แม้ว่าจะวางจำหน่ายมาได้ซักพักใหญ่ๆ แล้วในขณะนี้ แต่เครื่องคอนโซลลูกรักของ Sony อย่างเครื่อง PlayStation 5 ก็ยังไม่ค่อยจะมีเกม Exclusive ระดับเรือธงออกมาให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันเท่าไหร่ จากการที่ผู้พัฒนาใหญ่ๆ แทบทุกค่ายจำเป็นต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายเกมเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020
สิ่งที่เข้ามาแทนที่เกมใหม่ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จในปัจจุบัน คือเกมเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากขุมกำลังที่เพิ่มขึ้นของคอนโซลใหม่ โดยเกมเก่าเล่าใหม่เกมล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายก็คือเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut เกมแอคชั่นผจญภัยที่ได้ชื่อเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ที่ดีที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 (อ่านรีวิวของเรา) ซึ่งกลับมาพร้อมกับข้อปรับปรุงทั้งในแง่ของความคมชัดระดับ 4K, 60FPS การปรับปรุงการขยับปากของตัวละครเพื่อให้เข้ากับเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น การเพิ่มการสนับสนุนลูกเล่นประจำเครื่อง PlayStation 5 อย่าง DualSense และ 3D Audio และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเรื่องบทใหม่ที่จะพาผู้เล่นไปต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานชาวมองโกลบนเกาะ Iki Island (เกาะอิกิ) นั่นเอง!
สำหรับทีมงาน GameFever ได้รับโอกาสในการเล่นเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut ล่วงหน้ามาแล้ว (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับโค้ดเกม) ซึ่งอย่างที่หลายคนน่าจะคาดเดาไว้แล้วนั้น เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut ถือเป็นการปรับปรุงเกมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเกมหนึ่งให้สุดยอดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในด้านกราฟิกที่สวยงามสมจริงขึ้นกว่าที่เคยและเนื้อเรื่องบทใหม่ที่ช่วยเสริมมิติให้กับตัวเอก Jin Sakai ได้อีกขั้น และทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย
***รีวิวฉบับนี้จะไม่พูดถึงระบบออนไลน์ Coop ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน เนื่องจากยังไม่เปิดให้ทดลอง***
เนื้อเรื่องของส่วนเสริม Iki Island จะติดตามการเดินทางของ Jin หลังจากที่เขาได้รับเบาะแสว่ามีเผ่ามองโกลอีกเผ่าหนึ่งกำลังเตรียมจะบุกเกาะ Tsushima แถมมองโกลเผ่านี้ยังใช้ยาพิษประหลาดในการต่อสู้ ทำให้คนที่ได้รับพิษเข้าไปเกิดอาการจิตหลอน Jin จึงตัดสินใจตามรอยเผ่ามองโกลใหม่นี้ไปยังเกาะ Iki Island (ที่อยู่ข้างๆ เกาะ Tsushima) เพื่อสกัดการรุกรานของพวกมันด้วยการกำจัดผู้นำของเผ่ามองโกลเสียก่อน
เอาเข้าจริงๆ แล้ว การต่อสู้กับเผ่ามองโกลในเนื้อเรื่องเสริมของเกาะ Iki Island นั้นไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไรเป็นพิเศษนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลัก ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องนี้คือการนำเสนอปมในใจของตัวละคร Jin ที่มีต่อพ่อของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงผ่านๆ บ่อยครั้งในเนื้อเรื่องหลักแต่ไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเสริมธีมหรือแนวคิดของเนื้อเรื่องหลักได้อย่างเหมาะเจาะ ส่งผลให้การเดินทางโดยรวมของตัวเอกรู้สึกมีความหมายเพิ่มขึ้นมามากกว่าในเกมหลักอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยติเอาไว้เล็กน้อยในรีวิวเกมดั้งเดิม แต่ก็ได้รับการแก้ไขอย่างงดงามในส่วนเสริมนี้
หากจะต้องติเนื้อเรื่องของส่วนเสริม คงมีแค่ว่าตัวละครเสริมทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาดูจะมีหน้าที่ในการเล่าเนื้อเรื่องของส่วนเสริมเพียงเท่านั้น มากกว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งของตัวเองเหมือนกับตัวละครเสริมในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งเป็นจุดเด่นหนึ่งของเกมดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่น่าเสียดายว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับภูมิหลังของตัวละครเหล่านี้มากกว่าที่ได้รับ
อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือเรื่องของกราฟิกและการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ ที่ทำออกมาได้สวยงามกว่าฉากต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก สวยจนไม่ว่าจะหันกล้องไปทางไหนก็อยากจะเก็บสกรีนช๊อตเอาไว้หมดเลย เผลอๆ อาจจะเป็นเกมที่ภาพสวยที่สุดที่หาเล่นได้บนเครื่อง PS5 ในตอนนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ทำให้การเดินทางไปมาบนเกาะ Iki ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด แถมระบบเสียงที่ปรับปรุงขึ้นของ PlayStation 5 ยังทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาก ผู้เล่นสามารถได้ยินเสียงนก เสียงลม เสียงน้ำตก แยกออกจากกันอย่างชัดเจนจากระบบ 3D Audio ส่งผลให้รู้สึกเหมือนเสียงมาจากรอบตัว ยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมทั้งหมดรู้สึกมีมนต์ขลังมากขึ้นไปอีก
ในฝั่งของเกมเพลย์ แม้จะยังยอดเยี่ยมไม่ต่างจากเกมดั้งเดิม แต่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ปรับปรุงขึ้นน้อยที่สุดแล้วก็ได้ แม้ว่าจะมีกิจกรรมเสริมเล็กๆ ให้ทำเพิ่มขึ้นบ้างเช่นกันเป่าขลุ่ยให้น้องแมวฟัง หรือการแข่งยิงธนู แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าที่เคยเห็นในเกมหลักมาแล้ว และแม้จะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเล็กน้อยเช่นเหล่า Shaman ที่จะคอยเพิ่มพลังให้ศัตรูในบริเวณรอบตัว แต่โดยรวมแล้วก็ยังง่ายกว่าศัตรูในเนื้อเรื่องหลักองค์ 3 หรือศัตรูชนิดแปลกๆ ที่พบได้ในโหมดออนไลน์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เล่นเกมหลักจบมาแล้วอาจจะรู้สึกว่าศัตรูบนเกาะ Iki ออกจะอ่อนไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับศัตรูบนเกาะ Tsushima
ถ้าวัดจากเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาเพียวๆ ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนเสริม Iki Island นี้น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม แต่สิ่งเดียวที่อาจจะทำให้ส่วนเสริมเข้าถึงยากซะหน่อยคงจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ที่จะซื้อส่วนเสริมมาเล่นใน PS4 จะต้องจ่ายเงิน $19.99 (ราว 600-700 บาท) ส่วนผู้ที่มีเกมเวอร์ชั่น PS4 อยู่แล้วและอยากเล่นบน PS5 พร้อมข้อปรับปรุงเรื่องกราฟิก จะต้องจ่าย $29.99 (ราว 900-1000 บาท) เพื่อเนื้อเรื่องเสริมที่มีความยาวประมาณ 5-10 ชั่วโมง (สำหรับคนที่เก็บทุกอย่างจริงๆ) ซึ่งจะคุ้มค่าแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับว่าคุณรักเกมนี้แค่ไหนเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยเล่นเกม Ghost of Tsushima มาก่อน เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut นี้ก็เป็นวิธีสัมผัสหนึ่งในเกมที่น่าจดจำที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน
ภาพสวยมากจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ทุกมุมเลย
เนื้อเรื่องใหม่ช่วยเสริมเนื้อเรื่องดั้งเดิมได้ดี
ระบบภาพและเสียงจัดเต็ม ตามกำลังเครื่อง PS5
สั้นไปหน่อยเมื่อเทียบกับราคา
ตัวละครเสริมไม่น่าสนใจเท่าเกมดั้งเดิม
แม้ว่าจะวางจำหน่ายมาได้ซักพักใหญ่ๆ แล้วในขณะนี้ แต่เครื่องคอนโซลลูกรักของ Sony อย่างเครื่อง PlayStation 5 ก็ยังไม่ค่อยจะมีเกม Exclusive ระดับเรือธงออกมาให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดกันเท่าไหร่ จากการที่ผู้พัฒนาใหญ่ๆ แทบทุกค่ายจำเป็นต้องเลื่อนวันวางจำหน่ายเกมเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020
สิ่งที่เข้ามาแทนที่เกมใหม่ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จในปัจจุบัน คือเกมเก่าที่นำมาปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากขุมกำลังที่เพิ่มขึ้นของคอนโซลใหม่ โดยเกมเก่าเล่าใหม่เกมล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายก็คือเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut เกมแอคชั่นผจญภัยที่ได้ชื่อเป็นหนึ่งในเกม Exclusive ที่ดีที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 (อ่านรีวิวของเรา) ซึ่งกลับมาพร้อมกับข้อปรับปรุงทั้งในแง่ของความคมชัดระดับ 4K, 60FPS การปรับปรุงการขยับปากของตัวละครเพื่อให้เข้ากับเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น การเพิ่มการสนับสนุนลูกเล่นประจำเครื่อง PlayStation 5 อย่าง DualSense และ 3D Audio และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเรื่องบทใหม่ที่จะพาผู้เล่นไปต่อสู้กับเหล่าผู้รุกรานชาวมองโกลบนเกาะ Iki Island (เกาะอิกิ) นั่นเอง!
สำหรับทีมงาน GameFever ได้รับโอกาสในการเล่นเกม Ghost of Tsushima: Director’s Cut ล่วงหน้ามาแล้ว (ขอบคุณ Sony Interactive Entertainment Singapore สำหรับโค้ดเกม) ซึ่งอย่างที่หลายคนน่าจะคาดเดาไว้แล้วนั้น เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut ถือเป็นการปรับปรุงเกมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเกมหนึ่งให้สุดยอดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในด้านกราฟิกที่สวยงามสมจริงขึ้นกว่าที่เคยและเนื้อเรื่องบทใหม่ที่ช่วยเสริมมิติให้กับตัวเอก Jin Sakai ได้อีกขั้น และทำให้เนื้อเรื่องหลักของเกมสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย
***รีวิวฉบับนี้จะไม่พูดถึงระบบออนไลน์ Coop ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน เนื่องจากยังไม่เปิดให้ทดลอง***
เนื้อเรื่องของส่วนเสริม Iki Island จะติดตามการเดินทางของ Jin หลังจากที่เขาได้รับเบาะแสว่ามีเผ่ามองโกลอีกเผ่าหนึ่งกำลังเตรียมจะบุกเกาะ Tsushima แถมมองโกลเผ่านี้ยังใช้ยาพิษประหลาดในการต่อสู้ ทำให้คนที่ได้รับพิษเข้าไปเกิดอาการจิตหลอน Jin จึงตัดสินใจตามรอยเผ่ามองโกลใหม่นี้ไปยังเกาะ Iki Island (ที่อยู่ข้างๆ เกาะ Tsushima) เพื่อสกัดการรุกรานของพวกมันด้วยการกำจัดผู้นำของเผ่ามองโกลเสียก่อน
เอาเข้าจริงๆ แล้ว การต่อสู้กับเผ่ามองโกลในเนื้อเรื่องเสริมของเกาะ Iki Island นั้นไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อะไรเป็นพิเศษนักเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลัก ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องนี้คือการนำเสนอปมในใจของตัวละคร Jin ที่มีต่อพ่อของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงผ่านๆ บ่อยครั้งในเนื้อเรื่องหลักแต่ไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างจริงจังเท่าไหร่นัก โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเสริมธีมหรือแนวคิดของเนื้อเรื่องหลักได้อย่างเหมาะเจาะ ส่งผลให้การเดินทางโดยรวมของตัวเอกรู้สึกมีความหมายเพิ่มขึ้นมามากกว่าในเกมหลักอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยติเอาไว้เล็กน้อยในรีวิวเกมดั้งเดิม แต่ก็ได้รับการแก้ไขอย่างงดงามในส่วนเสริมนี้
หากจะต้องติเนื้อเรื่องของส่วนเสริม คงมีแค่ว่าตัวละครเสริมทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาดูจะมีหน้าที่ในการเล่าเนื้อเรื่องของส่วนเสริมเพียงเท่านั้น มากกว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งของตัวเองเหมือนกับตัวละครเสริมในเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งเป็นจุดเด่นหนึ่งของเกมดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่น่าเสียดายว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับภูมิหลังของตัวละครเหล่านี้มากกว่าที่ได้รับ
อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือเรื่องของกราฟิกและการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ ที่ทำออกมาได้สวยงามกว่าฉากต่างๆ ในเนื้อเรื่องหลักเสียอีก สวยจนไม่ว่าจะหันกล้องไปทางไหนก็อยากจะเก็บสกรีนช๊อตเอาไว้หมดเลย เผลอๆ อาจจะเป็นเกมที่ภาพสวยที่สุดที่หาเล่นได้บนเครื่อง PS5 ในตอนนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ทำให้การเดินทางไปมาบนเกาะ Iki ไม่น่าเบื่อเลยซักนิด แถมระบบเสียงที่ปรับปรุงขึ้นของ PlayStation 5 ยังทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาก ผู้เล่นสามารถได้ยินเสียงนก เสียงลม เสียงน้ำตก แยกออกจากกันอย่างชัดเจนจากระบบ 3D Audio ส่งผลให้รู้สึกเหมือนเสียงมาจากรอบตัว ยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมทั้งหมดรู้สึกมีมนต์ขลังมากขึ้นไปอีก
ในฝั่งของเกมเพลย์ แม้จะยังยอดเยี่ยมไม่ต่างจากเกมดั้งเดิม แต่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดที่ปรับปรุงขึ้นน้อยที่สุดแล้วก็ได้ แม้ว่าจะมีกิจกรรมเสริมเล็กๆ ให้ทำเพิ่มขึ้นบ้างเช่นกันเป่าขลุ่ยให้น้องแมวฟัง หรือการแข่งยิงธนู แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าที่เคยเห็นในเกมหลักมาแล้ว และแม้จะมีศัตรูชนิดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเล็กน้อยเช่นเหล่า Shaman ที่จะคอยเพิ่มพลังให้ศัตรูในบริเวณรอบตัว แต่โดยรวมแล้วก็ยังง่ายกว่าศัตรูในเนื้อเรื่องหลักองค์ 3 หรือศัตรูชนิดแปลกๆ ที่พบได้ในโหมดออนไลน์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เล่นเกมหลักจบมาแล้วอาจจะรู้สึกว่าศัตรูบนเกาะ Iki ออกจะอ่อนไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับศัตรูบนเกาะ Tsushima
ถ้าวัดจากเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาเพียวๆ ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนเสริม Iki Island นี้น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับคนที่เป็นแฟนเกม แต่สิ่งเดียวที่อาจจะทำให้ส่วนเสริมเข้าถึงยากซะหน่อยคงจะเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ที่จะซื้อส่วนเสริมมาเล่นใน PS4 จะต้องจ่ายเงิน $19.99 (ราว 600-700 บาท) ส่วนผู้ที่มีเกมเวอร์ชั่น PS4 อยู่แล้วและอยากเล่นบน PS5 พร้อมข้อปรับปรุงเรื่องกราฟิก จะต้องจ่าย $29.99 (ราว 900-1000 บาท) เพื่อเนื้อเรื่องเสริมที่มีความยาวประมาณ 5-10 ชั่วโมง (สำหรับคนที่เก็บทุกอย่างจริงๆ) ซึ่งจะคุ้มค่าแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับว่าคุณรักเกมนี้แค่ไหนเช่นกัน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยเล่นเกม Ghost of Tsushima มาก่อน เกมเวอร์ชั่น Director’s Cut นี้ก็เป็นวิธีสัมผัสหนึ่งในเกมที่น่าจดจำที่สุดของเครื่อง PlayStation 4 ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน