เหล่าเกมเมอร์เองก็น่ารู้จักนักพัฒนาในอุตสาหกรรมเกมโลกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก กับบิดาผู้สร้างเกมซีรีส์ Metal Gear อย่างคุณ Hideo Kojima (ฮิเดโอะ โคจิมะ) กับการยกย่องให้เขาคือคนที่สร้างเกมที่เต็มไปด้วยคุณภาพคับแก้ว ที่แต่ละเกมที่สร้างไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะความเป็น Perfectionist และความอยากที่จะผลักดันอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการเกมนั่นเอง ซึ่งในวันนี้เรา GameFever TH ได้เอาประวัติของชายคนนี้มาฝากกันครับ ว่าความเป็นมาของเขาเป็นอย่างไร กว่าที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้เราต้องพบเจออะไรมาบ้าง เราไปชมกันเลย !!
ต่อมาทาง Kojima ได้ถูกขอให้รับช่วงต่อโครงการ Metal Gear จากซีเนียร์ระดับสูง โดยเกมนี้ตั้งใจที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้ของทหารในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์เครื่องที่จะลงนั้นมีจำกัด เพราะ มันอาจจะทำได้ยากถ้าหากจะให้เกมๆ หนึ่งมีกระสุนยิงสาด หรือศัตรูแห่เข้ามามากมาย เขาจึงได้คิดไอเดียในการทำให้เกมกลายเป็นแนวต่อสู้กับศัตรูเพื่อหลบเลี่ยงจากการถูกจับแทน หรือเกมแนวลอบเร้นอย่างที่เรารู้จักกัน โดยมันได้รับแรงบรรดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Great Escape นั่นเอง
ในช่วงแรกๆ โปรเจกต์นี้ใช้ชื่อว่า Intruder ตอนพัฒนา และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Metal Gear นั่นเอง โดยตัวเกมถูกปล่อยลงบนเครื่อง MSX2 ในญี่ปุ่นและยุโรป และเกม Metal Gear นี้ภายหลังได้ถูกนำไปลงเครื่อง NES ของทาง Nintendo แต่ตัวเขาเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำโปรเจกต์นี้และเขาเองก็แสดงออกถึงความไม่ชอบใจและวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของเกม มีการแปลที่ไม่ค่อยดี และไม่มีการต่อสู้กับ Boss ด้วยอาวุธพิเศษ
โปรเจกต์ต่อไปของเขาที่ทำคือเกมแนว Graphic Adventure อย่าง Snatcher เกมได้รับอิทธิพลจากนิยายวิทยาศาสตร์ไซเบอร์พังค์เช่น Akira, Blade Runner, The Terminator และ Bubblegum Crisis ที่เนื้อเรื่องจะตั้งอยู่ในช่วงหลังการล่มสลายของโลก ดำเนินเรื่องโดยนักสืบความจำเสื่อมที่จะต้องเผชิญกับเผ่าพันธ์ Cyborgs โดยทางโคจิม่าและทีมเป็นฝ่ายที่เขียนเรื่องราวทั้งหมดของเกม แต่พวกเขานั้นถูกบังคับให้ออกจากโปรเจกต์ในข่วงขั้นตอนสุดท้ายเนื้อจากข้อจำกัดด้านเวลา แต่ตัวเกมดังกล่าวนั้นก็ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ในการผลักดันเกี่ยวกับการเล่าเรื่องวิดีโอเกมมีการตัดต่อฉากภาพยนตร์และเนื้อเรื่องสำหรับผู้ใหญ่ รวมถึงยังได้รับการยกย่องในด้านกราฟิก และเสียงประกอบที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่านวนิยาย ภาพยนตร์ หรือวิทยุเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องยอดขายของเกมนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้า เพราะว่าตัวเกมถูกจำกัดการเข้าถึงด้านอายุ เลยขายได้เพียงแค่ 2-3000 ชุดเท่านั้น
ในปี 1990 โคจิมะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตสองเกมคือ SD Snatcher ที่เป็นเกมภาค Spinoff ของภาคก่อนหน้า และเกมภาคต่อของซีรีส์ชื่อดังอย่าง Metal Gear 2: Solid Snake ที่ได้ทำการพัฒนารูปแบบของเกมให้ก้าวขึ้นไปกว่าภาคที่แล้วอย่างการที่ผู้เล่นมีความสามารถมากขึ้นอย่างการหมอบคลานเข้าไปในจุดซ่อนเร้น หรือท่อระบายอากาศ รวมถึงด้าน AI ศัตรูเองก็มีความฉลาดมากขึ้นที่สามารถมองเห็นได้ถึง 45 องศา มีการตรวจจับเสียงต่างๆ นาๆ มากมาย
จริงๆ แล้วเกม Metal Gear ภาคสอง แรกเริ่มจะใช้ชื่อว่า Snakes Revenge ที่ทางโคนามิเองกะจะสร้างโดยที่ไม่ได้คิดจะให้โคจิมะเข้ามามีส่วนร่วม แต่ทางโคจิมะเองก็ได้สอบถามกับทีมงานที่ทำเกมนี้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งพอได้คำตอบว่าเป็นเรื่องจริงเขาจึงได้ทำแผนสร้าง Metal Gear 2: Solid ขึ้นมา และลงให้กับเครื่อง MSX2 ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนทางฝั่งยุโรปกว่าจะได้เล่นเกมนี้ก็ปาเข้าไปปี 2006 เลยทีเดียว
หลังจากที่โคจิมะเองได้ทำเกมอื่นๆ ประปรายอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันในปี 1994 เขาเองก็กำลังซุ่มพัมนาเกม 3D ตัวแรกที่เป็นภาคต่อของเกม Metal Gear 2: Solid Snake ซึ่งนั่นก็คือเกม Metal Gear Solid อันเลื่องลือที่เรารู้จักกัน โดยตัวเกมได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน Tokyo Game Show และ E3 1997 จนสุดท้ายได้ปล่อยตัวเกมจริงออกมาให้เราเล่นในปี 1998 บนเครื่อง PlayStation 1
หลังจากปล่อยเกมภาคนี้ออกมา ทำให้ทางโคจิมะได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในด้านของวิดีโอเกม เพราะ Metal Gear Solid เป็นเกมแรกในซีรีส์นี้ที่ใช้กราฟิก 3D และการแสดงด้วยเสียงที่มันให้ประสบการณ์การรับชมคล้ายๆ กับภาพยนตร์มากกว่าเกมเลยทีเดียว รวมถึงยังได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเกมการเล่นที่ออกแบบมาได้อย่างดี รวมถึงเนื้อเรื่องของเกมที่เป็นจุดเด่น
ซึ่งทางโคจิมะเองก็ได้ทำการสร้างภาคต่อของเกมซีรีส์นี้ออกมามากมาย ขนาดเคยได้รับรางวัลเกมยอดเยี่ยมจากหลายๆ สื่อมาแล้ว รวมถึงเกม Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots ยังได้รับรางวัล Game of the Year จากทาง Japan Game Awards รวมถึงโคจิมะเองยังได้รับการกล่าวขานเกี่ยวกับการสร้างเกมที่เน้นความ Perfectionist แต่ละเกมที่ทำมักจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกมมากมาย
ทุกวันนี้เกม Death Stranding ก็ได้วางจำหน่ายออกมาเป็นปีแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเกมอาจจะเข้าถึงยากไปนิด แต่ก็ต้องยอมรับในเรื่องของความแปลกใหม่ของเกม และเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างดีงามมากๆ และได้คะแนนจากนักวิจารณ์ไปมากถึง 83/100 คะแนนเลยทีเดียว (อ้างอิงจากเว็บไซต์ Metacritic)
เหล่าเกมเมอร์เองก็น่ารู้จักนักพัฒนาในอุตสาหกรรมเกมโลกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก กับบิดาผู้สร้างเกมซีรีส์ Metal Gear อย่างคุณ Hideo Kojima (ฮิเดโอะ โคจิมะ) กับการยกย่องให้เขาคือคนที่สร้างเกมที่เต็มไปด้วยคุณภาพคับแก้ว ที่แต่ละเกมที่สร้างไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะความเป็น Perfectionist และความอยากที่จะผลักดันอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการเกมนั่นเอง ซึ่งในวันนี้เรา GameFever TH ได้เอาประวัติของชายคนนี้มาฝากกันครับ ว่าความเป็นมาของเขาเป็นอย่างไร กว่าที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้เราต้องพบเจออะไรมาบ้าง เราไปชมกันเลย !!
ต่อมาทาง Kojima ได้ถูกขอให้รับช่วงต่อโครงการ Metal Gear จากซีเนียร์ระดับสูง โดยเกมนี้ตั้งใจที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้ของทหารในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์เครื่องที่จะลงนั้นมีจำกัด เพราะ มันอาจจะทำได้ยากถ้าหากจะให้เกมๆ หนึ่งมีกระสุนยิงสาด หรือศัตรูแห่เข้ามามากมาย เขาจึงได้คิดไอเดียในการทำให้เกมกลายเป็นแนวต่อสู้กับศัตรูเพื่อหลบเลี่ยงจากการถูกจับแทน หรือเกมแนวลอบเร้นอย่างที่เรารู้จักกัน โดยมันได้รับแรงบรรดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Great Escape นั่นเอง
ในช่วงแรกๆ โปรเจกต์นี้ใช้ชื่อว่า Intruder ตอนพัฒนา และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Metal Gear นั่นเอง โดยตัวเกมถูกปล่อยลงบนเครื่อง MSX2 ในญี่ปุ่นและยุโรป และเกม Metal Gear นี้ภายหลังได้ถูกนำไปลงเครื่อง NES ของทาง Nintendo แต่ตัวเขาเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำโปรเจกต์นี้และเขาเองก็แสดงออกถึงความไม่ชอบใจและวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของเกม มีการแปลที่ไม่ค่อยดี และไม่มีการต่อสู้กับ Boss ด้วยอาวุธพิเศษ
โปรเจกต์ต่อไปของเขาที่ทำคือเกมแนว Graphic Adventure อย่าง Snatcher เกมได้รับอิทธิพลจากนิยายวิทยาศาสตร์ไซเบอร์พังค์เช่น Akira, Blade Runner, The Terminator และ Bubblegum Crisis ที่เนื้อเรื่องจะตั้งอยู่ในช่วงหลังการล่มสลายของโลก ดำเนินเรื่องโดยนักสืบความจำเสื่อมที่จะต้องเผชิญกับเผ่าพันธ์ Cyborgs โดยทางโคจิม่าและทีมเป็นฝ่ายที่เขียนเรื่องราวทั้งหมดของเกม แต่พวกเขานั้นถูกบังคับให้ออกจากโปรเจกต์ในข่วงขั้นตอนสุดท้ายเนื้อจากข้อจำกัดด้านเวลา แต่ตัวเกมดังกล่าวนั้นก็ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ในการผลักดันเกี่ยวกับการเล่าเรื่องวิดีโอเกมมีการตัดต่อฉากภาพยนตร์และเนื้อเรื่องสำหรับผู้ใหญ่ รวมถึงยังได้รับการยกย่องในด้านกราฟิก และเสียงประกอบที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่านวนิยาย ภาพยนตร์ หรือวิทยุเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องยอดขายของเกมนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้า เพราะว่าตัวเกมถูกจำกัดการเข้าถึงด้านอายุ เลยขายได้เพียงแค่ 2-3000 ชุดเท่านั้น
ในปี 1990 โคจิมะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตสองเกมคือ SD Snatcher ที่เป็นเกมภาค Spinoff ของภาคก่อนหน้า และเกมภาคต่อของซีรีส์ชื่อดังอย่าง Metal Gear 2: Solid Snake ที่ได้ทำการพัฒนารูปแบบของเกมให้ก้าวขึ้นไปกว่าภาคที่แล้วอย่างการที่ผู้เล่นมีความสามารถมากขึ้นอย่างการหมอบคลานเข้าไปในจุดซ่อนเร้น หรือท่อระบายอากาศ รวมถึงด้าน AI ศัตรูเองก็มีความฉลาดมากขึ้นที่สามารถมองเห็นได้ถึง 45 องศา มีการตรวจจับเสียงต่างๆ นาๆ มากมาย
จริงๆ แล้วเกม Metal Gear ภาคสอง แรกเริ่มจะใช้ชื่อว่า Snakes Revenge ที่ทางโคนามิเองกะจะสร้างโดยที่ไม่ได้คิดจะให้โคจิมะเข้ามามีส่วนร่วม แต่ทางโคจิมะเองก็ได้สอบถามกับทีมงานที่ทำเกมนี้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งพอได้คำตอบว่าเป็นเรื่องจริงเขาจึงได้ทำแผนสร้าง Metal Gear 2: Solid ขึ้นมา และลงให้กับเครื่อง MSX2 ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนทางฝั่งยุโรปกว่าจะได้เล่นเกมนี้ก็ปาเข้าไปปี 2006 เลยทีเดียว
หลังจากที่โคจิมะเองได้ทำเกมอื่นๆ ประปรายอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันในปี 1994 เขาเองก็กำลังซุ่มพัมนาเกม 3D ตัวแรกที่เป็นภาคต่อของเกม Metal Gear 2: Solid Snake ซึ่งนั่นก็คือเกม Metal Gear Solid อันเลื่องลือที่เรารู้จักกัน โดยตัวเกมได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน Tokyo Game Show และ E3 1997 จนสุดท้ายได้ปล่อยตัวเกมจริงออกมาให้เราเล่นในปี 1998 บนเครื่อง PlayStation 1
หลังจากปล่อยเกมภาคนี้ออกมา ทำให้ทางโคจิมะได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในด้านของวิดีโอเกม เพราะ Metal Gear Solid เป็นเกมแรกในซีรีส์นี้ที่ใช้กราฟิก 3D และการแสดงด้วยเสียงที่มันให้ประสบการณ์การรับชมคล้ายๆ กับภาพยนตร์มากกว่าเกมเลยทีเดียว รวมถึงยังได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเกมการเล่นที่ออกแบบมาได้อย่างดี รวมถึงเนื้อเรื่องของเกมที่เป็นจุดเด่น
ซึ่งทางโคจิมะเองก็ได้ทำการสร้างภาคต่อของเกมซีรีส์นี้ออกมามากมาย ขนาดเคยได้รับรางวัลเกมยอดเยี่ยมจากหลายๆ สื่อมาแล้ว รวมถึงเกม Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots ยังได้รับรางวัล Game of the Year จากทาง Japan Game Awards รวมถึงโคจิมะเองยังได้รับการกล่าวขานเกี่ยวกับการสร้างเกมที่เน้นความ Perfectionist แต่ละเกมที่ทำมักจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกมมากมาย
ทุกวันนี้เกม Death Stranding ก็ได้วางจำหน่ายออกมาเป็นปีแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเกมอาจจะเข้าถึงยากไปนิด แต่ก็ต้องยอมรับในเรื่องของความแปลกใหม่ของเกม และเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างดีงามมากๆ และได้คะแนนจากนักวิจารณ์ไปมากถึง 83/100 คะแนนเลยทีเดียว (อ้างอิงจากเว็บไซต์ Metacritic)