GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "Samsung"
Samsung เปิดตัว 8-stacked TSV DDR5 เป็นแรมที่มีความจุสูงถึง 512 GB
ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับการแข่งกันเปิดตัวเทคโนโลยีแรม DDR5 ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทาง Adata จะทำความจุแรมหนึ่งตัวได้ 64 GB และมีความเร็ว 12600MHz โดยถือเป็นแรมที่แรงมากๆ สำหรับเครื่อง Personal Computer โดยสำหรับแรมบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ดูเหมือนจะมีขนาดความจุเพิ่มเป็น 512 GB เลยทีเดียว!Samsung ได้ทำการเปิดตัว 8-stacked TSV DDR5 ส่งผลให้ต่อแรมหนึ่งตัว มีหน่วยความจำเพิ่มขึ้นสูงสุด 512 GB และใช้แผ่น Wafer ในการช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น Samsung คาดหวังว่า DDR5 จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 85% เป็นอย่างน้อย ด้วย Bandwidth ที่มากถึง 7.2 Gbp/s แต่ใช้พลังงานลดลงจนเหลือเพียงแค่ 1.1V เท่านั้น กล่าวคือนี่จะเป็นแรมที่แรงระดับไม่เคยเห็นมาก่อนจากการคาดเดาของ Samsung แรม DDR5 จะเริ่มเป็นที่ต้องการ รวมถึงมาตรฐานใหม่ในช่วงปี 2023 - 2024 แต่สำหรับฝั่งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงก่อนฝั่ง Personal  Credit : VideoCardZ
24 Aug 2021
เปิดรายชื่อ SSD ที่สามารถใช้อัปเกรด PS5 ได้
เปิดให้อัปเกรด SSD เข้าไปเพิ่มได้แล้วสำหรับ Beta User ของเครื่อง PS5 ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้จะมีการอัปเดตระบบอย่างเป็นทางการ ให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถอัปเกรด SSD เพิ่มเติมเข้าไปในเครื่องของตัวเองด้วย โดยถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันวันที่อย่างเป็นทางการจาก Sony แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรออย่างแน่นอน อย่างในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นผู้ผลิต SSD ต่างออกมาเริ่มออกมาโฆษณาสินค้าของตัวเองกันแล้วว่าสามารถใช้งานรวมกับ PS5 ได้อย่างไรก็ตามไม่ใช่ SSD ตามท้องตลาดทุกรุ่นที่ซื้อมาแล้วจะสามารถใช้งานกับเครื่อง PS5 ได้ เนื่องจากล่าสุดทาง Sony ได้มีการปล่อยข้อมูลสเปคของจำเป็นของ SSD ที่สามารถใช้กับ PS5 ได้ออกมา ซึ่งจะมีเพียง SSD ไม่กี่รุ่นในตลาดบ้านเราตอนนี้ ที่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับ PS5 ได้ เนื่องจากความต้องการค่อนข้างสูง และเฉพาะเจาะจงมากๆ โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่ต้องการได้ผ่านหน้าเว็บของ Sony หรือผ่านลิงก์นี้ แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ IT ขนาดนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะในบทความนี้เราได้สรุปรายชื่อ SSD ที่หาซื้อได้ในท้องตลาดบ้านเรา และสามารถใช้งานกับ PS5 มาให้แล้ว!WD BLACK SN850 M.2 PCI-E GEN4 with HeatsinkSSD ตัวแรงจากทาง Western Digital ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านประกอบคอมชั้นนำอย่าง Jib, Advice, It City และ Banana It โดย SSD รุ่นนี้จะมีทั้งแบบซึ่งมากับ Heatsink และแบบที่ไม่มี Heatsink (ในรูป ข้างบนคือแบบที่มี Heatsink ข้างล่างคือแบบที่ไม่มี Heatsink) ซึ่งจากเว็บไซต์หลัก SSD ที่เอามาใช่กับ PS5 จำเป็นต้องมี Heatsink ช่วยระบายความร้อนด้วย ดังนั้นตอนซื้อก็ดูให้ดี ว่าเราได้ซื้อแบบที่มี Heatsink มาด้วยรึเปล่า แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถหาซื้อแบบที่มี Heatsink ได้จริงๆ ก็สามารถซื้อแบบที่ไม่มี Heatsink มา แล้วไปซื้อ Heatsink มาติดตั้งเพิ่มเองได้ โดยจะขอกล่าวถึง วิธีการเลือกซื้อ Heatsink ต่อไปข้างล่างหลังรายชื่อ SSD ทั้งหมดครับ AORUS GEN4 7000Sหนึ่งใน SSD ไม่กี่ตัวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีการยืนยันจากผู้ผลิตผ่าน Twitter แล้วว่าสามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดย Aorus เป็นแบรนด์สินค้าของทาง Gigabyte ที่ได้รับความชื่อถือ และเป็นที่นิยมอย่างมากในบ้านเรา ทำให้การหาซื้อเป็นเรื่องง่าย แทบจะมีขายในร้านคอมพิวเตอร์ ทุกๆ ร้านของประเทศไทย มั่นใจได้เลยว่าสินค้าของพวกเขาจะเป็นของดีอย่างแน่นอน จากรูปข้างล่างจะสังเกตได้ว่าแค่ดีไซน์ของกล่อง กับตัว SSD จะมาในแบบเรียบหรู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนSAMSUNG 980 PRO PCIE 4.0 NVME ถ้าหากพูดถึงผู้ผลิต SSD ที่มีสินค้าทุกรุ่นคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีมาผลิต และยังไม่เคยทำให้ผู้ใช้งานผิดหวังมากก่อน คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Samsung ซึ่ง SSD รุ่นแรงอย่าง SAMSUNG 980 PRO PCIE 4.0 NVME ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำอย่าง JIB, Advice, It City และ Banana IT แต่เนื่องจากทาง Samsung ไม่ได้ให้ Heatsink มาพร้อมกับ SSD รุ่นนี้ด้วย จึงจำเป็นต้องมีการซื้อ Heatsink มาติดตั้งเพิ่มเติมหากจะเอาไปใช้กับ PS5 โดยวิธีการเลือกซื้อ Heatsink จะอยู่ข้างล่างหลังรายชื่อ SSD ทั้งหมดครับ Seagate FireCuda 530อีกหนึ่งแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากไอร์แลนด์ โดย FireCuda ถือเป็นอีกหนึ่ง SSD รุ่น Highend ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักแต่งคอม รวมถึงผู้ใช้งานระดับ High End และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีทั้งแบบมาพร้อมกับ Heatsink และไม่มี Heatsink มาด้วย นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้าน IT ชั้นนำทั่วไป ป.ล เนื่องจาก SSD แต่ละรุ่นของ Seagate จะมีหน้าตาคล้ายกันมากๆ ดังนั้นก่อนซื้อขอให้แน่ใจว่าเป็นรุ่น  FireCuda 530 จริงๆ ครับPNY XLR8 CS3040 อีกหนึ่ง SSD ตัวแรงจากทาง XLR8 ที่มีทั้งรุ่นแถม Heatsink และไม่แถม Heatsink แต่สำหรับรุ่นนี้ จำเป็นต้องซื้อแบบไม่มี Heatsink เท่านั้นหากจะเอาไปใช้กับ PS5 เนื่องจาก Heatsink ที่แถมมาด้วยของ XLR8 มีความสูงที่มากเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถนำไปใช้งานกับ PS5 ได้ จำเป็นต้องซื้อรุ่นที่ไม่มีHeatsink แล้วไปซื้อ Heatsink แบบแยกมาติดตั้งเองครับควรเลือกซื้อ Heatsink แบบไหนถ้าจำเป็น ?จากข้อกำหนดของ Sony ความสูงรวมของ SSD ที่ติดตั้ง Heatsink แล้วจำเป็นต้องไม่มีมากกว่า 11.25mm ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า Heatsink ขนาดใหญ่แบบเดียวกับที่ XLR8 แถมมา จะไม่สามารถนำไปใช้งานกับ PS5 ได้ เนื่องจาก Heatsink กลุ่มนี้มักมีความสูงที่ 15 - 20mm รูปแบบ Heatsink ที่เพื่อนๆ ต้องมองหาจึงควรเป็นแค่แผ่นเรียบๆ เช่นเดียวกับของ Seagate, WD หรือ Aorus ตามรูปข้างบน ซึ่งจะมีอยู่หลายรุ่น หลายแบรนด์ในตลาด ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 - 700 บาท ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ไม่รู้จะซื้อของแบรนด์ไหนมาใช้ดี ทางเราจะขอแนะนำให้ซื้อของ EKWB ที่อาจจะมีราคาแพงเสียหน่อย แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะช่วยระบายความร้อนให้กับ SSD ของเพื่อนๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอนครับ
04 Aug 2021
Samsung เผย PCie เจนใหม่ 5.0 จะมา Q2 ปี 2022
Windows กำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทางอุปกรณ์เก็บข้อมูลเองก็ดูเหมือนกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่เช่นกัน เมื่อล่าสุด Samsung ได้เปิดเผย SSD รุ่นใหม่ที่กำลังจะมาในช่วง Q2 ปี 2022 ซึ่งจะใช้ PCie 5.0 แล้ว สำหรับ Enterprise Platforms และมีความเป็นไปได้ที่ภายในปีเดียวกันเราจะได้เห็น PCie 5.0 สำหรับ Mainboard ทั่วๆ ไปด้วยไดรฟ์ Samsung PM1743 จะใช้ PCIe Gen 5 x4 (พอร์ตเดียว) หรือพอร์ตคู่ x2  และมาในรูปแบบ E3.S 1T (111.5 มม. × 31.5 มม. (กว้าง x สูง) ที่ออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ สำหรับประสิทธิภาพแล้ว PM1743 ในทางตามทฤษฎีสำหรับอินเทอร์ PCIe 5.0 x4 จะสามารถส่งปริมาณงานได้ถึง 15.7 GB/sถ้าแปลให้เข้าใจง่ายคือ PCie 5.0 จะมีความเร็วในการ Read / Write สูงกว่า SSD ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันระดับที่เทียบกันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามต้องรอดูสเปคอย่างเป็นทางการ จากเหล่าผู้ผลิตกันต่อไปครับCredit : Tom's Hardware
09 Jul 2021
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
ส่องลูกเล่นใหม่ ๆ ของ One UI 3.0 และ Android 11 ที่อัปเดตให้กับ Samsung A I S I Note I Z Series
อัปเดตมาได้ราว ๆ เกือบจะ 1 เดือนเห็นจะได้แล้วค่ะ สำหรับ Android 11 และ One UI 3.0 ของแบรนด์ Samsung ที่มาการทยอยอัปเดตให้ในแต่ละรุ่น โดยทางเกวลินเองได้ใช้ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ก็เลยทำการอัปเดตแล้วทดลองใช้งานดูตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วันนี้เลยจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาว่ามันมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมกันบ้างค่ะ ส่วนใครที่ใครแบรนด์นี้อยู่แล้วแต่เป็นรุ่นที่รองท็อปลงมาก็จะมีการอัปเดตให้ในแต่ละเดือน ( ส่วนนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ทราบในช่วงท้ายบทความนะคะ ) เอาละเมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ ต้องเข้าใจ “การอัปเดตในครั้งนี้ก่อน!” สำหรับ “One UI 3.0” คือระบบปฏิบัติการที่มาพร้อมกับ Android 11 เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงตอนนี้ทาง Samsung ก็ได้ไล่อัปเดตมาตั้งแต่ Series A, Series M, Galaxy Note 20 Series, Galaxy S20 Series, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Flip, Galaxy Note 10 Series, Galaxy Fold และ Galaxy S10 Series ทั้งนี้ก็ต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนว่ามันคือการไล่อัปเดตในแต่ละรุ่นตามลำดับนะคะ แล้ว “One UI 3.0” มันมีอะไรที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้บ้าง!? อันดับแรกที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือพวกไอคอนต่าง ๆ ที่เราใช้งานจะไม่แตกต่างจาก One UI 2.5 เลยค่ะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมาเรียนรู้ในส่วนนี้ใหม่แต่อย่างใดนะคะ แต่ที่จะต้องมาศึกษาอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยก็คือ “ระบบการแจ้งเตือน” ที่ตรงนี้ทาง Samsung ได้มีการดีไซน์ใหม่คือบอกระบุชัดเจนว่าการแจ้งเตือนนั้นมาจากของอะไร จากเดิมเวอร์ชั่นก่อนที่ไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะทำให้เราทราบแล้วว่าที่เด้ง ๆ แจ้งเตือนนั้นมาจากแอพพลิเคชั่นอะไรค่ะ รวมไปถึงมีการปรับโทนสีของโซนแสดงผลจากเดิมที่เป็นแบบสีขาวทึบแต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 ในส่วนนี้จะทำให้ดูโปร่งแสงมากขึ้น ความรู้สึกส่วนตัวก็คือมันดูสบายตามากกว่าเวอร์ชั่นก่อนเยอะเลย ตามมาด้วยเหล่าไอคอนด้านบนพวกนี้ก็มีการออกแบบไอคอนบางส่วนใหม่รวมไปถึงปรับปรุงระบบการใช้งานบางส่วนให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้พวกรายละเอียดเวลา, วัน และ เดือนก็จะมีการขยับมาให้เราได้เห็นชัดเจน โดยย้ายมาอยู่ตรงกลางแทนจากเดิมที่อยู่บริเวณมุมซ้ายบนของหน้าจอ แล้วพวกปุ่มเปิดปิดหรือค้นหาก็จะย้ายไปอยู่ด้านมุมขวาบนสุดของเครื่องก็เรียกว่าเป็นการจัดระเบียบที่ดูสวยงามไม่ใช่น้อยค่ะ ต่อมาก็คือ “ระบบ Reset แอพพลิเคชั่น” ปกติแล้วเรากดไอคอนที่เป็น “III” เมื่อกดแล้วตอนเราเลื่อนมันจะดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่พออัปเดตเป็น One UI 3.0 ก็มีการปรับให้เวลาเราเลื่อนหน้าต่างส่วนพวกนี้ดูเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น ส่วนถ้าต้องการอยากจะปิดแอพพลิเคชั่นนั้นก็ทำเหมือนเดิมคือปัดขึ้นหรือกดปุ่มปิดทั้งหมดเลยก็ได้ แล้วระบบที่ถูกปรับปรุงอีกส่วนหนึ่งก็คือ “ระบบเพิ่ม-ลดเสียง” ที่ออกแบบมาใหม่ เมื่อเรากดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียงมันจะมีแถบสีขาวขึ้นมาที่หน้าจอ ซึ่งเราสามารถเลื่อนขึ้น เลื่อนลงเพื่อปรับระดับเสียงตามที่ต้องการหรือจะแตะที่ไอคอนลำโพงเพื่อเปิดปิดโหมดใช้เสียงหรือโหมดสั่นได้ด้วย แล้วไอคอน “...” เมื่อกดเข้ามาก็ยังสามารถตั้งค่าในการปรับแต่งการใช้เสียงหรือสั่นในโหมดการใช้งานที่ต้องการได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วเมื่อเรากดเข้ามาที่ตั้งค่า “เหล่าไอคอนต่าง ๆ” ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกันค่ะ แต่เรื่องการใช้งานต่าง ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเปลี่ยนแปลงไอคอนไปแล้วระบบการทำงานจะเปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของโปรไฟล์ของเราใน One UI 2.5 จะมีขนาดเล็กแต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ก็มีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นแล้วเมื่อเรากดเข้ามาจะเห็นรายละเอียดในการเชื่อมต่อกับ “Samsung Account” ตรงนี้เราสามารถตั้งค่ารายละเอียดเชิงลึกของบัญชีโปรไฟล์ตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เรามาพูดถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน One UI 3.0 กันบ้างดีกว่าค่ะ อันดับแรกเลยก็คือ “Dynamic Lock Screen” ที่มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาจากเดิมมีเพียงไม่กี่อันเท่านั้น บางคนอาจจะไม่เข้าใจมันคืออะไร เมื่อเราตั้งค่าเรียบร้อยแล้วจะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่เราเปิดปิดหน้าจอภาพที่แสดงผลจะเปลี่ยนแปลงไปตามธีมที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตั้งรูปวอลเปเปอร์ในแบบที่เราต้องการได้ ตามมาด้วยฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ “การปิดหน้าจอด้วยการแตะเพียงแค่ 2 ครั้ง” ใน One UI 2.5 และ Android 10 ถ้าเราจะต้องการเปิดหน้าจอเพียงแค่เราแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งมันจะทำการเปิดหน้าจอขึ้นมาทันที แต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 และ Android 11 ได้เพิ่มลูกเล่นการปิดหน้าจอเข้ามาด้วยการแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งตัวเครื่องก็จะปิดหน้าจอให้ทันทีเลยค่ะ แอบแปลกใจว่าทำไมไม่ทำมาตั้งแต่แรกนะเนี่ย จุดต่อมาที่ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “ตัวสแกนลายนิ้วมือ” ที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ตัวเกวลินเองเป็นคนที่จะใช้นิ้วที่ใหญ่ก็จะใช้นิ้วโป้งในการสแกนเพื่อเปิดเครื่อง ผลที่ได้ก็คือมันก็ช่วยให้การสแกนง่ายขึ้นเร็วขึ้นจากเดิมพอสมควรเลยค่ะ แต่ถ้าเราติดพวกกระจกหรือฟิล์มกันรอยที่มีความหนาก็อาจจะสแกนยากเล็กน้อย ดังนั้นเมื่ออัปเดตแล้วขอแนะนำให้ไปตั้งค่าในการสแกนลายนิ้วมือใหม่อีกครั้งจะดีมากเลยค่ะ ตามมาด้วยเพิ่มลูกเล่น “พื้นหลังการโทร” ที่เราสามารถปรับแต่งได้จะเปลี่ยนพื้นหลังเป็นรูปหรือวีดีโอที่ต้องการได้ แถมเรายังกำหนดให้เสียงจากวีดีโอที่เก็บเอาไว้มาเป็นเสียงเรียกเข้าได้อีกด้วย ใครที่อยากได้เสียงพี่เอก HRK เป็นเสียงเรียกเข้าก็ทำได้นะ แล้วสิ่งที่หลายคนชื่นชอบคงหนีไม่พ้นเรื่อง “การถ่ายรูปหรือวีดีโอ” ตัวแพทช์ One UI 3.0 และ Android 11 ก็มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ให้กับการถ่ายรูปด้วยนั้นก็คือระบบที่เรียกว่า “Lock Focus” ปกติแล้วถ้าเราแตะเบา ๆ 1 ครั้งมันจะเป็นการ Focus ภาพแม้ว่าจะเคลื่อนจอไปทางไหนมันก็จะตามจุดที่เราต้องการเอาไว้ แต่บางครั้งแสงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการแถมจะมีแถบให้เลื่อนปรับแต่ง แต่สักพักมันก็จะเปลี่ยนแสงกลับไปสภาพเดิมทำให้ระบบใหม่นี้จะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้ค่ะ เมื่อเราแตะค้างเอาไว้มันจะขึ้นเป็นวงกลมมีลูกแม่กุญแจเราสามารถลากเพื่อปรับแสงในแบบที่เราต้องการได้จากนั้นกดล็อค ก็เป็นระบบที่จะช่วยให้การถ่ายภาพของเราสนุกขึ้นไปอีกขั้นเลยค่ะ แล้วฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมเข้ามาก็ยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า “AR Emoji” ที่ทำให้เราสามารถสร้างตัวละคร AR ของตัวเองขึ้นมาได้ โดยตัวละครพวกนี้มีความสามารถในการแสดงสีหน้า ท่าทางต่าง ๆ ของเราได้แบบเรียล์ไทม์เลยนะคะ แถมยังเปลี่ยนชุดของพวกเขาในแบบที่เราต้องการอีกด้วย แล้วตัวละครที่เราสร้างขึ้นมายังสามารถนำไปใช้เป็น AR Sticker ได้อีกด้วย สรุปหลังจากการใช้งานจริงร่วม 1 เดือน! จริง ๆ แล้วรายละเอียดของการอัปเดต One UI 3.0 และ Android 11 ยังมีมากกว่านี้มาก แต่เกวลินขอหยิบที่น่าสนใจมาพูดก็แล้วกันนะคะ หลังจากนี้จะเป็นสิ่งที่เห็นว่ามันเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นอย่างมากเลยค่ะ ซึ่งรุ่นที่ใช้เป็น CPU “Samsung Exynos 990 Octa Core” ที่บางคนอาจจะบอกว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วร้อน ส่วนตัวเมื่อมีการอัปเดตเรื่องความร้อนดีขึ้นถูกแก้ไขให้ดีขึ้นเยอะ ก่อนอัปเดตเวลาถ่ายรูปนาน ๆ ตัวกล้องจะร้อนเร็วมาก แต่พออัปเดตปัญหานี้ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งค่ะ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่อง “สแกนคิวอาร์โค้ด” ต่าง ๆ ที่ดูแม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมมาก ๆ แค่เปิดกล้องขึ้นมายังอ่านคิวอาร์โค้ดนั้นไม่เต็มจอก็เข้าสู่รหัสนั้นอย่างรวดเร็วเลยค่ะ  นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการใช้งาน One UI 3.0 และ Android 11 ใครที่ใช้มือถือแบรนด์ Samsung รุ่นไหนอยู่เตรียมตัวรอการอัปเดตได้เลย รายละเอียดดังต่อไปนี้ ( แต่ละรุ่นอาจจะมีการอัปเดตอาจจะเลื่อนมาเร็วขึ้นหรือช้าขึ้นอยู่กับทาง Samsung อีกทีค่ะ ) มกราคม Galaxy S10 Lite Galaxy S20 FE Galaxy S20 FE 5G Galaxy Note 10 Galaxy Note 10+ Galaxy Z Flip Galaxy Z Flop 2 5G กุมภาพันธ์ Galaxy S10e Galaxy S10 Galaxy S10+ Galaxy Fold มีนาคม Galaxy M30s Galaxy XCover Pro Galaxy A51 Galaxy Note 10 Lite Galaxy M31 Galaxy M31 Galaxy A71 5G Galaxy Tab S7 Galaxy Tab S7+ เมษายน Galaxy A50 Galaxy A50s Galaxy M51 พฤภาคม Galaxy A70 Galaxy A80 Galaxy Tab S6 Galaxy A71 Galaxy A31 Galaxy A21s Galaxy A42 5G Galaxy Tab S6 Lite มิถุนายน Galaxy A01 Galaxy A11 Galaxy A12 Galaxy M11 Galaxy Tab A Galaxy Tab Active 3 Galaxy A02s กรกฎาคม Galaxy A10 Galaxy A10s Galaxy A20 Galaxy A30 Galaxy XCover 4s Galaxy Tab S5e สิงหาคม Galaxy A20s Galaxy A30s Galaxy Tab A8 Plus (2019) Galaxy Tab A8 (2019) Galaxy Tab A10.1 (2019) Galaxy Tab Active Pro Galaxy A01 Core
19 Jan 2021
Intel สู้ไม่ไหว! ประกาศปีหน้าอาจเลิกผลิต Chipset เองแล้ว!
Intel เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ผลิต CPU (i3, i5, i7) กับ Chipset อันดับ 1 ของโลก ซึ่งเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ทาง AMD ได้ผลิต CPU ซีรีส์ Ryzen ออกมาขาย โดยเป็นทาง Intel ที่ถูกไล้ต้อนให้จนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดบริษัทเริ่มขาดทุน แต่เหมือนว่าฝันร้ายของ Intel ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะล่าสุดพวกเขาอาจจำเป็นต้องยอมแพ้ในตลาด Chipset ด้วยเช่นกันครับ! จริงๆ แล้วนอกจากกำไรที่ลดลง เทคโนโลยีการผลิต Chipset ของ Intel เองก็เริ่มตาม TSMC และ Samsung ไม่ทันแล้วเช่นกัน ส่งผลผู้บริหารของ Intel ต้องตัดสินใจว่าไตรมาสหน้าว่าจะยังผลิตชิปรุ่นใหม่เองเหมือนเดิม หรือจะหันไปใช้ของบริษัทอื่นที่ทำได้ดีกว่าแทนครับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าสักวันหนึ่งบริษัท Intel จะต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลายในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ต้องรอดูต่อไปว่าพวกเขาจะทำยังไงครับ! Credit: Bloomberg
26 Nov 2020
Samsung กับ Xbox จับมือ Cyberpunk 2077 เปิดตัวทีวีใหม่ที่มาในธีมของเกม!
Cyberpunk 2077 กำลังจะวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือน ธันวาคม 2020 นี่ ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าหากว่าในตอนที่เกมวางจำหน่าย เราจะสามารถเล่นเกมนี้ผ่านเครื่องคอนโซลเจนใหม่ บน TV ที่มีความละเอียดสูงถึง 4K ได้ อย่างไรก็ตามด้วยความที่เครื่องเล่นเกมเจนใหม่ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากๆ มันก็คงเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถทำเรื่องที่ผมบอกมาได้จริง ล่าสุดแม้จะไม่มาก แต่เหมือนว่าความหวังนั้นยังเป็นจริงได้อยู่สำหรับคนภายในอเมริกาครับ! Samsung แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ปล่อยวิดีโอใหม่โชว์ TV QLED ที่มาในธีม Cyberpunk 2077 พร้อมประกาศว่า TV ดังกล่าวจะสิ่งที่มอบให้กับผู้โชคดีที่เข้าไปร่วมสนุกกิจกรรมของทาง Samsung เอง ซึ่งเครื่อง Xbox Series X กับเกม Cyberpunk 2077 จะถูกมอบให้ไปพร้อมกับทีวีตัวนี้ด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าน่าเสียดายที่คนทางบ้านเราไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้ แต่สำหรับใครที่สนใจเจ้า TV สุดพิเศษจากทาง Samsung ตัวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเอาออกมาวางขายแยกด้วยก็เป็นได้ ต้องติดตามดูกันต่อไปครับ Cyberpunk 2077 จะวางจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคม 2020 นี้บนเครื่อง PS5, PS4, Xbox Series X / S, Xbox One และ PC ครับ Credit: GameRant
30 Oct 2020
5 เหตุผล !! ทำไมซัมซุง QLED จึงเป็นตัวเลือกทีวีอันดับหนึ่ง
กรุงเทพฯ (22 ตุลาคม 2563) – เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกซื้อทีวีซักเครื่อง ผู้ซื้อทุกคนต่างต้องการทีวีที่สามารถเติมเต็มอรรถรสในการรับชม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกด้าน และนำสมัยใช้ได้เป็นเวลานาน ทีวี QLED จากซัมซุงคือคำตอบที่รวมทุกความต้องการไว้ด้วยกัน และนี่คือ 5 เหตุผลว่าทำไม QLED จากซัมซุงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกซื้อทีวีอย่างชาญฉลาด หมดกังวลเรื่อง Burn-in หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พบปัญหาอาการจอไหม้ (Burn-in) หลังจากใช้ทีวีได้ซักระยะ เทคโนโลยี QLED จากซัมซุงคือคำตอบที่คุณตามหา เทคโนโลยี QLED ใช้กระแสไฟกำลังต่ำทำให้ควบคุมความร้อนได้ดี จึงเกิดรอยไหม้ได้ยาก ต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ใช้กระแสไฟที่สูงกว่า ซัมซุงมั่นใจในคุณภาพ พร้อมมอบประกันซ่อมฟรีทันทีหากเกิดปัญหาหน้าจอไหม้ ตลอดอายุการใช้งาน  เติมเต็มอรรถรสการรับชม เสมือนมีโรงภาพยนตร์ส่วนตัวที่บ้านคุณ ทีวี QLED จากซัมซุงมาพร้อมกับเทคโนโลยีภาพคมชัดสมจริง เพื่อเสริมประสบการณ์การรับชมทีวีของคุณ เหมือนยกเอาโรงภาพยนตร์มาไว้ที่บ้าน ทำให้คุณเพลิดเพลินและอิ่มเอมกับคอนเทนต์ต่างๆ ได้มากกว่าเคย ด้วยอนุภาค Quantum Dot ที่ให้ระดับสี 100% สร้างสรรค์ได้กว่า 1000 ล้านเฉด ผสานกับระบบภาพ HDR ทีวี 4K จนถึงทีวี 8K ที่ให้ภาพละเอียดคมชัด สีสวยสมจริง และแสดงเฉดสีได้แม่นยำจากทุกมิติ เติมอิ่มกับทุกคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มชั้นนำ พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปอยู่ในออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีวี QLED จากซัมซุงมุ่งมั่นสร้างทางเลือกในการรับชมคอนเทนต์ออนไลน์ให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เพื่อผู้ใช้สามารถสนุกไปกับโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ได้อย่างเต็มที่ ผ่านซัมซุงสมาร์ททีวีสุดอัจฉริยะ โดยในปัจจุบันไทย ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ได้จับมือกับคอนเทนต์แพลตฟอร์มชั้นนำต่างๆ เพื่อความบันเทิงที่ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น  Apple TV, Apple Music, AIS Play, HBO GO, VIU, LOOX TV, Netflix และอื่นๆ อีกมากมาย  เล่นเกมได้มันส์กว่าใคร  ด้วยทีวี QLED จากซัมซุง เกมเมอร์ทั้งหลายสามารถเล่นเกมได้อินกว่าที่เคย ด้วยจอแสดงผลที่รองรับการใช้งาน HDMI 2.1 และอัตราการรีเฟรชเรทที่ 120Hz ทำให้จอแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่องไม่สะดุด เสริมประสบกรณ์การเล่นเกมด้วย Auto Game Mode ที่จะทำให้ทุกครั้งที่เปิดเกมขึ้นมา ทีวีจะเข้าสู่โหมดเล่นเกมโดยอัตโนมัติ เปลี่ยนทีวีของคุณให้เป็นสุดยอดเกมมิ่งมอนิเตอร์ในชั่วพริบตา อุ่นใจกับการรับประกันและบริการถึงบ้านทุกวัน ซัมซุงรับประกันสินค้า QLED TV ถึง 3 ปี (เมื่อลงทะเบียนรับประกันผลิตภัณฑ์) และยังมีบริการถึงบ้านตลอด 7 วัน พร้อมกับบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยลูกค้าสามารถเลือกช่องทางติดต่อเจ้าหน้าได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ หรือ Live Chat เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการบริการที่รวดเร็วและตรงจุดยิ่งขึ้น  ทีวี QLED จากซัมซุงจัดเต็มเรื่องคุณภาพและบริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ เป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับใครที่กำลังมองหาทีวีซักเครื่อง ที่สามารถยกระดับประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ให้เหนือชั้นกว่าที่เคย ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.samsung.com/th/tvs/qled-tv/highlights/ หรือสอบถามเรื่องการเข้ารับบริการเพิ่มเติม โทร 1282
22 Oct 2020
สัมผัสประสบการณ์เกมมิ่งเหนือจินตนาการกับ Samsung Odyssey G9 และ G7
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าการใช้จอมอนิเตอร์แบบโค้ง เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ่นในหมู่ผู้เล่นบนเครื่อง PC เพราะจอมินิเตอร์ประเภทนี้จะช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับโลกของเกมมากขึ้น เนื่องจากภาพที่เราเห็นมันไม่ได้แบนราบ เหมือนใช้จอมินิเตอร์ปกติ วันนี้ทาง Samsung ได้มีการเปิดตัวจอมินิเตอร์สำหรับเล่นเกมใหม่ในชื่อ Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 ซึ่งต้องขอออกตัวก่อนเลยว่ามอนิเตอร์สองตัวนี้ จะช่วยให้เราเข้าถึงโลกของเกมได้มากกว่าที่เคยเป็นมาครับ ก่อนจะเริ่มพรรณนาถึงความสุดยอดของเกมมิ่งมอนิเตอร์ใหม่นี้ ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นสเปคของ เจ้าจอสุดเทพตัวนี้ก่อนครับ จากรูปจะสังเกตุได้ว่าตัวจอรุ่นใหญ่สุดอย่าง G9 นั้นได้ใส่เทคโนโลยีหลายอย่างที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์มาด้วย ไม่ว่าจะเป็น Refresh Rate ที่สูงถึง 240Hz, Response Time ที่สั้นแค่ 1ms(GTG) ,Resolution ระดับ DQHD(5,120*1,440), รองรับเทคโนโลยี G-Sync กับ FreeSync 2 หรือ Display แบบ QLED ที่จะทำให้สีของหน้าจอสวยสดงดงาม นอกจากนี้ด้วยความที่ตัวจอของเจ้า G9 นี้ มีความคมชัดระดับ DQHD มันจึงทำให้เราสามารถแบ่งการใช้ง่านหน้าจอได้อย่างหลากหลาย จอตัวนี้ยังให้ผู้ใช่งานสามารถแบ่งหน้าจอออกเป็น QHD สองจอแบบซ้าย และขวา สำหรับการใช้งานหลายอย่างพร้อมกันได้ด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์สายสตรีม หรือคนที่ชอบเล่นเกมไปด้วยดู Youtube หรือ Netflix ไปด้วยอย่างดี ในส่วนของดีไซน์ ก็ต้องบอกเลยว่าทั้งตัว G9 และ G7 นั้น ออกแบบมาได้สวยทันสมัยเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการให้ PC ของตัวเองดูเท่ สวยคูล ยิ่งสำหรับคนที่ต้องการทำให้ PC ของตัวเองอยู่ในธีมสีขาวด้วยแล้ว คงต้องบอกว่าเจ้า Samsung Odyssey G9  คือสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอนครับ นอกจากในเรื่องของดัไซน์แล้ว ทางผู้พัฒนายังได้คำนึงถึงเรื่องของ Lighting ด้านหลังจอ ที่จะใช้ให้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานมีความสวยล้ำสมัยไปอีกขั้น สำหรับสานที่ประกอบ PC แบบ High End แล้วคิดว่าเจ้า G9 และ G7 ใหม่จากทาง Samsung นี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดครับ [caption id="attachment_65664" align="aligncenter" width="1024"] ผู้เขียนไปลองเล่นมาแล้วบอกเลยว่า สุดยอดมากๆ[/caption]
28 Aug 2020
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "Samsung"
Samsung เปิดตัว 8-stacked TSV DDR5 เป็นแรมที่มีความจุสูงถึง 512 GB
ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับการแข่งกันเปิดตัวเทคโนโลยีแรม DDR5 ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทาง Adata จะทำความจุแรมหนึ่งตัวได้ 64 GB และมีความเร็ว 12600MHz โดยถือเป็นแรมที่แรงมากๆ สำหรับเครื่อง Personal Computer โดยสำหรับแรมบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ดูเหมือนจะมีขนาดความจุเพิ่มเป็น 512 GB เลยทีเดียว!Samsung ได้ทำการเปิดตัว 8-stacked TSV DDR5 ส่งผลให้ต่อแรมหนึ่งตัว มีหน่วยความจำเพิ่มขึ้นสูงสุด 512 GB และใช้แผ่น Wafer ในการช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น Samsung คาดหวังว่า DDR5 จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 85% เป็นอย่างน้อย ด้วย Bandwidth ที่มากถึง 7.2 Gbp/s แต่ใช้พลังงานลดลงจนเหลือเพียงแค่ 1.1V เท่านั้น กล่าวคือนี่จะเป็นแรมที่แรงระดับไม่เคยเห็นมาก่อนจากการคาดเดาของ Samsung แรม DDR5 จะเริ่มเป็นที่ต้องการ รวมถึงมาตรฐานใหม่ในช่วงปี 2023 - 2024 แต่สำหรับฝั่งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงก่อนฝั่ง Personal  Credit : VideoCardZ
24 Aug 2021
เปิดรายชื่อ SSD ที่สามารถใช้อัปเกรด PS5 ได้
เปิดให้อัปเกรด SSD เข้าไปเพิ่มได้แล้วสำหรับ Beta User ของเครื่อง PS5 ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้จะมีการอัปเดตระบบอย่างเป็นทางการ ให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถอัปเกรด SSD เพิ่มเติมเข้าไปในเครื่องของตัวเองด้วย โดยถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันวันที่อย่างเป็นทางการจาก Sony แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรออย่างแน่นอน อย่างในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็เริ่มเห็นผู้ผลิต SSD ต่างออกมาเริ่มออกมาโฆษณาสินค้าของตัวเองกันแล้วว่าสามารถใช้งานรวมกับ PS5 ได้อย่างไรก็ตามไม่ใช่ SSD ตามท้องตลาดทุกรุ่นที่ซื้อมาแล้วจะสามารถใช้งานกับเครื่อง PS5 ได้ เนื่องจากล่าสุดทาง Sony ได้มีการปล่อยข้อมูลสเปคของจำเป็นของ SSD ที่สามารถใช้กับ PS5 ได้ออกมา ซึ่งจะมีเพียง SSD ไม่กี่รุ่นในตลาดบ้านเราตอนนี้ ที่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับ PS5 ได้ เนื่องจากความต้องการค่อนข้างสูง และเฉพาะเจาะจงมากๆ โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่ต้องการได้ผ่านหน้าเว็บของ Sony หรือผ่านลิงก์นี้ แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ IT ขนาดนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะในบทความนี้เราได้สรุปรายชื่อ SSD ที่หาซื้อได้ในท้องตลาดบ้านเรา และสามารถใช้งานกับ PS5 มาให้แล้ว!WD BLACK SN850 M.2 PCI-E GEN4 with HeatsinkSSD ตัวแรงจากทาง Western Digital ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านประกอบคอมชั้นนำอย่าง Jib, Advice, It City และ Banana It โดย SSD รุ่นนี้จะมีทั้งแบบซึ่งมากับ Heatsink และแบบที่ไม่มี Heatsink (ในรูป ข้างบนคือแบบที่มี Heatsink ข้างล่างคือแบบที่ไม่มี Heatsink) ซึ่งจากเว็บไซต์หลัก SSD ที่เอามาใช่กับ PS5 จำเป็นต้องมี Heatsink ช่วยระบายความร้อนด้วย ดังนั้นตอนซื้อก็ดูให้ดี ว่าเราได้ซื้อแบบที่มี Heatsink มาด้วยรึเปล่า แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถหาซื้อแบบที่มี Heatsink ได้จริงๆ ก็สามารถซื้อแบบที่ไม่มี Heatsink มา แล้วไปซื้อ Heatsink มาติดตั้งเพิ่มเองได้ โดยจะขอกล่าวถึง วิธีการเลือกซื้อ Heatsink ต่อไปข้างล่างหลังรายชื่อ SSD ทั้งหมดครับ AORUS GEN4 7000Sหนึ่งใน SSD ไม่กี่ตัวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีการยืนยันจากผู้ผลิตผ่าน Twitter แล้วว่าสามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดย Aorus เป็นแบรนด์สินค้าของทาง Gigabyte ที่ได้รับความชื่อถือ และเป็นที่นิยมอย่างมากในบ้านเรา ทำให้การหาซื้อเป็นเรื่องง่าย แทบจะมีขายในร้านคอมพิวเตอร์ ทุกๆ ร้านของประเทศไทย มั่นใจได้เลยว่าสินค้าของพวกเขาจะเป็นของดีอย่างแน่นอน จากรูปข้างล่างจะสังเกตได้ว่าแค่ดีไซน์ของกล่อง กับตัว SSD จะมาในแบบเรียบหรู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนSAMSUNG 980 PRO PCIE 4.0 NVME ถ้าหากพูดถึงผู้ผลิต SSD ที่มีสินค้าทุกรุ่นคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีมาผลิต และยังไม่เคยทำให้ผู้ใช้งานผิดหวังมากก่อน คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Samsung ซึ่ง SSD รุ่นแรงอย่าง SAMSUNG 980 PRO PCIE 4.0 NVME ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำอย่าง JIB, Advice, It City และ Banana IT แต่เนื่องจากทาง Samsung ไม่ได้ให้ Heatsink มาพร้อมกับ SSD รุ่นนี้ด้วย จึงจำเป็นต้องมีการซื้อ Heatsink มาติดตั้งเพิ่มเติมหากจะเอาไปใช้กับ PS5 โดยวิธีการเลือกซื้อ Heatsink จะอยู่ข้างล่างหลังรายชื่อ SSD ทั้งหมดครับ Seagate FireCuda 530อีกหนึ่งแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากไอร์แลนด์ โดย FireCuda ถือเป็นอีกหนึ่ง SSD รุ่น Highend ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักแต่งคอม รวมถึงผู้ใช้งานระดับ High End และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีทั้งแบบมาพร้อมกับ Heatsink และไม่มี Heatsink มาด้วย นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้าน IT ชั้นนำทั่วไป ป.ล เนื่องจาก SSD แต่ละรุ่นของ Seagate จะมีหน้าตาคล้ายกันมากๆ ดังนั้นก่อนซื้อขอให้แน่ใจว่าเป็นรุ่น  FireCuda 530 จริงๆ ครับPNY XLR8 CS3040 อีกหนึ่ง SSD ตัวแรงจากทาง XLR8 ที่มีทั้งรุ่นแถม Heatsink และไม่แถม Heatsink แต่สำหรับรุ่นนี้ จำเป็นต้องซื้อแบบไม่มี Heatsink เท่านั้นหากจะเอาไปใช้กับ PS5 เนื่องจาก Heatsink ที่แถมมาด้วยของ XLR8 มีความสูงที่มากเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถนำไปใช้งานกับ PS5 ได้ จำเป็นต้องซื้อรุ่นที่ไม่มีHeatsink แล้วไปซื้อ Heatsink แบบแยกมาติดตั้งเองครับควรเลือกซื้อ Heatsink แบบไหนถ้าจำเป็น ?จากข้อกำหนดของ Sony ความสูงรวมของ SSD ที่ติดตั้ง Heatsink แล้วจำเป็นต้องไม่มีมากกว่า 11.25mm ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า Heatsink ขนาดใหญ่แบบเดียวกับที่ XLR8 แถมมา จะไม่สามารถนำไปใช้งานกับ PS5 ได้ เนื่องจาก Heatsink กลุ่มนี้มักมีความสูงที่ 15 - 20mm รูปแบบ Heatsink ที่เพื่อนๆ ต้องมองหาจึงควรเป็นแค่แผ่นเรียบๆ เช่นเดียวกับของ Seagate, WD หรือ Aorus ตามรูปข้างบน ซึ่งจะมีอยู่หลายรุ่น หลายแบรนด์ในตลาด ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 - 700 บาท ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ไม่รู้จะซื้อของแบรนด์ไหนมาใช้ดี ทางเราจะขอแนะนำให้ซื้อของ EKWB ที่อาจจะมีราคาแพงเสียหน่อย แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะช่วยระบายความร้อนให้กับ SSD ของเพื่อนๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอนครับ
04 Aug 2021
Samsung เผย PCie เจนใหม่ 5.0 จะมา Q2 ปี 2022
Windows กำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทางอุปกรณ์เก็บข้อมูลเองก็ดูเหมือนกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่เช่นกัน เมื่อล่าสุด Samsung ได้เปิดเผย SSD รุ่นใหม่ที่กำลังจะมาในช่วง Q2 ปี 2022 ซึ่งจะใช้ PCie 5.0 แล้ว สำหรับ Enterprise Platforms และมีความเป็นไปได้ที่ภายในปีเดียวกันเราจะได้เห็น PCie 5.0 สำหรับ Mainboard ทั่วๆ ไปด้วยไดรฟ์ Samsung PM1743 จะใช้ PCIe Gen 5 x4 (พอร์ตเดียว) หรือพอร์ตคู่ x2  และมาในรูปแบบ E3.S 1T (111.5 มม. × 31.5 มม. (กว้าง x สูง) ที่ออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ สำหรับประสิทธิภาพแล้ว PM1743 ในทางตามทฤษฎีสำหรับอินเทอร์ PCIe 5.0 x4 จะสามารถส่งปริมาณงานได้ถึง 15.7 GB/sถ้าแปลให้เข้าใจง่ายคือ PCie 5.0 จะมีความเร็วในการ Read / Write สูงกว่า SSD ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันระดับที่เทียบกันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามต้องรอดูสเปคอย่างเป็นทางการ จากเหล่าผู้ผลิตกันต่อไปครับCredit : Tom's Hardware
09 Jul 2021
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
เจาะลึกรายละเอียดสเปกเครื่อง Samsung Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra พร้อมราคาขายในบ้านเรา!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของแบรนด์กิมจิอย่าง “Samsung” โดยรอบนี้จะเป็นตระกูล Galaxy S21 Series แถมบ้านเราเองก็เปิดให้สั่งจองพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว วันนี้เกวลินเองก็เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของ Galaxy S21 Series ในแต่ละรุ่นมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน รวมไปถึงราคาในแต่ละรุ่นว่าในบ้านเราวางจำหน่ายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วมีโปรโมชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่อยากจะเปลี่ยนมือถือในช่วงเวลานี้ Samsung Galaxy S21 Series อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจก็เป็นได้ค่ะ ก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Samsung Galaxy S21 Series ที่เปิดตัวมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันประกอบไปด้วย Samsung Galaxy S21, Samsung Galaxy S21+ และ Samsung Galaxy S21 Ultra โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกภายในที่แตกต่างกันพอสมควรเริ่มจากขนาดหน้าจอกันก่อนเลยค่ะ เริ่มจาก Galaxy S21 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.2 นิ้วไม่เล็ก ไม่ใหญ่จนเกินไปถือกำลังเหมาะมือเลยค่ะ ตามมาด้วย Galaxy S21+ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้วถือว่าใหญ่ใกล้เคียงกับรุ่นท็อปเลยนะคะ ทั้งสองรุ่นนี้ตัวหน้าจอจะไม่ได้เป็นจอโค้งนะคะ สุดท้าย S21 Ultra มีขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว เล็กกว่า Note 20 Ultra 1 นิ้วค่ะ แต่ความพิเศษของ S21 Ultra อยู่ตรงที่ความละเอียดของหน้าจอเป็นรูปแบบ WQHD+ ทำให้เราสามารถรับชมวีดีโอคอนเทนต์ที่มีความละเอียดสูงได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถขับรีเฟรชเรทได้สูงถึง 120Hz อีกด้วย หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง “รีเฟรชเรท” ว่าถ้ามือถือสมาร์ทโฟนยิ่งมีค่านี้สูงมันดียังไง!? มันจะดีตรงที่เวลาเราเลื่อนสไลด์หน้าจอมันจะดูลื่นไหลไม่ปวดตา แล้วถ้าเราดูพวกวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์จากระบบสตรีมมิ่ง หรือ ดู Youtube ที่มีความละเอียดสูง ๆ จะเห็นความแตกต่างชัดเจนด้วย แต่ทั้งนี้การเปิดใช้งานรีเฟรชเรทสูงก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ดังนั้นแนะนำให้ตั้งค่าปรับอัตโนมัติดีที่สุดค่ะ เกือบลืมบอกไปตัวท็อปอย่าง S21 Ultra สามารถตั้งค่ารีเฟรทเรชแบบต่ำสุด 10Hz ได้ด้วย เพื่อใช้งานกับการทำงานบางอย่างเพื่อลดการกินแบตเตอรี่ได้ดีในส่วนหนึ่งค่ะ แล้วด้วยตัวหน้าจอ Samsung Galaxy S21 Series ทุกรุ่นใช้หน้าจอ “Dynamic AMOLED 2X” จะมีความสว่างสูงทำให้เมื่อเราใช้งานกลางแดดก็สามารถมองเห็นถึงรายละเอียดหน้าจอได้อย่างสบาย ๆ โดย Galaxy S21 และ S21+ จะมีค่าความสว่างที่ปรีับได้สูงสุดอยู่ที่ 1,300 nits ส่วนตัวท็อปสุด Galaxy S21 Ultra ค่าความสว่างก็ดันได้มากถึง 1,500 nits แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือหน้าจอจะแบนไม่ได้มีวิถีจอโค้งเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ใครที่รู้สึกว่าจอโค้งใช้งานลำบากาฟิล์มติดก็ยาก หรือเคสที่บางทีติดฟิล์มกระจกแล้วมีการดันฟิล์มออก โอ๊ย...ปัญหาเยอะแบบนี้ก็ลองมาเล่นรุ่นนี้ดูกันได้ค่ะ แม้ว่า CPU ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะไม่ใช่ Snapdragon เหมือนกับประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม แต่ชิปเซ็ตขุมพลังตัวใหม่อย่าง “Exynos 2100” ก็มีความแตกตางจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เริ่มจากสายการผลิตเป็นสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร เล็กแบบนี้แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก ภายในชิปเซ็ตมีโมเด็ม 5G ในทุก ๆ รุ่นของ Samsung Galaxy S21 Series ในด้านของ GPU หรือตัวประมวลผลกราฟฟิกรอบนี้มาแปลกนิดหน่อยค่ะ เพราะเขาเลือกใช้ “Mali-G78 MP14” จากปกติแล้วจะเป็นตระกูล Adreno ทำให้เมื่อนำมาทดสอบกับการเล่นเกมพบว่า  “เกมส่วนใหญ่สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ยกเว้นเกมที่จะต้องปรับรายละเอียดกราฟฟิกหรือประมวลผลสูง ๆ อย่าง Genshin Impact ยังมีเฟรมเรตดรอปเป็นระยะ ๆ ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร”  ในด้านของความร้อนเมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ สื่อที่ได้ลองเทสก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนจนเกินไป แล้วถ้าปล่อยให้เครื่องทำงานปกติแบบไม่ต้องทำอะไรใช้ระยะเวลาไม่กี่นาทีเครื่องก็จะกลับสู่ในอุณหภูมิสภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม Samsung Galaxy S21 Series ไม่ได้ดูออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียวนะคะ แต่หน้าที่หลัก ๆ ของมันก็คือ “สมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง” ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจในส่วนนี้กันด้วยนะคะ ตามมาด้วยหน่วยความจำหรือ Ram กันหน่อยค่ะ Galaxy S21 และ S21+ ทาง Samsung จัดมาให้แค่ 8GB. เท่านั้น ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ทั้งหมด 2 รุ่นคือ 12GB. กับ 16GB. ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เราสามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นหลาย ๆ ตัวได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ ทั้งนี้เกวลินก็คิดว่า Ram แค่ 8GB. ก็เพียงพอในการใช้งานทั่วไปหรือในการเล่นเกมแล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะเอาไว้เยอะ ๆ ก่อนก็ได้เหมือนกันถ้างบเพื่อน ๆ ถึงนะคะ จุดต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง “เลนส์กล้องที่ใช้ในการถ่ายรูป” ก็ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S21 Series ทำเอารุ่นพี่ที่อยู่ในมือของเกวลินอย่าง Galaxy Note 20 Ultra 5G สั่นไปหมดเลยค่ะ เพราะมีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอีกขั้น ( ชิ! น้อยใจซะจริงเลย ) โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วนะคะว่า Galaxy S21 Ultra จัดไปเลยเรื่องเลนส์กล้องเหนือกว่า Galaxy S21 และ S21+ ชนิดที่ไม่เห็นฝุุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้ติดอะไร ฉันมีงบเพียงแค่นี้จะเล่นรุ่นเล็ก รุ่นกลางก็ได้ทั้งนั้นค่ะ โดยทั้งสองรุ่นนี้ในเรื่องของสเปกเลนส์กล้องจะเหมือนกันนั้นก็คือเลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto คุณพระ! จัดความละเอียดมาให้ 64MP เลยค๊าคุณผู้อ่าน! แถมยังสามารถซูม Hybrid Optic ได้ถึง 3 เท่าแล้วก็ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาด้วย ส่วนตัวท็อปอย่าง Galaxy S21 Ultra สเปกเลนส์กล้องอัดมาให้เน้น ๆ เลนส์กล้องหลัก ( ด้านหลัง ) มีความละเอียด 108MP, เลนส์ Ultra-Wide ที่เก็บมุมกว้างได้ถึง 120 องศาความละเอียด 12MP และ เลนส์ Telephoto ที่จัดมาให้ถึง 2 ตัว โดยเราจะสามารถซูมแบบ Optical ได้ 3 กับ 10 เท่า แล้วก็ยังสามารถดันซูมในรูปแบบ Digital ได้ถึง 100 เท่ากันไปเลย ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นั้นมีระบบกันสั่นแบบ OIS ติดมาให้กับเลนส์ตัวนี้ทั้ง 2 ตัวเลยค่ะ สุดท้ายก็ยังมี Laser AF มาช่วยโฟกัสภาพที่แม่นยำและไวมากยิ่งขึ้น  ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Series จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควรค่ะ เริ่มจากน้องเล็กสุด Galaxy S21 มีขนาดแบตเตอรี่ 4,000 mAh ตามมาด้วยพี่รอง Galaxy S21+ มีขนาดแบตเตอรี่ 4,800 mAh และ พี่ใหญ่ Galaxy S21 Ultra จัดมาให้ถึง 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ก็ยังเครมเอาไว้ว่ามันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเรียกว่าอยู่ได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่เราก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะ ถ้าผู้ใช้งานเปิดการทำงานเต็มที่ของเครื่องไม่ว่าจะเป็นรีเฟรชเรท 120Hz แล้วก็ 5G ไปด้วยมันก็อาจจะซูมแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาเครมมาแบบนี้ก็ต้องลองเทสด้วยตนเองแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามพก Power Bank ดี ๆ สักตัวติดไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทราบกันก่อนก็คือ Samsung Galaxy S21 Series จะไม่แถมอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้เราอีกแล้ว ซึ่งถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเพิ่มเติมแล้วก็สามารถใช้อะแดปเตอร์จากรุ่นก่อนหน้านี้ชาร์จได้ ซึ่งทั้ง 3 รุ่นในซีรีส์นี้รองรับการชาร์จเร็ว Fast Charging สูงสุด 25 วัตต์ ส่วนเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging มีความเร็วในการชาร์จสูงสุด 15 วัตต์ แล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์อื่น ๆ มาชาร์จกับตัวเครื่องของเราก็จะได้ความเร็วในการชาร์จอยู่ที่ 4.5 วัตต์ ฟังดูอาจจะน้อยแต่ทาง Samsung เข้ามาเพื่อใช้ในกับอุปกรณ์อื่น ๆ ในเวลาที่จำเป็น นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดคร่าว ๆ ของ Samsung Galaxy S21 Series ทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S21 Ultra มีปากกา S-Pen ที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับของ Galaxy Note 20 Ultra 5G เพียงแต่ว่าปากกาเล่มดังกล่าวจะไม่มีที่เก็บเหมือนกับของ Note นะคะ ซึ่งทาง Samsung ก็ออกแบบเคสพิเศษสำหรับใช้ในการเก็บปากกาพร้อมกับป้องกันตัวของเราจากการกระแทกได้ดีซะด้วยค่ะ รวมไปถึงรุ่นนี้ยังมีมาตรฐานป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 มีระบบลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้วการสแกนลายนิ้วมือก็เป็นแบบ Ultrasonic ตัวใหม่จากทาง Qualcomm อีกด้วย ท้ายสุดนี้เราไปดูราคาเครื่องของแต่ละที่กันหน่อยดีกว่าค่ะ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก AIS ( สำหรับลูกค้า Serenade ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 16,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 23,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 19,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 38,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,699 บาท - ราคา 30,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย AIS ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก DTAC ( สำหรับลูกค้า Platinum Blue Member ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 19,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 13,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 9,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 21,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 17,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 11,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 17,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 27,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 18,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 23,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 20,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 27,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 25,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 35,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,099 บาท - ราคา 31,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,499 บาท - ราคา 29,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 2,199 บาท - ราคา 26,900 บาท ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย DTAC ได้ที่ คลิกที่นี่ โปรโมชั่นในการสั่งซื้อ Samsung Galaxy S21 Series จาก TrueMove H ( สำหรับลูกค้าที่ใช้อยู่ปัจจุบัน, เปิดเบอร์ใหม่ และ ย้ายค่ายเบอร์เดิม ) Galaxy S21 ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 27,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 29,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 21,400 บาท *18,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 20,400 บาท * 15,400 บาท Galaxy S21 ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 18,900 บาท *13,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 25,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 23,900 บาท *20,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 22,900 บาท *17,900 บาท Galaxy S21 ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 21,400 บาท *16,400 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 33,900 และ ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาทแต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 29,400 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 26,900 บาท *26,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 24,900 บาท * 23,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 23,900 บาท *19,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 31,400 บาท *28,400 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 28,900 บาท *25,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 26,900 บาท *21,900 บาท Galaxy S21+ ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 25,900 บาท *20,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. ราคาปกติอยู่ที่ 39,900 ,ความจุ 256GB. ราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท และ ความจุ 512GB. ราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท แต่ถ้าซื้อราคาในแพ็คเกจก็จะได้รับส่วนลดดังต่อไปนี้ Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 34,400 บาท *31,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 31,900 บาท *28,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 29,900 บาท * 24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 128GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 27,900 บาท *22,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 36,400 บาท *33,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 33,900 บาท *30,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 31,900 บาท *26,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 256GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 29,900 บาท *24,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 699 บาท - ราคา 40,400 บาท *37,400 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,199 บาท - ราคา 37,900 บาท *34,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,399 บาท - ราคา 35,900 บาท *30,900 บาท Galaxy S21 Ultra ความจุ 512GB. แพ็คเกจ 1,599 บาท - ราคา 33,900 บาท *28,900 บาท หมายเหตุ: * คือเครื่องหมายราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่ย้ายค่ายมาแล้วใช้เบอร์เดิมค่ะ ดูรายละเอียดราคาจากแพ็คเกจอื่น ๆ ของค่าย TrueMove H ได้ที่ คลิกที่นี่
04 Feb 2021
ส่องลูกเล่นใหม่ ๆ ของ One UI 3.0 และ Android 11 ที่อัปเดตให้กับ Samsung A I S I Note I Z Series
อัปเดตมาได้ราว ๆ เกือบจะ 1 เดือนเห็นจะได้แล้วค่ะ สำหรับ Android 11 และ One UI 3.0 ของแบรนด์ Samsung ที่มาการทยอยอัปเดตให้ในแต่ละรุ่น โดยทางเกวลินเองได้ใช้ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ก็เลยทำการอัปเดตแล้วทดลองใช้งานดูตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วันนี้เลยจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาว่ามันมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมกันบ้างค่ะ ส่วนใครที่ใครแบรนด์นี้อยู่แล้วแต่เป็นรุ่นที่รองท็อปลงมาก็จะมีการอัปเดตให้ในแต่ละเดือน ( ส่วนนี้เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ทราบในช่วงท้ายบทความนะคะ ) เอาละเมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ ต้องเข้าใจ “การอัปเดตในครั้งนี้ก่อน!” สำหรับ “One UI 3.0” คือระบบปฏิบัติการที่มาพร้อมกับ Android 11 เพื่อที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงตอนนี้ทาง Samsung ก็ได้ไล่อัปเดตมาตั้งแต่ Series A, Series M, Galaxy Note 20 Series, Galaxy S20 Series, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Fold 2, Galaxy Z Flip, Galaxy Note 10 Series, Galaxy Fold และ Galaxy S10 Series ทั้งนี้ก็ต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนว่ามันคือการไล่อัปเดตในแต่ละรุ่นตามลำดับนะคะ แล้ว “One UI 3.0” มันมีอะไรที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมก่อนหน้านี้บ้าง!? อันดับแรกที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือพวกไอคอนต่าง ๆ ที่เราใช้งานจะไม่แตกต่างจาก One UI 2.5 เลยค่ะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมาเรียนรู้ในส่วนนี้ใหม่แต่อย่างใดนะคะ แต่ที่จะต้องมาศึกษาอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยก็คือ “ระบบการแจ้งเตือน” ที่ตรงนี้ทาง Samsung ได้มีการดีไซน์ใหม่คือบอกระบุชัดเจนว่าการแจ้งเตือนนั้นมาจากของอะไร จากเดิมเวอร์ชั่นก่อนที่ไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะทำให้เราทราบแล้วว่าที่เด้ง ๆ แจ้งเตือนนั้นมาจากแอพพลิเคชั่นอะไรค่ะ รวมไปถึงมีการปรับโทนสีของโซนแสดงผลจากเดิมที่เป็นแบบสีขาวทึบแต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 ในส่วนนี้จะทำให้ดูโปร่งแสงมากขึ้น ความรู้สึกส่วนตัวก็คือมันดูสบายตามากกว่าเวอร์ชั่นก่อนเยอะเลย ตามมาด้วยเหล่าไอคอนด้านบนพวกนี้ก็มีการออกแบบไอคอนบางส่วนใหม่รวมไปถึงปรับปรุงระบบการใช้งานบางส่วนให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้พวกรายละเอียดเวลา, วัน และ เดือนก็จะมีการขยับมาให้เราได้เห็นชัดเจน โดยย้ายมาอยู่ตรงกลางแทนจากเดิมที่อยู่บริเวณมุมซ้ายบนของหน้าจอ แล้วพวกปุ่มเปิดปิดหรือค้นหาก็จะย้ายไปอยู่ด้านมุมขวาบนสุดของเครื่องก็เรียกว่าเป็นการจัดระเบียบที่ดูสวยงามไม่ใช่น้อยค่ะ ต่อมาก็คือ “ระบบ Reset แอพพลิเคชั่น” ปกติแล้วเรากดไอคอนที่เป็น “III” เมื่อกดแล้วตอนเราเลื่อนมันจะดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่พออัปเดตเป็น One UI 3.0 ก็มีการปรับให้เวลาเราเลื่อนหน้าต่างส่วนพวกนี้ดูเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น ส่วนถ้าต้องการอยากจะปิดแอพพลิเคชั่นนั้นก็ทำเหมือนเดิมคือปัดขึ้นหรือกดปุ่มปิดทั้งหมดเลยก็ได้ แล้วระบบที่ถูกปรับปรุงอีกส่วนหนึ่งก็คือ “ระบบเพิ่ม-ลดเสียง” ที่ออกแบบมาใหม่ เมื่อเรากดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียงมันจะมีแถบสีขาวขึ้นมาที่หน้าจอ ซึ่งเราสามารถเลื่อนขึ้น เลื่อนลงเพื่อปรับระดับเสียงตามที่ต้องการหรือจะแตะที่ไอคอนลำโพงเพื่อเปิดปิดโหมดใช้เสียงหรือโหมดสั่นได้ด้วย แล้วไอคอน “...” เมื่อกดเข้ามาก็ยังสามารถตั้งค่าในการปรับแต่งการใช้เสียงหรือสั่นในโหมดการใช้งานที่ต้องการได้ตลอดเวลาค่ะ แล้วเมื่อเรากดเข้ามาที่ตั้งค่า “เหล่าไอคอนต่าง ๆ” ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกันค่ะ แต่เรื่องการใช้งานต่าง ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเปลี่ยนแปลงไอคอนไปแล้วระบบการทำงานจะเปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ในส่วนของโปรไฟล์ของเราใน One UI 2.5 จะมีขนาดเล็กแต่พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ก็มีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นแล้วเมื่อเรากดเข้ามาจะเห็นรายละเอียดในการเชื่อมต่อกับ “Samsung Account” ตรงนี้เราสามารถตั้งค่ารายละเอียดเชิงลึกของบัญชีโปรไฟล์ตัวเองได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เรามาพูดถึงลูกเล่นต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน One UI 3.0 กันบ้างดีกว่าค่ะ อันดับแรกเลยก็คือ “Dynamic Lock Screen” ที่มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาจากเดิมมีเพียงไม่กี่อันเท่านั้น บางคนอาจจะไม่เข้าใจมันคืออะไร เมื่อเราตั้งค่าเรียบร้อยแล้วจะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่เราเปิดปิดหน้าจอภาพที่แสดงผลจะเปลี่ยนแปลงไปตามธีมที่เราได้ตั้งค่าเอาไว้ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตั้งรูปวอลเปเปอร์ในแบบที่เราต้องการได้ ตามมาด้วยฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ “การปิดหน้าจอด้วยการแตะเพียงแค่ 2 ครั้ง” ใน One UI 2.5 และ Android 10 ถ้าเราจะต้องการเปิดหน้าจอเพียงแค่เราแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งมันจะทำการเปิดหน้าจอขึ้นมาทันที แต่เมื่ออัปเดตเป็น One UI 3.0 และ Android 11 ได้เพิ่มลูกเล่นการปิดหน้าจอเข้ามาด้วยการแตะที่หน้าจอ 2 ครั้งตัวเครื่องก็จะปิดหน้าจอให้ทันทีเลยค่ะ แอบแปลกใจว่าทำไมไม่ทำมาตั้งแต่แรกนะเนี่ย จุดต่อมาที่ปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “ตัวสแกนลายนิ้วมือ” ที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ตัวเกวลินเองเป็นคนที่จะใช้นิ้วที่ใหญ่ก็จะใช้นิ้วโป้งในการสแกนเพื่อเปิดเครื่อง ผลที่ได้ก็คือมันก็ช่วยให้การสแกนง่ายขึ้นเร็วขึ้นจากเดิมพอสมควรเลยค่ะ แต่ถ้าเราติดพวกกระจกหรือฟิล์มกันรอยที่มีความหนาก็อาจจะสแกนยากเล็กน้อย ดังนั้นเมื่ออัปเดตแล้วขอแนะนำให้ไปตั้งค่าในการสแกนลายนิ้วมือใหม่อีกครั้งจะดีมากเลยค่ะ ตามมาด้วยเพิ่มลูกเล่น “พื้นหลังการโทร” ที่เราสามารถปรับแต่งได้จะเปลี่ยนพื้นหลังเป็นรูปหรือวีดีโอที่ต้องการได้ แถมเรายังกำหนดให้เสียงจากวีดีโอที่เก็บเอาไว้มาเป็นเสียงเรียกเข้าได้อีกด้วย ใครที่อยากได้เสียงพี่เอก HRK เป็นเสียงเรียกเข้าก็ทำได้นะ แล้วสิ่งที่หลายคนชื่นชอบคงหนีไม่พ้นเรื่อง “การถ่ายรูปหรือวีดีโอ” ตัวแพทช์ One UI 3.0 และ Android 11 ก็มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ให้กับการถ่ายรูปด้วยนั้นก็คือระบบที่เรียกว่า “Lock Focus” ปกติแล้วถ้าเราแตะเบา ๆ 1 ครั้งมันจะเป็นการ Focus ภาพแม้ว่าจะเคลื่อนจอไปทางไหนมันก็จะตามจุดที่เราต้องการเอาไว้ แต่บางครั้งแสงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการแถมจะมีแถบให้เลื่อนปรับแต่ง แต่สักพักมันก็จะเปลี่ยนแสงกลับไปสภาพเดิมทำให้ระบบใหม่นี้จะมาช่วยแก้ไขในส่วนนี้ค่ะ เมื่อเราแตะค้างเอาไว้มันจะขึ้นเป็นวงกลมมีลูกแม่กุญแจเราสามารถลากเพื่อปรับแสงในแบบที่เราต้องการได้จากนั้นกดล็อค ก็เป็นระบบที่จะช่วยให้การถ่ายภาพของเราสนุกขึ้นไปอีกขั้นเลยค่ะ แล้วฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมเข้ามาก็ยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า “AR Emoji” ที่ทำให้เราสามารถสร้างตัวละคร AR ของตัวเองขึ้นมาได้ โดยตัวละครพวกนี้มีความสามารถในการแสดงสีหน้า ท่าทางต่าง ๆ ของเราได้แบบเรียล์ไทม์เลยนะคะ แถมยังเปลี่ยนชุดของพวกเขาในแบบที่เราต้องการอีกด้วย แล้วตัวละครที่เราสร้างขึ้นมายังสามารถนำไปใช้เป็น AR Sticker ได้อีกด้วย สรุปหลังจากการใช้งานจริงร่วม 1 เดือน! จริง ๆ แล้วรายละเอียดของการอัปเดต One UI 3.0 และ Android 11 ยังมีมากกว่านี้มาก แต่เกวลินขอหยิบที่น่าสนใจมาพูดก็แล้วกันนะคะ หลังจากนี้จะเป็นสิ่งที่เห็นว่ามันเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นอย่างมากเลยค่ะ ซึ่งรุ่นที่ใช้เป็น CPU “Samsung Exynos 990 Octa Core” ที่บางคนอาจจะบอกว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วร้อน ส่วนตัวเมื่อมีการอัปเดตเรื่องความร้อนดีขึ้นถูกแก้ไขให้ดีขึ้นเยอะ ก่อนอัปเดตเวลาถ่ายรูปนาน ๆ ตัวกล้องจะร้อนเร็วมาก แต่พออัปเดตปัญหานี้ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งค่ะ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่อง “สแกนคิวอาร์โค้ด” ต่าง ๆ ที่ดูแม่นยำและเที่ยงตรงกว่าเดิมมาก ๆ แค่เปิดกล้องขึ้นมายังอ่านคิวอาร์โค้ดนั้นไม่เต็มจอก็เข้าสู่รหัสนั้นอย่างรวดเร็วเลยค่ะ  นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการใช้งาน One UI 3.0 และ Android 11 ใครที่ใช้มือถือแบรนด์ Samsung รุ่นไหนอยู่เตรียมตัวรอการอัปเดตได้เลย รายละเอียดดังต่อไปนี้ ( แต่ละรุ่นอาจจะมีการอัปเดตอาจจะเลื่อนมาเร็วขึ้นหรือช้าขึ้นอยู่กับทาง Samsung อีกทีค่ะ ) มกราคม Galaxy S10 Lite Galaxy S20 FE Galaxy S20 FE 5G Galaxy Note 10 Galaxy Note 10+ Galaxy Z Flip Galaxy Z Flop 2 5G กุมภาพันธ์ Galaxy S10e Galaxy S10 Galaxy S10+ Galaxy Fold มีนาคม Galaxy M30s Galaxy XCover Pro Galaxy A51 Galaxy Note 10 Lite Galaxy M31 Galaxy M31 Galaxy A71 5G Galaxy Tab S7 Galaxy Tab S7+ เมษายน Galaxy A50 Galaxy A50s Galaxy M51 พฤภาคม Galaxy A70 Galaxy A80 Galaxy Tab S6 Galaxy A71 Galaxy A31 Galaxy A21s Galaxy A42 5G Galaxy Tab S6 Lite มิถุนายน Galaxy A01 Galaxy A11 Galaxy A12 Galaxy M11 Galaxy Tab A Galaxy Tab Active 3 Galaxy A02s กรกฎาคม Galaxy A10 Galaxy A10s Galaxy A20 Galaxy A30 Galaxy XCover 4s Galaxy Tab S5e สิงหาคม Galaxy A20s Galaxy A30s Galaxy Tab A8 Plus (2019) Galaxy Tab A8 (2019) Galaxy Tab A10.1 (2019) Galaxy Tab Active Pro Galaxy A01 Core
19 Jan 2021
Intel สู้ไม่ไหว! ประกาศปีหน้าอาจเลิกผลิต Chipset เองแล้ว!
Intel เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ผลิต CPU (i3, i5, i7) กับ Chipset อันดับ 1 ของโลก ซึ่งเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ทาง AMD ได้ผลิต CPU ซีรีส์ Ryzen ออกมาขาย โดยเป็นทาง Intel ที่ถูกไล้ต้อนให้จนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดบริษัทเริ่มขาดทุน แต่เหมือนว่าฝันร้ายของ Intel ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะล่าสุดพวกเขาอาจจำเป็นต้องยอมแพ้ในตลาด Chipset ด้วยเช่นกันครับ! จริงๆ แล้วนอกจากกำไรที่ลดลง เทคโนโลยีการผลิต Chipset ของ Intel เองก็เริ่มตาม TSMC และ Samsung ไม่ทันแล้วเช่นกัน ส่งผลผู้บริหารของ Intel ต้องตัดสินใจว่าไตรมาสหน้าว่าจะยังผลิตชิปรุ่นใหม่เองเหมือนเดิม หรือจะหันไปใช้ของบริษัทอื่นที่ทำได้ดีกว่าแทนครับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าสักวันหนึ่งบริษัท Intel จะต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลายในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ต้องรอดูต่อไปว่าพวกเขาจะทำยังไงครับ! Credit: Bloomberg
26 Nov 2020
Samsung กับ Xbox จับมือ Cyberpunk 2077 เปิดตัวทีวีใหม่ที่มาในธีมของเกม!
Cyberpunk 2077 กำลังจะวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือน ธันวาคม 2020 นี่ ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าหากว่าในตอนที่เกมวางจำหน่าย เราจะสามารถเล่นเกมนี้ผ่านเครื่องคอนโซลเจนใหม่ บน TV ที่มีความละเอียดสูงถึง 4K ได้ อย่างไรก็ตามด้วยความที่เครื่องเล่นเกมเจนใหม่ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมากๆ มันก็คงเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถทำเรื่องที่ผมบอกมาได้จริง ล่าสุดแม้จะไม่มาก แต่เหมือนว่าความหวังนั้นยังเป็นจริงได้อยู่สำหรับคนภายในอเมริกาครับ! Samsung แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ปล่อยวิดีโอใหม่โชว์ TV QLED ที่มาในธีม Cyberpunk 2077 พร้อมประกาศว่า TV ดังกล่าวจะสิ่งที่มอบให้กับผู้โชคดีที่เข้าไปร่วมสนุกกิจกรรมของทาง Samsung เอง ซึ่งเครื่อง Xbox Series X กับเกม Cyberpunk 2077 จะถูกมอบให้ไปพร้อมกับทีวีตัวนี้ด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าน่าเสียดายที่คนทางบ้านเราไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้ แต่สำหรับใครที่สนใจเจ้า TV สุดพิเศษจากทาง Samsung ตัวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเอาออกมาวางขายแยกด้วยก็เป็นได้ ต้องติดตามดูกันต่อไปครับ Cyberpunk 2077 จะวางจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคม 2020 นี้บนเครื่อง PS5, PS4, Xbox Series X / S, Xbox One และ PC ครับ Credit: GameRant
30 Oct 2020
5 เหตุผล !! ทำไมซัมซุง QLED จึงเป็นตัวเลือกทีวีอันดับหนึ่ง
กรุงเทพฯ (22 ตุลาคม 2563) – เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกซื้อทีวีซักเครื่อง ผู้ซื้อทุกคนต่างต้องการทีวีที่สามารถเติมเต็มอรรถรสในการรับชม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกด้าน และนำสมัยใช้ได้เป็นเวลานาน ทีวี QLED จากซัมซุงคือคำตอบที่รวมทุกความต้องการไว้ด้วยกัน และนี่คือ 5 เหตุผลว่าทำไม QLED จากซัมซุงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกซื้อทีวีอย่างชาญฉลาด หมดกังวลเรื่อง Burn-in หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พบปัญหาอาการจอไหม้ (Burn-in) หลังจากใช้ทีวีได้ซักระยะ เทคโนโลยี QLED จากซัมซุงคือคำตอบที่คุณตามหา เทคโนโลยี QLED ใช้กระแสไฟกำลังต่ำทำให้ควบคุมความร้อนได้ดี จึงเกิดรอยไหม้ได้ยาก ต่างจากเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ใช้กระแสไฟที่สูงกว่า ซัมซุงมั่นใจในคุณภาพ พร้อมมอบประกันซ่อมฟรีทันทีหากเกิดปัญหาหน้าจอไหม้ ตลอดอายุการใช้งาน  เติมเต็มอรรถรสการรับชม เสมือนมีโรงภาพยนตร์ส่วนตัวที่บ้านคุณ ทีวี QLED จากซัมซุงมาพร้อมกับเทคโนโลยีภาพคมชัดสมจริง เพื่อเสริมประสบการณ์การรับชมทีวีของคุณ เหมือนยกเอาโรงภาพยนตร์มาไว้ที่บ้าน ทำให้คุณเพลิดเพลินและอิ่มเอมกับคอนเทนต์ต่างๆ ได้มากกว่าเคย ด้วยอนุภาค Quantum Dot ที่ให้ระดับสี 100% สร้างสรรค์ได้กว่า 1000 ล้านเฉด ผสานกับระบบภาพ HDR ทีวี 4K จนถึงทีวี 8K ที่ให้ภาพละเอียดคมชัด สีสวยสมจริง และแสดงเฉดสีได้แม่นยำจากทุกมิติ เติมอิ่มกับทุกคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มชั้นนำ พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปอยู่ในออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีวี QLED จากซัมซุงมุ่งมั่นสร้างทางเลือกในการรับชมคอนเทนต์ออนไลน์ให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เพื่อผู้ใช้สามารถสนุกไปกับโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ได้อย่างเต็มที่ ผ่านซัมซุงสมาร์ททีวีสุดอัจฉริยะ โดยในปัจจุบันไทย ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ได้จับมือกับคอนเทนต์แพลตฟอร์มชั้นนำต่างๆ เพื่อความบันเทิงที่ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น  Apple TV, Apple Music, AIS Play, HBO GO, VIU, LOOX TV, Netflix และอื่นๆ อีกมากมาย  เล่นเกมได้มันส์กว่าใคร  ด้วยทีวี QLED จากซัมซุง เกมเมอร์ทั้งหลายสามารถเล่นเกมได้อินกว่าที่เคย ด้วยจอแสดงผลที่รองรับการใช้งาน HDMI 2.1 และอัตราการรีเฟรชเรทที่ 120Hz ทำให้จอแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่องไม่สะดุด เสริมประสบกรณ์การเล่นเกมด้วย Auto Game Mode ที่จะทำให้ทุกครั้งที่เปิดเกมขึ้นมา ทีวีจะเข้าสู่โหมดเล่นเกมโดยอัตโนมัติ เปลี่ยนทีวีของคุณให้เป็นสุดยอดเกมมิ่งมอนิเตอร์ในชั่วพริบตา อุ่นใจกับการรับประกันและบริการถึงบ้านทุกวัน ซัมซุงรับประกันสินค้า QLED TV ถึง 3 ปี (เมื่อลงทะเบียนรับประกันผลิตภัณฑ์) และยังมีบริการถึงบ้านตลอด 7 วัน พร้อมกับบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยลูกค้าสามารถเลือกช่องทางติดต่อเจ้าหน้าได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ หรือ Live Chat เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการบริการที่รวดเร็วและตรงจุดยิ่งขึ้น  ทีวี QLED จากซัมซุงจัดเต็มเรื่องคุณภาพและบริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ เป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับใครที่กำลังมองหาทีวีซักเครื่อง ที่สามารถยกระดับประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ให้เหนือชั้นกว่าที่เคย ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.samsung.com/th/tvs/qled-tv/highlights/ หรือสอบถามเรื่องการเข้ารับบริการเพิ่มเติม โทร 1282
22 Oct 2020
สัมผัสประสบการณ์เกมมิ่งเหนือจินตนาการกับ Samsung Odyssey G9 และ G7
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าการใช้จอมอนิเตอร์แบบโค้ง เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ่นในหมู่ผู้เล่นบนเครื่อง PC เพราะจอมินิเตอร์ประเภทนี้จะช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับโลกของเกมมากขึ้น เนื่องจากภาพที่เราเห็นมันไม่ได้แบนราบ เหมือนใช้จอมินิเตอร์ปกติ วันนี้ทาง Samsung ได้มีการเปิดตัวจอมินิเตอร์สำหรับเล่นเกมใหม่ในชื่อ Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 ซึ่งต้องขอออกตัวก่อนเลยว่ามอนิเตอร์สองตัวนี้ จะช่วยให้เราเข้าถึงโลกของเกมได้มากกว่าที่เคยเป็นมาครับ ก่อนจะเริ่มพรรณนาถึงความสุดยอดของเกมมิ่งมอนิเตอร์ใหม่นี้ ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นสเปคของ เจ้าจอสุดเทพตัวนี้ก่อนครับ จากรูปจะสังเกตุได้ว่าตัวจอรุ่นใหญ่สุดอย่าง G9 นั้นได้ใส่เทคโนโลยีหลายอย่างที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์มาด้วย ไม่ว่าจะเป็น Refresh Rate ที่สูงถึง 240Hz, Response Time ที่สั้นแค่ 1ms(GTG) ,Resolution ระดับ DQHD(5,120*1,440), รองรับเทคโนโลยี G-Sync กับ FreeSync 2 หรือ Display แบบ QLED ที่จะทำให้สีของหน้าจอสวยสดงดงาม นอกจากนี้ด้วยความที่ตัวจอของเจ้า G9 นี้ มีความคมชัดระดับ DQHD มันจึงทำให้เราสามารถแบ่งการใช้ง่านหน้าจอได้อย่างหลากหลาย จอตัวนี้ยังให้ผู้ใช่งานสามารถแบ่งหน้าจอออกเป็น QHD สองจอแบบซ้าย และขวา สำหรับการใช้งานหลายอย่างพร้อมกันได้ด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์สายสตรีม หรือคนที่ชอบเล่นเกมไปด้วยดู Youtube หรือ Netflix ไปด้วยอย่างดี ในส่วนของดีไซน์ ก็ต้องบอกเลยว่าทั้งตัว G9 และ G7 นั้น ออกแบบมาได้สวยทันสมัยเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการให้ PC ของตัวเองดูเท่ สวยคูล ยิ่งสำหรับคนที่ต้องการทำให้ PC ของตัวเองอยู่ในธีมสีขาวด้วยแล้ว คงต้องบอกว่าเจ้า Samsung Odyssey G9  คือสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอนครับ นอกจากในเรื่องของดัไซน์แล้ว ทางผู้พัฒนายังได้คำนึงถึงเรื่องของ Lighting ด้านหลังจอ ที่จะใช้ให้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานมีความสวยล้ำสมัยไปอีกขั้น สำหรับสานที่ประกอบ PC แบบ High End แล้วคิดว่าเจ้า G9 และ G7 ใหม่จากทาง Samsung นี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดครับ [caption id="attachment_65664" align="aligncenter" width="1024"] ผู้เขียนไปลองเล่นมาแล้วบอกเลยว่า สุดยอดมากๆ[/caption]
28 Aug 2020