GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
10 เกมที่มีความเปลี่ยนไปจากเกมแรกๆ ของตัวเอง
ลงวันที่ 05/06/2021

ปัจจุบันมีเกมมากมายวางจำหน่ายให้เราได้เล่น มีทั้งเกมใหม่และเกมเก่า ซึ่งแน่นอนว่ามีเกมเก่ามากมายที่ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ของตัวเอง พวกเขาได้คิดพัฒนาเพื่อเปลี่ยนตัวเกมให้มีความแปลกใหม่ และสร้างความฮือฮาให้แก่แฟนเกม ทั้งด้านกราฟฟิก เกมเพลย์ หรือแนวเกม ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามีเกมไหนบ้าง ดังนั้นในวันนี้พวกเรา GameFeverTH จะขอพาทุกคนมาพบกับ 10 เกมที่มีความเปลี่ยนไปมากจากเกมแรกๆ

1.แฟรนไชส์ Resident Evil

Resident Evil นับเป็นแฟรนไชส์เกมที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1996 พัฒนาโดยทีมงาน Capcom ซึ่งมีคุณชินจิ มิคามิ เป็นผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกมนี้ ซึ่งแรกเริ่มเดิมที 3 ภาคแรกนั้นมีข้อจำกัดมากมายในการพัฒนาทำให้ทีมงานจำเป็นต้องทำเกมออกมาในมุมมอง Fixed Camera แบบล็อคฉาก แต่เพราะแบบนี้มันทำให้เกมนี้ได้สร้างนิยามเกมแนว Survival Horror ในยุคนั้น แต่ต้องทาง Capcom ก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปพวกเขาก็พัฒนาเกมเรื่อยๆ โดยขอสรุปแบบกระชับดังนี้

  • ในปี 2000 Resident Evil: Code Veronica ตัวเกมเริ่มเปลี่ยนไปใช้มุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งมุมกล้องจะติดตามตัวละครและมีการซูมเข้า-ออกเป็นช่วงๆ

  • ในปี 2005 Resident Evil 4 เปลี่ยนมาเป็นมุมมองบุคคลที่สามแบบข้ามหัวไหล่ เปลี่ยนระบบการเล็งเป้าด้วยการใช้เลเซอร์ช่วยเล็ง และยังทำให้ตัวเกมมีความเป็น Action-Horror ฉีกจากเกมเดิมๆ ของตัวเองไปเลย

  • ในปี 2017 Resident Evil 7 ก็ได้สร้างความฮือฮา ตื่นตะลึงให้กับแฟนๆ เพราะในที่สุดทีมงานก็ได้ทำตามฝันที่พวกเขาเคยคิดจะทำตั้งแต่ภาคแรกๆ แล้ว นั่นคือการการเปลี่ยนไปใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งตัวเกมก็สามารถนำบรรยากาศของเกมยุคเก่าๆ ผสมกับเกมภาคหลังๆ ได้อย่างลงตัวให้อารมณ์หลอนๆ ในช่วงแรก และช่วงหลังๆ ก็บู๊ไม่พักเช่นกัน

2.แฟรนไชส์ Call Of Duty

สำหรับเกมแนว FPS มุมมองบุคคลที่หนึ่งอันดับต้นๆ ของโลก ณ ตอนนี้จะต้องมีเกม Call of Duty อยู่ด้วยแน่นอน ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปหลายๆ คนก็อาจจะสงสัยว่าเกมนี้มันเปลี่ยนไปยังไงเพราะยังคงใช้มุมมองเดิม การเล่นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปทุกอย่าง แค่มีระบบใหม่ๆ ใส่เข้ามาเท่านั้น คำตอบคือใช่... แต่สิ่งที่แฟนๆ กลุ่มใหญ่รู้สึกไม่ค่อยชอบนั่นคือการเซ็ตเนื้อเรื่อง เพราะช่วงแรกๆ ที่เกมนี้ถูกเปิดตัวสู่แฟนเกมนั้น ตัวเกมจะเริ่มที่ช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงสามภาคแรก จากนั้นก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นด้วยสงครามความขัดแย้งในยุคปัจจุบันอย่าง Call of Duty 4: Modern Warfare และภาคอื่นๆ ที่ยังใช้สงครามเย็นเป็นฉากหลัง แน่นอนว่าแฟนๆ ก็ยังชอบกันอยู่ แต่พอหลังๆ เริ่มมีการหยิบยกความไฮเทค มีการพาเนื้อเรื่องไปสู่สงครามโลกอนาคตรวมถึงยังมีการใส่หุ่นยนต์ ระบบไต่กำแพงสุดเวอร์จนทำให้แฟนๆ บางกลุ่มออกมาถล่มดิสไลค์ และบอกว่า ตัวเกมเริ่มออกจากความเป็น Call of Duty ไปแล้ว!


3.แฟรนไชส์ Alone In The Dark


สำหรับเกมสยองขวัญในยุค 90 อีกเกมนั่นก็คือ Alone in the Dark ในปี 1992 เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายสยองขวัญชื่อดัง ทั้งยังเป็นเกมที่สร้างแรงบันดาลใจให้กำเนิดแฟรนไชส์ Residen Evil อีกด้วย แต่ปัจจุบันเกมนี้กลายเป็นเกม (เคย) สยองขวัญไปแล้ว เพราะช่วงแรกๆ นั้นผู้เล่นจะต้องไขปริศนา พร้อมกับต้องเอาตัวรอดในบ้านผีสิงซึ่งมันน่ากลัวมากๆ ในยุคนั้น และเสนห์ของเกมนี้ก็ยังคงครองใจแฟนๆ ได้อยู่หมัด จนมันเริ่มจะมีความแปลกๆ ในภาค 2 ที่ตัวเกมเริ่มให้ผู้เล่นสามารถสู้กับพวกผีได้ง่ายขึ้น และทีนี้พอมีภาค 3 ไปจนถึงภาครีบู๊ตปี 2008 หรือจะภาค illumination มันกลายเป็นเกมยิงถล่มซอมบี้แบบเต็มตัว จนหลายๆ คนแซวว่านี่คืออีกหนึ่งเกมโคลน Resident Evil ที่ทิ้งความเป็นตัวเองออกไปอย่างสิ้นเชิง!


4.แฟรนไชส์ Ghost Recon

Ghost Recon นับเป็นอีกหนึ่งเกมน้ำดีจากค่าย Ubisoft ซึ่งเกมนี้มีความแตกต่างจากเกมแนว FPS คู่แข่งอื่นๆ อย่างระบบ Squad-Based ที่จะให้ผู้เล่นสามารถควบคุม AI ในหน่วยของเราให้ทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อย่างสมจริง และยังสามารถเลือกได้ว่าในภารกิจนั้นๆ จะเน้นเก็บเงียบหรือกระหน่ำยิงถล่มศัตรู ซึ่งตัวเกมก็มีการสร้างภาคใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2017 ได้มีการเปิดตัว Ghost Recon: Wildlands ที่ในครั้งนี้มีการนำเสนอความเป็น Open-World มีโลกขนาดใหญ่ให้สำรวจ มีภารกิจหลัก-เสริมและระบบใหม่ๆ อีกมากมายเข้ามาด้วย แต่ตัวเกมก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์การควบคุม AI ผ่านระบบ Squad-Based เช่นเดิม อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ไปในทิศทางที่ดีในหมู่แฟนเกมอีกด้วย


5.แฟรนไชส์ Far Cry

สำหรับเกม Far Cry ในครั้งแรกนั้นถูกพัฒนาโดยทีมงาน Crytek แต่จัดจำหน่ายโดย Ubisoft ซึ่งตัวเกมในสร้างความฮือฮาได้มากพอสมควรในยุคนั้นที่เกมๆ หนึ่งจะมีแผนที่ขนาดใหญ่มีความเป็น Sandbox ที่ให้ผู้เล่นสำรวจ การทำภารกิจที่เราสามารถเดินทางด้วยวิธีไหน หรือทำยังไงก็ได้ให้บรรลุเป้าหมาย และต่อมาภายหลังทาง Ubisoft ก็ได้ขอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเกมภาคต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงภาคแรกๆ ตัวเกมจะเน้นไปที่ฉากอันเต็มไปด้วยป่าเขาเขียวชอุ่ม เนื้อเรื่องก็จะเน้นไปที่กลุ่มโจรในแต่ละภาคเท่านั้น ซึ่งตัวเกมก็ยังคงคอนเซปนี้มาจนถึงภาค 5 ที่เริ่มมีการใช้เรื่องเกี่ยวกับลัทธิรวมถึงมีทำได้ตรงกระแสการเมืองจนโดนหาว่าตัวเกมทำมาเพื่อเสียดสีการเมืองช่วงนั้นอีกด้วย และล่าสุดใน Far Cry 6 มีการประกาศอย่างทางการแล้วว่าในครั้งนี้ตัวเกมจะมีพื้นที่เขตเมืองให้ผู้เล่นเข้าไปทำภารกิจ ได้ออกสำรวจอย่างประเทศ Yara! และมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศสมมติอีกด้วย!


6.แฟรนไชส์ The Witcher

The Witcher ที่เราเห็นทุกวันนี้มีความเป็นเกม RPG Open-World ที่คุณไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ทั้งเนื้อเรื่องจากภารกิจหลัก-รองที่น่าติดตาม ตัวละครที่โคตรเท่ ทั้งยังเข้าถึงได้ง่ายมาก แต่รู้หรือไม่ว่าสำหรับ The Witcher 1 นั้นตัวเกมไม่ได้มีความเป็น Open-World เหมือนกับ The Witcher 3 : Wild Hunt เพราะถึงแม้จะมีหลายๆ อย่างให้สำรวจ แต่ก็ยังมีความเป็นเส้นตรงอยู่ นอกจากนี้ระบบการเล่นเกมเพลย์ของภาค 1 ก็สุดแสนจะทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนโบกมือเพราะยังใช้ระบบ Old School ควบคุมได้ยากกว่าภาค 3 มากๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใครที่ชอบเนื้อเรื่อง หรือระบบการเล่นแบบ Old School ก็แนะนำไปลองภาค 1 ได้เลย และต้องยอมรับเลยว่ามีหลายๆ เกมที่ตัดสินใจใส่ความเป็น Open-World ก็ทำให้เกมเป็นไปในทิศทางที่ดี


7.แฟรนไชส์ Fallout

Fallout แฟรนไชส์เกมที่เอ่ยถึงเรื่องราวหลังวันสิ้นโลก ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่งแบบ FPS นำเสนอโลก Open-World มีความเป็น Sandbox ทั้งยังใส่ระบบ RPG Turn-Based เข้ามาด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วในปี 1997 ที่แฟรนไชส์เกมนี้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกตัวเกมใช้ภาพจากมุมสูง รวมถึงมีเกมเพลย์ที่เป็น RPG Turn-Based ล้วนๆ ทั้งยังมีเสนห์จากการเลือกบทสนทนาที่จะมีผลกับอนาคตการเล่นเกมในแต่ละครั้ง แน่นอนว่าการตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองเกมเช่นนี้หลายๆ เกมก็ทำมากมาย แต่กลายเป็นว่าพอมาถึง Fallout 4 และ  76 ตัวเกมมีหลายๆ อย่างที่ดร็อปลงไปทั้งตัวเลือกบทสนทนาที่น้อย เสนห์กลิ่นอายเก่าๆ ของตัวเกม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีเสียงแตกออกเป็น 2 เสียงเพราะบางกลุ่มก็ชอบไปเลย ส่วนผู้เล่นบางกลุ่มถึงกลับบอกว่านี้ไม่ใช่ Fallout ที่พวกเขารู้จัก!


8.แฟรนไชส์ Assassin's Creed

Assassin's Creed สิ่งที่เปลี่ยนแน่นอนในแต่ละภาคคือเนื้อเรื่องประวัติศาสตร์ที่ทีมงาน Ubisoft สามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในเกมได้อย่างน่าสนใจ แต่ในส่วนของเกมเพลย์ ณ ตอนนี้ถือว่า Assassin's Creed มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร โดยแรกๆ นั้นการเล่นรูปแบบเกมเพลย์จะเน้นสกิลเพลย์ของผู้เล่นแบบเน้นลอบเร้น หรือประจัญหน้าศัตรู ก็อยู่ที่ผู้เล่น (แต่อย่างหลังจะยากหน่อย) แต่ส่วนใหญ่ภารกิจจะเป็นแบบนี้ทั้งสิ้นจะมีแปลกๆ หน่อยก็เป็นการไล่ล่าวิ่งไต่กำแพงตามจับเป้าหมาย รวมถึงเข้าไปยึดฐานศัตรู แต่ภายหลังหลังจากบทเรียนครั้งสำคัญจากภาค Unity จนทำให้ภาคหลังๆ ทีมงานเริ่มใส่ระบบความเป็น RPG ที่อาวุธและของสวมใส่จะมีผลกับการเล่น รวมถึงส่งผลต่อการจัดการกับศัตรูที่มีระดับสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีการล่าสัตว์ ระบบเควสเสริมที่มีเนื้อเรื่องน่าติดตามที่สร้างความหลากหลายในเกมเข้าไปอีกขั้นด้วย แต่การทำแบบนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดี แต่แฟนๆ ยุคเก่าก็หวังว่าจะมีการทำระบบทั้งสองมาผสมผสานกันอย่างลงตัวสำหรับภาคใหม่ๆ ในอนาคต


 9.แฟรนไชส์ Final Fantasy

แฟรนไชส์เกม Final Fantasy นับว่าเดินทางมาไกลมากๆ เพราะมีมาตั้งแต่ช่วงปี 1987 โดยแรกเริ่มเดิมทีเป็นเกมที่ไม่ได้มีภาพสวยงามเป็นเพียงแค้เกมภาพ 2D แต่ด้วยเนื้อเรื่องและระบบการต่อสู้แบบ Turn-Based ที่ไม่ซ้ำใคร จนทำให้มันกลายเป็นหนึ่งเกมแนว JRPG อันดับต้นๆ แห่งยุค  และปัจจุบันนี้ตัวเกมก็เดินทางมาถึงภาค 15 แล้ว ซึ่งตัวเกมได้นำเสนอรูปแบบความเป็น Open-World ด้วยภาพที่สวยงามมากๆ แน่นอนว่าถ้ามองย้อนไปในช่วงแรกจะพบเลยว่ากราฟฟิกของเกมมาไกลมาก และอีกเรื่องเลยก็คือเมื่อมาถึงช่วง Final Fantasy XII ทีมพัฒนาก็เริ่มนำระบบเกมเพลย์ที่เสนอเกมการต่อสู้แบบเรียลไทม์ผสมผสานกับ Turn-Based ได้อย่างลงตัวมากๆ บอกเลยว่า FF ภาคใหม่ๆ ที่ออกมานั้นเข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้หลากหลายขึ้นมากกว่ายุคแรกๆ เลยทีเดียว


10.แฟรนไชส์ God of War


ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเกมที่ทำให้ชอบคอนโซลมากๆ ก็มีเกม 'God of War' นี่แหละที่หยิบยกเรื่องราวของเทพพระเจ้าเข้ามาในรูปแบบของเกม Action Adventure ได้อย่างกลมกล่อม ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นจะเน้นการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงรวมถึงระบบเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นการกดคอมโบ ที่ผู้เล่นจะได้รับตามเนื้อเรื่อง และใช้มุมกล้องตามฉาก แน่นอนว่ารูปแบบการเล่นเดิมๆ นี้มีมาหลายภาคมากๆ จนกระทั่งเมื่อการมาถึงของ God of war 4 ปี 2018 ที่ได้ยกเครื่องเปลี่ยนทั้งการเล่าที่เทพกรีกไปสู่การเล่าเรื่องของเทพนิยายนอร์ส และยังขยายตัวเกมให้มีความเป็น Open-World ที่ผู้เล่นจบส่วนไหนไปแล้วส่วนใหญ่ก็ยังสามารถย้อนกลับมาได้ตลอดการเล่น เปลี่ยนมุมมองเป็นมุมมองข้ามหัวไหล่ เพิ่มการสำรวจแนวดิ่ง คัดซีนกับการเล่นก็แทบไม่มีการตัดฉาก และยังใส่ระบบความเป็น RPG ที่ผู้เล่นต้องทำเควสเพื่ออัพเกรดอาวุธชุดยุทโธปกรณ์ต่างๆ มากมายเพื่อให้เราเก่งขึ้น และเชื่อว่าหลายๆ คนกำลังรอภาคใหม่อย่าง Ragnarok แน่นอน!


Credit : GAMERANT


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
10 เกมที่มีความเปลี่ยนไปจากเกมแรกๆ ของตัวเอง
05/06/2021

ปัจจุบันมีเกมมากมายวางจำหน่ายให้เราได้เล่น มีทั้งเกมใหม่และเกมเก่า ซึ่งแน่นอนว่ามีเกมเก่ามากมายที่ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ของตัวเอง พวกเขาได้คิดพัฒนาเพื่อเปลี่ยนตัวเกมให้มีความแปลกใหม่ และสร้างความฮือฮาให้แก่แฟนเกม ทั้งด้านกราฟฟิก เกมเพลย์ หรือแนวเกม ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามีเกมไหนบ้าง ดังนั้นในวันนี้พวกเรา GameFeverTH จะขอพาทุกคนมาพบกับ 10 เกมที่มีความเปลี่ยนไปมากจากเกมแรกๆ

1.แฟรนไชส์ Resident Evil

Resident Evil นับเป็นแฟรนไชส์เกมที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1996 พัฒนาโดยทีมงาน Capcom ซึ่งมีคุณชินจิ มิคามิ เป็นผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกมนี้ ซึ่งแรกเริ่มเดิมที 3 ภาคแรกนั้นมีข้อจำกัดมากมายในการพัฒนาทำให้ทีมงานจำเป็นต้องทำเกมออกมาในมุมมอง Fixed Camera แบบล็อคฉาก แต่เพราะแบบนี้มันทำให้เกมนี้ได้สร้างนิยามเกมแนว Survival Horror ในยุคนั้น แต่ต้องทาง Capcom ก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปพวกเขาก็พัฒนาเกมเรื่อยๆ โดยขอสรุปแบบกระชับดังนี้

  • ในปี 2000 Resident Evil: Code Veronica ตัวเกมเริ่มเปลี่ยนไปใช้มุมมองบุคคลที่สาม ซึ่งมุมกล้องจะติดตามตัวละครและมีการซูมเข้า-ออกเป็นช่วงๆ

  • ในปี 2005 Resident Evil 4 เปลี่ยนมาเป็นมุมมองบุคคลที่สามแบบข้ามหัวไหล่ เปลี่ยนระบบการเล็งเป้าด้วยการใช้เลเซอร์ช่วยเล็ง และยังทำให้ตัวเกมมีความเป็น Action-Horror ฉีกจากเกมเดิมๆ ของตัวเองไปเลย

  • ในปี 2017 Resident Evil 7 ก็ได้สร้างความฮือฮา ตื่นตะลึงให้กับแฟนๆ เพราะในที่สุดทีมงานก็ได้ทำตามฝันที่พวกเขาเคยคิดจะทำตั้งแต่ภาคแรกๆ แล้ว นั่นคือการการเปลี่ยนไปใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งตัวเกมก็สามารถนำบรรยากาศของเกมยุคเก่าๆ ผสมกับเกมภาคหลังๆ ได้อย่างลงตัวให้อารมณ์หลอนๆ ในช่วงแรก และช่วงหลังๆ ก็บู๊ไม่พักเช่นกัน

2.แฟรนไชส์ Call Of Duty

สำหรับเกมแนว FPS มุมมองบุคคลที่หนึ่งอันดับต้นๆ ของโลก ณ ตอนนี้จะต้องมีเกม Call of Duty อยู่ด้วยแน่นอน ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปหลายๆ คนก็อาจจะสงสัยว่าเกมนี้มันเปลี่ยนไปยังไงเพราะยังคงใช้มุมมองเดิม การเล่นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปทุกอย่าง แค่มีระบบใหม่ๆ ใส่เข้ามาเท่านั้น คำตอบคือใช่... แต่สิ่งที่แฟนๆ กลุ่มใหญ่รู้สึกไม่ค่อยชอบนั่นคือการเซ็ตเนื้อเรื่อง เพราะช่วงแรกๆ ที่เกมนี้ถูกเปิดตัวสู่แฟนเกมนั้น ตัวเกมจะเริ่มที่ช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงสามภาคแรก จากนั้นก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นด้วยสงครามความขัดแย้งในยุคปัจจุบันอย่าง Call of Duty 4: Modern Warfare และภาคอื่นๆ ที่ยังใช้สงครามเย็นเป็นฉากหลัง แน่นอนว่าแฟนๆ ก็ยังชอบกันอยู่ แต่พอหลังๆ เริ่มมีการหยิบยกความไฮเทค มีการพาเนื้อเรื่องไปสู่สงครามโลกอนาคตรวมถึงยังมีการใส่หุ่นยนต์ ระบบไต่กำแพงสุดเวอร์จนทำให้แฟนๆ บางกลุ่มออกมาถล่มดิสไลค์ และบอกว่า ตัวเกมเริ่มออกจากความเป็น Call of Duty ไปแล้ว!


3.แฟรนไชส์ Alone In The Dark


สำหรับเกมสยองขวัญในยุค 90 อีกเกมนั่นก็คือ Alone in the Dark ในปี 1992 เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายสยองขวัญชื่อดัง ทั้งยังเป็นเกมที่สร้างแรงบันดาลใจให้กำเนิดแฟรนไชส์ Residen Evil อีกด้วย แต่ปัจจุบันเกมนี้กลายเป็นเกม (เคย) สยองขวัญไปแล้ว เพราะช่วงแรกๆ นั้นผู้เล่นจะต้องไขปริศนา พร้อมกับต้องเอาตัวรอดในบ้านผีสิงซึ่งมันน่ากลัวมากๆ ในยุคนั้น และเสนห์ของเกมนี้ก็ยังคงครองใจแฟนๆ ได้อยู่หมัด จนมันเริ่มจะมีความแปลกๆ ในภาค 2 ที่ตัวเกมเริ่มให้ผู้เล่นสามารถสู้กับพวกผีได้ง่ายขึ้น และทีนี้พอมีภาค 3 ไปจนถึงภาครีบู๊ตปี 2008 หรือจะภาค illumination มันกลายเป็นเกมยิงถล่มซอมบี้แบบเต็มตัว จนหลายๆ คนแซวว่านี่คืออีกหนึ่งเกมโคลน Resident Evil ที่ทิ้งความเป็นตัวเองออกไปอย่างสิ้นเชิง!


4.แฟรนไชส์ Ghost Recon

Ghost Recon นับเป็นอีกหนึ่งเกมน้ำดีจากค่าย Ubisoft ซึ่งเกมนี้มีความแตกต่างจากเกมแนว FPS คู่แข่งอื่นๆ อย่างระบบ Squad-Based ที่จะให้ผู้เล่นสามารถควบคุม AI ในหน่วยของเราให้ทำตามคำสั่งต่างๆ ได้อย่างสมจริง และยังสามารถเลือกได้ว่าในภารกิจนั้นๆ จะเน้นเก็บเงียบหรือกระหน่ำยิงถล่มศัตรู ซึ่งตัวเกมก็มีการสร้างภาคใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2017 ได้มีการเปิดตัว Ghost Recon: Wildlands ที่ในครั้งนี้มีการนำเสนอความเป็น Open-World มีโลกขนาดใหญ่ให้สำรวจ มีภารกิจหลัก-เสริมและระบบใหม่ๆ อีกมากมายเข้ามาด้วย แต่ตัวเกมก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์การควบคุม AI ผ่านระบบ Squad-Based เช่นเดิม อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ไปในทิศทางที่ดีในหมู่แฟนเกมอีกด้วย


5.แฟรนไชส์ Far Cry

สำหรับเกม Far Cry ในครั้งแรกนั้นถูกพัฒนาโดยทีมงาน Crytek แต่จัดจำหน่ายโดย Ubisoft ซึ่งตัวเกมในสร้างความฮือฮาได้มากพอสมควรในยุคนั้นที่เกมๆ หนึ่งจะมีแผนที่ขนาดใหญ่มีความเป็น Sandbox ที่ให้ผู้เล่นสำรวจ การทำภารกิจที่เราสามารถเดินทางด้วยวิธีไหน หรือทำยังไงก็ได้ให้บรรลุเป้าหมาย และต่อมาภายหลังทาง Ubisoft ก็ได้ขอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเกมภาคต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงภาคแรกๆ ตัวเกมจะเน้นไปที่ฉากอันเต็มไปด้วยป่าเขาเขียวชอุ่ม เนื้อเรื่องก็จะเน้นไปที่กลุ่มโจรในแต่ละภาคเท่านั้น ซึ่งตัวเกมก็ยังคงคอนเซปนี้มาจนถึงภาค 5 ที่เริ่มมีการใช้เรื่องเกี่ยวกับลัทธิรวมถึงมีทำได้ตรงกระแสการเมืองจนโดนหาว่าตัวเกมทำมาเพื่อเสียดสีการเมืองช่วงนั้นอีกด้วย และล่าสุดใน Far Cry 6 มีการประกาศอย่างทางการแล้วว่าในครั้งนี้ตัวเกมจะมีพื้นที่เขตเมืองให้ผู้เล่นเข้าไปทำภารกิจ ได้ออกสำรวจอย่างประเทศ Yara! และมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศสมมติอีกด้วย!


6.แฟรนไชส์ The Witcher

The Witcher ที่เราเห็นทุกวันนี้มีความเป็นเกม RPG Open-World ที่คุณไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ทั้งเนื้อเรื่องจากภารกิจหลัก-รองที่น่าติดตาม ตัวละครที่โคตรเท่ ทั้งยังเข้าถึงได้ง่ายมาก แต่รู้หรือไม่ว่าสำหรับ The Witcher 1 นั้นตัวเกมไม่ได้มีความเป็น Open-World เหมือนกับ The Witcher 3 : Wild Hunt เพราะถึงแม้จะมีหลายๆ อย่างให้สำรวจ แต่ก็ยังมีความเป็นเส้นตรงอยู่ นอกจากนี้ระบบการเล่นเกมเพลย์ของภาค 1 ก็สุดแสนจะทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนโบกมือเพราะยังใช้ระบบ Old School ควบคุมได้ยากกว่าภาค 3 มากๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใครที่ชอบเนื้อเรื่อง หรือระบบการเล่นแบบ Old School ก็แนะนำไปลองภาค 1 ได้เลย และต้องยอมรับเลยว่ามีหลายๆ เกมที่ตัดสินใจใส่ความเป็น Open-World ก็ทำให้เกมเป็นไปในทิศทางที่ดี


7.แฟรนไชส์ Fallout

Fallout แฟรนไชส์เกมที่เอ่ยถึงเรื่องราวหลังวันสิ้นโลก ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นเกมมุมมองบุคคลที่หนึ่งแบบ FPS นำเสนอโลก Open-World มีความเป็น Sandbox ทั้งยังใส่ระบบ RPG Turn-Based เข้ามาด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วในปี 1997 ที่แฟรนไชส์เกมนี้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกตัวเกมใช้ภาพจากมุมสูง รวมถึงมีเกมเพลย์ที่เป็น RPG Turn-Based ล้วนๆ ทั้งยังมีเสนห์จากการเลือกบทสนทนาที่จะมีผลกับอนาคตการเล่นเกมในแต่ละครั้ง แน่นอนว่าการตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองเกมเช่นนี้หลายๆ เกมก็ทำมากมาย แต่กลายเป็นว่าพอมาถึง Fallout 4 และ  76 ตัวเกมมีหลายๆ อย่างที่ดร็อปลงไปทั้งตัวเลือกบทสนทนาที่น้อย เสนห์กลิ่นอายเก่าๆ ของตัวเกม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีเสียงแตกออกเป็น 2 เสียงเพราะบางกลุ่มก็ชอบไปเลย ส่วนผู้เล่นบางกลุ่มถึงกลับบอกว่านี้ไม่ใช่ Fallout ที่พวกเขารู้จัก!


8.แฟรนไชส์ Assassin's Creed

Assassin's Creed สิ่งที่เปลี่ยนแน่นอนในแต่ละภาคคือเนื้อเรื่องประวัติศาสตร์ที่ทีมงาน Ubisoft สามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในเกมได้อย่างน่าสนใจ แต่ในส่วนของเกมเพลย์ ณ ตอนนี้ถือว่า Assassin's Creed มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร โดยแรกๆ นั้นการเล่นรูปแบบเกมเพลย์จะเน้นสกิลเพลย์ของผู้เล่นแบบเน้นลอบเร้น หรือประจัญหน้าศัตรู ก็อยู่ที่ผู้เล่น (แต่อย่างหลังจะยากหน่อย) แต่ส่วนใหญ่ภารกิจจะเป็นแบบนี้ทั้งสิ้นจะมีแปลกๆ หน่อยก็เป็นการไล่ล่าวิ่งไต่กำแพงตามจับเป้าหมาย รวมถึงเข้าไปยึดฐานศัตรู แต่ภายหลังหลังจากบทเรียนครั้งสำคัญจากภาค Unity จนทำให้ภาคหลังๆ ทีมงานเริ่มใส่ระบบความเป็น RPG ที่อาวุธและของสวมใส่จะมีผลกับการเล่น รวมถึงส่งผลต่อการจัดการกับศัตรูที่มีระดับสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีการล่าสัตว์ ระบบเควสเสริมที่มีเนื้อเรื่องน่าติดตามที่สร้างความหลากหลายในเกมเข้าไปอีกขั้นด้วย แต่การทำแบบนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดี แต่แฟนๆ ยุคเก่าก็หวังว่าจะมีการทำระบบทั้งสองมาผสมผสานกันอย่างลงตัวสำหรับภาคใหม่ๆ ในอนาคต


 9.แฟรนไชส์ Final Fantasy

แฟรนไชส์เกม Final Fantasy นับว่าเดินทางมาไกลมากๆ เพราะมีมาตั้งแต่ช่วงปี 1987 โดยแรกเริ่มเดิมทีเป็นเกมที่ไม่ได้มีภาพสวยงามเป็นเพียงแค้เกมภาพ 2D แต่ด้วยเนื้อเรื่องและระบบการต่อสู้แบบ Turn-Based ที่ไม่ซ้ำใคร จนทำให้มันกลายเป็นหนึ่งเกมแนว JRPG อันดับต้นๆ แห่งยุค  และปัจจุบันนี้ตัวเกมก็เดินทางมาถึงภาค 15 แล้ว ซึ่งตัวเกมได้นำเสนอรูปแบบความเป็น Open-World ด้วยภาพที่สวยงามมากๆ แน่นอนว่าถ้ามองย้อนไปในช่วงแรกจะพบเลยว่ากราฟฟิกของเกมมาไกลมาก และอีกเรื่องเลยก็คือเมื่อมาถึงช่วง Final Fantasy XII ทีมพัฒนาก็เริ่มนำระบบเกมเพลย์ที่เสนอเกมการต่อสู้แบบเรียลไทม์ผสมผสานกับ Turn-Based ได้อย่างลงตัวมากๆ บอกเลยว่า FF ภาคใหม่ๆ ที่ออกมานั้นเข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้หลากหลายขึ้นมากกว่ายุคแรกๆ เลยทีเดียว


10.แฟรนไชส์ God of War


ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในเกมที่ทำให้ชอบคอนโซลมากๆ ก็มีเกม 'God of War' นี่แหละที่หยิบยกเรื่องราวของเทพพระเจ้าเข้ามาในรูปแบบของเกม Action Adventure ได้อย่างกลมกล่อม ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นจะเน้นการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงรวมถึงระบบเกมเพลย์ของเกมนี้จะเป็นการกดคอมโบ ที่ผู้เล่นจะได้รับตามเนื้อเรื่อง และใช้มุมกล้องตามฉาก แน่นอนว่ารูปแบบการเล่นเดิมๆ นี้มีมาหลายภาคมากๆ จนกระทั่งเมื่อการมาถึงของ God of war 4 ปี 2018 ที่ได้ยกเครื่องเปลี่ยนทั้งการเล่าที่เทพกรีกไปสู่การเล่าเรื่องของเทพนิยายนอร์ส และยังขยายตัวเกมให้มีความเป็น Open-World ที่ผู้เล่นจบส่วนไหนไปแล้วส่วนใหญ่ก็ยังสามารถย้อนกลับมาได้ตลอดการเล่น เปลี่ยนมุมมองเป็นมุมมองข้ามหัวไหล่ เพิ่มการสำรวจแนวดิ่ง คัดซีนกับการเล่นก็แทบไม่มีการตัดฉาก และยังใส่ระบบความเป็น RPG ที่ผู้เล่นต้องทำเควสเพื่ออัพเกรดอาวุธชุดยุทโธปกรณ์ต่างๆ มากมายเพื่อให้เราเก่งขึ้น และเชื่อว่าหลายๆ คนกำลังรอภาคใหม่อย่าง Ragnarok แน่นอน!


Credit : GAMERANT


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header