curse of Undead ได้กลับมาเยี่ยมเยือนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เเละในเมื่อ The First Flame กำลังจะดับลงจึงทำให้พวก Undead จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเร่งที่จะทำตามคำทำนายให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้คนมากมายจะต้องเดินทางผ่าน Undead Burg อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าหากว่ามากันทีละคนสองคนมันก็คงไม่เป็นไรแต่ทว่าบางคนที่มีฐานะขึ้นมาหน่อยหรือมีบรรดาศักดิ์เป็นชนชั้นสูงก็จะนิยมจ้างนักรบหรือแม้แต่ยกกองทัพส่วนตัวเเห่เข้าเมืองมาด้วย ตัวอย่างเช่นเจ้าชาย Rendal ที่พี่แกเล่นยกกองทัพ Balder Knight ของตัวเองมาแบบเต็มยศ ทำให้ยิ่งนับวัน Undead Burg ก็เริ่มประสบปัญหาความแออัดและความหวาดระแวงจากคนเเปลกหน้า เเละถ้าหากจะห้ามไม่ยกกองทัพเข้ามาในเมืองเเล้วละก็ นั่นก็จะเป็นเหตุทำให้มีเรื่องผิดใจกันและอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นทำศึกชิงเมืองเลยก็เป็นได้ 


( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่านักรบจากอาณาจักร Berenike ซึ่งมาที่ Lordran เพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ  )


( ภาพประกอบด้านขวา : เหล่านักรบ Balder Knight ที่ติดตามเจ้าชาย Rendal มายัง Lordran  )


เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ทำนับวันความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ (นี่ขนาดยังไม่นับปัญหาของพวก Hollow ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ) ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนกับภูเขาไฟเวลาที่รอวันปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็ได้เเละจะนำ Undead Burg กลับเข้าสู่ความโกลาหลเป็นครั้งเเรกในรอบหลายพันปีนับตั้งแต่เหตุการณ์กบฏทมิฬ...แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าท่าผู้ชมคิดว่านี่มันเลวร้ายสุดๆแล้วละก็...ผมก็ขอบอกบอกเลยว่านี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆก็มีเหล่าอสูรแห่ง Izalith โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง พวกมันมองข้ามเหล่าประชาชนที่อ่อนแอซึ่งไม่มีทางสู้แต่กลับมุ่งเป้าไปยังพวก Undead ที่เดินทางมาเพื่อทำตามคำทำนายโดยเฉพาะ ทำให้ ณ เวลานั้นที่ใจกลางของเมืองซึ่งเคยเต็มไปด้วยเหล่าคนที่เดินพลุกพล่านได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นเขตสงครามไปเป็นที่เรียบร้อย สงครามได้ทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้พวก Black Knight ที่ปกติจะคอยทำงานให้กับเทพเจ้าอย่างลับๆก็ยังต้องเปิดเผยตัวเองและเข้าร่วมทำสงครามกลางเมืองในครั้งนี้


 ( ภาพประกอบ : อสูร Taurus จะคอยดักเล่นงานพวก Undead ที่เดินมายัง Undead Burg  )


การสู้รบใน Undead Burg ได้ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ซึ่งส่วนแรกก็คือตัวเมืองด้านล่างที่ได้ถูกปกครองโดยอสูรแห่ง Izalith ไปเป็นที่เรียบร้อย เเละสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่นก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่สุดๆ เหล่า Undead มากมายต่างถูกทอดทิ้งให้อดอยากปากแห้งจนต้องรวมตัวพากันออกปล้นสะดม Soul กับ Humanity จากมนุษย์คนอื่นๆเพื่อความอยู่รอด จนที่แห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว


 ( ภาพประกอบ : ภาพรวมของเมือง Undead Burg ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากรากฐานเก่าที่ป้อมปราการ )


และอีกส่วนก็จะเป็นตัวเมืองด้านบนซึ่งได้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มี Bell of Awakening ตั้งอยู่นั่นเอง ซึ่งในเรื่องความเป็นอยู่ก็ถือได้ว่าดีกว่าตัวเมืองด้านล่างอยู่ไม่น้อย เพราะที่โบสถ์แห่งนี้ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็น Fire Keeper คอยทำหน้าที่ปลอบประโลมและเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจให้แก่เหล่าผู้คนที่กำลังเสียขวัญ โดยที่นางไม่รู้เลยว่าตนเองได้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่า Channeler ที่กำลังจับตามองอยู่ห่างๆ.... พวก Channeler นั้นก็คือพวกข้ารับใช้ของ Seath มังกรไร้เกล็ดซึ่งได้ถูกส่งออกมาผ่านช่องทางลับภายในเมืองหลวง Anor Londo เพื่อคอยทำตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมายจาก Seath ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการลักพาตัวหญิงสาวเพื่อไปเป็นหนูทดลอง 


 ( ภาพประกอบ : โบสถ์ใน Undead Burg ที่มีหอคอย Bell of Awakening ตั้งอยู่  )



 ( ภาพประกอบ : Channeler ก็คือพวกนักเวทย์ที่ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับมังกรไร้เกล็ด Seath )


พวก Channeler พยายามเสนอตนเองว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระอันล้นมือของ Fire Keeper เพื่อที่จะคอยหาโอกาสลักพาตัวนางไป… แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า Undead Burg ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนร้อยพ่อพันแม่มากมายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เเละหนึ่งในนั้นก็คือชายโรคจิตนามว่า Lautrec ซึ่งมีความหลงใหลในร่างกายของผู้หญิงที่สะสวยอย่างรุนแรงและมันก็ได้ลงมือสังหาร Fire Keeper ผู้โชคร้ายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เหล่าผู้คนในที่นั่นต่างตกใจและได้รุมสกรัมเจ้า Lautrec  อย่างหนักแต่เนื่องจากเป็น Undead ที่ไม่มีวันตาย เหล่าผู้คนจึงทำการคุมขังมันเอาไว้ที่ด้านหลังของโบสถ์แทน


 ( ภาพประกอบ : เเท่นบูชาเทวรูปของเทพเจ้า Velka ที่ตั้งอยู่ภายในโบสถ์ ซึ่งศพของ Fire Keeper ได้ถูกนำมาวางไว้ที่นี่  )


แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายนั้นมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว....ทุกๆคนในโบสถ์ต่างเฝ้ารอให้ Fire Keeper กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ เเต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานนางก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่สักทีจนเหล่าผู้คนเริ่มสิ้นหวังจนเริ่มเสียสติเเละได้กลายเป็นความโกลาหลและเหตุจลาจลภายครั้งใหญ่ภายในตัวเมืองด้านบน จนเเม้เเต่เทวรูปของ Nameless King ที่อยู่ใกล้ๆก็โดนลูกหลงจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี และแทบจะทันทีที่เทวรูปถูกทำลายเจ้ามังกร Wyvern ก็ได้ตื่นขึ้นจากการจำศีลด้วยท่าทางที่เกรี้ยวกราดพร้อมกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและพ่นลูกไฟยักา์ลงมาแพรดเผาทุกชีวิตใน Undead Burg จนตายเกลี้ยงและได้กลายเป็น Undead กันไปทั้งเมือง...และนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา Undead Burg ก็ได้กลายเป็นแค่จุดเข็คอินเเละสุสานเก่าๆซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่ Bell of Awakening


( ภาพประกอบ : ในตอนนั่นสภาพของ Undead Burg อยู่ในขั้นวิกฤติสุดๆ เเละไหนจะต้องมานั่งระวังพวกมนุษย์ด้วยกันเองไปจนถึงพวกอสูรเเละมังกรที่สามารถจะฆ่าทุกคนได้ทุกเมื่อ )


 

เสียงระฆังแห่งผู้มีชัย


 

กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ในตอนนี้ Undead นิรนามของเราได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงยังสะพานยาวที่เป็นทางด้านหน้าของโบสถ์ แต่ทว่าก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไป Undead นิรนามก็ได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองดวงตะวันบนท้องฟ้าและเอาแต่ร้องพร่ำเพ้อราวกับเป็นคนบ้า นามของชายคนนี้ก็คือ Solaire โดยเขามาที่นี่ก็เพื่อทำตามคำทำนายของเทพเจ้า Gwyn เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อได้สนทนากัน Solaire ก็เสนอตัวว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ Undead นิรนามอย่างเต็มที่


 ( ภาพประกอบด้านซ้าย : Concept Art ของ Solaire ชายผู้รักพระอาทิตย์ยิ่งชีพ )


 ( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Lautrec ชายใจโฉดผู้ชื่นชอบในการสังหารสาวงาม )


Undead นิรนามได้กล่าวลา Solaire จากนั้นก็บุกป่าฝ่าดงเหล่า Hollow จนสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์จนได้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันได ก็พลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของ Lautrec ที่ขอร้องให้ปล่อยมันออกไป...ซึ่งก็แน่นอนว่า Undead นิรนามของเราก็ได้ช่วยมันออกมา เพราะตอนนั้นยังไม่ทราบถึงธาตุแท้จริงของเจ้าฆาตกรโรคจิตนี่


( ภาพประกอบ : Lautrec ที่โดนกักขังอยู่ ณ หลังโบสถ์ )


เมื่อช่วย Lautrec เสร็จพ่อพระของเราก็ได้ปีนบันไดขึ้นไปยังหลังคาเเละสามารถมองเห็น Bell of Awakening ได้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะเดินต่อไปอยู่ๆรูปปั้นสัตว์ประหลาด Gargoyle ที่เป็นเป็นรูปปั้นตกแต่งตามหลังของโบสถ์ก็เริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งเดิมทีรูปปั้นพวกนี้มันก็ไม่ได้มีชีวิตแต่ด้วยการเล่นแร่แปลธาตุของเหล่านักปราชญ์ จึงสามารถคิดค้นวิธีในการนำวิญญาณของคน, สัตว์, ยักษ์, หรือแม่แต่เทพเจ้าเข้าไปสิงสู่อยู่ตามสิ่งของต่างๆเพื่อให้มันขยับและคอยทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย 


( ภาพประกอบ : Gargoyle ที่คอยปกป้อง Bell of Awakening จะมีหน้าที่ทดสอบเหล่า Undead ว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ถูกเลือกโดยเทพเจ้าหรือไม่ )


Undead นิรนามของเราสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาด Gargoyle ได้อย่างสูสีจนกระทั้งเขาเริ่มสังเกตว่าจำนวนของมันเพิ่มมาเป็นสองตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เเละยังไม่ทันขาดคำ! เจ้าตัวที่สามก็บินาจู่โจมลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ Undead นิรนามถึงแก่กรรมไปในที่สุด... เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Undead นิรนามของเรานั้นก็รู้ดีว่าถ้าหากดันทุรังต่อไปเห็นทีก็คงจะตายเปล่าเสียเป็นแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจยกพรรคพวกอย่าง  Solaire และ Lautrec มาช่วยกันรวมพลังสามัคคี(หมาหมู่) จนสามารถเอาชนะและขึ้นไปสันระฆัง Bell of Awakening ได้สำเร็จ เสียงของมันได้ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดินแดน Lordran อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีกล้าที่สามารถทำตามคำทำนายได้สำเร็จเป็นคนแรกในรอบหลายปี


( ภาพประกอบ : ด้วยพลังมิตรภาพ จะไม่มีสิ่งใดต้านทานเราได้! )



( ภาพประกอบ : การลั่นระฆัง Bell of Awakening เป็นเหมือนการบอกเหล่าทวยเทพว่ามีคนที่อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นมาเเล้ว เเต่ในทางกลับกันมันก็เป็นการบอกผู้ที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน )


แต่ในขณะที่ Undead นิรนามของเรากำลังปีนบันไดกลับลงมายังข้างล่าง เขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายแปลกประหลาดคนหนึ่งนามว่า Oswald ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบวชของเทพเจ้า Velka ที่จะค่อยออกตระเวนทำพิถีไถ่บาปให้กับเหล่าผู้คนเพื่อแลก Soul เป็นค่าเหนื่อย (ไม่ฟรี)...หลายคนอาจจะสงสัยแล้วทำไมเราถึงต้องไถ่บาปด้วยละ? คำตอบก็คือหากเรามีบาปติดตัว ไอ้พวกกลิ่นความชั่วร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราก็จะลอยไปเตะจมูกของพวกหน่วยลับ Darkmoon Blade ซึ่งจะออกตามไล่ล่าฆ่าพวกเราไปเรื่อยๆจนกว่าจะสาสมกับความผิดที่เคยก่อ


 ( ภาพประกอบ : Oswald เป็นนักบวชของ Velka ไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ )


หลังจากที่ Undead นิรนามของเราออกมาจากโบสถ์ได้ไม่นาน ก็บังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กกำลังกระทบกันดังซ้ำไปซ้ำมาออกมาจากทางเดินแคบๆที่อยู่ติดกับโบสถ์ เเละด้วยความสงสัยจึงทำให้ Undead นิรนามของเราต้องออกไปตามหาที่มาของเสียงปริศนานั่น....


 ( ภาพประกอบ : ทางเดินที่มีเสียงปริศนาดังออกมาอย่างต่อเนื่องเเละไม่หยุด  )


 

คุยกันหลังเรื่องเล่า


         ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่แปด หลายท่านที่ได้อ่านไปแล้วก็อาจจะเห็นถึงวิธีการเขียนและการเล่าเรื่องของผมที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะไม่ใช่แค่เอาตำนานของเกมมาเล่าให้ฟังอย่างเดียว แต่จะมีการใส่ชีวิตและจิตใจเข้าไปในตัวละครต่างๆเพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าให้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากท่านผู้ชมรู้สึกตะขิดตะขวงใจละก็ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับผม เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเจอกันใหม่ในบทที่เก้าแล้วกันครับ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีครับ


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header