GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ข่าวเกม
[Review] รีวิว The Crew Motorfest เกมแข่งรถภาคใหม่จาก Ubisoft ที่ควรยกให้เป็นคู่แข่ง Forza Horizon!
ลงวันที่ 22/09/2023

Forza Horizon ถือเป็นซีรี่ส์ฺเกมแข่งรถอันดับ 1 มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว และปัจจุบันเกมแข่งรถนี้ก็ไร้คู่แข่ง จึงทำให้เกมภาคหลังๆ แอบมีความเป็น "เสือนอนกิน" ไม่ได้พัฒนาอะไรใหม่มาเห็นเสียเท่าไหร่ ยกตัวอย่างในเกม 5 ที่ระบบมีการอัปเกรดหรือเพิ่มมานิดหน่อย แถม DLC ภาคเสริมก็ทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเหมือนภาคก่อนแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ Ubisoft ได้วางขายเกมแข่งรถภาคใหม่ในชื่อ The Crew Motorfest แล้วเกมนี้ดันได้รับคำชมจากทั้งสื่อนอก และผู้เล่นหลายคนว่า "นี่คือเกมแข่งรถที่เจ๋งพอจะเป็นคู่แข่ง Forza Horizon" โดยมันจะเจ๋งขนาดไหน วันนี้ทางเรา GameFever ก็ขอมารีวิวตัวเกมให้ชมกัน!!! ดูได้ที่ด้านล่างเลย

คลิปตัวอย่างโหมแรง


The Crew Motorfest คือเกมอะไร?



เกมนี้เป็นแนว Racing ให้ผู้เล่นได้ขับรถแข่ง, เครื่องบิน, เรือ และอีกมากมาย โดยเกมยังเป็นแนว Open World ให้ผู้เล่นสามารถขับรถเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากแข่งรถได้เหมือน Forza Horizon แต่เกมนี้ก็ยังจะมีความเป็นแนว RPG อีกต่างหาก เนื่องจากผู้เล่นยังจะได้แข่งรถเพื่อฟาร์มอะไหล่แข่งรถที่มีการ "สุ่มค่าความเก่งต่างกันไป" โดยหลายคนได้เรียกแนวซีรี่ส์เกม The Crew ว่า "CaRPG" ส่วนเกมนี้ก็ยังเป็นแนวขับรถกึ่ง Simulation ที่ให้ผู้เล่นต้องสวมบทนักซิ่งหาเงินซื้อรถไปแข่ง และปรับแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เกมก็เป็นกึ่ง Arcade เพราะเวลาขับรถจะไม่ได้สมจริง เน้นขับง่ายๆ ชนแค่ไหนก็ขับต่อได้เรื่อยๆ


Story



The Crew Motorfest เป็นเกมที่ไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลัก หรือเนื้อเรื่องอะไรที่ให้ตามตอนต้นเกมแล้วมีสรุปตอนท้ายเกม เพราะเกมจะเล่าเพียงแค่ว่าคุณคือ "นักซิ่งหน้าใหม่" ที่ได้มาเข้าร่วมเทศกาลแข่งรถต่างๆ บนเกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีแรงจูงใจว่ามาเข้าร่วมเพราะอะไร หรือจะอยากล้างแค้นใคร ก็แค่มาเข้าร่วมเทศกาลแข่งรถเพราะใจมันรัก และเพื่อความสนุกเท่านั้น โดยการเล่าเรื่องแบบนี้ก็จะเหมือนกับของเกม Forza Horizon แต่ก็จะต่างกับเกม The Crew ภาค 1 ที่มีการเล่าเรื่องว่าตัวเอกได้มาแข่งรถเพื่อจะล้างแค้น ทำให้ใครที่เคยเล่นภาค 1 แล้วคิดว่าเกมจะมีการเล่าเรื่องโทนเดียวกัน ก็ต้องคิดใหม่กันก่อนนะ!!! แถมของเกมภาคนี้ก็ยังต่างจากของ 2 นิดหน่อยตรงที่ภาค 2 ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเอกนั้นอยากขึ้นไปเป็นนักซิ่งชื่อดังอันดับ 1 แต่ภาคนี้เหมือนแค่เอาสนุกล้วนๆ เลย

  • ภายในเกมนี้ เราจะยังได้ผจญภัยไปกับคู่หูที่เป็น AI ในชื่อว่า Cara โดยเธอจะคอยบอกเส้นทางไปแข่งในสนามต่างๆ และคอยพูดคุยกับเราบ่อยๆ เวลาเดินทางหรือแข่งรถเพื่อไม่ให้เหงา (แต่บางคนอาจรู้สึกว่าเธอพูดมากเกินไป)


อย่างไรก็ตาม เกม The Crew Motorfest ก็จะมีเนื้อเรื่องให้พบเจออยู่เหมือนกัน เพราะตัวเอกของเกมนั้นจะได้ไปแข่งรถในเทศกาลต่างๆ บนเกาะฮาวายที่มีอยู่จำนวนมาก และก็ยังมีธีมต่างกันไปอีก ยกตัวอย่างเทศกาล "แข่งรถสไตล์ญี่ปุ่น" ที่สนามแข่งจะเป็นแบบ Neon Race ให้ผู้เล่นได้แข่งยามกลางคืน และได้ชมไฟนีออนสวยๆ รวมทั้งก็แน่นอนว่าเราจะได้เอารถชื่อดังจากญี่ปุ่นมาลงสนาม แถมยังจะมี NPC ชาวญี่ปุ่นที่มาเป็นคู่แข่ง พร้อมคอยเล่าเรื่องตระกูลของพวกเขาให้ฟังเป็นต้น ขณะที่อีกเทศกาลคือ "แข่งรถชมเกาะฮาวาย" ที่สนามแข่งจะเน้นให้ผู้เล่นได้ชมวิวสวยๆ และได้ขับรถที่เน้นลุยโคลนลุยน้ำ รวมทั้งจะมี NPC คอยเล่าประวัติแลนด์มาร์คเกาะฮาวายให้ฟัง โดยเทศกาลแข่งรถในเกมนี้มีชื่อเรียกว่า "Playlist"


จากด้านบน เราจึงเห็นได้ว่าถ้าพูดถึงเนื้อเรื่องทั้งหมดภายในเกมนี้ ก็จะต้องพูดถึงเนื้อเรื่องที่อยู่ในทุก Playlist ของเกมนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องต่างๆ ใน Playlist นั้นก็อยู่ในขั้น "ไม่ได้ยอดเยี่ยม & ไม่ยอดแย่" เพราะข้อดีของเนื้อเรื่องเกมนี้ที่เป็น Playlist คือ "มันมีอะไรแปลกใหม่ให้เจออยู่บ่อยๆ จากการที่ Playlist นั้นมีธีมต่างกัน และ Playlist ในปัจจุบันก็มีมากกว่า 15 รูปแบบ" แต่ข้อเสียนั้นคือ NPC ที่เล่าเรื่องในทุก Playlist ไม่มีความน่าดึงดูดหรือน่าสนใจเลย เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะออกมาพล่ามเล่าเรื่องให้ฟังแค่ตอนแข่งเท่านั้น นานๆ ทีถึงจะมีโชว์ตัวให้ดูเป็นคัทซีนเท่ๆ ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรให้กินใจหรือทำให้ผูกพันธ์ ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้จะดูไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นภาพน่าจดจำ ถ้าจะจดจำก็คงจะเป็นฉากแข่งรถแต่ละสนามทุก Playlist ที่สวยมาก แต่ในส่วนนี้เราจะไปอธิบายเต็มๆ ในหัวข้อถัดไป แต่สุดท้ายนี้ขอสรุปในด้านเนื้อเรื่อง่ว่า 'เกมนี้ไม่เหมาะสำหรับเล่นเพื่อเสพเนื้อเรื่องแบบภาค 1 เพราะเนื้อเรื่องนั้นทำได้ไม่สุดด้วย"



Presentation


จากที่บอกตามในด้านเนื้อเรื่อง The Crew Motorfest คือเกมที่มีเป้าหมายการเล่นหลักๆ คือผู้เล่นจะต้องไปเข้าร่วม Playlist เรื่อยๆ โดยผู้เล่นเกมนี้ยังสามารถสร้างตัวละคร และแต่งหน้าตาหรือชุดได้หลายส่วน และหลังจากผู้เล่นสามารถจบ Playlist ทั้งหมดได้แล้ว เกมก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ รออยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น "สะสมรถในเกมที่มีมากกว่า 600+ คัน" หรือ "เข้าร่วมแข่งขันโหมดออนไลน์" หรือ "ผจญภัยทำกิจกรรมนอกเหนือการแข่งในโลก Open World อย่างการหาถ่ายรปแลนด์มาร์กสวยๆ" ซึ่งภายในเกมนั้นยังมีกิจกรรมอีกเพียบเลย และเกมนี้ยังเป็น Live Service ทำให้จะมีการ "เพิ่มกิจกรรมใหม่มาให้เล่นทุกอาทิตย์" ส่งผลให้คนเล่นเกมนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรทำแล้วเบื่อ

  • ทุกอาทิตย์ในเกมนี้จะมีกิจกรรมไม่เหมือนกัน และหลายๆ กิจกรรมจะผลักดันให้ผู้เล่นสะสมรถทุกคันในเกม เนื่องจากบางกิจกรรมจำเป็นให้เราต้องหาซื้อรถคันนั้น รวมทั้งการผ่านกิจกรรมก็จะทำให้ได้แต้มปลดล็อกรางวัลพิเศษคล้าย Battle Pass ทำให้เกมนี้มีอะไรทำเรื่อยๆ ขึ้นไปอีก


  • เกมภาคนี้ยังมีให้ผู้เล่น Custom Race ได้แล้วนะ โดยผู้เล่นจะยังกำหนดเส้นทางการแข่งเองไม่ได้ ต้องแข่งตามสนามแข่งจากใน Playlist แต่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เอารถอะไรมาแข่งกัน หรือจะแข่งกันในช่วงเวลาเช้าๆ หรือกลางคืน


  • นอกจากรถในเกมภาคนี้จะมีมากถึง 600+ คัน รถทุกคนในเกมก็ยังปรับแต่งความสวยงามได้หลายส่วน ไม่ว่าจะส่วนล้อที่ให้เลือกยางหลายแบบ หรือใส่สปอยเลอร์ได้หลายแบบ แถมยังมีให้ใส่ไฟนีออนกับเปลี่ยนสีควันรถได้ด้วย  


นอกจากนี้ ทางเราก็ขอกลับมาพูดเรื่อง Playlist ต่ออีกรอบ เนื่องจากระบบนี้นอกจากมันจะให้ผู้เล่นได้เจอเนื้อหาต่างกันแต่ละธีม ทาง Ubisoft ก็ยังทำสนามแข่งของธีมต่างๆ ออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ยกตัวอย่างเทศกาลแข่งรถชมเกาะฮาวายก็มี "ฉากธรรมชาติที่สวยงามอลังการสุดๆ" หรือเทศกาลแข่งรถสไตล์ญี่ปุ่นก็มี "ไฟนีออนประกอบฉากสวยอลังจนไม่น่าเชื่อว่านี่เกม Ubisoft" แล้วทุกๆ สนามแข่งใน Playlist จะมีรถพิเศษให้ผู้เล่นใช้ขับ แต่ถ้าขับแล้วติดใจก็สามารถไปซื้อในร้านค้ามาเป็นเจ้าของได้ แถมบาง Playlist ก็ยังมีประโยชน์มากๆ เพราะมันจะเล่าเรื่องหรือนำเสนอประวัติรถต่างๆ ยกตัวอย่างในเทศกาล "แข่งรถยี่ห้อ Porsche" ก็จะมีการเล่าเรื่องรถ Porsche ในประวัติศาสตร์ที่โด่งดัง และก็จะให้ผู้เล่นได้ใช้ขับแข่งในสนามของเทศกาลดังกล่าว ทำให้แม้ด้าน Playlist จะทำเนื้อเรื่องได้ไม่สุด แต่ด้านนำเสนอคือมันสุดยอดจริงๆ และด้านนี้ก็เป็นไม้ตายให้เกมนี้สมควรได้เป็นคู่แข่ง Forza Horizon แถมใน 1 Playlist ก็มีให้พบเจอการแข่งในสนามต่างกันมากกว่า 8 แบบนะ

  • Playlist จะยังมีการอัปเดตเข้าสู่เกมเรื่อยๆ แบบฟรี แต่ว่าถ้าใครมี Season Pass ก็จะได้เล่นก่อนใครด้วย


อย่างไรก็ตาม ในด้านการนำเสนอก็ยังมีข้อเสียที่ติดมาจากเกม The Crew 2 เพราะเกมภาคนี้ก็ยังมีปัญหาคือ "มันนำเสนอหลายอย่าง แต่ทำได้ไม่สุด" ยกตัวอย่างเกมภาคนี้ก็ยังมีให้ใช้เครื่องบิน & เรือขับแข่งกันอยู่ แต่การขับแข่งพวกนี้มันก็ไม่ได้มีลูกเล่นน่าสนใจหรือเจ๋งๆ อะไรเยอะ และเกมภาคนี้ก็มีให้แข่งรถแบบ F1 ในสนามด้วย พร้อมมีรายละเอียดน่าสนใจมาก ยกตัวอย่างการที่ผู้เล่นต้องไปจอดให้ทีมงานเปลี่ยนยาง แต่ท้ายที่สุดการแข่งรถแบบ F1 มันก็ยังทำได้ไม่สุดอยู่ดี แล้วการที่เกมทำระบบแข่งซิ่งหลายรูปแบบ ก็ส่งผลให้การแข่งรถทั่วไปในเกมก็ทำได้ไม่สุดอีกต่างหาก ส่งผลให้ถ้าเกมภาคนี้กลับไปทำเป็นแบบภาค 1 ที่มีเพียงการแข่งรถล้วนๆ ก็จะทำให้เกมคงยอดเยี่ยมได้มากกว่านี้ 



Gameplay


ถ้าใครเคยเล่น The Crew 1 ก็น่าจะจำได้ว่าระบบขับรถนั้นทำมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาควบคุมหรือเลี้ยวนั้นทำได้ไม่ลื่นไหล อารมณ์เหมือนทีมพัฒนาออกแบบมาไม่ค่อยดี ทั้งๆ ที่ระบบขับรถในเกมนี้จะเป็นในรูปแบบ Arcade ส่วนตอนมาเป็นเกมภาค The Crew 2 ก็จะมีการปรับให้ขับลื่นไหลขึ้น แต่เวลาเลี้ยวหรือเบรคก็จะยังรู้สึกน่าหงุดหงิดอยู่ ขณะที่มาในเกม The Crew Motorfest ก็จะมีการปรับให้ขับได้ลื่นไหลทุกส่วนระดับเอาชนะของเกม Need for Speed ได้แล้วนะ!!! ผู้เขียนรู้สึกได้เลยว่าเวลาเบรคหรือเลี้ยวมันได้ใจกว่าภาคก่อนๆ มาก มันไม่มีความรู้สึกว่ารถมันขับไม่ได้ดั่งใจอีกแล้ว แถมในภาคนี้ก็ให้ผู้เล่นชนต้นไม้หรือสิ่งประกอบฉากหลายส่วนให้โคล่นลงได้เสียที ตอนภาคก่อนเวลาขับชนต้นไม้แล้วทำให้รถหยุดนี่เป็นอะไรที่น่าขัดใจจริงๆ!!!

  • เกมยังใส่รายละเอียดรถมาดีกว่าเดิมด้วย ยกตัวอย่างขับลุยโคลนก็มีโคลนติดรถได้ หรือถ้าขับชนมากๆ ก็จะทำให้กระจกรถร้าว แต่น่าเสียดายที่ภาคนี้ทำภายในรถไม่ละเอียดดีเท่าภาค 2 แต่ตอนขับในมุมมอง First Person ก็ยังดูดีอยู่นะ


  • เกมภาคนี้ยังคงมีเอกลักษณ์คือมอเตอร์ไซค์ให้ขับเช่นเคย แถมภาคนี้ทำอนิเมชั่นคนขับออกมาดูสมจริงมากๆ สาย 2 ล้อที่ถูกใจการแข่งมอเตอร์ไซค์เกมนี้มาตั้งแต่ภาค 1 ได้ฟินเพิ่มแน่นอน


ส่วนการแข่งขันกับ AI ในสนามต่างๆ ของเกมภาคนี้ เราก็สามารถปรับความยากในระดับที่ให้ AI เก่งฝีมือแบบเอาชนะยากได้แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือ AI ภาคนี้จะไม่มีการใช้รถที่โกงกว่าเรา เพราะ AI ก็จะใช้รถที่มีระดับ Class ใกล้เคียงกับเราด้วย และทุกสนามแข่งเกมนี้ก็มีการนำเอกลักษณ์ของเกมภาคก่อนคือ "การแข่งแบบ Long Race" มาต่อยอดให้ดีกว่าเดิม หลายๆ สนามในเกมนั้นจะใช้เวลาแข่งไม่ต่ำกว่า 5-10 นาที หรือบางสนามก็ล่อไปถึง 20 นาทีเลยทีเดียว โดยการแข่งยาวๆ นี้ก็จะเป็นการให้เราขับแทบทั่วแผนที่ Open World ในเกมเช่นเคยนั่นเอง แต่ก็อาจจะไม่ได้โหดระดับของภาค 1 กับ 2 เพราะแผนที่ภาคนี้เป็นเกาะเล็กๆ ในแถบฮาวาย ไม่ได้เป็นเมืองสหรัฐอเมริกาเหมือนภาค 1 หรือ 2 ทำให้ผู้เล่นจะไม่ได้ถึงขนาด 30-40 นาที

  • หลังแข่งจบทุกครั้ง ผู้เล่นจะได้รับอะไหล่มาปรับแต่งรถให้แข็งแกร่งขึ้นได้ โดยบางอะไหล่อาจทำให้คุณเลี้ยวได้ดีขึ้น หรือบางอันก็ทำให้เวลากระโดดดีกว่าเดิม ทำให้สายฟาร์ม RPG จะชอบเกมนี้เป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่ใช่สาย RPG ก็อาจแอบไม่ชอบระบบนี้


นอกจากนี้ เกมก็มีโหมดแข่งขันแบบออนไลน์ที่เจ๋งแปลกใหม่มาก โดยโหมด PvP ก็ยังจะเป็น Long Race แบบที่ได้แจ้งไป แต่ก็จะเป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นมากถึง 24 คนมาแข่งในสนามเดียวกัน และในโหมดยังมีให้เปลี่ยนรถเป็นชนิดอื่นๆ กลางทางเพื่อความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนกล้าพูดเลยว่าถ้าใครชอบเกมแข่งรถ PvP ก็จะต้องชอบเกมภาคนี้สุดๆ แน่นอน แต่สาย PvE ก็สนุกได้เหมือนกัน ส่งผลให้เห็นได้เลยว่าเกมเพลย์นอกจากดีขึ้น ยังสนุกครบสูตรแบบไร้ปัญหา



Performance


ผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ทั้งบน PC และ PlayStation 5 ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงบน PlayStation 5 ก่อนว่ามันก็ทำภาพสวยออกมาได้ดี แถมก็สามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 60fps (มีค้างบ่อยบ้างนิดหน่อย) พร้อมกับมีโหมด 4k 30fps อีกด้วย แต่เกมนั้นจะใช้ระบบกราฟิกลบรอยหยัก TAA ในรูปแบบที่เบลอหนักมาก ถ้าใครเคยเล่นเกม Far Cry 6 บน PS5 ก็น่าจะเข้าใจดี ส่งผลให้ถ้าใครเล่นผ่านมอนิเตอร์ 1080p นี่คือจะไม่ไหวเลย แต่ถ้าเล่นผ่านจอ 2K ก็จะดีขึ้นมาหน่อย ส่วนถ้าเล่นบนทีวีนั่งไกลๆ ก็จะไม่มีปัญหา


ส่วนบน PC ถ้าปรับภาพได้ที่ Ultra ก็จะสวยกว่ามาก และสามารถแก้ไขเรื่อง TAA ผ่านไดรเวอร์การ์ดจอให้ไม่เบลอขึ้นมาได้ แถมบน PC ก็ไม่มีปัญหากระตุกค้างบ่อยเลย สามารถเล่นได้ลื่นๆ ไร้ปัญหาทั้งตัวเกมกับเซิร์ฟเวอร์ ถือเป็นเกมที่ทำให้เห็นชัดเลยว่า "ขัดเกลามาดีทุกส่วน ไม่ได้รีบวางขาย" แถมที่น่าสนใจคือเกมนี้ยังกินสเปคน้อยกว่า Forza Horizon 5 ยกตัวอย่าง VRAM ถ้าปรับสุดก็ใช้น้อยกว่า แต่ภาพนั้นทำได้สวยใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ถ้าคอมใครเล่น Forza Horizon 5 ไม่ไหวก็ลองเกมนี้ได้


สรุป


The Crew Motorfest คือเกมแข่งรถที่คุณภาพดีเอาเรื่อง คุ้มค่าแก่เงินที่เสียไปอย่างเห็นได้ชัด อาจน่าเสียดายหน่อยที่เกมไม่ค่อยสร้างความน่าจดจำในด้านเนื้อเรื่อง หรือนำเสนออะไรได้สุดจนทำให้ผู้เล่นยกให้เป็นเกมขึ้นหิ้ง แต่มันก็คือเกมที่แม้คุณจะเคยได้เล่นเกมอันดับ 1 อย่าง Forza Horizon 5 ก็ยังรู้สึกได้เจอเซอร์ไพร์สใหม่ๆ น่าหลงไหลจำนวนมากภายในเกมนี้ และก็ทำให้คุณเอาใจช่วยว่าเกมจะอัปเดตเรื่อยๆ จนดีระดับทำให้ Forza Horizon ต้องไม่ทำตัวเป็นเสือนอนกินได้แล้วนั่นเอง


ขอขอบคุณทาง Ubisoft ด้วยนะครับ ที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้รีวิวกัน


7
ข้อดี

ฉากสวย แผนที่สวย น่าหลงไหลทุกพื้นที่

กิจกรรมเพียบทั้ง PvE กับ PvP แถมไม่ซ้ำซาก

Playlist ดีระดับเป็นไม้ตายให้เกมคู่แข่งสะเทือน

รถเยอะ และแต่งได้สมใจเช่นเคย

ข้อเสีย

เนื้อเรื่องใน Playlist ไม่น่าจดจำ

เกมเพลย์ยังทำได้ไม่สุดเหมือนภาค 2


8

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิว The Crew Motorfest เกมแข่งรถภาคใหม่จาก Ubisoft ที่ควรยกให้เป็นคู่แข่ง Forza Horizon!
22/09/2023

Forza Horizon ถือเป็นซีรี่ส์ฺเกมแข่งรถอันดับ 1 มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว และปัจจุบันเกมแข่งรถนี้ก็ไร้คู่แข่ง จึงทำให้เกมภาคหลังๆ แอบมีความเป็น "เสือนอนกิน" ไม่ได้พัฒนาอะไรใหม่มาเห็นเสียเท่าไหร่ ยกตัวอย่างในเกม 5 ที่ระบบมีการอัปเกรดหรือเพิ่มมานิดหน่อย แถม DLC ภาคเสริมก็ทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเหมือนภาคก่อนแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ Ubisoft ได้วางขายเกมแข่งรถภาคใหม่ในชื่อ The Crew Motorfest แล้วเกมนี้ดันได้รับคำชมจากทั้งสื่อนอก และผู้เล่นหลายคนว่า "นี่คือเกมแข่งรถที่เจ๋งพอจะเป็นคู่แข่ง Forza Horizon" โดยมันจะเจ๋งขนาดไหน วันนี้ทางเรา GameFever ก็ขอมารีวิวตัวเกมให้ชมกัน!!! ดูได้ที่ด้านล่างเลย

คลิปตัวอย่างโหมแรง


The Crew Motorfest คือเกมอะไร?



เกมนี้เป็นแนว Racing ให้ผู้เล่นได้ขับรถแข่ง, เครื่องบิน, เรือ และอีกมากมาย โดยเกมยังเป็นแนว Open World ให้ผู้เล่นสามารถขับรถเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากแข่งรถได้เหมือน Forza Horizon แต่เกมนี้ก็ยังจะมีความเป็นแนว RPG อีกต่างหาก เนื่องจากผู้เล่นยังจะได้แข่งรถเพื่อฟาร์มอะไหล่แข่งรถที่มีการ "สุ่มค่าความเก่งต่างกันไป" โดยหลายคนได้เรียกแนวซีรี่ส์เกม The Crew ว่า "CaRPG" ส่วนเกมนี้ก็ยังเป็นแนวขับรถกึ่ง Simulation ที่ให้ผู้เล่นต้องสวมบทนักซิ่งหาเงินซื้อรถไปแข่ง และปรับแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เกมก็เป็นกึ่ง Arcade เพราะเวลาขับรถจะไม่ได้สมจริง เน้นขับง่ายๆ ชนแค่ไหนก็ขับต่อได้เรื่อยๆ


Story



The Crew Motorfest เป็นเกมที่ไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลัก หรือเนื้อเรื่องอะไรที่ให้ตามตอนต้นเกมแล้วมีสรุปตอนท้ายเกม เพราะเกมจะเล่าเพียงแค่ว่าคุณคือ "นักซิ่งหน้าใหม่" ที่ได้มาเข้าร่วมเทศกาลแข่งรถต่างๆ บนเกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีแรงจูงใจว่ามาเข้าร่วมเพราะอะไร หรือจะอยากล้างแค้นใคร ก็แค่มาเข้าร่วมเทศกาลแข่งรถเพราะใจมันรัก และเพื่อความสนุกเท่านั้น โดยการเล่าเรื่องแบบนี้ก็จะเหมือนกับของเกม Forza Horizon แต่ก็จะต่างกับเกม The Crew ภาค 1 ที่มีการเล่าเรื่องว่าตัวเอกได้มาแข่งรถเพื่อจะล้างแค้น ทำให้ใครที่เคยเล่นภาค 1 แล้วคิดว่าเกมจะมีการเล่าเรื่องโทนเดียวกัน ก็ต้องคิดใหม่กันก่อนนะ!!! แถมของเกมภาคนี้ก็ยังต่างจากของ 2 นิดหน่อยตรงที่ภาค 2 ยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเอกนั้นอยากขึ้นไปเป็นนักซิ่งชื่อดังอันดับ 1 แต่ภาคนี้เหมือนแค่เอาสนุกล้วนๆ เลย

  • ภายในเกมนี้ เราจะยังได้ผจญภัยไปกับคู่หูที่เป็น AI ในชื่อว่า Cara โดยเธอจะคอยบอกเส้นทางไปแข่งในสนามต่างๆ และคอยพูดคุยกับเราบ่อยๆ เวลาเดินทางหรือแข่งรถเพื่อไม่ให้เหงา (แต่บางคนอาจรู้สึกว่าเธอพูดมากเกินไป)


อย่างไรก็ตาม เกม The Crew Motorfest ก็จะมีเนื้อเรื่องให้พบเจออยู่เหมือนกัน เพราะตัวเอกของเกมนั้นจะได้ไปแข่งรถในเทศกาลต่างๆ บนเกาะฮาวายที่มีอยู่จำนวนมาก และก็ยังมีธีมต่างกันไปอีก ยกตัวอย่างเทศกาล "แข่งรถสไตล์ญี่ปุ่น" ที่สนามแข่งจะเป็นแบบ Neon Race ให้ผู้เล่นได้แข่งยามกลางคืน และได้ชมไฟนีออนสวยๆ รวมทั้งก็แน่นอนว่าเราจะได้เอารถชื่อดังจากญี่ปุ่นมาลงสนาม แถมยังจะมี NPC ชาวญี่ปุ่นที่มาเป็นคู่แข่ง พร้อมคอยเล่าเรื่องตระกูลของพวกเขาให้ฟังเป็นต้น ขณะที่อีกเทศกาลคือ "แข่งรถชมเกาะฮาวาย" ที่สนามแข่งจะเน้นให้ผู้เล่นได้ชมวิวสวยๆ และได้ขับรถที่เน้นลุยโคลนลุยน้ำ รวมทั้งจะมี NPC คอยเล่าประวัติแลนด์มาร์คเกาะฮาวายให้ฟัง โดยเทศกาลแข่งรถในเกมนี้มีชื่อเรียกว่า "Playlist"


จากด้านบน เราจึงเห็นได้ว่าถ้าพูดถึงเนื้อเรื่องทั้งหมดภายในเกมนี้ ก็จะต้องพูดถึงเนื้อเรื่องที่อยู่ในทุก Playlist ของเกมนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องต่างๆ ใน Playlist นั้นก็อยู่ในขั้น "ไม่ได้ยอดเยี่ยม & ไม่ยอดแย่" เพราะข้อดีของเนื้อเรื่องเกมนี้ที่เป็น Playlist คือ "มันมีอะไรแปลกใหม่ให้เจออยู่บ่อยๆ จากการที่ Playlist นั้นมีธีมต่างกัน และ Playlist ในปัจจุบันก็มีมากกว่า 15 รูปแบบ" แต่ข้อเสียนั้นคือ NPC ที่เล่าเรื่องในทุก Playlist ไม่มีความน่าดึงดูดหรือน่าสนใจเลย เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะออกมาพล่ามเล่าเรื่องให้ฟังแค่ตอนแข่งเท่านั้น นานๆ ทีถึงจะมีโชว์ตัวให้ดูเป็นคัทซีนเท่ๆ ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรให้กินใจหรือทำให้ผูกพันธ์ ทำให้เนื้อเรื่องในเกมนี้จะดูไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นภาพน่าจดจำ ถ้าจะจดจำก็คงจะเป็นฉากแข่งรถแต่ละสนามทุก Playlist ที่สวยมาก แต่ในส่วนนี้เราจะไปอธิบายเต็มๆ ในหัวข้อถัดไป แต่สุดท้ายนี้ขอสรุปในด้านเนื้อเรื่อง่ว่า 'เกมนี้ไม่เหมาะสำหรับเล่นเพื่อเสพเนื้อเรื่องแบบภาค 1 เพราะเนื้อเรื่องนั้นทำได้ไม่สุดด้วย"



Presentation


จากที่บอกตามในด้านเนื้อเรื่อง The Crew Motorfest คือเกมที่มีเป้าหมายการเล่นหลักๆ คือผู้เล่นจะต้องไปเข้าร่วม Playlist เรื่อยๆ โดยผู้เล่นเกมนี้ยังสามารถสร้างตัวละคร และแต่งหน้าตาหรือชุดได้หลายส่วน และหลังจากผู้เล่นสามารถจบ Playlist ทั้งหมดได้แล้ว เกมก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ รออยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น "สะสมรถในเกมที่มีมากกว่า 600+ คัน" หรือ "เข้าร่วมแข่งขันโหมดออนไลน์" หรือ "ผจญภัยทำกิจกรรมนอกเหนือการแข่งในโลก Open World อย่างการหาถ่ายรปแลนด์มาร์กสวยๆ" ซึ่งภายในเกมนั้นยังมีกิจกรรมอีกเพียบเลย และเกมนี้ยังเป็น Live Service ทำให้จะมีการ "เพิ่มกิจกรรมใหม่มาให้เล่นทุกอาทิตย์" ส่งผลให้คนเล่นเกมนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรทำแล้วเบื่อ

  • ทุกอาทิตย์ในเกมนี้จะมีกิจกรรมไม่เหมือนกัน และหลายๆ กิจกรรมจะผลักดันให้ผู้เล่นสะสมรถทุกคันในเกม เนื่องจากบางกิจกรรมจำเป็นให้เราต้องหาซื้อรถคันนั้น รวมทั้งการผ่านกิจกรรมก็จะทำให้ได้แต้มปลดล็อกรางวัลพิเศษคล้าย Battle Pass ทำให้เกมนี้มีอะไรทำเรื่อยๆ ขึ้นไปอีก


  • เกมภาคนี้ยังมีให้ผู้เล่น Custom Race ได้แล้วนะ โดยผู้เล่นจะยังกำหนดเส้นทางการแข่งเองไม่ได้ ต้องแข่งตามสนามแข่งจากใน Playlist แต่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เอารถอะไรมาแข่งกัน หรือจะแข่งกันในช่วงเวลาเช้าๆ หรือกลางคืน


  • นอกจากรถในเกมภาคนี้จะมีมากถึง 600+ คัน รถทุกคนในเกมก็ยังปรับแต่งความสวยงามได้หลายส่วน ไม่ว่าจะส่วนล้อที่ให้เลือกยางหลายแบบ หรือใส่สปอยเลอร์ได้หลายแบบ แถมยังมีให้ใส่ไฟนีออนกับเปลี่ยนสีควันรถได้ด้วย  


นอกจากนี้ ทางเราก็ขอกลับมาพูดเรื่อง Playlist ต่ออีกรอบ เนื่องจากระบบนี้นอกจากมันจะให้ผู้เล่นได้เจอเนื้อหาต่างกันแต่ละธีม ทาง Ubisoft ก็ยังทำสนามแข่งของธีมต่างๆ ออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ยกตัวอย่างเทศกาลแข่งรถชมเกาะฮาวายก็มี "ฉากธรรมชาติที่สวยงามอลังการสุดๆ" หรือเทศกาลแข่งรถสไตล์ญี่ปุ่นก็มี "ไฟนีออนประกอบฉากสวยอลังจนไม่น่าเชื่อว่านี่เกม Ubisoft" แล้วทุกๆ สนามแข่งใน Playlist จะมีรถพิเศษให้ผู้เล่นใช้ขับ แต่ถ้าขับแล้วติดใจก็สามารถไปซื้อในร้านค้ามาเป็นเจ้าของได้ แถมบาง Playlist ก็ยังมีประโยชน์มากๆ เพราะมันจะเล่าเรื่องหรือนำเสนอประวัติรถต่างๆ ยกตัวอย่างในเทศกาล "แข่งรถยี่ห้อ Porsche" ก็จะมีการเล่าเรื่องรถ Porsche ในประวัติศาสตร์ที่โด่งดัง และก็จะให้ผู้เล่นได้ใช้ขับแข่งในสนามของเทศกาลดังกล่าว ทำให้แม้ด้าน Playlist จะทำเนื้อเรื่องได้ไม่สุด แต่ด้านนำเสนอคือมันสุดยอดจริงๆ และด้านนี้ก็เป็นไม้ตายให้เกมนี้สมควรได้เป็นคู่แข่ง Forza Horizon แถมใน 1 Playlist ก็มีให้พบเจอการแข่งในสนามต่างกันมากกว่า 8 แบบนะ

  • Playlist จะยังมีการอัปเดตเข้าสู่เกมเรื่อยๆ แบบฟรี แต่ว่าถ้าใครมี Season Pass ก็จะได้เล่นก่อนใครด้วย


อย่างไรก็ตาม ในด้านการนำเสนอก็ยังมีข้อเสียที่ติดมาจากเกม The Crew 2 เพราะเกมภาคนี้ก็ยังมีปัญหาคือ "มันนำเสนอหลายอย่าง แต่ทำได้ไม่สุด" ยกตัวอย่างเกมภาคนี้ก็ยังมีให้ใช้เครื่องบิน & เรือขับแข่งกันอยู่ แต่การขับแข่งพวกนี้มันก็ไม่ได้มีลูกเล่นน่าสนใจหรือเจ๋งๆ อะไรเยอะ และเกมภาคนี้ก็มีให้แข่งรถแบบ F1 ในสนามด้วย พร้อมมีรายละเอียดน่าสนใจมาก ยกตัวอย่างการที่ผู้เล่นต้องไปจอดให้ทีมงานเปลี่ยนยาง แต่ท้ายที่สุดการแข่งรถแบบ F1 มันก็ยังทำได้ไม่สุดอยู่ดี แล้วการที่เกมทำระบบแข่งซิ่งหลายรูปแบบ ก็ส่งผลให้การแข่งรถทั่วไปในเกมก็ทำได้ไม่สุดอีกต่างหาก ส่งผลให้ถ้าเกมภาคนี้กลับไปทำเป็นแบบภาค 1 ที่มีเพียงการแข่งรถล้วนๆ ก็จะทำให้เกมคงยอดเยี่ยมได้มากกว่านี้ 



Gameplay


ถ้าใครเคยเล่น The Crew 1 ก็น่าจะจำได้ว่าระบบขับรถนั้นทำมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาควบคุมหรือเลี้ยวนั้นทำได้ไม่ลื่นไหล อารมณ์เหมือนทีมพัฒนาออกแบบมาไม่ค่อยดี ทั้งๆ ที่ระบบขับรถในเกมนี้จะเป็นในรูปแบบ Arcade ส่วนตอนมาเป็นเกมภาค The Crew 2 ก็จะมีการปรับให้ขับลื่นไหลขึ้น แต่เวลาเลี้ยวหรือเบรคก็จะยังรู้สึกน่าหงุดหงิดอยู่ ขณะที่มาในเกม The Crew Motorfest ก็จะมีการปรับให้ขับได้ลื่นไหลทุกส่วนระดับเอาชนะของเกม Need for Speed ได้แล้วนะ!!! ผู้เขียนรู้สึกได้เลยว่าเวลาเบรคหรือเลี้ยวมันได้ใจกว่าภาคก่อนๆ มาก มันไม่มีความรู้สึกว่ารถมันขับไม่ได้ดั่งใจอีกแล้ว แถมในภาคนี้ก็ให้ผู้เล่นชนต้นไม้หรือสิ่งประกอบฉากหลายส่วนให้โคล่นลงได้เสียที ตอนภาคก่อนเวลาขับชนต้นไม้แล้วทำให้รถหยุดนี่เป็นอะไรที่น่าขัดใจจริงๆ!!!

  • เกมยังใส่รายละเอียดรถมาดีกว่าเดิมด้วย ยกตัวอย่างขับลุยโคลนก็มีโคลนติดรถได้ หรือถ้าขับชนมากๆ ก็จะทำให้กระจกรถร้าว แต่น่าเสียดายที่ภาคนี้ทำภายในรถไม่ละเอียดดีเท่าภาค 2 แต่ตอนขับในมุมมอง First Person ก็ยังดูดีอยู่นะ


  • เกมภาคนี้ยังคงมีเอกลักษณ์คือมอเตอร์ไซค์ให้ขับเช่นเคย แถมภาคนี้ทำอนิเมชั่นคนขับออกมาดูสมจริงมากๆ สาย 2 ล้อที่ถูกใจการแข่งมอเตอร์ไซค์เกมนี้มาตั้งแต่ภาค 1 ได้ฟินเพิ่มแน่นอน


ส่วนการแข่งขันกับ AI ในสนามต่างๆ ของเกมภาคนี้ เราก็สามารถปรับความยากในระดับที่ให้ AI เก่งฝีมือแบบเอาชนะยากได้แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือ AI ภาคนี้จะไม่มีการใช้รถที่โกงกว่าเรา เพราะ AI ก็จะใช้รถที่มีระดับ Class ใกล้เคียงกับเราด้วย และทุกสนามแข่งเกมนี้ก็มีการนำเอกลักษณ์ของเกมภาคก่อนคือ "การแข่งแบบ Long Race" มาต่อยอดให้ดีกว่าเดิม หลายๆ สนามในเกมนั้นจะใช้เวลาแข่งไม่ต่ำกว่า 5-10 นาที หรือบางสนามก็ล่อไปถึง 20 นาทีเลยทีเดียว โดยการแข่งยาวๆ นี้ก็จะเป็นการให้เราขับแทบทั่วแผนที่ Open World ในเกมเช่นเคยนั่นเอง แต่ก็อาจจะไม่ได้โหดระดับของภาค 1 กับ 2 เพราะแผนที่ภาคนี้เป็นเกาะเล็กๆ ในแถบฮาวาย ไม่ได้เป็นเมืองสหรัฐอเมริกาเหมือนภาค 1 หรือ 2 ทำให้ผู้เล่นจะไม่ได้ถึงขนาด 30-40 นาที

  • หลังแข่งจบทุกครั้ง ผู้เล่นจะได้รับอะไหล่มาปรับแต่งรถให้แข็งแกร่งขึ้นได้ โดยบางอะไหล่อาจทำให้คุณเลี้ยวได้ดีขึ้น หรือบางอันก็ทำให้เวลากระโดดดีกว่าเดิม ทำให้สายฟาร์ม RPG จะชอบเกมนี้เป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่ใช่สาย RPG ก็อาจแอบไม่ชอบระบบนี้


นอกจากนี้ เกมก็มีโหมดแข่งขันแบบออนไลน์ที่เจ๋งแปลกใหม่มาก โดยโหมด PvP ก็ยังจะเป็น Long Race แบบที่ได้แจ้งไป แต่ก็จะเป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นมากถึง 24 คนมาแข่งในสนามเดียวกัน และในโหมดยังมีให้เปลี่ยนรถเป็นชนิดอื่นๆ กลางทางเพื่อความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนกล้าพูดเลยว่าถ้าใครชอบเกมแข่งรถ PvP ก็จะต้องชอบเกมภาคนี้สุดๆ แน่นอน แต่สาย PvE ก็สนุกได้เหมือนกัน ส่งผลให้เห็นได้เลยว่าเกมเพลย์นอกจากดีขึ้น ยังสนุกครบสูตรแบบไร้ปัญหา



Performance


ผู้เขียนได้เล่นเกมนี้ทั้งบน PC และ PlayStation 5 ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงบน PlayStation 5 ก่อนว่ามันก็ทำภาพสวยออกมาได้ดี แถมก็สามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 60fps (มีค้างบ่อยบ้างนิดหน่อย) พร้อมกับมีโหมด 4k 30fps อีกด้วย แต่เกมนั้นจะใช้ระบบกราฟิกลบรอยหยัก TAA ในรูปแบบที่เบลอหนักมาก ถ้าใครเคยเล่นเกม Far Cry 6 บน PS5 ก็น่าจะเข้าใจดี ส่งผลให้ถ้าใครเล่นผ่านมอนิเตอร์ 1080p นี่คือจะไม่ไหวเลย แต่ถ้าเล่นผ่านจอ 2K ก็จะดีขึ้นมาหน่อย ส่วนถ้าเล่นบนทีวีนั่งไกลๆ ก็จะไม่มีปัญหา


ส่วนบน PC ถ้าปรับภาพได้ที่ Ultra ก็จะสวยกว่ามาก และสามารถแก้ไขเรื่อง TAA ผ่านไดรเวอร์การ์ดจอให้ไม่เบลอขึ้นมาได้ แถมบน PC ก็ไม่มีปัญหากระตุกค้างบ่อยเลย สามารถเล่นได้ลื่นๆ ไร้ปัญหาทั้งตัวเกมกับเซิร์ฟเวอร์ ถือเป็นเกมที่ทำให้เห็นชัดเลยว่า "ขัดเกลามาดีทุกส่วน ไม่ได้รีบวางขาย" แถมที่น่าสนใจคือเกมนี้ยังกินสเปคน้อยกว่า Forza Horizon 5 ยกตัวอย่าง VRAM ถ้าปรับสุดก็ใช้น้อยกว่า แต่ภาพนั้นทำได้สวยใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ถ้าคอมใครเล่น Forza Horizon 5 ไม่ไหวก็ลองเกมนี้ได้


สรุป


The Crew Motorfest คือเกมแข่งรถที่คุณภาพดีเอาเรื่อง คุ้มค่าแก่เงินที่เสียไปอย่างเห็นได้ชัด อาจน่าเสียดายหน่อยที่เกมไม่ค่อยสร้างความน่าจดจำในด้านเนื้อเรื่อง หรือนำเสนออะไรได้สุดจนทำให้ผู้เล่นยกให้เป็นเกมขึ้นหิ้ง แต่มันก็คือเกมที่แม้คุณจะเคยได้เล่นเกมอันดับ 1 อย่าง Forza Horizon 5 ก็ยังรู้สึกได้เจอเซอร์ไพร์สใหม่ๆ น่าหลงไหลจำนวนมากภายในเกมนี้ และก็ทำให้คุณเอาใจช่วยว่าเกมจะอัปเดตเรื่อยๆ จนดีระดับทำให้ Forza Horizon ต้องไม่ทำตัวเป็นเสือนอนกินได้แล้วนั่นเอง


ขอขอบคุณทาง Ubisoft ด้วยนะครับ ที่ส่งเกมนี้มาให้พวกเราได้รีวิวกัน



บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header