แนวเกม: Action RPG
ผู้พัฒนา: Ubisoft
แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC, Nintendo Switch (ญี่ปุ่นเท่านั้น, Cloud Version)
เวลาเล่น: ประมาณ 30 ชั่วโมง
(รีวิวบน PS4 Pro - ขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ubisoft ครับ)
ข้อดี
- เกมเพลย์ทำออกมาได้ดี เล่นสนุก มีอะไรหลากหลายให้ทำตลอดเวลา
- เนื้อเรื่องน่าสนใจ เสริมโดยระบบตัวเลือกบทสนทนา
- ภาพสวยมาก รายละเอียดเยอะ
- ระบบ RPG ลึกกว่าเดิมมาก สามารถพัฒนาตัวละครได้ตามสายที่ต้องการ
ข้อเสีย
- โหลดบ่อยและนานพอสมควร
- ระบบเกมเพลย์หลายส่วนบังคับผู้เล่นให้สู้ตรงๆ เท่านั้น
ไม่ว่าคุณจะคิดว่านี่เป็นเกม
Assassins Creed หรือไม่ก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม
Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกม
Action RPG ที่มีคุณภาพมากๆ เกมนึง ด้วยระบบต่อสู้ที่ต่อยอดมาจากภาค
Origins ได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังมีระบบการปรับแต่งตัวละครด้วยไอเทมและสกิลแบบ
RPG ที่ลึกซึ้ง เปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถสร้างตัวละครที่เข้ากับวิธีการเล่นของตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ แถมยังมีโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยกิจกรรมหลากหลายชนิดให้ทำตลอดเวลา พูดได้เต็มปากเลยว่าในแง่เกมๆ นึง
Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่สนุกและคุ้มเงินมากๆ อาจจะเป็นเกมที่ดีที่สุดที่
Ubisoft ปล่อยออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
แต่ถึงอย่างนั้นเกมก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าเกมระดับครูอย่าง
The Witcher 3 หรือ
God of War ได้ในเรื่องของรายละเอียด อาจจะด้วยเนื้อหาที่อัดแน่นทุกกระเบียดนิ้วของเกม ทำให้ผู้พัฒนาต้องยอมเสียสละคุณภาพของรายละเอียดเล็กๆ ไป เช่นการขยับตัวของตัวละครในฉากสนทนาหรือหน้าตาตัวละครย่อยๆ ที่ยังติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นหลักของเกมมากแต่อย่างใด เรียกว่าเป็นข้อด้อยเล็กๆ เพียงไม่กี่อย่างที่ถ้าแก้ได้ก็จะเป็นเกมระดับเทพได้เลย
[caption id="attachment_7405" align="aligncenter" width="3840"]
Assassins Creed® Odyssey[/caption]
เกมเพลย์
ในส่วนของเกมเพลย์นั้น
Assassins Creed Odyssey ก็ไม่ได้หนีจากสูตรเกม
Open-world ของ
Ubisoft ที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยเล่นเกมภาคที่แล้วอย่าง
Assassins Creed Origins มาน่าจะคุ้นเคยกับรูปแบบการเล่นนี้ดีเลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปตามพื้นที่ต่างๆ ของเกมที่แบ่งมาแล้วชัดเจนตามเลเวล เพื่อรับภารกิจเนื้อเรื่องและเควสเสริมตามทาง รวมไปถึงกิจกรรมย่อยๆ อย่างการบุกฐานศัตรูหรือการหาสมบัติในซากโบราณสถาน การทำภารกิจจะมอบรางวัลให้ผู้เล่นเป็นไอเทมสวมใส่ทั้งอาวุธชุดเกราะชนิดต่างๆ รวมไปถึงค่าประสบการณ์สำหรับการพัฒนาเลเวลและสกิลของตัวละครด้วย
[caption id="attachment_7396" align="aligncenter" width="1024"]
อาวุธ/ชุดเกราะเยอะจนลายตา[/caption]
ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดระหว่างเกมภาคนี้และภาคก่อนหน้าคงเป็นความลึกของเกม ที่พัฒนาขึ้นจากเกมภาค
Origins ทุกๆ แง่เลยทีเดียว ตั้งแต่ขนาดของเกม ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้พัฒนา
Ubisoft เคยสร้างมา ไปจนถึงระบบ
RPG ที่ลึกและเปิดช่องให้ผู้เล่นสามารถเล่นตามทางที่ตัวเองต้องการจริงๆ โดยระบบสกิลในเกมนี้จะแบ่งออกเป็นสามสายคือ
Hunter (ธนู),
Warrior (ต่อสู้) และ
Assassin (ลอบเร้น) ซึ่งแต่ละสายจะให้ความสามารถที่เข้ากับวิธีการเล่นของผู้เล่นแต่ละคน และทุกสายสามารถผ่านภารกิจส่วนใหญ่ของเกมได้ดีพอๆ กัน แถมเกมยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลได้ตลอดเวลาเมื่ออยากจะลองเปลี่ยนสาย จึงถือเป็นระบบที่สร้างความหลากหลายให้กับเกมเพลย์ได้ดีไม่ว่าจะเล่นไปไกลขนาดไหนก็ตาม แถมเกมยังมีระบบเครื่องสวมใส่คล้ายๆ เกมอย่าง
Diablo ที่ให้ของดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้ผู้เล่นทดลองเล่นหลายๆ สายเมื่อได้อาวุธเมพๆ ในสายที่เราอาจจะไม่ได้ใช้ หรือแค่เพื่อพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ ก็ได้
[caption id="attachment_7393" align="aligncenter" width="1024"]
สกิลแต่ละสาย สามารถรีเซ็ตได้ตลอดเวลา (มุมขวาล่าง)[/caption]
แน่นอนว่าขนาดที่เพิ่มขึ้นของแผนที่ก็เปิดให้ผู้พัฒนาสามารถใส่สถานที่น่าสนใจและกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากขึ้น อย่างระบบการบังคับเรือและการต่อสู้ทางทะเลที่กลับมาเป็นส่วนหลักของซีรี่ย์อีกครั้งเพราะลักษณะของแผนที่กรีกโบราณที่มีความเป็นหมู่เกาะ เมื่อรวมเข้าไปกิจกรรมอื่นๆ ของเกมแล้วหมายความว่าเราแทบจะไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำเลย เพราะวิ่งไปหน่อยเดียวก็เจอถ้ำหรือค่ายโจร ไปอีกหน่อยก็มี
NPC ให้ภารกิจย่อย พอลงเรือไปก็มีโจรสลัดมาโจมตี
บางทีขนาดยืนอยู่เฉยๆ ก็มีอะไรวิ่งเข้ามาหาเอง อย่างระบบนักล่าค่าหัว
Mercenary ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับเอาระบบ
Phylakes จากภาค
Origins และระบบ
Nemesis System ของเกมตระกูล
Shadow of Mordor มาผสมกัน โดยภายในเกมจะมีนักล่าค่าหัวเร่ร่อนคอยเดินทางไปมาในโลกของเกมตลอดเวลา และจะออกล่าผู้เล่นเมื่อโดนตั้งค่าหัว (มีเกจคล้ายๆ ดาวตำรวจใน
GTA คอยบอก) ซึ่งก็นำไปสู่จังหวะการเล่นระทึกๆ ได้เยอะเวลามีนักล่ามาตามรังควานระหว่างการทำภารกิจหรือกระทั่งการเดินซื้อของในเมือง ในขณะเดียวกัน เกมก็ให้แรงจูงใจให้ผู้เล่นอยากเผชิญหน้ากับเหล่านักล่าเช่นกัน เพราะทุกตัวจะมาพร้อมอาวุธชุดเกราะระดับสูงที่จะดรอปให้ผู้เล่น แถมเกมยังมีระบบ Lieutenant ที่ให้เราชวนศัตรูตัวไหนก็ได้ในเกมมาเป็นลูกน้องบนเรือเราได้ด้วย (ต้องทำให้สลบแทนการฆ่า)
[caption id="attachment_7404" align="aligncenter" width="3840"]
เจอหมวกแดงๆ แบบนี้ก็รีบหนีนะจ๊ะ (หรือจะตามฆ่าเอาไอเทมดีๆ ก็ได้)[/caption]
แต่แม้ว่าเกมเพลย์ส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นมีอิสระในการเล่นอย่างที่ต้องการ ก็มีบางจังหวะที่ผู้เขียนรู้สึกว่าโดนบังคับให้ต้องเล่นสาย
Warrior เท่านั้น อย่างในกิจกรรมสงคราม
Conquest Battle ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราล่าผู้นำของเขตแดนต่างๆ ซึ่งจะทำให้กองทัพ
Sparta และ
Athens เข้ามาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงพื้นที่นั้น โดยเราในฐานะทหารรับจ้างจะเลือกเข้าข้างไหนก็ได้ แต่กิจกรรมนี้จะมีลักษณะเป็นสงครามที่ผู้เล่นต้องตะลุมบอนกับศัตรูซึ่งหน้า ไม่สามารถใช้การลอบเร้นหรือการต่อสู้ระยะไกลได้ หรือการล่าสัตว์ในตำนานที่ซ่อนอยู่ตามแผนที่ ซึ่งไม่สามารถใช้การลอบเร้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถรีเซ็ตสกิลของตัวเองได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้พัฒนาไม่สามารถหาวิธีที่จะทำให้การเล่นทุกสายมีวิธีผ่านกิจกรรมทั้งหมดแตกต่างกัน แทนที่จะทำให้กิจกรรมหลายอย่างเอื้อต่อการเล่นแบบซึ่งๆ หน้าอย่างเดียว
โดยรวมๆ แล้วเกมเพลย์ของ
Assassins Creed Odyssey ก็ยังถือว่าสนุก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ที่เน้นแอคชั่นมากขึ้นของภาค
Origins เป็นเกมที่มีอะไรให้ทำแบบไม่รู้จบ ยิ่งกว่าเกมอย่าง
The Witcher 3 ซะอีก เอาใจคนที่อยากได้เกมแบบเล่นได้ยาวๆ คุ้มๆ
[caption id="attachment_7394" align="aligncenter" width="3840"]
เล่นมา 30 ชม. แล้วสำรวจแผนที่ไปไม่ถึงครึ่ง[/caption]
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องของ
Assassins Creed Odyssey ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เกมพัฒนาจากภาค
Origins ไปมาก โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเด็กกำพร้าชาว
Spartan (เลือกได้ว่าจะเป็นชายหรือหญิง) ที่หนีออกมาจากบ้านเกิดด้วยเหตุผลบางอย่าง และเติบโตขึ้นมาในฐานะทหารรับจ้าง ซึ่งจะต้องเข้าไปพัวพันกับลัทธิชั่วร้าย
Cult of Kronos ที่วางแผนจะยึดครองโลกโดยใช้เทคโนโลยีของอารยธรรมแรก (
First Civilization)
[caption id="attachment_7409" align="aligncenter" width="1920"]
สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเป็นหญิง (Kassandra) หรือชาย (Alexios)[/caption]
โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ไม่ได้ต่างจากภาคก่อนๆ นัก แม้ว่าจะตั้งอยู่ก่อนการกำเนิดของภาคีนักฆ่า (
Assassins Brotherhood) โดยเรายังคงต้องต่อสู้กับองค์กรลับที่คอยชักใยประวัติศาสตร์จากเบื้องหลังไม่ต่างจาก
Abstergo (หรือพวก
Templars) และเข้าไปมีบทบาทบางอย่างในเหตุการณ์สำคัณทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามเพโลพอนนีเซียนระหว่าง
Sparta (สปาต้า) และ
Athens (เอเธนส์) รวมไปถึงฉากเหตุการณ์ปัจจุบันที่ติดตาม
Layla Hassan จากภาคที่แล้วอีกครั้ง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องของ
Assassins Creed Odyssey แตกต่างไปคือระบบตัวเลือกบทสนทนา ที่ทำให้เนื้อเรื่องของเกมสามารถเปลี่ยนไปเป็นคนละอย่างได้เลยตามทางเลือกของคนเล่น ผู้เล่นจะได้รับทางเลือกว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า NPC สำคัญในเนื้อเรื่องหลายตัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อเนื้อเรื่องของเกมทั้งสิ้น รวมไปถึงฉากจบที่มีหลากหลายเป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ (หมายเหตุ: ผู้เขียนยังเล่นไม่จบเนื้อเรื่อง แต่ทราบมาว่ามีฉากจบต่างกันถึง 9 แบบ) ระบบอาจจะไม่ได้ลึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ช่วยเพิ่มอรรถรสให้เนื้อเรื่องได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจจะมาจากการกระทำ (หรือไม่กระทำ) ของผู้เล่นเอง
[caption id="attachment_7401" align="aligncenter" width="3840"]
จะช่วยหรือไม่ช่วยดีล่ะ?[/caption]
นอกจากทางเลือกในบทสนทนาแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการกระทำเล็กๆ ของผู้เล่นด้วย เช่นในเควสย่อยเควสหนึ่งที่ผู้เขียนเจอ มี NPC บอกว่าให้เราลักลอบเข้าไปขโมยของเงียบๆ แต่ผู้เขียนดันโดนเจอระหว่างลอบเข้าไป เมื่อจะกลับไปส่งภารกิจก็พบว่า NPC ตัวนั้นกำลังโดนคู่อริโจมตีอยู่เพราะผู้เขียนไม่ยอมลอบเข้าไปเงียบๆ อย่างที่ NPC เตือนมานั่นเอง โดยระบบนี้ช่วยเสริมความรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกในเกมจริงๆ และทำให้ต้องใส่ใจคำพูดของ NPC มากกว่าที่ผ่านๆ มาด้วย ซึ่งทำให้เกมรู้สึกเหมือนเป็น
RPG คล้ายๆ
The Witcher 3 นั่นเอง
ทั้งนี้ ข้อติอย่างนึงที่ผู้เขียนพบคือเกมใช้เวลานานมากๆ กว่าที่เนื้อเรื่องจะถึงจุดที่น่าสนใจจริงๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มจริงๆ จังๆ ก็เล่นไปเกือบ 10 ชั่วโมงแล้ว (ไตเติ้ลเพิ่งขึ้น) แถมขนาดของเกมที่ให้ผู้เล่นต้องเดินทางไม่ต่ำกว่า 10-20 นาทีระหว่างสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องรู้สึกขาดช่วงได้เหมือนกันในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร
[caption id="attachment_7411" align="aligncenter" width="1280"]
ลัทธิ Cult of Kronos ซึ่งเป็นเหล่าบรรพบุรุษของพวก Templar[/caption]
กราฟิค/การนำเสนอ
ถ้ามองจากไกลๆ
Assassins Creed Odyssey เป็นเกมที่ทำกราฟิคออกมาได้น่าทึ่งมากๆ ด้วยทิวทัศน์อันหลากหลายและการใช้แสงที่สวยงามของเกม (ใช้
Photo Mode คุ้มเลยจ้า) และสีหน้าตัวละครที่ทำออกมาได้ชัดจนเกือบจะเป็น
Live-action อยู่แล้ว แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่ายังมีรายละเอียดเล็กๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์นัก โดยเกมยังมีปัญหาเรื่อง Clipping (การที่สิ่งของทะลุกันเองทั้งที่ไม่ควร) เยอะมากๆ ซึ่งเห็นได้ชัดในอนิเมชั่นการลอบสังหาร และยังมีการขยับตัวแปลกๆ ของตัวละครย่อยอยู่ เรียกง่ายๆ ว่าทุกอย่างดูสวยในระดับ texture หรือพื้นผิวเท่านั้น แต่ในรายละเอียดเชิงลึกยังปรับปรุงได้อีกมาก
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเกมกราฟิคไม่ดีหรือไม่สวย แต่ด้วยขนาดของเกมที่ใหญ่และมีสิ่งของต่างๆ มากมายกระจายอยู่ทุกมุมของโลก คงไม่แปลกที่เกมจะต้องยอมเสียสละรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างไปบ้าง แต่อย่างน้อยในประสบการณ์ของผู้เขียนยังไม่เจอบัคหรือปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งก็ถือว่ายังดีสำหรับเกม
Open-world กราฟิคสวยๆ แบบนี้
[caption id="attachment_7399" align="aligncenter" width="3840"]
เกมใหญ่และสวยมาก สามารถเดินถึงทุกที่ที่เห็น[/caption]
อีกหนึ่งปัญหาเล็กๆ ที่พบคือเรื่องการโหลด ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้า-ออกฉากสนทนากับ NPC (ซึ่งหมายความว่าเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ในเกมนี้) โดยไม่ได้แค่โหลด 2-3 วิเสร็จ แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนโหลดยาวเป็นนาทีเลยก็มี ซึ่งพอเจอบ่อยๆ เข้าในระยะติดๆ กันก็ทำให้รู้สึกรำคาญขึ้นมาได้เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ส่งผลต่อการเล่นได้สำหรับคนที่มีเวลาเล่นไม่เยอะ
สรุป
Assassins Creed Odyssey ถือเป็นเกมที่ครบเครื่องที่สุดในซีรี่ย์
Assassins Creed เลยก็ว่าได้ แม้ว่าเกมจะยังไม่ได้ว้าวในระดับเดียวกับเกมใหญ่ๆ อาจจะเน้นปริมาณของเนื้อหามากกว่าคุณภาพในบางจุด แต่ในส่วนที่เกมทำได้ดีก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ควรตอบทั้งหมดเช่นกัน ใครที่อยากได้เกมแอคชั่น
RPG ที่เล่นได้นานๆ มีอะไรให้ทำให้เก็บตลอดเวลา นี่เป็นเกมที่คุณคู่ควรแน่นอนครับ
[penci_review id="7185"]