GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิว Diablo 4 ตำนานเกมถล่มปีศาจนรก Action RPG ที่ภาคนี้ทำได้ยอดเยี่ยมถูกใจแฟนๆ สักที!
ลงวันที่ 07/06/2023


วางขายแล้วสักทีสำหรับเกม Diablo 4 โดยภาคนี้คนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้ต้องรอพัฒนานานขนาดนั้น แต่สำหรับแฟนๆ เดนตายเชื่อได้เลยว่าพวกเขา 'ต้องรอกันนานมาก' เนื่องจากตอนเกมภาค 3 ก็ทำด้าน Gameplay ได้ไม่ถูกใจแฟนๆ หลายอย่าง (แฟนๆ เขาชอบ Gameplay แบบเกมภาค 2 แต่ภาค 3 นี่เปลี่ยนไปเกือบเป็นคนละเกม) และหลังภาค 3 ทางค่าย Blizzard ก็ดันไปจับมือ Netease เอาเวลาไปทำเกมมือถือ Diablo Immortals จนแฟนๆ ไม่พอใจกลายเป็นเรื่องราวดราม่าสุดใหญ่โต ซึ่งส่งผลให้ทาง Blizzard จึงได้รีบเข็นเกมภาค 4 มาวางขาย และเกมภาคนี้ก็จึงเป็นความหวังว่ามันจะกลับไปสนุกยอดเยี่ยมแบบภาค 2 มากที่สุด แต่มันจะทำได้ และคุ้มค่ากับการรอคอยมานานขนาดนี้หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever จึงขอมารีวิวเกม Diablo 4 ให้รับชมกัน!!! สามารถดูเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย

คลิปตัวอย่างเกมโหมโรง


Diablo 4 คือเกมอะไร?


เกมนี้เป็นแนว Isometric Action RPG โดยจะมีมุมมองอยู่ด้านบนตัวละคร และให้ผู้เล่นเลือกอาชีพ จากนั้นก็ต้องไปถล่มเหล่าฝูงมอนสเตอร์แบบสุดมันส์ ซึ่งผู้เล่นก็จะต้องเก็บเลเวลเพื่อมาอัปสกิลต่างๆ ได้หลายสาย รวมทั้งก็ต้องฟาร์มอาวุธกับชุดเกราะหรืออื่นๆ ให้ตัวละครสวมใส่แข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ส่งผลให้เกมนี้จะเน้นความสนุกด้าน RPG ให้ฟาร์มเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนเพื่อปั้นตัวละครให้แข็งแกร่ง รวมทั้งภาคนี้จะเป็นเกมออนไลน์ Live Service เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นจะมีอะไรทำเรื่อยๆ ช่วงท้ายเกมพร้อมมีอัปเดตบ่อยๆ ในอนาคต รวมทั้งก็เจอเพื่อนกับผู้เล่นอื่นได้ตลอดเวลา 

Story


เกม Diablo 4 จะเล่าเรื่องต่อมาจากของเกมภาค 3 ที่แผ่นดิน Sanctuary ได้กลับมาเกิดความวุ่นวายเพราะปีศาจอีกครั้ง เนื่องจากปีศาจ Lilith ลูกสาวของ 1 ใน 3 ราชาปีศาจ Mephisto ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการถูกจองจำ โดย Lilith นั้นยังเรียนรู้ว่าถ้าเอาแต่ใช้กำลังเข้ายึดครอง Sanctuary จะส่งผลให้เธอนั้นต้องมีจุดจบเหมือน 3 ราชาปีศาจแน่นอน เธอจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 'เจ้าเล่ห์ & ปลุกปลั่น' จากที่ทุกทีจะต้องไปทำลายพวกมนุษย์หรือฝั่งสวรรค์ ก็เปลี่ยนเป็นไปทำให้พวกมนุษย์หลงผิดมาเข้าข้างฝั่งตัวเอง และทำให้พวกฝั่งสวรรค์มาติดกับดักสังหาร ซึ่งด้วยวิธีนี้ก็ทำให้แผ่นดิน Sanctuary นั้นเละกว่าเดิมแบบไร้อนาคตกว่าทุกที ส่วนคุณนั้นก็จะได้สวมบทเป็นคนโนเนมที่ตอนต้นเกมก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะพายุหิมะ แต่กลับมีสิ่งลึกลับตนหนึ่งได้ช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะคุณนั้นถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith ให้โลกกลับมาสงบสุขได้

เกมจะเริ่มมาในตอนที่ Lilith เริ่มป่วน Sanctuary จนเกือบเละไปแล้ว

ทำให้การเปิดเรื่องเกมภาคนี้ทำมาได้แบบอารมณ์สิ้นหวังสุดๆ แต่ก็ยังมีหวังประมาณ 5 - 10%


ในเกม Diablo ทุกภาค เราจะเห็นได้เลยว่าเกมก็มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และเข้มข้นอยู่ตลอด แม้เกมๆ นี้จะไม่ได้เน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่ยังไงในเกมทุกภาคมันก็จะมีความ 'ย่อยง่าย' ในรูปแบบที่เราจะได้เป็นผู้วิเศษแห่งโลก Sanctuary ออกผจญภัยไปกระทืบปีศาจทุกตัวให้ตาย พร้อมกับมีชาวเมืองคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่พอมาเป็นเกมภาค 4 เนื้อเรื่องจะมี 'ความซับซ้อน & พลิกแพลงไปมาบ่อยๆ & ชวนให้รู้สึกหดหู่แทน' เพราะแม้คุณจะคือผู้ถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith แต่เส้นทางจะไปปราบ Lilith ในภาคนี้มันช่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และหดหู่อย่างมาก เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าดินแดน Sanctuary นั้นได้เละไร้อนาคต แถม Lilith ก็ใช้วิธียึดครองโลกแบบใหม่สุดจีเนียสกว่าเดิม จึงส่งผลให้เราต้องเผชิญกับ 'กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือคุณไม่ได้ & ต้องการจะปราบคุณแทน' ทำให้ภาคนี้คุณแทบจะไม่รู้สึกว่าจะมีทางไปปราบ Llith ได้ง่ายๆ เลย แล้วยังมีเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกให้เจอหลายรอบอีก แต่ท้ายที่สุดในจุดนี้ก็ถือว่า 'เป็นการนำเสนอเนื้อเรื่องที่มีเสน่ห์มาก' โดยถึงแม้มันอาจไม่ใช่ไอเดียเนื้อเรื่องแปลกใหม่ แต่พอเอามาใช้กับเกม Diablo ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า 'ทำไมไม่นำเสนอเนื้อเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนภาค 1' เพราะมันเข้ากับจักรวาลเกมนี้ และทำให้น่าติดตามกว่าเดิมมากเลย ส่งผลให้นี่จะไม่ใช่เกมเน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่มันก็ทำส่วนนี้ได้ยอดเยี่ยม

จริงๆ ในตัวเนื้อเรื่องก็อาจไม่ได้น่าสนใจ หรือรู้สึกเยี่ยมตลอดเวลา

แต่ด้วยไอเดียการนำเสนอที่เข้ากับเกม Diablo แบบนี้ ก็จะทำให้คุณอยากติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบแน่นอน


อีกส่วนหนึ่งที่น่าชมในเนื้อเรื่องคือ 'เกมจะมีการเล่นมุมกล้องผ่านฉากคัทซีน'

บางทีก็เป็นฉาก One Take สวยๆ จนคุณรู้สึกว่านอกจากน่าติดตามก็ยังรู้สึกมันเล่าเรื่องได้เจ๋งแปลกใหม่ดี


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้เขียนนั้นเคยเล่นเกม Diablo มาแล้วทุกภาค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนกลับรู้สึกถึงข้อเสียได้ในเนื้อเรื่องภาคที่ 4 คือ 'มันเล่าเรื่องได้ไม่กระชับเหมือนภาคก่อน' โดยมันอาจเป็นเพราะเกมภาคนี้เน้นให้เป็นเกมออนไลน์เต็มตัว และผู้เล่นต้องมาฟาร์มเลเวลให้ตันที่ 100 จึงส่งผลให้เกมพยายามทำเนื้อเรื่องยืดเยื้อมากๆ จนบางทีคุณอาจหงุดหงิดว่าทำไมเหตุการณ์นี้มันยาวนานจังกว่าจะจบ ถ้าไม่หาอะไรทำไปด้วยก็อาจเบื่อหรือหลับก่อนได้เลย แล้วอีกส่วนหนึ่งที่หายไปคือ 'ภาคนี้ไม่มีเนื้อเรื่องต่างกันของแต่ละอาชีพ' เพราะในภาค 3 ถ้าผู้เล่นเลือกอาชีพอาชีพหนึ่งก็จะมีบุคลิกต่างกันชัดเจน หรือมีที่มาก่อนเริ่มเกมต่างกันยังไง รวมทั้งเวลาเจอเหตุการณ์บางส่วนก็มีบทพูดต่างกัน ซึ่งมันช่วยให้ตัวละครเรามีความน่าติดตามขึ้นมาก แต่เกมภาคนี้เหมือน 'ทำไม่ทัน' เลยได้ตัดออกไป ถือเป็นส่วนที่น่าเสียดาย แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าเนื้อเรื่องภาค 4 ก็ทำออกมาอยู่ในระดับดี รวมทั้งเกมแบบนี้ เขาไม่ได้ให้เน้นเสพเนื้อเรื่องสักหน่อยนี่!!!

Graphic / Sound


ในด้านภาพกราฟิก หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าแฟนๆ Diablo จะชอบแบบของเกมภาค 2 อย่างมาก เนื่องจากมันจะให้อารมณ์มืดๆ มัวหมองแฟนตาซี เหมือนเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ และไม่มีแสงสว่างให้โลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่พอมาเป็นเกมภาค 3 เกมก็กลับกลายเป็นภาพในรูปแบบ 'ฉากสว่างๆ เน้นสวย' จนแฟนเกมนั้นแอบรู้สึกว่าเอกลักษณ์มันหายไป (หนึ่งในเหตุผลให้คนไม่ชอบเกมภาค 3) ขณะที่เกมภาค 4 จะมีการทำฉากออกแนวมืดๆ มัวหมองเหมือนตอนภาค 2 แล้วนะ รวมทั้งนี่คือเกมฟอร์มยักษ์ที่วางขายตอนปี 2023 จึงทำให้มีภาพกราฟิกที่สวยคมอย่างมาก!!! เราจะได้เห็นดีเทลเล็กน้อยในฉากต่างๆ จนคุณจะรู้สึกฟินอยู่บ่อยๆ แถมรายละเอียดตัวละครก็ดูเหมือนคนจริงๆ เลย แต่แอบน่าเสียดายนิดๆ ที่ในเกมจะไม่ค่อยใส่สถานที่อลังๆ มาให้เห็นบ่อยครั้ง แถมพวกฉากในเมืองใหญ่ก็จะรู้สึกธรรมดาไม่ได้อลังอะไร ส่งผลให้แอบรู้สึกเสียดายที่ภาพมันสวยมากแต่ไม่ค่อยได้เห็นสถานที่อลังให้รู้สึกฟินขั้นสุด 

ผู้เขียนเห็นรีวิวเกมนี้หลายเจ้าก่อนวางขายชมว่า 'โลกในเกมนี้มันสวยงามมาก'

โดยผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่มันคงจะยอดเยี่ยมกว่านี้ถ้ามีฉากอลังสวยๆ ให้เห็นบ่อย


ส่วนด้านเสียง ต้องบอกเลยว่าภาคนี้ออกแบบได้ดีทุกส่วน ไม่ว่าจะเรื่องเสียงประกอบหรือเสียงจากการต่อสู้ ตอนผู้เล่นใช้สกิลสายฟ้าลงมาโจมตีศัตรู เสียงของมันจะมีความทรงพลังหนักแน่นจนอยากใช้สกิลนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นต้น ขณะที่พวกเสียงพากย์ตัวละครต่างๆ ก็ชวนได้อารมณ์หนังยุคกลางแฟนตาซี ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเล่นหรือคัทซีน แถมเพลงประกอบภาคนี้ก็กลับมาทำเหมือนภาค 2 ที่จะให้ผู้เล่นรู้สึกหลอนๆ ผสมกับการกระตุ้นให้เราอยากผจญภัย ทำให้งานด้านศิลป์ของเกม Diablo 4 เรียกว่าอยู่ในระดับดีอันดับต้นๆ กลับไปเหมือนภาค 2 แน่นอน

เสียงพากย์แต่ละตัวละครจะมีเสน่ห์ และพาจดจำตัวละครต่างๆ ที่บทอาจไม่เยอะได้ง่ายเลย


Presentation


เมื่อเริ่มเกม Diablo 4 เราจะได้เลือกเล่นเป็นอาชีพต่างๆ ทั้งหมดดังนี้

  1. Barbarian นักรบคนเถื่อน ชำนาญการใช้อาวุธประชิตทุกชนิด และยังถึกยืนแท้งค์ได้
  2. Rogue จอมโจรมีดคู่กับธนู เน้นเข้าโจมตีอย่างว่องไว เป็นอาชีพแห่งการตบบอส
  3. Sorcerer จอมเวทย์ 3 ธาตุ เก่งด้านแก้ทางศัตรูทุกชนิดจากระยะไกล
  4. Necromancer จอมเวทย์ด้านความตาย เน้นปลุกปีศาจมาช่วยสู้ หรือใช้พลังเวทย์คำสาป
  5.  Druid จอมเวทย์โบราณ แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้ระยะประชิต หรือเรียกพลังธรรมชาติมาโจมตี


ทั้ง 5 อาชีพ จะให้ผู้เล่นปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้ โดยอาจปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าทำให้ผู้เล่นมีอิสระสร้างตัวละครในฝันพอสมควร จากนั้นเราก็จะได้เข้าสู่การเริ่มเนื้อเรื่อง และช่วงเก็บเลเวล ซึ่งเราจะได้พบว่าเกมนั้นก็จะแนวๆ รับเควสตามเนื้อเรื่องแบบเกม RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีแผนที่ในรูปแบบ Open World ที่พอซูมออกมาจะรู้สึกว่ามัน 'กว้างใหญ่มาก' แล้วพอเลเวลอัปก็จะได้พบกับระบบอัปสกิล Skill Tree ที่ 'มีความหลากหลายให้เลือกอัปเอาเรื่อง' แถมผู้เล่นใหม่ก็จะไม่รู้สึกปวดหัว เนื่องจาก Skill Tree นั้นทำออกมาอธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจง่ายมาก และมันก็ไม่ซับซ้อนที่จะเลือกอัป แล้วยังรีฟันตอนไหนก็ได้อีกด้วย!!! (ถ้าช่วงหลังๆ การรีฟันจะต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่เยอะให้รู้สึกต้องระแวงว่าเลือกอัปอันไหนดี)

Skill Tree จะคล้ายๆ ของภาค 3 ที่มีการแบ่งหมวดเป็นสกิลโจมตีปกติ, สกิลหลัก, สกิลป้องกัน หรือสกิลไม้ตาย

แต่ผู้เล่นต้องเลือกอัปเองด้วยแต้มที่จำกัด และแต่ละสกิลยังมีให้อัปด้านย่อยๆ ไปได้ 2 รูปแบบ


เมื่อเล่นไปได้สักพักประมาณเลเวล 15 ผู้เล่นก็จะพบว่าเกมจะยังมีอีก 1 ระบบสกิลในชื่อ Specialization ที่ระบบสกิลตรงนี้จะ 'ต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ' ยกตัวอย่างของอาชีพ Druid จะเป็นระบบสกิลติดตัวพิเศษที่ได้จากการฆ่ามอนแล้วนำวิญญาณไปถวายเทพสัตว์ทั้ง 4 ขณะที่ของ Barbarian จะเป็นสกิลติดตัวเพิ่มความแข็งแกร่งให้อาวุธประชิตต่างๆ จากการใช้อาวุธประชิตชนิดนั้นๆ จนเลเวลอัป หรือของ Sorcerer ก็จะเป็นระบบให้เอาสกิลกดใช้งานมาแปลงเป็นสกิลติดตัว ถ้าเป็นสกิลใช้งานเรียกฟ้าผ่าก็จะกลายเป็นสุ่มเรียกฟ้าผ่าลงมาใส่ศัตรูแทน โดยตรงนี้ช่วยให้การเล่นแต่ละอาชีพนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก แถมแค่นั้นยังไม่พอนะ เพราะตอนเลเวล 50 ผู้เล่นก็จะได้ปลดล็อกระบบสกิลที่มีชื่อว่า Paragon ที่จะให้ผู้เล่นมาเลือกอัปสกิลติดตัวยาวเป็นแถวในกระดานจนกว่าจะถึงเลเวล 100 แต่ถ้าผู้เล่นอัปครบเงื่อนไขของ Paragon กระดานที่ 1 เกมก็ยังมี 'สกิล Paragon กระดานที่ 2' ให้ผู้เล่นได้เลือกด้วยว่าอยากได้สกิลติดตัวแนวๆ ไหน ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าระบบสกิลภาคนี้มันจัดเต็มมาก และทำให้ผู้เล่นอยากฟาร์มมาปลดสกิลใหม่เรื่อยๆ 

Paragon กระดานที่ 2 ต่อ 1 อาชีพจะมีประมาณ 7 รูปแบบ

ส่งผลให้ภาคนี้ปั้นตัวละครได้หลายสายเอาเรื่องจริงๆ


ส่วนในโลก Open World นอกจากผู้เล่นจะได้ผจญภัยเพื่อทำภารกิจหลัก เกมก็ยังมีพวก 'เควสเสริม' จำนวนมากเหมือนเกม Open World RPG เน้นเนื้อเรื่องอีกต่างหาก แถมหลายๆ เควสก็ทำเนื้อหาออกมาได้น่าสนใจมาก แล้วในโลก Open World ก็ยังมีกิจกรรมให้ผู้เล่นไปสำรวจหาดันเจี้ยนลับ หรือไปหาทรัพยากรมาอัปเกรดไอเทมหรือขวดยาเพิ่มเลือดหรือสร้างขวดยาไว้ใช้บัฟตัวละครหลายสถานการณ์ แล้วช่วงคอนเทนต์ท้ายเกม Endgame ก็จะมีเควสสุ่มให้ผู้เล่นไปตามหาแต้มเพื่อแลกรับของรางวัลเรื่อยๆ รวมทั้งยังมีให้ไปหาวิธีปลดล็อก 'ดันเจี้ยนระดับยากสุด' แถมยิ่งเก็บเลเวลไปถึงระดับหนึ่งก็มีการให้ปลดล็อก World Tier เพิ่มความยากให้ตัวเกมรวมๆ ได้มากขึ้นถึงระดับ 4 แล้วยิ่งระดับสูงขึ้นก็จะทำให้ 'ไอเทมระดับสีสูงสุดในเกมมีโอกาสตกมาให้ผู้เล่น' ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้จัดเต็มด้านคอนเทนต์เอามากๆ อย่างกับเกมภาค 3 ที่มีการใส่คอนเทนต์ภาคเสริมมาให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าช่วงท้ายเกมจะไม่มีอะไรทำเลย!

แผนที่ Open World ตอนซูมครั้งแรกสุดจะไม่รู้ว่าพื้นที่มีความใหญ่ยังไงบ้าง (เพราะมีหมอกบังอยู่)

แต่ก็สัมผัสได้เลยว่ามันใหญ่สุดๆ ไม่รู้จะสำรวจครบตอนเล่นไปกี่ชั่วโมง

เกมยังมีกิจกรรมยิบย่อยอีกเพียบนะ ไม่ว่าจะ World Event ให้ไปทำเควสสุ่มร่วมกับผู้เล่นอื่น

หรือเควส World Boss ให้ไปร่วมมือกับผู้เล่นอื่นตบบอสสุดท้าย แล้วไหนเกมจะมีระบบ Clan อีก

รวมทั้งระบบ Battle Pass ที่ให้ฟาร์มแต่ละซีซั่นปลดของตกแต่งยาวๆ ไป

อย่างไรก็ตาม แม้คอนเทนต์เกมนี้จะดูมีเยอะมาก แต่ด้วยความที่เกมนี้มีเควสเสริม ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันไปทำให้เควสหลักดู "สั้น" แล้วทำให้เนื้อเรื่องหลักนั้นดูไม่สุดอยู่เช่นกัน (แล้วก็อย่างที่บอกปว่าเควสหลักมันยืดเยื้ออีก กว่าจะจบแต่ละเหตุการณ์) และแม้ขนาดแผนที่จะใหญ่มหึมา แต่ว่าความใหญ่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรให้รู้สึกดีขนาดนั้น เหมือนทำใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาเดินทางไปดันเจี้ยนต่างๆ ที่มีหลายแห่งเฉยๆ (แล้วสถานที่สวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้พบอย่างที่บอกไป) ซึ่งถึงแม้ในบางพื้นที่จะมีสภาพแวดล้อมหรือชนิดศัตรูที่ต่างกันเยอะมาก แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างแปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แถมหลายดันเจี้ยนก็ไม่ได้มีความต่างอะไรกันเยอะอีกนอกจากรูปลักษณ์สถานที่ ส่งผลให้บางทีผู้เล่นก็จะรู้สึกว่าเกมมันมีความกว้างใหญ่กิจกรรมให้ทำเยอะ แต่ 'คุณภาพความยอดเยี่ยมไม่ได้มีเยอะตาม' (ที่จะสื่อคือถ้าเกมย่อขนาดแผนที่ให้เล็กลง ลดจำนวนดันเจี้ยนให้น้อยลง มันอาจดูดีกว่านี้)

อีกส่วนที่น่าพูดถึงคือระบบต่างๆ แม้จะดูทำออกมาดี แต่ถ้าเทียบกับเกมคู่แข่งอื่นๆ ก็อาจดูธรรมดาไปหน่อย

ทำให้คนที่ผ่านเกมคู่แข่งอื่นๆ มาเยอะ ก็อาจไม่ชอบเกมนี้ หรือเล่นได้แปปๆ ก็ไปเล่นเกมคู่แข่งอื่น

Gameplay


จริงๆ ตอนช่วง Beta ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมภาคนี้มีระบบต่อสู้ที่ 'อืด' จนอาชีพอย่าง Barbarian หรือ Druid นี่คือเล่นไม่ไหวเลย เนื่องจากมันทั้งเดินช้าแล้วสกิลก็โจมตีช้าจนจะหลับ แต่มาในตัวเกมที่วางขายจริงๆ ระบบต่อสู้นั้นได้มีปรับความรวดเร็วไม่อืดได้อารมณ์แบบภาค 3 แล้ว!!! ทำให้ผู้เขียนนั้นได้หยิบ Druid มาเล่นเป็นตัวแรกเสียเลย แล้วก็พบว่าอาชีพนี้เล่นมันส์มาก ไม่ว่าจะตอนกดโจมตีหรือตอนใช้สกิล โดยผู้เขียนได้ลองเน้นปั้น Druid ทั้งสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี, เรียกก้อนหินมาโจมตี, แปลงร่างเป็นหมาป่า และแปลงร่างเป็นหมี ผลปรากฎว่าการเล่นทุกสายนั้นมีความแตกต่าง และได้อรรถรสเอาเรื่อง เพราะอย่างสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี มันก็มีกลไกที่ผู้เล่นต้องทำตามแต่ละสกิลเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด (ยกตัวอย่างต้องทำให้ศัตรูติดสถานะเปราะบาง เวลาผ่าจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิต) และเวลาได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมามันก็สะใจ แต่พอไปเล่นสายหมี มันก็มีกลไกที่ต้องทำตามเพื่อให้ได้ค่าสถานะ 'ลดความรุนแรงจากการถูกโจมตี' แล้วเวลาใช้หมีกดสกิลทุบพื้นก็ได้อารมณ์มันส์สะใจ ทำให้ใครเคยเล่นช่วง Beta แล้วรู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อ ผู้เขียนอยากแนะนำให้ลองเปิดใจใหม่ เพราะตอนแรกผู้เขียนก็คิดแบบนั้นแต่พอได้เล่นจริงกลับมันส์กว่าเดิมมาก

สายต่างๆ ของแต่ละอาชีพก็ไม่ได้มีความตายตัวนะ

เพราะเกมจะมีสกิลให้เล่นเป็นสายผสม ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สายแปลกๆ ได้อยู่


ส่วนในช่วงผจญภัยโลก Open World ตอนช่วงแรกๆ ผู้เขียนนี่แอบรู้สึกเบื่อการผจญภัยเลย เพราะด้วยความที่แผนที่มันใหญ่มาก แต่เกมกลับให้ผู้เล่น 'ผจญภัยด้วยการเดินเท้าอย่างเดียว' จนกว่าจะถึงแต่ละสถานที่ ขณะที่พอเล่นเนื้อเรื่องหลักไปช่วงกลางๆ เกมจะมีการให้ 'ม้า' ไว้ใช้เดินทางอย่างรวดเร็ว โดยตรงนี้ก็ขอแนะนำให้ทุกคนเล่นเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้ก่อน ไม่งั้นจะเหนื่อยมากเวลาผจญภัย รวมทั้งในช่วงก่อนจะถึงเลเวล 50 ผู้เล่นนั้นจะสามารถเลือกความยาก World Tier ได้เพียง 2 ระดับเท่านั้น โดยระดับ 1 นั้นจะเล่นได้ชิลๆ ระดับนึง แต่ระดับ 2 นั้นจะยากระดับที่ผู้เล่นต้องพยายามหลบการโจมตีที่รุนแรงด้วยการกดสกิล Dodge แล้วสกิลนี้เวลากดใช้ 1 ครั้งก็จะมีคูลดาวน์ประมาณ 5 วินาที ทำให้ผู้เล่นต้องหาจังหวะใช้ให้ดีๆ และตรงนี้เป็นการนำแนวเกม Souls-like มาประยุกต์ใช้กับเกมแนวนี้ได้ดีมาก แต่ด้วยความที่เกมดีไซน์มาแบบนี้ ผู้เขียนกลับรู้สึกพวกอาชีพที่โจมตีระยะไกลจะเหนื่อยน้อยกว่าอาชีพที่โจมตีระยะใกล้สุดๆ แถมผู้เขียนก็รู้สึกว่าความสมดุลของเกมนี้ก็แปลกๆ เนื่องจากผู้เขียนลองปั้น Druid ทุกสายแบบให้ดีสุดในช่วงเวลานั้น แต่พอเอาไปสู้บอส World Tier 2 ก็กลับแพ้แบบราบคาบ ขณะที่คนเล่น Sorcerer หรือ Rogue นั้นกลับโซโล่บอสต้อง Coop ระดับสูงๆ ได้อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าบางอาชีพในเกมนี้อ่อนแอเกินเหตุแม้เป็นคอนเทนต์ PvE!

เกมภาคนี้ยังมีบอสให้สู้เพียบด้วย มีเกิน 10 ตัวแน่นอน แล้วยังมีมินิบอสอีกเพียบ

แต่ว่ามันมีแค่บอสกับมินิบอสบางตัวเท่านั้นที่สู้สนุก และน่าจดจำ ใส่มาเยอะแต่คุณภาพไม่เยอะตามอีกแล้ว


Performance


ถ้าใครยังจำกันได้ ผู้เขียนได้บอกไปว่า Diablo 4 นั้นถือเป็นเกมที่ภาพสวยสมยุค 2023 แล้วพวกดีเทลก็ยังทำออกมาดีอีก แต่ในส่วนนี้ก็ยังมีเรื่องให้น่าชมเพิ่มด้วย เนื่องจากเกมนั้นจะไม่กินเสปค PC แบบเห็นได้ชัด ผู้เขียนได้ลองทั้งคอมพิวเตอร์แรงระดับกลางๆ อย่างซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070 Ti ผลปรากฎว่าสามารถปรับภาพระดับ Ultra ได้อย่างสบายๆ ที่ 1440p60fps แล้วก็ได้ลองใช้คอมที่เกือบอยู่ระดับล่างๆ ซีพียู Ryzen 9 6900HS กับการ์ดจอ GTX 3050 Laptop GPU ก็ยังสามารถปรับที่ Medium เล่นได้สบายๆ ที่ 1080p60fps เช่นกัน แถมเกมก็มีการรองรับปรับกราฟิกได้หลายแบบระดับหนึ่ง และก็มี DLSS หรือ Freesync ให้ใช้งานอีกต่างหาก ส่วนคอมที่เสปคต่ำกว่านี้ ผู้เขียนมองว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 30fps อยู่แน่นอน


อย่างไรก็ตาม แม้เกมจะทำมาให้เล่นลื่นมากๆ แต่ตอนนี้ปัญหา Performance ที่ผู้เขียนพบเจอขั้นรุนแรงคือ 'Video Memory Leak' หรือก็คือเกมจัดการ VRAM ของ PC ผู้เล่นได้ไม่ดี และจะมีการกินเกินความจำเป็น ทำให้ผู้เขียนถ้าจะเล่นเกมนี้นานๆ ก็จะปรับ High หรือ Ultra ไม่ได้เลย เพราะการ์ดจอ GTX 3070 Ti มี VRAM เพียง 8GB เท่านั้น แต่เกมก็กินเกิน 8GB บ่อยมาก (ถ้า VRAM 12GB อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้) ส่งผลให้ต้องปรับลงมาที่ Medium ถึงเล่นได้ยาวๆ ไม่งั้นเกมจะกระตุกเล่นไม่ไหวเลย หรืออีกวิธีนึงคือผู้เขียนต้องกด Reset การตั้งค่ากราฟิกบ่อยๆ เพื่อให้ VRAM เลิกกินเกิน แถมปัญหานี้ผู้เขียนก็รอมาเกิน 1 อาทิตย์แต่เกมก็ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ส่งผลให้ก็เป็นเรื่องน่าขัดใจอยู่เหมือนกัน

สรุป

เห็นได้ชัดเลยว่าในที่สุด Diablo 4 นี่คือภาคที่สร้างมาตอบโจทย์แฟนๆ แล้วสักที แถมยังมีความเจ๋งเพิ่มคือด้านเนื้อเรื่อง และคอนเทนต์ที่มีให้ไปเล่นยาวๆ เยอะมาก แถมยังเล่นลื่นกับ PC ในสเปคหลายรูปแบบอีก โดยแม้คอนเทนต์จะเยอะแล้วคุณภาพไม่ค่อยมี รวมทั้งระบบต่างๆ มันอาจดูธรรมดาไปหน่อยถ้าเทียบกับเกมคู่แข่ง แต่ Diablo 4 ก็คือหนึ่งในเกมที่ 'ยอดเยี่ยมผสมเล่นเพลิน' ของใครหลายคนแน่นอน ใครที่เป็นสาย RPG ยังไงก็ควรซื้อไปเล่นยาวๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ใช่สาย RPG ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเกมภาคนี้ออกแบบมาให้เล่นง่ายกว่าเกมอื่นๆ ถ้ามาเริ่มที่เกมนี้ก็อาจกลายเป็นสาย RPG ก็เป็นได้!


7
ข้อดี

ไอเดียเนื้อเรื่องดี ทำให้การผจญภัยน่าติดตาม

ทุกระบบแนว RPG ทำออกมาดี และเข้าใจง่าย

มีสิ่งให้ฟาร์มเพลินๆ เยอะมากช่วงท้ายเกม

ไม่กินสเปค PC

ข้อเสีย

สายฮาร์ดคอร์ อาจรู้สึกว่าเกมคู่แข่งสนุกกว่า

แผนที่ใหญ่ แต่รู้สึกไม่มีความสำคัญขนาดนั้น

เกมไม่สมดุล มีอาชีพที่อ่อนเกิน และเก่งเกิน

บน PC มีปัญหา Memory Leak

8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิว Diablo 4 ตำนานเกมถล่มปีศาจนรก Action RPG ที่ภาคนี้ทำได้ยอดเยี่ยมถูกใจแฟนๆ สักที!
07/06/2023


วางขายแล้วสักทีสำหรับเกม Diablo 4 โดยภาคนี้คนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้ต้องรอพัฒนานานขนาดนั้น แต่สำหรับแฟนๆ เดนตายเชื่อได้เลยว่าพวกเขา 'ต้องรอกันนานมาก' เนื่องจากตอนเกมภาค 3 ก็ทำด้าน Gameplay ได้ไม่ถูกใจแฟนๆ หลายอย่าง (แฟนๆ เขาชอบ Gameplay แบบเกมภาค 2 แต่ภาค 3 นี่เปลี่ยนไปเกือบเป็นคนละเกม) และหลังภาค 3 ทางค่าย Blizzard ก็ดันไปจับมือ Netease เอาเวลาไปทำเกมมือถือ Diablo Immortals จนแฟนๆ ไม่พอใจกลายเป็นเรื่องราวดราม่าสุดใหญ่โต ซึ่งส่งผลให้ทาง Blizzard จึงได้รีบเข็นเกมภาค 4 มาวางขาย และเกมภาคนี้ก็จึงเป็นความหวังว่ามันจะกลับไปสนุกยอดเยี่ยมแบบภาค 2 มากที่สุด แต่มันจะทำได้ และคุ้มค่ากับการรอคอยมานานขนาดนี้หรือไม่ วันนี้ทาง GameFever จึงขอมารีวิวเกม Diablo 4 ให้รับชมกัน!!! สามารถดูเต็มๆ ได้ที่ด้านล่างเลย

คลิปตัวอย่างเกมโหมโรง


Diablo 4 คือเกมอะไร?


เกมนี้เป็นแนว Isometric Action RPG โดยจะมีมุมมองอยู่ด้านบนตัวละคร และให้ผู้เล่นเลือกอาชีพ จากนั้นก็ต้องไปถล่มเหล่าฝูงมอนสเตอร์แบบสุดมันส์ ซึ่งผู้เล่นก็จะต้องเก็บเลเวลเพื่อมาอัปสกิลต่างๆ ได้หลายสาย รวมทั้งก็ต้องฟาร์มอาวุธกับชุดเกราะหรืออื่นๆ ให้ตัวละครสวมใส่แข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ส่งผลให้เกมนี้จะเน้นความสนุกด้าน RPG ให้ฟาร์มเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนเพื่อปั้นตัวละครให้แข็งแกร่ง รวมทั้งภาคนี้จะเป็นเกมออนไลน์ Live Service เต็มตัว ทำให้ผู้เล่นจะมีอะไรทำเรื่อยๆ ช่วงท้ายเกมพร้อมมีอัปเดตบ่อยๆ ในอนาคต รวมทั้งก็เจอเพื่อนกับผู้เล่นอื่นได้ตลอดเวลา 

Story


เกม Diablo 4 จะเล่าเรื่องต่อมาจากของเกมภาค 3 ที่แผ่นดิน Sanctuary ได้กลับมาเกิดความวุ่นวายเพราะปีศาจอีกครั้ง เนื่องจากปีศาจ Lilith ลูกสาวของ 1 ใน 3 ราชาปีศาจ Mephisto ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการถูกจองจำ โดย Lilith นั้นยังเรียนรู้ว่าถ้าเอาแต่ใช้กำลังเข้ายึดครอง Sanctuary จะส่งผลให้เธอนั้นต้องมีจุดจบเหมือน 3 ราชาปีศาจแน่นอน เธอจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 'เจ้าเล่ห์ & ปลุกปลั่น' จากที่ทุกทีจะต้องไปทำลายพวกมนุษย์หรือฝั่งสวรรค์ ก็เปลี่ยนเป็นไปทำให้พวกมนุษย์หลงผิดมาเข้าข้างฝั่งตัวเอง และทำให้พวกฝั่งสวรรค์มาติดกับดักสังหาร ซึ่งด้วยวิธีนี้ก็ทำให้แผ่นดิน Sanctuary นั้นเละกว่าเดิมแบบไร้อนาคตกว่าทุกที ส่วนคุณนั้นก็จะได้สวมบทเป็นคนโนเนมที่ตอนต้นเกมก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะพายุหิมะ แต่กลับมีสิ่งลึกลับตนหนึ่งได้ช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะคุณนั้นถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith ให้โลกกลับมาสงบสุขได้

เกมจะเริ่มมาในตอนที่ Lilith เริ่มป่วน Sanctuary จนเกือบเละไปแล้ว

ทำให้การเปิดเรื่องเกมภาคนี้ทำมาได้แบบอารมณ์สิ้นหวังสุดๆ แต่ก็ยังมีหวังประมาณ 5 - 10%


ในเกม Diablo ทุกภาค เราจะเห็นได้เลยว่าเกมก็มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และเข้มข้นอยู่ตลอด แม้เกมๆ นี้จะไม่ได้เน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่ยังไงในเกมทุกภาคมันก็จะมีความ 'ย่อยง่าย' ในรูปแบบที่เราจะได้เป็นผู้วิเศษแห่งโลก Sanctuary ออกผจญภัยไปกระทืบปีศาจทุกตัวให้ตาย พร้อมกับมีชาวเมืองคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่พอมาเป็นเกมภาค 4 เนื้อเรื่องจะมี 'ความซับซ้อน & พลิกแพลงไปมาบ่อยๆ & ชวนให้รู้สึกหดหู่แทน' เพราะแม้คุณจะคือผู้ถูกมองว่ามีชะตาให้เป็นคนฆ่า Lilith แต่เส้นทางจะไปปราบ Lilith ในภาคนี้มันช่างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และหดหู่อย่างมาก เนื่องจากอย่างที่บอกไปว่าดินแดน Sanctuary นั้นได้เละไร้อนาคต แถม Lilith ก็ใช้วิธียึดครองโลกแบบใหม่สุดจีเนียสกว่าเดิม จึงส่งผลให้เราต้องเผชิญกับ 'กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือคุณไม่ได้ & ต้องการจะปราบคุณแทน' ทำให้ภาคนี้คุณแทบจะไม่รู้สึกว่าจะมีทางไปปราบ Llith ได้ง่ายๆ เลย แล้วยังมีเหตุการณ์ชวนทำตัวไม่ถูกให้เจอหลายรอบอีก แต่ท้ายที่สุดในจุดนี้ก็ถือว่า 'เป็นการนำเสนอเนื้อเรื่องที่มีเสน่ห์มาก' โดยถึงแม้มันอาจไม่ใช่ไอเดียเนื้อเรื่องแปลกใหม่ แต่พอเอามาใช้กับเกม Diablo ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า 'ทำไมไม่นำเสนอเนื้อเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนภาค 1' เพราะมันเข้ากับจักรวาลเกมนี้ และทำให้น่าติดตามกว่าเดิมมากเลย ส่งผลให้นี่จะไม่ใช่เกมเน้นให้เสพเนื้อเรื่อง แต่มันก็ทำส่วนนี้ได้ยอดเยี่ยม

จริงๆ ในตัวเนื้อเรื่องก็อาจไม่ได้น่าสนใจ หรือรู้สึกเยี่ยมตลอดเวลา

แต่ด้วยไอเดียการนำเสนอที่เข้ากับเกม Diablo แบบนี้ ก็จะทำให้คุณอยากติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบแน่นอน


อีกส่วนหนึ่งที่น่าชมในเนื้อเรื่องคือ 'เกมจะมีการเล่นมุมกล้องผ่านฉากคัทซีน'

บางทีก็เป็นฉาก One Take สวยๆ จนคุณรู้สึกว่านอกจากน่าติดตามก็ยังรู้สึกมันเล่าเรื่องได้เจ๋งแปลกใหม่ดี


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้เขียนนั้นเคยเล่นเกม Diablo มาแล้วทุกภาค สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนกลับรู้สึกถึงข้อเสียได้ในเนื้อเรื่องภาคที่ 4 คือ 'มันเล่าเรื่องได้ไม่กระชับเหมือนภาคก่อน' โดยมันอาจเป็นเพราะเกมภาคนี้เน้นให้เป็นเกมออนไลน์เต็มตัว และผู้เล่นต้องมาฟาร์มเลเวลให้ตันที่ 100 จึงส่งผลให้เกมพยายามทำเนื้อเรื่องยืดเยื้อมากๆ จนบางทีคุณอาจหงุดหงิดว่าทำไมเหตุการณ์นี้มันยาวนานจังกว่าจะจบ ถ้าไม่หาอะไรทำไปด้วยก็อาจเบื่อหรือหลับก่อนได้เลย แล้วอีกส่วนหนึ่งที่หายไปคือ 'ภาคนี้ไม่มีเนื้อเรื่องต่างกันของแต่ละอาชีพ' เพราะในภาค 3 ถ้าผู้เล่นเลือกอาชีพอาชีพหนึ่งก็จะมีบุคลิกต่างกันชัดเจน หรือมีที่มาก่อนเริ่มเกมต่างกันยังไง รวมทั้งเวลาเจอเหตุการณ์บางส่วนก็มีบทพูดต่างกัน ซึ่งมันช่วยให้ตัวละครเรามีความน่าติดตามขึ้นมาก แต่เกมภาคนี้เหมือน 'ทำไม่ทัน' เลยได้ตัดออกไป ถือเป็นส่วนที่น่าเสียดาย แต่ผู้เขียนก็ยังมองว่าเนื้อเรื่องภาค 4 ก็ทำออกมาอยู่ในระดับดี รวมทั้งเกมแบบนี้ เขาไม่ได้ให้เน้นเสพเนื้อเรื่องสักหน่อยนี่!!!

Graphic / Sound


ในด้านภาพกราฟิก หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าแฟนๆ Diablo จะชอบแบบของเกมภาค 2 อย่างมาก เนื่องจากมันจะให้อารมณ์มืดๆ มัวหมองแฟนตาซี เหมือนเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ และไม่มีแสงสว่างให้โลกนี้จะอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่พอมาเป็นเกมภาค 3 เกมก็กลับกลายเป็นภาพในรูปแบบ 'ฉากสว่างๆ เน้นสวย' จนแฟนเกมนั้นแอบรู้สึกว่าเอกลักษณ์มันหายไป (หนึ่งในเหตุผลให้คนไม่ชอบเกมภาค 3) ขณะที่เกมภาค 4 จะมีการทำฉากออกแนวมืดๆ มัวหมองเหมือนตอนภาค 2 แล้วนะ รวมทั้งนี่คือเกมฟอร์มยักษ์ที่วางขายตอนปี 2023 จึงทำให้มีภาพกราฟิกที่สวยคมอย่างมาก!!! เราจะได้เห็นดีเทลเล็กน้อยในฉากต่างๆ จนคุณจะรู้สึกฟินอยู่บ่อยๆ แถมรายละเอียดตัวละครก็ดูเหมือนคนจริงๆ เลย แต่แอบน่าเสียดายนิดๆ ที่ในเกมจะไม่ค่อยใส่สถานที่อลังๆ มาให้เห็นบ่อยครั้ง แถมพวกฉากในเมืองใหญ่ก็จะรู้สึกธรรมดาไม่ได้อลังอะไร ส่งผลให้แอบรู้สึกเสียดายที่ภาพมันสวยมากแต่ไม่ค่อยได้เห็นสถานที่อลังให้รู้สึกฟินขั้นสุด 

ผู้เขียนเห็นรีวิวเกมนี้หลายเจ้าก่อนวางขายชมว่า 'โลกในเกมนี้มันสวยงามมาก'

โดยผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่มันคงจะยอดเยี่ยมกว่านี้ถ้ามีฉากอลังสวยๆ ให้เห็นบ่อย


ส่วนด้านเสียง ต้องบอกเลยว่าภาคนี้ออกแบบได้ดีทุกส่วน ไม่ว่าจะเรื่องเสียงประกอบหรือเสียงจากการต่อสู้ ตอนผู้เล่นใช้สกิลสายฟ้าลงมาโจมตีศัตรู เสียงของมันจะมีความทรงพลังหนักแน่นจนอยากใช้สกิลนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นต้น ขณะที่พวกเสียงพากย์ตัวละครต่างๆ ก็ชวนได้อารมณ์หนังยุคกลางแฟนตาซี ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเล่นหรือคัทซีน แถมเพลงประกอบภาคนี้ก็กลับมาทำเหมือนภาค 2 ที่จะให้ผู้เล่นรู้สึกหลอนๆ ผสมกับการกระตุ้นให้เราอยากผจญภัย ทำให้งานด้านศิลป์ของเกม Diablo 4 เรียกว่าอยู่ในระดับดีอันดับต้นๆ กลับไปเหมือนภาค 2 แน่นอน

เสียงพากย์แต่ละตัวละครจะมีเสน่ห์ และพาจดจำตัวละครต่างๆ ที่บทอาจไม่เยอะได้ง่ายเลย


Presentation


เมื่อเริ่มเกม Diablo 4 เราจะได้เลือกเล่นเป็นอาชีพต่างๆ ทั้งหมดดังนี้

  1. Barbarian นักรบคนเถื่อน ชำนาญการใช้อาวุธประชิตทุกชนิด และยังถึกยืนแท้งค์ได้
  2. Rogue จอมโจรมีดคู่กับธนู เน้นเข้าโจมตีอย่างว่องไว เป็นอาชีพแห่งการตบบอส
  3. Sorcerer จอมเวทย์ 3 ธาตุ เก่งด้านแก้ทางศัตรูทุกชนิดจากระยะไกล
  4. Necromancer จอมเวทย์ด้านความตาย เน้นปลุกปีศาจมาช่วยสู้ หรือใช้พลังเวทย์คำสาป
  5.  Druid จอมเวทย์โบราณ แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อเข้าต่อสู้ระยะประชิต หรือเรียกพลังธรรมชาติมาโจมตี


ทั้ง 5 อาชีพ จะให้ผู้เล่นปรับแต่งหน้าตาตัวละครได้ โดยอาจปรับแต่งได้ไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าทำให้ผู้เล่นมีอิสระสร้างตัวละครในฝันพอสมควร จากนั้นเราก็จะได้เข้าสู่การเริ่มเนื้อเรื่อง และช่วงเก็บเลเวล ซึ่งเราจะได้พบว่าเกมนั้นก็จะแนวๆ รับเควสตามเนื้อเรื่องแบบเกม RPG ทั่วไปเลย แต่จะมีแผนที่ในรูปแบบ Open World ที่พอซูมออกมาจะรู้สึกว่ามัน 'กว้างใหญ่มาก' แล้วพอเลเวลอัปก็จะได้พบกับระบบอัปสกิล Skill Tree ที่ 'มีความหลากหลายให้เลือกอัปเอาเรื่อง' แถมผู้เล่นใหม่ก็จะไม่รู้สึกปวดหัว เนื่องจาก Skill Tree นั้นทำออกมาอธิบายให้ผู้เล่นเข้าใจง่ายมาก และมันก็ไม่ซับซ้อนที่จะเลือกอัป แล้วยังรีฟันตอนไหนก็ได้อีกด้วย!!! (ถ้าช่วงหลังๆ การรีฟันจะต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่เยอะให้รู้สึกต้องระแวงว่าเลือกอัปอันไหนดี)

Skill Tree จะคล้ายๆ ของภาค 3 ที่มีการแบ่งหมวดเป็นสกิลโจมตีปกติ, สกิลหลัก, สกิลป้องกัน หรือสกิลไม้ตาย

แต่ผู้เล่นต้องเลือกอัปเองด้วยแต้มที่จำกัด และแต่ละสกิลยังมีให้อัปด้านย่อยๆ ไปได้ 2 รูปแบบ


เมื่อเล่นไปได้สักพักประมาณเลเวล 15 ผู้เล่นก็จะพบว่าเกมจะยังมีอีก 1 ระบบสกิลในชื่อ Specialization ที่ระบบสกิลตรงนี้จะ 'ต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ' ยกตัวอย่างของอาชีพ Druid จะเป็นระบบสกิลติดตัวพิเศษที่ได้จากการฆ่ามอนแล้วนำวิญญาณไปถวายเทพสัตว์ทั้ง 4 ขณะที่ของ Barbarian จะเป็นสกิลติดตัวเพิ่มความแข็งแกร่งให้อาวุธประชิตต่างๆ จากการใช้อาวุธประชิตชนิดนั้นๆ จนเลเวลอัป หรือของ Sorcerer ก็จะเป็นระบบให้เอาสกิลกดใช้งานมาแปลงเป็นสกิลติดตัว ถ้าเป็นสกิลใช้งานเรียกฟ้าผ่าก็จะกลายเป็นสุ่มเรียกฟ้าผ่าลงมาใส่ศัตรูแทน โดยตรงนี้ช่วยให้การเล่นแต่ละอาชีพนั้นมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก แถมแค่นั้นยังไม่พอนะ เพราะตอนเลเวล 50 ผู้เล่นก็จะได้ปลดล็อกระบบสกิลที่มีชื่อว่า Paragon ที่จะให้ผู้เล่นมาเลือกอัปสกิลติดตัวยาวเป็นแถวในกระดานจนกว่าจะถึงเลเวล 100 แต่ถ้าผู้เล่นอัปครบเงื่อนไขของ Paragon กระดานที่ 1 เกมก็ยังมี 'สกิล Paragon กระดานที่ 2' ให้ผู้เล่นได้เลือกด้วยว่าอยากได้สกิลติดตัวแนวๆ ไหน ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าระบบสกิลภาคนี้มันจัดเต็มมาก และทำให้ผู้เล่นอยากฟาร์มมาปลดสกิลใหม่เรื่อยๆ 

Paragon กระดานที่ 2 ต่อ 1 อาชีพจะมีประมาณ 7 รูปแบบ

ส่งผลให้ภาคนี้ปั้นตัวละครได้หลายสายเอาเรื่องจริงๆ


ส่วนในโลก Open World นอกจากผู้เล่นจะได้ผจญภัยเพื่อทำภารกิจหลัก เกมก็ยังมีพวก 'เควสเสริม' จำนวนมากเหมือนเกม Open World RPG เน้นเนื้อเรื่องอีกต่างหาก แถมหลายๆ เควสก็ทำเนื้อหาออกมาได้น่าสนใจมาก แล้วในโลก Open World ก็ยังมีกิจกรรมให้ผู้เล่นไปสำรวจหาดันเจี้ยนลับ หรือไปหาทรัพยากรมาอัปเกรดไอเทมหรือขวดยาเพิ่มเลือดหรือสร้างขวดยาไว้ใช้บัฟตัวละครหลายสถานการณ์ แล้วช่วงคอนเทนต์ท้ายเกม Endgame ก็จะมีเควสสุ่มให้ผู้เล่นไปตามหาแต้มเพื่อแลกรับของรางวัลเรื่อยๆ รวมทั้งยังมีให้ไปหาวิธีปลดล็อก 'ดันเจี้ยนระดับยากสุด' แถมยิ่งเก็บเลเวลไปถึงระดับหนึ่งก็มีการให้ปลดล็อก World Tier เพิ่มความยากให้ตัวเกมรวมๆ ได้มากขึ้นถึงระดับ 4 แล้วยิ่งระดับสูงขึ้นก็จะทำให้ 'ไอเทมระดับสีสูงสุดในเกมมีโอกาสตกมาให้ผู้เล่น' ส่งผลให้เห็นได้ชัดเลยว่าเกมภาคนี้จัดเต็มด้านคอนเทนต์เอามากๆ อย่างกับเกมภาค 3 ที่มีการใส่คอนเทนต์ภาคเสริมมาให้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าช่วงท้ายเกมจะไม่มีอะไรทำเลย!

แผนที่ Open World ตอนซูมครั้งแรกสุดจะไม่รู้ว่าพื้นที่มีความใหญ่ยังไงบ้าง (เพราะมีหมอกบังอยู่)

แต่ก็สัมผัสได้เลยว่ามันใหญ่สุดๆ ไม่รู้จะสำรวจครบตอนเล่นไปกี่ชั่วโมง

เกมยังมีกิจกรรมยิบย่อยอีกเพียบนะ ไม่ว่าจะ World Event ให้ไปทำเควสสุ่มร่วมกับผู้เล่นอื่น

หรือเควส World Boss ให้ไปร่วมมือกับผู้เล่นอื่นตบบอสสุดท้าย แล้วไหนเกมจะมีระบบ Clan อีก

รวมทั้งระบบ Battle Pass ที่ให้ฟาร์มแต่ละซีซั่นปลดของตกแต่งยาวๆ ไป

อย่างไรก็ตาม แม้คอนเทนต์เกมนี้จะดูมีเยอะมาก แต่ด้วยความที่เกมนี้มีเควสเสริม ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันไปทำให้เควสหลักดู "สั้น" แล้วทำให้เนื้อเรื่องหลักนั้นดูไม่สุดอยู่เช่นกัน (แล้วก็อย่างที่บอกปว่าเควสหลักมันยืดเยื้ออีก กว่าจะจบแต่ละเหตุการณ์) และแม้ขนาดแผนที่จะใหญ่มหึมา แต่ว่าความใหญ่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรให้รู้สึกดีขนาดนั้น เหมือนทำใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาเดินทางไปดันเจี้ยนต่างๆ ที่มีหลายแห่งเฉยๆ (แล้วสถานที่สวยๆ ก็ไม่ค่อยมีให้พบอย่างที่บอกไป) ซึ่งถึงแม้ในบางพื้นที่จะมีสภาพแวดล้อมหรือชนิดศัตรูที่ต่างกันเยอะมาก แต่ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างแปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แถมหลายดันเจี้ยนก็ไม่ได้มีความต่างอะไรกันเยอะอีกนอกจากรูปลักษณ์สถานที่ ส่งผลให้บางทีผู้เล่นก็จะรู้สึกว่าเกมมันมีความกว้างใหญ่กิจกรรมให้ทำเยอะ แต่ 'คุณภาพความยอดเยี่ยมไม่ได้มีเยอะตาม' (ที่จะสื่อคือถ้าเกมย่อขนาดแผนที่ให้เล็กลง ลดจำนวนดันเจี้ยนให้น้อยลง มันอาจดูดีกว่านี้)

อีกส่วนที่น่าพูดถึงคือระบบต่างๆ แม้จะดูทำออกมาดี แต่ถ้าเทียบกับเกมคู่แข่งอื่นๆ ก็อาจดูธรรมดาไปหน่อย

ทำให้คนที่ผ่านเกมคู่แข่งอื่นๆ มาเยอะ ก็อาจไม่ชอบเกมนี้ หรือเล่นได้แปปๆ ก็ไปเล่นเกมคู่แข่งอื่น

Gameplay


จริงๆ ตอนช่วง Beta ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมภาคนี้มีระบบต่อสู้ที่ 'อืด' จนอาชีพอย่าง Barbarian หรือ Druid นี่คือเล่นไม่ไหวเลย เนื่องจากมันทั้งเดินช้าแล้วสกิลก็โจมตีช้าจนจะหลับ แต่มาในตัวเกมที่วางขายจริงๆ ระบบต่อสู้นั้นได้มีปรับความรวดเร็วไม่อืดได้อารมณ์แบบภาค 3 แล้ว!!! ทำให้ผู้เขียนนั้นได้หยิบ Druid มาเล่นเป็นตัวแรกเสียเลย แล้วก็พบว่าอาชีพนี้เล่นมันส์มาก ไม่ว่าจะตอนกดโจมตีหรือตอนใช้สกิล โดยผู้เขียนได้ลองเน้นปั้น Druid ทั้งสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี, เรียกก้อนหินมาโจมตี, แปลงร่างเป็นหมาป่า และแปลงร่างเป็นหมี ผลปรากฎว่าการเล่นทุกสายนั้นมีความแตกต่าง และได้อรรถรสเอาเรื่อง เพราะอย่างสายเรียกไฟฟ้ามาโจมตี มันก็มีกลไกที่ผู้เล่นต้องทำตามแต่ละสกิลเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด (ยกตัวอย่างต้องทำให้ศัตรูติดสถานะเปราะบาง เวลาผ่าจะได้ฟื้นฟูพลังชีวิต) และเวลาได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมามันก็สะใจ แต่พอไปเล่นสายหมี มันก็มีกลไกที่ต้องทำตามเพื่อให้ได้ค่าสถานะ 'ลดความรุนแรงจากการถูกโจมตี' แล้วเวลาใช้หมีกดสกิลทุบพื้นก็ได้อารมณ์มันส์สะใจ ทำให้ใครเคยเล่นช่วง Beta แล้วรู้สึกระบบต่อสู้น่าเบื่อ ผู้เขียนอยากแนะนำให้ลองเปิดใจใหม่ เพราะตอนแรกผู้เขียนก็คิดแบบนั้นแต่พอได้เล่นจริงกลับมันส์กว่าเดิมมาก

สายต่างๆ ของแต่ละอาชีพก็ไม่ได้มีความตายตัวนะ

เพราะเกมจะมีสกิลให้เล่นเป็นสายผสม ส่งผลให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์สายแปลกๆ ได้อยู่


ส่วนในช่วงผจญภัยโลก Open World ตอนช่วงแรกๆ ผู้เขียนนี่แอบรู้สึกเบื่อการผจญภัยเลย เพราะด้วยความที่แผนที่มันใหญ่มาก แต่เกมกลับให้ผู้เล่น 'ผจญภัยด้วยการเดินเท้าอย่างเดียว' จนกว่าจะถึงแต่ละสถานที่ ขณะที่พอเล่นเนื้อเรื่องหลักไปช่วงกลางๆ เกมจะมีการให้ 'ม้า' ไว้ใช้เดินทางอย่างรวดเร็ว โดยตรงนี้ก็ขอแนะนำให้ทุกคนเล่นเนื้อเรื่องมาถึงตรงนี้ก่อน ไม่งั้นจะเหนื่อยมากเวลาผจญภัย รวมทั้งในช่วงก่อนจะถึงเลเวล 50 ผู้เล่นนั้นจะสามารถเลือกความยาก World Tier ได้เพียง 2 ระดับเท่านั้น โดยระดับ 1 นั้นจะเล่นได้ชิลๆ ระดับนึง แต่ระดับ 2 นั้นจะยากระดับที่ผู้เล่นต้องพยายามหลบการโจมตีที่รุนแรงด้วยการกดสกิล Dodge แล้วสกิลนี้เวลากดใช้ 1 ครั้งก็จะมีคูลดาวน์ประมาณ 5 วินาที ทำให้ผู้เล่นต้องหาจังหวะใช้ให้ดีๆ และตรงนี้เป็นการนำแนวเกม Souls-like มาประยุกต์ใช้กับเกมแนวนี้ได้ดีมาก แต่ด้วยความที่เกมดีไซน์มาแบบนี้ ผู้เขียนกลับรู้สึกพวกอาชีพที่โจมตีระยะไกลจะเหนื่อยน้อยกว่าอาชีพที่โจมตีระยะใกล้สุดๆ แถมผู้เขียนก็รู้สึกว่าความสมดุลของเกมนี้ก็แปลกๆ เนื่องจากผู้เขียนลองปั้น Druid ทุกสายแบบให้ดีสุดในช่วงเวลานั้น แต่พอเอาไปสู้บอส World Tier 2 ก็กลับแพ้แบบราบคาบ ขณะที่คนเล่น Sorcerer หรือ Rogue นั้นกลับโซโล่บอสต้อง Coop ระดับสูงๆ ได้อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าบางอาชีพในเกมนี้อ่อนแอเกินเหตุแม้เป็นคอนเทนต์ PvE!

เกมภาคนี้ยังมีบอสให้สู้เพียบด้วย มีเกิน 10 ตัวแน่นอน แล้วยังมีมินิบอสอีกเพียบ

แต่ว่ามันมีแค่บอสกับมินิบอสบางตัวเท่านั้นที่สู้สนุก และน่าจดจำ ใส่มาเยอะแต่คุณภาพไม่เยอะตามอีกแล้ว


Performance


ถ้าใครยังจำกันได้ ผู้เขียนได้บอกไปว่า Diablo 4 นั้นถือเป็นเกมที่ภาพสวยสมยุค 2023 แล้วพวกดีเทลก็ยังทำออกมาดีอีก แต่ในส่วนนี้ก็ยังมีเรื่องให้น่าชมเพิ่มด้วย เนื่องจากเกมนั้นจะไม่กินเสปค PC แบบเห็นได้ชัด ผู้เขียนได้ลองทั้งคอมพิวเตอร์แรงระดับกลางๆ อย่างซีพียู i5-12400f กับการ์ดจอ GTX 3070 Ti ผลปรากฎว่าสามารถปรับภาพระดับ Ultra ได้อย่างสบายๆ ที่ 1440p60fps แล้วก็ได้ลองใช้คอมที่เกือบอยู่ระดับล่างๆ ซีพียู Ryzen 9 6900HS กับการ์ดจอ GTX 3050 Laptop GPU ก็ยังสามารถปรับที่ Medium เล่นได้สบายๆ ที่ 1080p60fps เช่นกัน แถมเกมก็มีการรองรับปรับกราฟิกได้หลายแบบระดับหนึ่ง และก็มี DLSS หรือ Freesync ให้ใช้งานอีกต่างหาก ส่วนคอมที่เสปคต่ำกว่านี้ ผู้เขียนมองว่าสามารถเล่นได้ลื่นๆ ที่ 30fps อยู่แน่นอน


อย่างไรก็ตาม แม้เกมจะทำมาให้เล่นลื่นมากๆ แต่ตอนนี้ปัญหา Performance ที่ผู้เขียนพบเจอขั้นรุนแรงคือ 'Video Memory Leak' หรือก็คือเกมจัดการ VRAM ของ PC ผู้เล่นได้ไม่ดี และจะมีการกินเกินความจำเป็น ทำให้ผู้เขียนถ้าจะเล่นเกมนี้นานๆ ก็จะปรับ High หรือ Ultra ไม่ได้เลย เพราะการ์ดจอ GTX 3070 Ti มี VRAM เพียง 8GB เท่านั้น แต่เกมก็กินเกิน 8GB บ่อยมาก (ถ้า VRAM 12GB อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้) ส่งผลให้ต้องปรับลงมาที่ Medium ถึงเล่นได้ยาวๆ ไม่งั้นเกมจะกระตุกเล่นไม่ไหวเลย หรืออีกวิธีนึงคือผู้เขียนต้องกด Reset การตั้งค่ากราฟิกบ่อยๆ เพื่อให้ VRAM เลิกกินเกิน แถมปัญหานี้ผู้เขียนก็รอมาเกิน 1 อาทิตย์แต่เกมก็ยังไม่มีการแก้ไขให้ดีขึ้น ส่งผลให้ก็เป็นเรื่องน่าขัดใจอยู่เหมือนกัน

สรุป

เห็นได้ชัดเลยว่าในที่สุด Diablo 4 นี่คือภาคที่สร้างมาตอบโจทย์แฟนๆ แล้วสักที แถมยังมีความเจ๋งเพิ่มคือด้านเนื้อเรื่อง และคอนเทนต์ที่มีให้ไปเล่นยาวๆ เยอะมาก แถมยังเล่นลื่นกับ PC ในสเปคหลายรูปแบบอีก โดยแม้คอนเทนต์จะเยอะแล้วคุณภาพไม่ค่อยมี รวมทั้งระบบต่างๆ มันอาจดูธรรมดาไปหน่อยถ้าเทียบกับเกมคู่แข่ง แต่ Diablo 4 ก็คือหนึ่งในเกมที่ 'ยอดเยี่ยมผสมเล่นเพลิน' ของใครหลายคนแน่นอน ใครที่เป็นสาย RPG ยังไงก็ควรซื้อไปเล่นยาวๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ใช่สาย RPG ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเกมภาคนี้ออกแบบมาให้เล่นง่ายกว่าเกมอื่นๆ ถ้ามาเริ่มที่เกมนี้ก็อาจกลายเป็นสาย RPG ก็เป็นได้!



บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header