พูดจริงๆ ว่าแค่ยานอวกาศร่วงลงมาบนดาวเอเลี่ยนก็สาหัสแล้ว แต่ยังต้องมาติดลูปเวลาซ้ำๆ กันทุกครั้งที่ตาย โดยที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ ถือว่าเคราะห์ร้ายได้ถ้วยไปเลยจริงๆ กับตัวเอก Selene จากเกม Returnal เกมแนว 3rd-Person Shooting สไตล์ Roguelike จากค่ายอินดี้มือเก๋าอย่าง Housemarque ที่วางจำหน่ายสำหรับ PlayStation 5 โดยเฉพาะ
สำหรับผู้เขียน ได้มีโอกาสลองเล่นเกมไปแล้วประมาณหนึ่ง จึงอยากจะลองนำประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่า “เกมอินดี้ระดับ AAA” เกมนี้จะเหมาะกับคุณหรือไม่
(ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวเกม)
เกมเพลย์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Returnal จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็นตัวเอกที่ชื่อว่า Selene นักบินอวกาศหญิงเคราะห์ร้ายที่ติดอยู่บนดาวปริศนาที่ชื่อว่า Atropos และต้องต่อสู้กับศัตรูเอเลี่ยนหน้าตาน่าขยะแขยงมากมายเพื่อเอาตัวรอดในรูปแบบ 3rd Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ซึ่งในระดับผิวเผินก็ไม่ได้ต่างจากเกมบุคคลที่ 3 ทั่วไปเท่าใดนัก แต่เมื่อนำมาควบรวมกับระบบ Bullet Hell ของถนัดของผู้พัฒนา Housemarque แล้ว ก็ทำให้เกม Returnal กลายเป็นเกมแอคชั่นความเร็วสูงที่ต้องใช้ความแม่นยำในการควบคุมเยอะมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องคอยวิ่งหรือพุ่ง (Dash) หลบกระสุนทั้งบนพื้นและกลางอากาศที่ศัตรูสาดมาเต็มจอตลอดเวลา ทำให้ในบางจังหวะ Returnal ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Doom ขนาดย่อมๆ อย่างไงอย่างงั้นเลย
ความพิเศษของ Returnal อีกอย่างคือระบบการวนลูปเวลา ที่ทำให้ Selene ถูกส่งกลับไปเริ่มใหม่ในจังหวะที่ยานของเธอตกลงสู่ดาวทุกครั้งที่เราตาย และระบบการเล่นแบบ Roguelike ของเกมที่ผูกเข้ากับลูปเวลานี้นั่นเอง โดยผู้เล่นในฐานะ Selene จะพกพาความทรงจำและ/หรือไอเทมบางชิ้นจากลูปก่อนหน้าเข้าสู่ลูปต่อไปด้วย ทำให้เรายังคงค่อยๆ พัฒนาตัวละครขึ้นประมาณหนึ่งสำหรับการเล่นครั้งต่อไป แต่ในขณะเดียวกันห้องทั้งหมดในด่านก็จะสลับตำแหน่งกันแบบสุ่มทั้งหมด และศัตรูทั้งหมด รวมไปถึงไอเทมและอัปเกรดทุกชิ้นในห้องนั้นๆ ก็จะเกิดใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นศัตรูชนิดอื่นที่ยาก (หรือง่าย) กว่าเดิมก็ได้ ทำให้การเริ่มลูปใหม่ทุกครั้งมีความต่างจากที่ผ่านๆ มาเสมอทั้งในแง่ของด่าน ศัตรูที่เจอ และไอเทมหรืออาวุธที่ใช้ได้
อาวุธในเกมนี้เบื้องต้นมักจะไม่ค่อยต่างกับปืนธรรมดาๆ ในเกมยิงปืนทั่วไปเช่นปืนพก ไรเฟิล หรือลูกซอง และมักจะมาพร้อมกับ “กระสุนรอง” (Alternate Fire) ที่ให้มาแบบสุ่ม เช่นปืนยิงระเบิด ปืนยิงจรวดติดตาม เป็นต้น ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และใช้อาวุธที่ได้มาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนปืนไปอีกพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคอเกมยิงปืนทั้งหลายที่อาจจะคุ้นเคยกับการใช้ปืนหลายชนิด แต่สำหรับคนที่มีปืนที่ถนัด อาจจะรำคาญระบบนี้ได้เหมือนกันเมื่อรู้สึกว่าไม่ผ่านด่านเพราะเกมไม่ยอมให้ปืนที่เราต้องการมาซะที
แม้ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์โดยรวมในฝั่งของการต่อสู้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือหวือหวาไปกว่าเกมแนวเดียวกันทั่วๆ ไปในแง่ของการควบคุม แต่ก็สนุกและท้าทายเสมอจากจำนวนและรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละชนิดที่เราเจอในเกม ซึ่งมักจะสาดกระสุนใส่เราพร้อมกันในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ระบบการเคลื่อนที่อันเรียบง่ายของเกมให้แม่นยำที่สุดที่จะทำได้เพื่อเอาตัวรอด แถมยังต้องเล็งและต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมๆ กันอีกต่างหาก และเมื่อนำมารวมกับความขี้งกของเพื่มเลือดของเกม ทำให้ Returnal นับเป็นเกมที่ “ยาก” ในระดับที่หัวร้อนขึ้นมาเลยเหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นจะชอบหรือไม่ชอบความยากระดับ “น้องๆ Dark Souls” เช่นนี้
เช่นเดียวกับเกมอย่าง Sekiro หรือ Ghost of Tsushima ที่บังคับให้ผู้เล่นต้องฝึกฝนระบบเกมเพลย์พื้นฐานให้คล่อง เกม Returnal เองก็นับเป็นเกมที่พร้อมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไม่ปราณีในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เราคิดกับตัวเองว่า “ขออีกตา” อยู่เสมอ แม้ว่าจะรับรู้ดีถึงความหัวร้อนที่รออยู่ในภายภาคหน้า
เนื้อเรื่อง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เนื้อเรื่องของเกม Returnal เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักบินอวกาศหญิง Selene ค้นพบเข้ากับสัญญาณวิทยุปริศนาที่ชื่อว่า White Signal ที่ส่งออกมาจากดาว Atropos แต่เมื่อเธอเข้าใกล้ดาวเพื่อสำรวจ ยานของเธอก็เกิดขัดข้องขึ้นและร่วงลงสู่พื้นดาวในที่สุด เมื่อเธอออกมาได้ Selene ก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของสัญญาณ White Signal ด้วยตัวเอง โดยระหว่างการเดินทาง Selene ก็ได้ค้นพบความจริงอันน่ากลัวว่าจิตของเธอจะย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เธอร่วงลงสู่พื้นดาวเสมอเมื่อเธอตาย หมายความว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถช่วยให้เธอหนีออกไปจากดาวแห่งนี้ได้
เนื้อเรื่องของ Returnal จะเล่าถึงการเดินทางของ Selene รวมไปถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมเอเลียนที่ล่มสลายไปของดาว ซึ่งผู้เล่นจะต้องเก็บ “Cypher” หรือตัวแปลภาษาให้ครบจำนวนจึงจะอ่านข้อความบนแผ่นหินที่กระจัดกระจายอยู่บนดาวได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Returnal สามารถเล่าได้อย่างน่าติดตามมากๆ โดยเกมเน้นการวางปริศนามากมายเอาไว้ในช่วงต้นเกม ก่อนที่จะทำการเปิดเผยรายละเอียดใหม่ๆ ให้ผู้เล่นนำไปปะติดปะต่อเอาเองทีหลัง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาการเล่น
ทั้งนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมามากกว่า อาจจะไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องของเกม Returnal ได้ เพราะเกมแทบไม่ค่อยเล่าอะไรออกมาตรงๆ แถมบางครั้งจังหวะการเล่าเรื่องก็อาจจะขาดช่วงขาดตอนไปได้จากรูปแบบของเกมที่พึ่งพาการสุ่มฉากค่อนข้างมาก บางครั้งถ้าโชคดีอาจจะได้สุ่มฉากที่ดำเนินเรื่องต่อมาอยู่ตั้งแต่ต้น บางครั้งก็หาเท่าไหร่ไม่เจอ นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเกมแนว Roguelike อยู่แล้วด้วย
ไม่ขอพูดถึงรายละเอียดใดๆ มากเพราะเราไม่อยากสปอย แต่บอกได้เลยว่าปริศนาหลายๆ อย่างในเกม Returnal ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ และการตามหาความจริงเบื้องหลังลูปเวลาที่กักขัง Selene เอาไว้ก็นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่นของผู้เขียนเช่นกัน
การนำเสนอ
แม้จะไม่ได้สวยชัดสมจริงเป็นพิเศษ แต่เกม Returnal ก็สามารถใช้ศักยภาพของเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างเต็มที่ในส่วนของ Particle Effects (เอฟเฟกต์อนุภาค) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนา Housemarque เชี่ยวชาญอยู่แล้วในเกมที่ผ่านๆ มาของค่าย ส่งผลให้กราฟิกอนิเมชั่นจำพวกกระสุนปืนหรือลูกพลังที่ปลิวว่อนด่านตลอดเวลามีความฉูดฉาดสะใจมากๆ แถมเกมยังทำงานที่ความเร็ว 4K, 60 FPS ตลอดเวลาได้โดยไม่มีสะดุด และโหลดเซฟใหม่หลังตายในพริบตาด้วย ถือว่าได้มาตรฐานของเกม Exclusive อยู่ในด้านนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เกมยังใช้ประโยชน์จากลูกเล่นล้ำๆ ของเครื่อง PS5 ได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Adaptive Trigger ที่ทำเราปุ่ม L2/R2 กดได้สองจังหวะสำหรับการยิงปืนธรรมดาและ Alternate Fire หรือระบบสั่นที่ละเอียดอ่อนของจอยที่ทำให้เรารู้ตำแหน่งของศัตรูได้แม้มองไม่เห็นก็ตาม แม้ในบางครั้งเสียงซาวด์เอฟเฟกเล็กๆ น้อยๆ ที่ออกมาจากจอยตลอดเวลา (เช่นเสียงหญ้า เสียงน้ำไหล) อาจจะน่ารำคาญอยู่นิดหน่อยก็ตาม
ระบบเสียงของเกม Returnal ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเกม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากลูกเล่นด้านเสียงมากมายของเครื่อง PS5 ที่กล่าวไปก็เป็นได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า Returnal สามารถใช้เสียงในการสร้างบรรยากาศและกำหนดอารมณ์ให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของศัตรูที่แว่วออกมาจากจอย หรือเสียงของสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหมือนผู้เล่นกำลังย่องผ่านดงหญ้าที่อาจซ่อนศัตรูเอาไว้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบหรือเป็นผลพวงมาจากเครื่อง PlayStation 5 ก็นับเป็นจุดเด่นที่ได้คะแนนจากผู้เขียนไปไม่น้อย
สรุป
Returnal เปรียบเสมือนการนำแนวคิดอันเรียบง่ายออกมาได้อย่างสละสลวยที่สุด แม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นการผสมผสานเกมเพลย์แนว Third-Person Shooter แบบมาตรฐานเข้ากับแนวเกม Roguelike ที่เล่นแล้ววางจอยไม่ลงเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมแนวปริศนาชวนขนลุก บอกเลยว่าห้ามพลาด
เกมเพลย์เรียบง่ายแต่สนุก ท้าทายระดับหัวร้อน
เล่นซ้ำได้เรื่อยๆ โดยไม่เบื่อ
ใช้ลูกเล่นเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างดีเยี่ยม
เนื้อเรื่องปริศนาน่าติดตาม
เนื้อเรื่องเล่าแบบขาดช่วง อาจทำให้บางคนงงได้
เกมข้อมูลเยอะ แต่ไม่ค่อยอธิบายอะไร
พูดจริงๆ ว่าแค่ยานอวกาศร่วงลงมาบนดาวเอเลี่ยนก็สาหัสแล้ว แต่ยังต้องมาติดลูปเวลาซ้ำๆ กันทุกครั้งที่ตาย โดยที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ ถือว่าเคราะห์ร้ายได้ถ้วยไปเลยจริงๆ กับตัวเอก Selene จากเกม Returnal เกมแนว 3rd-Person Shooting สไตล์ Roguelike จากค่ายอินดี้มือเก๋าอย่าง Housemarque ที่วางจำหน่ายสำหรับ PlayStation 5 โดยเฉพาะ
สำหรับผู้เขียน ได้มีโอกาสลองเล่นเกมไปแล้วประมาณหนึ่ง จึงอยากจะลองนำประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่า “เกมอินดี้ระดับ AAA” เกมนี้จะเหมาะกับคุณหรือไม่
(ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวเกม)
เกมเพลย์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เกม Returnal จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็นตัวเอกที่ชื่อว่า Selene นักบินอวกาศหญิงเคราะห์ร้ายที่ติดอยู่บนดาวปริศนาที่ชื่อว่า Atropos และต้องต่อสู้กับศัตรูเอเลี่ยนหน้าตาน่าขยะแขยงมากมายเพื่อเอาตัวรอดในรูปแบบ 3rd Person Shooter (เกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม) ซึ่งในระดับผิวเผินก็ไม่ได้ต่างจากเกมบุคคลที่ 3 ทั่วไปเท่าใดนัก แต่เมื่อนำมาควบรวมกับระบบ Bullet Hell ของถนัดของผู้พัฒนา Housemarque แล้ว ก็ทำให้เกม Returnal กลายเป็นเกมแอคชั่นความเร็วสูงที่ต้องใช้ความแม่นยำในการควบคุมเยอะมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องคอยวิ่งหรือพุ่ง (Dash) หลบกระสุนทั้งบนพื้นและกลางอากาศที่ศัตรูสาดมาเต็มจอตลอดเวลา ทำให้ในบางจังหวะ Returnal ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Doom ขนาดย่อมๆ อย่างไงอย่างงั้นเลย
ความพิเศษของ Returnal อีกอย่างคือระบบการวนลูปเวลา ที่ทำให้ Selene ถูกส่งกลับไปเริ่มใหม่ในจังหวะที่ยานของเธอตกลงสู่ดาวทุกครั้งที่เราตาย และระบบการเล่นแบบ Roguelike ของเกมที่ผูกเข้ากับลูปเวลานี้นั่นเอง โดยผู้เล่นในฐานะ Selene จะพกพาความทรงจำและ/หรือไอเทมบางชิ้นจากลูปก่อนหน้าเข้าสู่ลูปต่อไปด้วย ทำให้เรายังคงค่อยๆ พัฒนาตัวละครขึ้นประมาณหนึ่งสำหรับการเล่นครั้งต่อไป แต่ในขณะเดียวกันห้องทั้งหมดในด่านก็จะสลับตำแหน่งกันแบบสุ่มทั้งหมด และศัตรูทั้งหมด รวมไปถึงไอเทมและอัปเกรดทุกชิ้นในห้องนั้นๆ ก็จะเกิดใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นศัตรูชนิดอื่นที่ยาก (หรือง่าย) กว่าเดิมก็ได้ ทำให้การเริ่มลูปใหม่ทุกครั้งมีความต่างจากที่ผ่านๆ มาเสมอทั้งในแง่ของด่าน ศัตรูที่เจอ และไอเทมหรืออาวุธที่ใช้ได้
อาวุธในเกมนี้เบื้องต้นมักจะไม่ค่อยต่างกับปืนธรรมดาๆ ในเกมยิงปืนทั่วไปเช่นปืนพก ไรเฟิล หรือลูกซอง และมักจะมาพร้อมกับ “กระสุนรอง” (Alternate Fire) ที่ให้มาแบบสุ่ม เช่นปืนยิงระเบิด ปืนยิงจรวดติดตาม เป็นต้น ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และใช้อาวุธที่ได้มาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนปืนไปอีกพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคอเกมยิงปืนทั้งหลายที่อาจจะคุ้นเคยกับการใช้ปืนหลายชนิด แต่สำหรับคนที่มีปืนที่ถนัด อาจจะรำคาญระบบนี้ได้เหมือนกันเมื่อรู้สึกว่าไม่ผ่านด่านเพราะเกมไม่ยอมให้ปืนที่เราต้องการมาซะที
แม้ต้องยอมรับว่าเกมเพลย์โดยรวมในฝั่งของการต่อสู้จะไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือหวือหวาไปกว่าเกมแนวเดียวกันทั่วๆ ไปในแง่ของการควบคุม แต่ก็สนุกและท้าทายเสมอจากจำนวนและรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละชนิดที่เราเจอในเกม ซึ่งมักจะสาดกระสุนใส่เราพร้อมกันในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องใช้ระบบการเคลื่อนที่อันเรียบง่ายของเกมให้แม่นยำที่สุดที่จะทำได้เพื่อเอาตัวรอด แถมยังต้องเล็งและต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมๆ กันอีกต่างหาก และเมื่อนำมารวมกับความขี้งกของเพื่มเลือดของเกม ทำให้ Returnal นับเป็นเกมที่ “ยาก” ในระดับที่หัวร้อนขึ้นมาเลยเหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้เล่นจะชอบหรือไม่ชอบความยากระดับ “น้องๆ Dark Souls” เช่นนี้
เช่นเดียวกับเกมอย่าง Sekiro หรือ Ghost of Tsushima ที่บังคับให้ผู้เล่นต้องฝึกฝนระบบเกมเพลย์พื้นฐานให้คล่อง เกม Returnal เองก็นับเป็นเกมที่พร้อมจะท้าทายผู้เล่นอย่างไม่ปราณีในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เราคิดกับตัวเองว่า “ขออีกตา” อยู่เสมอ แม้ว่าจะรับรู้ดีถึงความหัวร้อนที่รออยู่ในภายภาคหน้า
เนื้อเรื่อง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เนื้อเรื่องของเกม Returnal เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักบินอวกาศหญิง Selene ค้นพบเข้ากับสัญญาณวิทยุปริศนาที่ชื่อว่า White Signal ที่ส่งออกมาจากดาว Atropos แต่เมื่อเธอเข้าใกล้ดาวเพื่อสำรวจ ยานของเธอก็เกิดขัดข้องขึ้นและร่วงลงสู่พื้นดาวในที่สุด เมื่อเธอออกมาได้ Selene ก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาต้นตอของสัญญาณ White Signal ด้วยตัวเอง โดยระหว่างการเดินทาง Selene ก็ได้ค้นพบความจริงอันน่ากลัวว่าจิตของเธอจะย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เธอร่วงลงสู่พื้นดาวเสมอเมื่อเธอตาย หมายความว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถช่วยให้เธอหนีออกไปจากดาวแห่งนี้ได้
เนื้อเรื่องของ Returnal จะเล่าถึงการเดินทางของ Selene รวมไปถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมเอเลียนที่ล่มสลายไปของดาว ซึ่งผู้เล่นจะต้องเก็บ “Cypher” หรือตัวแปลภาษาให้ครบจำนวนจึงจะอ่านข้อความบนแผ่นหินที่กระจัดกระจายอยู่บนดาวได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกม Returnal สามารถเล่าได้อย่างน่าติดตามมากๆ โดยเกมเน้นการวางปริศนามากมายเอาไว้ในช่วงต้นเกม ก่อนที่จะทำการเปิดเผยรายละเอียดใหม่ๆ ให้ผู้เล่นนำไปปะติดปะต่อเอาเองทีหลัง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังค่อยๆ คลี่คลายปริศนาไปทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาการเล่น
ทั้งนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมามากกว่า อาจจะไม่ค่อยชอบเนื้อเรื่องของเกม Returnal ได้ เพราะเกมแทบไม่ค่อยเล่าอะไรออกมาตรงๆ แถมบางครั้งจังหวะการเล่าเรื่องก็อาจจะขาดช่วงขาดตอนไปได้จากรูปแบบของเกมที่พึ่งพาการสุ่มฉากค่อนข้างมาก บางครั้งถ้าโชคดีอาจจะได้สุ่มฉากที่ดำเนินเรื่องต่อมาอยู่ตั้งแต่ต้น บางครั้งก็หาเท่าไหร่ไม่เจอ นับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเกมแนว Roguelike อยู่แล้วด้วย
ไม่ขอพูดถึงรายละเอียดใดๆ มากเพราะเราไม่อยากสปอย แต่บอกได้เลยว่าปริศนาหลายๆ อย่างในเกม Returnal ทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ และการตามหาความจริงเบื้องหลังลูปเวลาที่กักขัง Selene เอาไว้ก็นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเล่นของผู้เขียนเช่นกัน
การนำเสนอ
แม้จะไม่ได้สวยชัดสมจริงเป็นพิเศษ แต่เกม Returnal ก็สามารถใช้ศักยภาพของเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างเต็มที่ในส่วนของ Particle Effects (เอฟเฟกต์อนุภาค) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนา Housemarque เชี่ยวชาญอยู่แล้วในเกมที่ผ่านๆ มาของค่าย ส่งผลให้กราฟิกอนิเมชั่นจำพวกกระสุนปืนหรือลูกพลังที่ปลิวว่อนด่านตลอดเวลามีความฉูดฉาดสะใจมากๆ แถมเกมยังทำงานที่ความเร็ว 4K, 60 FPS ตลอดเวลาได้โดยไม่มีสะดุด และโหลดเซฟใหม่หลังตายในพริบตาด้วย ถือว่าได้มาตรฐานของเกม Exclusive อยู่ในด้านนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เกมยังใช้ประโยชน์จากลูกเล่นล้ำๆ ของเครื่อง PS5 ได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบ Adaptive Trigger ที่ทำเราปุ่ม L2/R2 กดได้สองจังหวะสำหรับการยิงปืนธรรมดาและ Alternate Fire หรือระบบสั่นที่ละเอียดอ่อนของจอยที่ทำให้เรารู้ตำแหน่งของศัตรูได้แม้มองไม่เห็นก็ตาม แม้ในบางครั้งเสียงซาวด์เอฟเฟกเล็กๆ น้อยๆ ที่ออกมาจากจอยตลอดเวลา (เช่นเสียงหญ้า เสียงน้ำไหล) อาจจะน่ารำคาญอยู่นิดหน่อยก็ตาม
ระบบเสียงของเกม Returnal ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเกม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากลูกเล่นด้านเสียงมากมายของเครื่อง PS5 ที่กล่าวไปก็เป็นได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า Returnal สามารถใช้เสียงในการสร้างบรรยากาศและกำหนดอารมณ์ให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของศัตรูที่แว่วออกมาจากจอย หรือเสียงของสภาพแวดล้อมที่ทำให้เหมือนผู้เล่นกำลังย่องผ่านดงหญ้าที่อาจซ่อนศัตรูเอาไว้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาตั้งใจออกแบบหรือเป็นผลพวงมาจากเครื่อง PlayStation 5 ก็นับเป็นจุดเด่นที่ได้คะแนนจากผู้เขียนไปไม่น้อย
สรุป
Returnal เปรียบเสมือนการนำแนวคิดอันเรียบง่ายออกมาได้อย่างสละสลวยที่สุด แม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นการผสมผสานเกมเพลย์แนว Third-Person Shooter แบบมาตรฐานเข้ากับแนวเกม Roguelike ที่เล่นแล้ววางจอยไม่ลงเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมแนวปริศนาชวนขนลุก บอกเลยว่าห้ามพลาด