แม้จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยในช่วงที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Devil Summoners: Soul Hacker ก็ห่างไกลความสำเร็จของเกมพี่น้องในตระกูล Shin Megami Tensei อยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์ชื่อดังอย่าง Persona ที่มักถูกยกย่องให้เป็น “สุดยอดเกม JRPG แห่งยุค” โดยนักวิจารณ์หลาย ๆ คน
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การเปิดตัวของเกม Soul Hackers 2 รู้สึกเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟน ๆ และทำให้แฟนเกม JRPG หลายคนรู้สึกสนใจและ/หรือสงสัยเกี่ยวกับเกมขึ้นมาไม่มากก็น้อย ว่าการกลับมาของซีรีส์ Soul Hackers หลังจากที่เวลาล่วงเลยมามากกว่า 20 ปีจะออกมาเป็นเช่นไร
หลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ผู้เขียนรู้สึกมั่นใจพอจะตัดสินได้ว่า Soul Hackers 2 น่าจะเป็นเกม JRPG ที่เข้มข้นสมใจคนที่ชื่นชอบแนวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังมีเนื้อเรื่องและตัวละครอันยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของผู้พัฒนาซีรีส์ Persona ด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมจะไม่ได้แม้แต่จะพยายามนำเสนออะไรที่แปลกใหม่เลยแม้แต่น้อย
เกมเพลย์
ในฝั่งของการตะลุยดันเจี้ยน ผู้เล่นในฐานะตัวเอก Ringo จะต้องนำปาร์ตี้ตัวละครอีก 3 ตัว (รวมเป็น 4) เพื่อสำรวจดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่องของเกม ในระหว่างการสำรวจ ผู้เล่นจะสามารถพบกับศัตรูเดินไปมาในฐานะหมอกสีต่าง ๆ ที่จะวิ่งไล่กวดผู้เล่นทันทีที่เห็น และเมื่อสัมผัสตัวผู้เล่นก็จะเข้าสู่การต่อสู้ โดยผู้เล่นจะสามารถให้ Ringo เอาดาบฟันศัตรูให้ล้มก่อนสัมผัสตัวได้ เพื่อให้เริ่มการต่อสู้ด้วยความได้เปรียบ (หรือถ้าโดนศัตรูวิ่งชนก็อาจเริ่มด้วยการเสียเปรียบได้)
เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ ผู้ที่เคยเล่นเกมในแฟรนไชส์ Shin Megami Tensei มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับระบบในเกม ซึ่งมุ่งไปที่การพยายามโจมตีให้โดนจุดอ่อนของศัตรูด้วยการโจมตีและสกิลธาตุ/ชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาจากปีศาจหรือ Demon ที่ตัวละคร “สวมใส่” อยู่ การโจมตีโดนจุดอ่อนแต่ละครั้งจะเพิ่ม Stack ให้กับการโจมตีพิเศษตอนจบเทิร์นที่เรียกว่า Sabbath ซึ่งจะเรียกเหล่าปีศาจที่เราเก็บเอาไว้ทั้งหมดออกมาโจมตีศัตรูพร้อมกัน โดยแน่นอนว่ายิ่งเก็บได้หลาย Stack ก็ยิ่งแรง แถมปีศาจบางตัวยังอาจมอบเอฟเฟกต์พิเศษให้เมื่อถูกเรียกออกมาในการโจมตี Sabbath ด้วย
ในส่วนของปีศาจในเกม Soul Hackers 2 จะไม่มีระบบการเลือกตัวเลือกเจรจาให้ปีศาจมาเป็นพวกเหมือนในเกม SMT ที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่ผู้เล่นจะสามารถรับปีศาจใหม่ได้จากการสำรวจดันเจี้ยนแทน โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยนอะไรก็ตาม ตัวเอก Ringo จะส่งปีศาจทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ออกไปสอดแนมล่วงหน้า ซึ่งเราจะสามารถพบกับปีศาจเหล่านี้ได้ระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยน และเมื่อเข้าไปคุยจะทำให้ได้รับของรางวัลต่าง ๆ เช่นเงิน ไอเทม หรืออาจพบกับปีศาจที่ถูกชวนมาเข้าร่วมทีมก็ได้ (ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขที่พวกมันต้องการได้ เช่นมอบเงิน ไอเทม หรือ HP/MP ให้มันประมาณหนึ่ง)
เกมเพลย์การต่อสู้ของ Soul Hackers 2 อาจมองให้เป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเกมเพลย์แนวเทิร์นเบสเช่นนี้อาจจะสนองความต้องการของคนที่ชื่นชอบ JRPG ได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจมานำเสนอให้ผู้ที่เบื่อหน่ายกับเกมแนวนี้ หรือเคยเล่นเกมในตระกูล SMT มาเยอะแล้ว ซึ่งก็อาจทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกซ้ำซากจำเจได้อยู่เหมือนกัน ยิ่ง Soul Hackers 2 เป็นเกมที่ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกม SMT อื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักในแง่ของความท้าทาย อาจส่งผลให้หลาย ๆ คนเบื่อไปซะก่อนจะเล่นจบได้ง่าย ๆ (อย่างน้อยในระดับความยาก Normal ที่ผู้เขียนเล่น)
นอกเหนือจากการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถพบกับเกมเพลย์ฝั่ง “Relationship Sim” หรือเกมจำลองความสัมพันธ์แบบย่อม ๆ ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกม Persona ได้ โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนา หรือชักชวนเพื่อนร่วมปาร์ตี้มาร่วมดริ๊งกันที่บาร์เพื่อสานสัมพันธ์และเพิ่มระดับ Soul Level ของตัวละครนั้นได้ (ไม่มีความสัมพันธ์แบบรักใคร่) โดยระดับความสัมพันธ์นี้จะเอาไว้ใช้ในการปลดล๊อคดันเจี้ยนเสริม Soul Matrix ได้ ซึ่งจะมอบทักษะติดตัวเพิ่มเติมให้กับตัวละครเพื่อนร่วมตี้แต่ละตัว รวมไปถึงเผยเนื้อเรื่องเสริมให้กับตัวละครแต่ละตัวด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้มักช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักได้เป็นอย่างดี จนแทบจะเรียกได้ว่า “จำเป็น” สำหรับการเล่นเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผู้ที่คาดหวังระบบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนใน Persona คงจะต้องผิดหวัง โดยระบบใน Soul Hackers 2 อาจเรียกว่าเป็นระบบของ Persona “แบบย่อม” ก็ได้ เพราะการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งหมดทำโดยการเลือกตัวเลือกบทสนทนาหรือการดริ๊งเท่านั้น ไม่มีการทำกิจกรรมหรือมอบของขวัญให้กันแต่อย่างใด แถมตัวเลือกทั้งหมดยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของใคร เท่าไหร่ การพยายามเพิ่มระดับของตัวละครเท่ากันทั้งหมดจึงเป็นเรื่องง่ายมาก
นอกเหนือไปจากนี้ เกม Soul Hackers 2 ไม่ได้มีอะไรให้ผู้เล่นทำมากนัก การสำรวจเมืองในเกมทำได้ค่อนข้างจำกัด แถมบนถนนก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการซื้อไอเทมจากร้านค้าต่าง ๆ การรับเควสเสริม หรือการอัปเกรดอุปกรณ์เท่านั้น และแม้ว่าระบบการอัปเกรดตัวละครในเกมนี้จะมีความลึกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์อยู่ดี
หากจะสรุปในภาพรวม เกมเพลย์ของ Soul Hackers 2 ถือเป็นการนำสูตรสำเร็จของ Shin Megami Tensei มาปรับให้ย่อยง่ายขึ้น ในเกมที่กระทัดรัดมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบเกม JRPG อยู่แล้วน่าจะชอบได้ไม่ยาก แม้ว่าเกมจะไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษมานำเสนอเลยก็ตาม
เนื้อเรื่อง
เอาเข้าจริง ๆ แล้ว เนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซับซ้อนและความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ตัวละครในเกมมักจะถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับศีลธรรม ชีวิต และความเป็นมนุษย์ แถมเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครเพื่อนร่วมตี้ทั้ง 3 ยังผูกเข้ากับและเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อย่างดี ทำให้การดำเนินเรื่องมีแรงขับที่มีความเป็นมนุษย์ มากกว่าแค่ “การช่วยโลก” แบบกว้าง ๆ ซึ่งเนื้อเรื่องที่นำเสนอชีวิตของผู้ใหญ่นี้ อาจเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของ Soul Hackers 2 เมื่อเทียบกับเกมจากซีรีส์ Persona หรือ Shin Megami Tensei ที่มักมีตัวเอกวัยมัธยมปลายซะมากกว่า ส่งผลให้ตัวละครใน Soul Hackers 2 รู้สึกมีมิติและทัศนคติที่ลึกซึ้ง รอบด้านมากกว่า
ทั้งนี้ ที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซีเรียสหรือเครียดกว่าเกมอื่น ๆ ที่กล่าวไป ในทางตรงข้าม บุคลิกและบทพูดของตัวละครแต่ละตัวกลับทำให้บทสนทนาในเกมนี้รู้สึกมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย เป็นจุดกึ่งกลางพอดีระหว่างความสดใสฉูดฉาดของ Persona และความเคร่งขรึมอึมครึมของ Shin Megami Tensei
การนำเสนอ
ในเรื่องของเสียง อาจสรุปรวม ๆ ได้ว่า “พอใช้” เท่านั้น แม้ว่าเพลงประกอบในเกมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่ได้มีเพลงใดน่าจดจำเป็นพิเศษเช่นกัน แถมตัวละครเพื่อนร่วมตี้ยังมักจะพูดแทรกกันไปมาไม่หยุดในระหว่างการต่อสู้ ราวกับคอยพากย์ตามการตัดสินใจทั้งหมดของผู้เล่นตลอดเวลา ซึ่งก็น่ารำคาญมากจนหลายครั้งผู้เขียนเลือกที่จะเล่นเกมแบบปิดเสียงไปเลยในระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยนอยู่
หากจะมีข้อดีซักข้อที่เกิดจากการใช้กราฟิกลักษณะนี้ คือการที่เกมไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สเป๊คสูงในการเล่น ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนได้รีวิวเกมบนเครื่อง Laptop PC ที่มีการ์ดจอ RTX 3060 ซึ่งก็อาจเป็นสเป๊กที่ค่อนไปทางสูงอยู่บ้าง โดยสามารถรันเกมแบบปรับสุดทั้งหมดได้ที่เฟรมเรต 80-100 FPS คงที่แทบจะตลอดเวลา แม้จะเล่นติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ตาม
สรุป
Soul Hackers 2 ยังคงเป็นเกม JRPG ที่ออกแบบมาได้ดี และมีเนื้อเรื่องกับตัวละครอันยอดเยี่ยมคอยเกื้อหนุนอยู่ แม้ว่าองค์กระกอบด้านการนำเสนอของเกมจะรู้สึกเป็นก้าวถอยหลังลงจากผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Atlus อย่างชัดเจน แต่เกมก็ยังดีพอจะมอบความเพลิดเพลินให้ชาว JRPG ตัวยงได้หลายสิบชั่วโมงสบาย ๆ
เกมเพลย์ JRPG สูตรสำเร็จที่คุณคุ้นเคย
เนื้อเรื่องและตัวละครน่าติดตามเสมอ
กราฟิคและการนำเสนอด้อยกว่าผลงานก่อนหน้า
เกมเพลย์ไม่มีอะไรใหม่
เกมง่ายไปหน่อย ใครชอบความท้าทายอาจเบื่อเร็ว
แม้จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยในช่วงที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1997 แต่เกม Devil Summoners: Soul Hacker ก็ห่างไกลความสำเร็จของเกมพี่น้องในตระกูล Shin Megami Tensei อยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์ชื่อดังอย่าง Persona ที่มักถูกยกย่องให้เป็น “สุดยอดเกม JRPG แห่งยุค” โดยนักวิจารณ์หลาย ๆ คน
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้การเปิดตัวของเกม Soul Hackers 2 รู้สึกเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟน ๆ และทำให้แฟนเกม JRPG หลายคนรู้สึกสนใจและ/หรือสงสัยเกี่ยวกับเกมขึ้นมาไม่มากก็น้อย ว่าการกลับมาของซีรีส์ Soul Hackers หลังจากที่เวลาล่วงเลยมามากกว่า 20 ปีจะออกมาเป็นเช่นไร
หลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง) ผู้เขียนรู้สึกมั่นใจพอจะตัดสินได้ว่า Soul Hackers 2 น่าจะเป็นเกม JRPG ที่เข้มข้นสมใจคนที่ชื่นชอบแนวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังมีเนื้อเรื่องและตัวละครอันยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของผู้พัฒนาซีรีส์ Persona ด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมจะไม่ได้แม้แต่จะพยายามนำเสนออะไรที่แปลกใหม่เลยแม้แต่น้อย
เกมเพลย์
ในฝั่งของการตะลุยดันเจี้ยน ผู้เล่นในฐานะตัวเอก Ringo จะต้องนำปาร์ตี้ตัวละครอีก 3 ตัว (รวมเป็น 4) เพื่อสำรวจดันเจี้ยนตามเนื้อเรื่องของเกม ในระหว่างการสำรวจ ผู้เล่นจะสามารถพบกับศัตรูเดินไปมาในฐานะหมอกสีต่าง ๆ ที่จะวิ่งไล่กวดผู้เล่นทันทีที่เห็น และเมื่อสัมผัสตัวผู้เล่นก็จะเข้าสู่การต่อสู้ โดยผู้เล่นจะสามารถให้ Ringo เอาดาบฟันศัตรูให้ล้มก่อนสัมผัสตัวได้ เพื่อให้เริ่มการต่อสู้ด้วยความได้เปรียบ (หรือถ้าโดนศัตรูวิ่งชนก็อาจเริ่มด้วยการเสียเปรียบได้)
เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ ผู้ที่เคยเล่นเกมในแฟรนไชส์ Shin Megami Tensei มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับระบบในเกม ซึ่งมุ่งไปที่การพยายามโจมตีให้โดนจุดอ่อนของศัตรูด้วยการโจมตีและสกิลธาตุ/ชนิดต่าง ๆ ที่ได้มาจากปีศาจหรือ Demon ที่ตัวละคร “สวมใส่” อยู่ การโจมตีโดนจุดอ่อนแต่ละครั้งจะเพิ่ม Stack ให้กับการโจมตีพิเศษตอนจบเทิร์นที่เรียกว่า Sabbath ซึ่งจะเรียกเหล่าปีศาจที่เราเก็บเอาไว้ทั้งหมดออกมาโจมตีศัตรูพร้อมกัน โดยแน่นอนว่ายิ่งเก็บได้หลาย Stack ก็ยิ่งแรง แถมปีศาจบางตัวยังอาจมอบเอฟเฟกต์พิเศษให้เมื่อถูกเรียกออกมาในการโจมตี Sabbath ด้วย
ในส่วนของปีศาจในเกม Soul Hackers 2 จะไม่มีระบบการเลือกตัวเลือกเจรจาให้ปีศาจมาเป็นพวกเหมือนในเกม SMT ที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่ผู้เล่นจะสามารถรับปีศาจใหม่ได้จากการสำรวจดันเจี้ยนแทน โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยนอะไรก็ตาม ตัวเอก Ringo จะส่งปีศาจทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ออกไปสอดแนมล่วงหน้า ซึ่งเราจะสามารถพบกับปีศาจเหล่านี้ได้ระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยน และเมื่อเข้าไปคุยจะทำให้ได้รับของรางวัลต่าง ๆ เช่นเงิน ไอเทม หรืออาจพบกับปีศาจที่ถูกชวนมาเข้าร่วมทีมก็ได้ (ตราบใดที่สามารถทำตามเงื่อนไขที่พวกมันต้องการได้ เช่นมอบเงิน ไอเทม หรือ HP/MP ให้มันประมาณหนึ่ง)
เกมเพลย์การต่อสู้ของ Soul Hackers 2 อาจมองให้เป็นได้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเกมเพลย์แนวเทิร์นเบสเช่นนี้อาจจะสนองความต้องการของคนที่ชื่นชอบ JRPG ได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจมานำเสนอให้ผู้ที่เบื่อหน่ายกับเกมแนวนี้ หรือเคยเล่นเกมในตระกูล SMT มาเยอะแล้ว ซึ่งก็อาจทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกซ้ำซากจำเจได้อยู่เหมือนกัน ยิ่ง Soul Hackers 2 เป็นเกมที่ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับเกม SMT อื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักในแง่ของความท้าทาย อาจส่งผลให้หลาย ๆ คนเบื่อไปซะก่อนจะเล่นจบได้ง่าย ๆ (อย่างน้อยในระดับความยาก Normal ที่ผู้เขียนเล่น)
นอกเหนือจากการต่อสู้ ผู้เล่นจะสามารถพบกับเกมเพลย์ฝั่ง “Relationship Sim” หรือเกมจำลองความสัมพันธ์แบบย่อม ๆ ในลักษณะคล้าย ๆ กับเกม Persona ได้ โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวเลือกบทสนทนา หรือชักชวนเพื่อนร่วมปาร์ตี้มาร่วมดริ๊งกันที่บาร์เพื่อสานสัมพันธ์และเพิ่มระดับ Soul Level ของตัวละครนั้นได้ (ไม่มีความสัมพันธ์แบบรักใคร่) โดยระดับความสัมพันธ์นี้จะเอาไว้ใช้ในการปลดล๊อคดันเจี้ยนเสริม Soul Matrix ได้ ซึ่งจะมอบทักษะติดตัวเพิ่มเติมให้กับตัวละครเพื่อนร่วมตี้แต่ละตัว รวมไปถึงเผยเนื้อเรื่องเสริมให้กับตัวละครแต่ละตัวด้วย ซึ่งเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้มักช่วยเสริมเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักได้เป็นอย่างดี จนแทบจะเรียกได้ว่า “จำเป็น” สำหรับการเล่นเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ผู้ที่คาดหวังระบบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเหมือนใน Persona คงจะต้องผิดหวัง โดยระบบใน Soul Hackers 2 อาจเรียกว่าเป็นระบบของ Persona “แบบย่อม” ก็ได้ เพราะการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งหมดทำโดยการเลือกตัวเลือกบทสนทนาหรือการดริ๊งเท่านั้น ไม่มีการทำกิจกรรมหรือมอบของขวัญให้กันแต่อย่างใด แถมตัวเลือกทั้งหมดยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของใคร เท่าไหร่ การพยายามเพิ่มระดับของตัวละครเท่ากันทั้งหมดจึงเป็นเรื่องง่ายมาก
นอกเหนือไปจากนี้ เกม Soul Hackers 2 ไม่ได้มีอะไรให้ผู้เล่นทำมากนัก การสำรวจเมืองในเกมทำได้ค่อนข้างจำกัด แถมบนถนนก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำนอกจากการซื้อไอเทมจากร้านค้าต่าง ๆ การรับเควสเสริม หรือการอัปเกรดอุปกรณ์เท่านั้น และแม้ว่าระบบการอัปเกรดตัวละครในเกมนี้จะมีความลึกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่หรือเป็นเอกลักษณ์อยู่ดี
หากจะสรุปในภาพรวม เกมเพลย์ของ Soul Hackers 2 ถือเป็นการนำสูตรสำเร็จของ Shin Megami Tensei มาปรับให้ย่อยง่ายขึ้น ในเกมที่กระทัดรัดมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบเกม JRPG อยู่แล้วน่าจะชอบได้ไม่ยาก แม้ว่าเกมจะไม่มีอะไรใหม่หรือน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษมานำเสนอเลยก็ตาม
เนื้อเรื่อง
เอาเข้าจริง ๆ แล้ว เนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซับซ้อนและความเป็นผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ตัวละครในเกมมักจะถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับศีลธรรม ชีวิต และความเป็นมนุษย์ แถมเรื่องราวส่วนตัวของตัวละครเพื่อนร่วมตี้ทั้ง 3 ยังผูกเข้ากับและเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อย่างดี ทำให้การดำเนินเรื่องมีแรงขับที่มีความเป็นมนุษย์ มากกว่าแค่ “การช่วยโลก” แบบกว้าง ๆ ซึ่งเนื้อเรื่องที่นำเสนอชีวิตของผู้ใหญ่นี้ อาจเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของ Soul Hackers 2 เมื่อเทียบกับเกมจากซีรีส์ Persona หรือ Shin Megami Tensei ที่มักมีตัวเอกวัยมัธยมปลายซะมากกว่า ส่งผลให้ตัวละครใน Soul Hackers 2 รู้สึกมีมิติและทัศนคติที่ลึกซึ้ง รอบด้านมากกว่า
ทั้งนี้ ที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของ Soul Hackers 2 มีความซีเรียสหรือเครียดกว่าเกมอื่น ๆ ที่กล่าวไป ในทางตรงข้าม บุคลิกและบทพูดของตัวละครแต่ละตัวกลับทำให้บทสนทนาในเกมนี้รู้สึกมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย เป็นจุดกึ่งกลางพอดีระหว่างความสดใสฉูดฉาดของ Persona และความเคร่งขรึมอึมครึมของ Shin Megami Tensei
การนำเสนอ
ในเรื่องของเสียง อาจสรุปรวม ๆ ได้ว่า “พอใช้” เท่านั้น แม้ว่าเพลงประกอบในเกมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่ได้มีเพลงใดน่าจดจำเป็นพิเศษเช่นกัน แถมตัวละครเพื่อนร่วมตี้ยังมักจะพูดแทรกกันไปมาไม่หยุดในระหว่างการต่อสู้ ราวกับคอยพากย์ตามการตัดสินใจทั้งหมดของผู้เล่นตลอดเวลา ซึ่งก็น่ารำคาญมากจนหลายครั้งผู้เขียนเลือกที่จะเล่นเกมแบบปิดเสียงไปเลยในระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยนอยู่
หากจะมีข้อดีซักข้อที่เกิดจากการใช้กราฟิกลักษณะนี้ คือการที่เกมไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สเป๊คสูงในการเล่น ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนได้รีวิวเกมบนเครื่อง Laptop PC ที่มีการ์ดจอ RTX 3060 ซึ่งก็อาจเป็นสเป๊กที่ค่อนไปทางสูงอยู่บ้าง โดยสามารถรันเกมแบบปรับสุดทั้งหมดได้ที่เฟรมเรต 80-100 FPS คงที่แทบจะตลอดเวลา แม้จะเล่นติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ตาม
สรุป
Soul Hackers 2 ยังคงเป็นเกม JRPG ที่ออกแบบมาได้ดี และมีเนื้อเรื่องกับตัวละครอันยอดเยี่ยมคอยเกื้อหนุนอยู่ แม้ว่าองค์กระกอบด้านการนำเสนอของเกมจะรู้สึกเป็นก้าวถอยหลังลงจากผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Atlus อย่างชัดเจน แต่เกมก็ยังดีพอจะมอบความเพลิดเพลินให้ชาว JRPG ตัวยงได้หลายสิบชั่วโมงสบาย ๆ