ถ้าให้ยกหนึ่งในเกมจากแฟรนไชส์ Star Wars ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ ชื่ออันดับต้น ๆ ในลิสต์ก็คงจะเป็น Star Wars Jedi: Fallen Order เกมแนว Action Adventure จากทาง Respawn Entertainment ค่ายเกมดังที่สร้าง Titanfall และ Apex Legends จัดจำหน่ายโดยทาง EA ซึ่งอ้างอิงจากทางร้านค้า Steam ตัวเกมได้คะแนนคำวิจารณ์ในทางบวกสูงถึง 85% เหตุผลก็เพราะว่าตัวเกมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ใส่กลิ่นอายของความเป็นเกมแนว Souls Like เข้าไปและมันกลับกลายเป็นดีอย่างมาก เพราะเราจะต้องเรียนรู้การโจมตีของศัตรู ต้องใช้ไหวพริบในการต่อสู้มากกว่าเกมก่อน ๆ ของแฟรนไชส์ที่เน้นการฟัน ๆ แบบ Hack and Slash
และในปี 2023 ทางผู้พัฒนาก็ได้ต่อยอดความสำเร็จสร้างเกมภาคต่อในชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมีรีวิวตัวเกมนี้ว่ามันจะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมภาคแรกหรือไม่
กราฟิก / การนำเสนอ
สำหรับตัวกราฟิก ในภาคนี้ก็จะยังใช้โมเดลเดิมดั่งในภาคแรก แน่นอนว่าพอดูด้วยตาเปล่าก็อาจจะ แต่ผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดเพิ่มเติมทั้งในแง่ของแสงเงาที่มากขึ้น รายละเอียดที่มากขึ้น ยิ่งในช่วงของฉาก Cutscene เหล่าตัวละครนี่แทบจะเป็นเหมือนคนจริง ๆ แล้ว อีกสิ่งทีน่าสนใจก็คงจะเป็นในด้านแอนิเมชั่นของตัวละครที่การขยับตัวท่าทางต่าง ๆ จะมีรายละเอียดที่มากขึ้นด้วย
รวมถึงขนาดของแผนที่ที่ใหญ่มากกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ Open World แต่ตัวแผนที่จะมีโซนพื้นที่กว้างให้เราสำรวจได้เยอะมาก ๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงจะเป็นการ Optimise ตัวเกม ซึ่งผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 เป็นคอนโซลรุ่นปัจจุบัน แต่ตัวเกมไม่สามารถรันเฟรมเรทนิ่ง ๆ 60 FPS ได้เลย ยิ่งในเวลาที่อยู่ในพื้นที่กว้างเราจะเห็นการกระตุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันค่อนข้างส่งผลต่อการเล่นพอสมควร เพราะว่าเกมที่มีกลิ่นอาย Souls Like ถ้ากระตุก หรือบังคับไม่ได้ดั่งใจนิดเดียว มันอาจจะส่งผลทำให้เราตายได้เลย
เนื้อเรื่อง
สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Survivor จะเล่าเรื่องราวหลังจาก 5 ปีของเกมภาคแรก ซึ่งไทม์ไลน์จะอยู่ระหว่างภาพยนตร์ภาค 3 และ 4 ยังติตตามตัวละครเดิมอย่าง Cal Kestis เจไดหนุ่มที่ยังทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเหล่า Empire มาตลอด แต่ในภาคนี้พวกเขานั้นก็ได้มีจุดหมายใหม่ในการค้นหาดวงดาวใหม่อย่าง Tannalor ที่อาจจะเป็นความหวังของการอยู่รอดของเหล่าเจได
จากที่ได้ลองเล่นมาเนื้อเรื่องหลักของเกมมากกว่า 70% จะเป็นการตามล่าหาเข็มทิศที่เป็นอุปกรณ์ในการไปยังดวงดาวแห่งนี้ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าตัวเนื้อเรื่องทำออกมาได้ค่อนข้างจืดชืดเป็นอย่างมาก การผจญภัยต่าง ๆ ก็ดูค่อนข้างรวบรัดมากเกินไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คงจะเป็นมิติของตัวร้ายที่ทำออกมาได้ไม่แย่เลย พวกเขานั้นมีอุดมการณ์และมีเหตุผลในสิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าบทของบางตัวละครจะมีไม่เยอะมากก็เถอะ
แต่พอเกมดำเนินเรื่องราวมาถึงช่วง 3-4 ชั่วโมงท้าย กราฟต์ความสนุกและความเข้มข้นของเกมก็พุ่งสูงปรี๊ดดดดด และสุดท้ายก็ทำให้เราเข้าใจถึงแง่ประเด็นจริง ๆ ที่ผู้พัฒนาต้องการจะเล่า ที่จะพูดถึงการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากการตามไล่ล่าของ Empire ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการของตัวเอง หรือเหตุผลของตัวเองแตกต่างกันไป นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมภาคนี้ถึงใช้ชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor จากตอนแรกที่รู้สึกผิดหวังกับเนื้อเรื่อง กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ไม่เลวเลย
เกมเพลย์
ระบบการต่อสู้สำหรับใครที่เคยเล่นเกมภาคแรก ตัวเกมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมแต่ใดเลย กับสไตล์เกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น Souls Like เข้ามา การต่อสู้แต่ละครั้งตัวเรานั้นจะต้องจับจังหวะการโจมตีของศัตรู เราจะต้องใช้ดาบบล็อคการโจมตี หรือแดชหลบ การต่อสู้แต่ละครั้งเราจะต้องตั้งสติและพยายามให้ตัวเองเสียเลือดน้อยที่สุด ถือว่าเป็นแฟรนไชส์ที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งนะครับ เพราะตัวเกมยังมีระดับตัวเลือกความยากให้เรานั้นสามารถเข้าไปสนุกกับเนื้อเรื่อง รวมถึงยังสามารถสนุกกับเกมในโหมดที่ง่ายขึ้นได้ รวมถึงทางผู้พัฒนายังมีระบบตัวเลือกใหม่อย่าง Jedi Padawan ซึ่งจะเป็นระดับที่ต่ำกว่า Jedi Knight ที่ภาคที่แล้วเป็นระดับความง่ายรองลงมาจาก Story Mode เพราะผู้พัฒนาเผยว่ามีหลายคนที่ได้เล่นโหมดนี้แล้วยังยากเกินไปนั่นเอง
สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอีกก็คือรูปแบบของ Lightsaber ที่ในภาคนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีท่วงท่าการต่อสู้ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป Single Blade ดาบสไตล์ปกติที่จะมีประสิทธิภาพอยู่ระหว่างกลางในทุกอย่าง, Dual Blade ดาบคู่เป็นอาวุธที่เน้นโจมตีแบบรวดเร็ว, Double Bladed ดาบปลายหัวท้ายที่จะเน้นโจมตีแบบหมู่, Cross Guard Blade จะเป็นอาวุธที่ตีช้า แต่รุนแรงมาก และ Bluster and Blade เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ดาบและปืน ซึ่งจะสามารถทำดาเมจได้ไกล แต่จะทำดาเมจเบา โดยเราจะสามารถเลือกรูปแบบดาบไปใช้ในการต่อสู้ได้เพียงแค่ 2 รูปแบบเท่านั้น แต่ถ้าเจอจุดเซฟเราก็สามารถเปลี่ยนตรงนั้นได้เลย รวมถึงตัวเกมยังมีระบบการอัพเกรดที่เราสามารถอัพเกรดท่าต่าง ๆ ของรูปแบบขออาวุธที่เราอยากเล่นได้ด้วย
และระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบ Companions ที่ในบางฉากตัวเราจะมีเพื่อนร่วมทางที่จะมาช่วยเราต่อสู้ด้วย และความสามารถของตัวละครเพื่อนนั้นไม่ได้ขี้เหร่เบน พวกเขาสามารถทำดาเมจใส่ศัตรูได้เยอะมาก ๆ และที่สำคัญก็คือเราสามารถสั่งให้เพื่อนให้สกิลพิเศษที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อนวางระเบิดสตั๊นให้เราเวลาเจอกับศัตรูที่ถึกได้เป็นต้น
ฉากสำรวจภายในเกมนี้ ตัวเกมจะยังพาเราไปผจญภัยตามดวงดาวต่าง ๆ เช่นเดิม โดยดวงดาวหลัก ๆ ที่เราจะได้ไปผจญภัยนั้นจะมีอยู่ด้วยกันราว ๆ 2 - 3 ดาว (ไม่รวมดาวอื่น ๆ ที่อาจจะมีภารกิจเดียว) แต่แน่นอนอย่างที่กล่าวไปว่าขนาดของแผนที่นั้นจะมีความกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น ซึ่งใหญ่ขึ้นราว ๆ 2 - 3 เท่าของภาคที่แล้ว และจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน ๆ แต่สำหรับบางพื้นที่เราอาจจะยังไปไม่ได้ในตอนแรก เพราะข้อจำกัดในความสามารถบางอย่างของตัวละครเราที่อาจจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปจุดหนึ่งก่อนถึงจะปลดล็อคไปยังพื้นที่ใหม่
นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดวงดาวที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งภายในนั้นก็จะมีอะไรให้เราทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปรับแต่งทรงผม หนวดเคราของตัวละคร ซื้อของที่จำเป็น การทำสวน หรือแม้กระทั่งการรับภารกิจเสริม (เรียกว่า Rumour) ที่จะให้เราได้ไปทำภารกิจต่าง ๆ อย่างเช่นการล่าค่าหัว การไปยังพื้นที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่อง ซึ่งจะทำให้เราได้ของรางวัลพิเศษมา
อีกหนึ่งจุดเด่นนอกจากระบบการต่อสู้นั่นก็คือการสำรวจ ที่เราจะต้องเข้าไปยังดินแดนลับ หรือดินแดนต้องห้ามต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบการปีนป่าย ไต่กำแพงต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในภาคที่แล้วก็ยังมีอยู่เช่นเคย แต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่ลูกเล่นอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เราไม่เกิดความรู้สึกจำเจ ซึ่งตัวไอเดียก็มีเยอะมากไม่ว่าจะเป็นการขี่นกร่อนไปบนอากาศ การวาร์ปทะลุกำแพงเลเซอร์ การกระโดดขึ้นบอลลูนเพื่อส่งแรงกระโดดให้สูงขึ้นเป็นต้น
ความรู้สึกหลังเล่น
เริ่มจากตัวเกมเพลย์ แน่นอนว่ารูปแบบโดยรวมนี่ก็ยังเป็นเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ตัวเกมยังมีความท้าทายเช่นเดิม ซึ่งใครที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะติดใจอะไร แต่การที่เรามีรูปแบบดาบไลท์เซเบอร์ให้เลือกเล่นถึง 5 แบบก็ทำให้เกมเพลย์มีความไม่จำเจมากยิ่งขึ้นไปด้วย และสิ่งที่ผู้เล่นไม่ชอบเกมภาคที่แล้วมาก ๆ ก็คือการที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ภายในโลกมากเกินไป ลองคิดว่าเราเองนั้นเป็นแฟนเกมสตาร์วอรส์เราเองก็อยากต่อสู้กับเหล่า Stormtrooper หรือหุ่นยนต์ Droids มากกว่า แต่ในภาคนี้เราจะมีโอกาสได้ต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้มากขึ้น บอกเลยว่าประทับใจจริง ๆ
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตั้งแต่ช่วงแรกของเกม เลยไปจนถึงกลางเกม ตัวเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างมีความจืดชืดมาก ๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องการผจญภัย ตามหาของต่าง ๆ แน่นอนว่าเกมเพลย์ที่สนุกก็สามารถทดแทนกันได้ แต่พอเข้าถึงจุดไคล์แม็ก ตัวเนื้อเรื่องนั้นกลับเข้มข้น เล่าประเด็นที่อยากเล่าอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าสุดท้ายตัวเนื้อเรื่องจะยังคงสูตรสำเร็จไว้ แต่ก็มีบางประเด็นที่น่าสนใจ และทำให้เราอยากติดตามแฟรนไชส์นี้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย แถมสุดท้ายตัวเกมก็ยังมีซีนเซอร์วิสให้แฟน ๆ สตาร์วอส์ แถมยังเป็นเซอร์วิสที่ใกล้ชิดมากกว่าเซอร์วิสของภาคแรกด้วยแหละ
แต่สิ่งที่ไม่โอเคเลยกับเกมนี้ก็คงจะเป็นปัญหาด้าน Optimise ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ขนา่ดคอนโซลเจนใหม่ยังไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบ 60 FPS ได้ เวลาที่ตัวเกมต้องเรนเดอร์ฉากที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อรรธรสในการเล่นน้อยลงเยอะ แต่ก็ต้องรอดูในอนาคตว่าผู้พัฒนาอาจจะมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็ได้
เกมเพลย์ยังสนุกเช่นเดิม และมีความหลากหลายมากขึ้น
เนื้อเรื่องช่วงท้ายทำออกมาได้ดีมาก
เนื้อเรื่องแรก ๆ ค่อนข้างจืดไปหน่อย
ปัญหาเรื่อง Optimise เฟรมเรทตกหนักมากทั้ง ๆ ที่เป็นเครื่อง PlayStation 5
ถ้าให้ยกหนึ่งในเกมจากแฟรนไชส์ Star Wars ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ ชื่ออันดับต้น ๆ ในลิสต์ก็คงจะเป็น Star Wars Jedi: Fallen Order เกมแนว Action Adventure จากทาง Respawn Entertainment ค่ายเกมดังที่สร้าง Titanfall และ Apex Legends จัดจำหน่ายโดยทาง EA ซึ่งอ้างอิงจากทางร้านค้า Steam ตัวเกมได้คะแนนคำวิจารณ์ในทางบวกสูงถึง 85% เหตุผลก็เพราะว่าตัวเกมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมเพลย์ใส่กลิ่นอายของความเป็นเกมแนว Souls Like เข้าไปและมันกลับกลายเป็นดีอย่างมาก เพราะเราจะต้องเรียนรู้การโจมตีของศัตรู ต้องใช้ไหวพริบในการต่อสู้มากกว่าเกมก่อน ๆ ของแฟรนไชส์ที่เน้นการฟัน ๆ แบบ Hack and Slash
และในปี 2023 ทางผู้พัฒนาก็ได้ต่อยอดความสำเร็จสร้างเกมภาคต่อในชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor ซึ่งในวันนี้พวกเรา GameFever TH ก็ได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมนี้จนจบแล้วและจะมีรีวิวตัวเกมนี้ว่ามันจะยอดเยี่ยมเท่ากับเกมภาคแรกหรือไม่
กราฟิก / การนำเสนอ
สำหรับตัวกราฟิก ในภาคนี้ก็จะยังใช้โมเดลเดิมดั่งในภาคแรก แน่นอนว่าพอดูด้วยตาเปล่าก็อาจจะ แต่ผู้พัฒนาก็ได้ใส่รายละเอียดเพิ่มเติมทั้งในแง่ของแสงเงาที่มากขึ้น รายละเอียดที่มากขึ้น ยิ่งในช่วงของฉาก Cutscene เหล่าตัวละครนี่แทบจะเป็นเหมือนคนจริง ๆ แล้ว อีกสิ่งทีน่าสนใจก็คงจะเป็นในด้านแอนิเมชั่นของตัวละครที่การขยับตัวท่าทางต่าง ๆ จะมีรายละเอียดที่มากขึ้นด้วย
รวมถึงขนาดของแผนที่ที่ใหญ่มากกว่าเดิมถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ Open World แต่ตัวแผนที่จะมีโซนพื้นที่กว้างให้เราสำรวจได้เยอะมาก ๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คงจะเป็นการ Optimise ตัวเกม ซึ่งผู้เขียนนั้นเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 เป็นคอนโซลรุ่นปัจจุบัน แต่ตัวเกมไม่สามารถรันเฟรมเรทนิ่ง ๆ 60 FPS ได้เลย ยิ่งในเวลาที่อยู่ในพื้นที่กว้างเราจะเห็นการกระตุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันค่อนข้างส่งผลต่อการเล่นพอสมควร เพราะว่าเกมที่มีกลิ่นอาย Souls Like ถ้ากระตุก หรือบังคับไม่ได้ดั่งใจนิดเดียว มันอาจจะส่งผลทำให้เราตายได้เลย
เนื้อเรื่อง
สำหรับเนื้อเรื่องของเกม Star Wars Jedi: Survivor จะเล่าเรื่องราวหลังจาก 5 ปีของเกมภาคแรก ซึ่งไทม์ไลน์จะอยู่ระหว่างภาพยนตร์ภาค 3 และ 4 ยังติตตามตัวละครเดิมอย่าง Cal Kestis เจไดหนุ่มที่ยังทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเหล่า Empire มาตลอด แต่ในภาคนี้พวกเขานั้นก็ได้มีจุดหมายใหม่ในการค้นหาดวงดาวใหม่อย่าง Tannalor ที่อาจจะเป็นความหวังของการอยู่รอดของเหล่าเจได
จากที่ได้ลองเล่นมาเนื้อเรื่องหลักของเกมมากกว่า 70% จะเป็นการตามล่าหาเข็มทิศที่เป็นอุปกรณ์ในการไปยังดวงดาวแห่งนี้ ซึ่งยอมรับตามตรงว่าตัวเนื้อเรื่องทำออกมาได้ค่อนข้างจืดชืดเป็นอย่างมาก การผจญภัยต่าง ๆ ก็ดูค่อนข้างรวบรัดมากเกินไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คงจะเป็นมิติของตัวร้ายที่ทำออกมาได้ไม่แย่เลย พวกเขานั้นมีอุดมการณ์และมีเหตุผลในสิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าบทของบางตัวละครจะมีไม่เยอะมากก็เถอะ
แต่พอเกมดำเนินเรื่องราวมาถึงช่วง 3-4 ชั่วโมงท้าย กราฟต์ความสนุกและความเข้มข้นของเกมก็พุ่งสูงปรี๊ดดดดด และสุดท้ายก็ทำให้เราเข้าใจถึงแง่ประเด็นจริง ๆ ที่ผู้พัฒนาต้องการจะเล่า ที่จะพูดถึงการอยู่รอดของเหล่าเจไดจากการตามไล่ล่าของ Empire ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการของตัวเอง หรือเหตุผลของตัวเองแตกต่างกันไป นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมภาคนี้ถึงใช้ชื่อว่า Star Wars Jedi: Survivor จากตอนแรกที่รู้สึกผิดหวังกับเนื้อเรื่อง กลายเป็นหนึ่งในเกมที่ทำเนื้อเรื่องออกมาได้ไม่เลวเลย
เกมเพลย์
ระบบการต่อสู้สำหรับใครที่เคยเล่นเกมภาคแรก ตัวเกมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมแต่ใดเลย กับสไตล์เกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น Souls Like เข้ามา การต่อสู้แต่ละครั้งตัวเรานั้นจะต้องจับจังหวะการโจมตีของศัตรู เราจะต้องใช้ดาบบล็อคการโจมตี หรือแดชหลบ การต่อสู้แต่ละครั้งเราจะต้องตั้งสติและพยายามให้ตัวเองเสียเลือดน้อยที่สุด ถือว่าเป็นแฟรนไชส์ที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ผู้พัฒนาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับคนที่เล่นเกมแนวนี้ไม่เก่งนะครับ เพราะตัวเกมยังมีระดับตัวเลือกความยากให้เรานั้นสามารถเข้าไปสนุกกับเนื้อเรื่อง รวมถึงยังสามารถสนุกกับเกมในโหมดที่ง่ายขึ้นได้ รวมถึงทางผู้พัฒนายังมีระบบตัวเลือกใหม่อย่าง Jedi Padawan ซึ่งจะเป็นระดับที่ต่ำกว่า Jedi Knight ที่ภาคที่แล้วเป็นระดับความง่ายรองลงมาจาก Story Mode เพราะผู้พัฒนาเผยว่ามีหลายคนที่ได้เล่นโหมดนี้แล้วยังยากเกินไปนั่นเอง
สิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอีกก็คือรูปแบบของ Lightsaber ที่ในภาคนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีท่วงท่าการต่อสู้ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป Single Blade ดาบสไตล์ปกติที่จะมีประสิทธิภาพอยู่ระหว่างกลางในทุกอย่าง, Dual Blade ดาบคู่เป็นอาวุธที่เน้นโจมตีแบบรวดเร็ว, Double Bladed ดาบปลายหัวท้ายที่จะเน้นโจมตีแบบหมู่, Cross Guard Blade จะเป็นอาวุธที่ตีช้า แต่รุนแรงมาก และ Bluster and Blade เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ดาบและปืน ซึ่งจะสามารถทำดาเมจได้ไกล แต่จะทำดาเมจเบา โดยเราจะสามารถเลือกรูปแบบดาบไปใช้ในการต่อสู้ได้เพียงแค่ 2 รูปแบบเท่านั้น แต่ถ้าเจอจุดเซฟเราก็สามารถเปลี่ยนตรงนั้นได้เลย รวมถึงตัวเกมยังมีระบบการอัพเกรดที่เราสามารถอัพเกรดท่าต่าง ๆ ของรูปแบบขออาวุธที่เราอยากเล่นได้ด้วย
และระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบ Companions ที่ในบางฉากตัวเราจะมีเพื่อนร่วมทางที่จะมาช่วยเราต่อสู้ด้วย และความสามารถของตัวละครเพื่อนนั้นไม่ได้ขี้เหร่เบน พวกเขาสามารถทำดาเมจใส่ศัตรูได้เยอะมาก ๆ และที่สำคัญก็คือเราสามารถสั่งให้เพื่อนให้สกิลพิเศษที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อนวางระเบิดสตั๊นให้เราเวลาเจอกับศัตรูที่ถึกได้เป็นต้น
ฉากสำรวจภายในเกมนี้ ตัวเกมจะยังพาเราไปผจญภัยตามดวงดาวต่าง ๆ เช่นเดิม โดยดวงดาวหลัก ๆ ที่เราจะได้ไปผจญภัยนั้นจะมีอยู่ด้วยกันราว ๆ 2 - 3 ดาว (ไม่รวมดาวอื่น ๆ ที่อาจจะมีภารกิจเดียว) แต่แน่นอนอย่างที่กล่าวไปว่าขนาดของแผนที่นั้นจะมีความกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น ซึ่งใหญ่ขึ้นราว ๆ 2 - 3 เท่าของภาคที่แล้ว และจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน ๆ แต่สำหรับบางพื้นที่เราอาจจะยังไปไม่ได้ในตอนแรก เพราะข้อจำกัดในความสามารถบางอย่างของตัวละครเราที่อาจจะต้องเล่นเนื้อเรื่องไปจุดหนึ่งก่อนถึงจะปลดล็อคไปยังพื้นที่ใหม่
นอกจากนี้ตัวเกมยังมีดวงดาวที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งภายในนั้นก็จะมีอะไรให้เราทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปรับแต่งทรงผม หนวดเคราของตัวละคร ซื้อของที่จำเป็น การทำสวน หรือแม้กระทั่งการรับภารกิจเสริม (เรียกว่า Rumour) ที่จะให้เราได้ไปทำภารกิจต่าง ๆ อย่างเช่นการล่าค่าหัว การไปยังพื้นที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่อง ซึ่งจะทำให้เราได้ของรางวัลพิเศษมา
อีกหนึ่งจุดเด่นนอกจากระบบการต่อสู้นั่นก็คือการสำรวจ ที่เราจะต้องเข้าไปยังดินแดนลับ หรือดินแดนต้องห้ามต่าง ๆ แน่นอนว่าระบบการปีนป่าย ไต่กำแพงต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ในภาคที่แล้วก็ยังมีอยู่เช่นเคย แต่ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ได้ใส่ลูกเล่นอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เราไม่เกิดความรู้สึกจำเจ ซึ่งตัวไอเดียก็มีเยอะมากไม่ว่าจะเป็นการขี่นกร่อนไปบนอากาศ การวาร์ปทะลุกำแพงเลเซอร์ การกระโดดขึ้นบอลลูนเพื่อส่งแรงกระโดดให้สูงขึ้นเป็นต้น
ความรู้สึกหลังเล่น
เริ่มจากตัวเกมเพลย์ แน่นอนว่ารูปแบบโดยรวมนี่ก็ยังเป็นเกม Star Wars Jedi: Fallen Order ที่ตัวเกมยังมีความท้าทายเช่นเดิม ซึ่งใครที่ชอบเล่นเกมแนวนี้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะติดใจอะไร แต่การที่เรามีรูปแบบดาบไลท์เซเบอร์ให้เลือกเล่นถึง 5 แบบก็ทำให้เกมเพลย์มีความไม่จำเจมากยิ่งขึ้นไปด้วย และสิ่งที่ผู้เล่นไม่ชอบเกมภาคที่แล้วมาก ๆ ก็คือการที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ภายในโลกมากเกินไป ลองคิดว่าเราเองนั้นเป็นแฟนเกมสตาร์วอรส์เราเองก็อยากต่อสู้กับเหล่า Stormtrooper หรือหุ่นยนต์ Droids มากกว่า แต่ในภาคนี้เราจะมีโอกาสได้ต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้มากขึ้น บอกเลยว่าประทับใจจริง ๆ
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตั้งแต่ช่วงแรกของเกม เลยไปจนถึงกลางเกม ตัวเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างมีความจืดชืดมาก ๆ ตัวเกมจะนำเสนอเรื่องการผจญภัย ตามหาของต่าง ๆ แน่นอนว่าเกมเพลย์ที่สนุกก็สามารถทดแทนกันได้ แต่พอเข้าถึงจุดไคล์แม็ก ตัวเนื้อเรื่องนั้นกลับเข้มข้น เล่าประเด็นที่อยากเล่าอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าสุดท้ายตัวเนื้อเรื่องจะยังคงสูตรสำเร็จไว้ แต่ก็มีบางประเด็นที่น่าสนใจ และทำให้เราอยากติดตามแฟรนไชส์นี้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย แถมสุดท้ายตัวเกมก็ยังมีซีนเซอร์วิสให้แฟน ๆ สตาร์วอส์ แถมยังเป็นเซอร์วิสที่ใกล้ชิดมากกว่าเซอร์วิสของภาคแรกด้วยแหละ
แต่สิ่งที่ไม่โอเคเลยกับเกมนี้ก็คงจะเป็นปัญหาด้าน Optimise ที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ขนา่ดคอนโซลเจนใหม่ยังไม่สามารถเล่นเกมนี้แบบ 60 FPS ได้ เวลาที่ตัวเกมต้องเรนเดอร์ฉากที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อรรธรสในการเล่นน้อยลงเยอะ แต่ก็ต้องรอดูในอนาคตว่าผู้พัฒนาอาจจะมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็ได้