เกม DOTA Underlords อาจดูเหมือนเป็นเกมที่เน้นการพึ่งฮีโร่เก่งๆ ดาเมจแรงๆ เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ทว่าเอาเข้าจริงแล้วตัวเกมกลับต้องอาศัยการวางแผนพอสมควร เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อรูปเกม ทั้งจำนวนยูนิต ฮีโร่ที่เลือกใช้ เอฟเฟกต์ของประเภทฮีโร่ หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องเงิน
ดังนั้น GameFever จะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับระบบของเกมและสิ่งที่ผู้เล่นมือใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มลุยศึก
1.ทำความเข้าใจการคำนวณดาเมจของเกม
DOTA Underlords เป็นเกมที่เราและผู้เล่นอีก 7 คน (รวมแล้วมีผู้เล่น 8 คน) แข่งขันกันด้วยการวางฮีโร่บนกระดานหมากรุก แล้วให้ฮีโร่ฟาดฟันกัน ใครกำจัดฮีโร่บนกระดานของอีกฝั่งหมดก่อน หรือเหลือฮีโร่จำนวนมากกว่าบนกระดาน จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ โดยจะแข่งกันเป็นรอบๆ ไป
ในแต่ละรอบ หากใครแพ้จะถูกลงโทษด้วยการหัก HP (เริ่มเกมมาผู้เล่นจะมีอยู่เท่ากัน ก็คือ 100 หน่วย) ใครเหลือ 0 ก่อนจะ Game Over ทันที
วิธีการคำนวณดาเมจของเกม คือ เกมจะนับจำนวนดาวของฮีโร่ทีมที่เราแพ้ แล้วหักเป็นดาเมจ ยิงเข้า HP ของเรา ตัวอย่างเช่น ฮีโร่บนกระดานของเราถูกกำจัดไปจนหมด แล้วยังเหลือฮีโร่ของฝั่งตรงข้ามอยู่บนกระดานเรา ได้แก่ ทัสก์ (2 ดาว) และ แอนติเมจ (1 ดาว) เราจะโดนดาเมจยิงเข้า HP ทั้งหมด 2+1 = 3 แต้ม
หมายความว่ายิ่งถ้าเราแพ้ขาดมากเท่าไหร่ เราก็จะโดนดาเมจเข้า HP มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ในทุกๆ รอบเราจะโดนยิงดาเมจเพิ่มเป็นจำนวนดังนี้
- รอบที่ 0 - 9 โดนยิงดาเมจเพิ่ม 0
- รอบที่ 10 - 19 โดนยิงดาเมจเพิ่ม 1
- รอบที่ 20 - 29 โดนยิงดาเมจเพิ่ม 2
- รอบที่ 30 - 39 โดนยิงดาเมจเพิ่ม 3
ตัวอย่าง:
- แพ้และมีฮีโร่ศัตรูเหลือบนกระดานทั้งหมด 5 ตัว รวมแล้วได้ 9 ดาว เป็น ดาเมจ - 9 และลดเพิ่มอีก - 1 จากการที่แพ้ในรอบที่ 13 (ตามกฎด้านบน)
2.จัดทีมโดยคำนึงถึงพลังผสาน
ฮีโร่ใน
DOTA Underlords แต่ละตัวจะมีพลังผสานติดตัวอยู่ ซึ่งจะเป็นทั้งเผ่าและประเภทของฮีโร่ มีทั้งหมด 23 แบบ โดยพลังผสานแต่ละแบบจะมีเอฟเฟกต์ของออร่าแตกต่างกันไป หากเรามีจำนวนฮีโร่ที่มีพลังผสานนั้นๆ ครบตามที่กำหนด จะได้รับผลของออร่าหรือบัฟพิเศษซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ทีมของเรา
ในการจัดทีมฮีโร่ เราควรจัดโดยการคำนึงถึงเอฟเฟกต์ออร่าที่เราจะได้จากการมีฮีโร่ประเภทเดียวกัน หลายๆ ตัวในทีม ซึ่งเอฟเฟกต์ก็มีหลายรูปแบบ ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของเราและสถานการณ์มากที่สุด
ตัวอย่างพลังผสาน:
3.อัพเกรดตัวละครเป็นเรื่องสำคัญ
การอัพเกรดตัวละครให้ขึ้น 2 ดาวสำคัญมากในเกม โดยฮีโร่ที่มี 2 ดาว จะยิงแรงขึ้น สเตตัสสูงขึ้น อีกเท่าตัว และยังเป็นการช่วยประหยัดพื้นที่ลงยูนิตบนกระดาน ทำให้สามารถเลือกยูนิตตัวอื่นๆ ที่มีพลังผสานเหมือนกันมาลงได้มากขึ้นเพื่อรับออร่า
นอกจากนี้การที่เรามีฮีโร่ที่มีดาวสูงๆ หลายตัว จะช่วยทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ที่แพ้ทีมของเรา โดนดาเมจเข้า HP ของผู้เล่นแรงขึ้น เนื่องจากพื้นฐานการคำนวณดาเมจจะคำนวณจาก จำนวนดาวของฮีโร่ที่เหลืออยู่บนกระดาน รวมกับดาเมจประจำรอบของเกม
ทั้งนี้การอัพเกรดตัวละครทำได้โดยการที่เรามีฮีโร่ตัวเดียวกัน และระดับเดียวกันอยู่บนกระดาน 3 ตัว เช่น เรามีฮีโร่ที่ชื่อทัสก์ 1 ดาว อยู่บนกระดาน 3 ตัว เกมจะอัพเกรดทัสก์ของเรา ให้กลายเป็น ทักส์ (2 ดาว)
- ทัสก์ (1 ดาว) + ทัสก์ (1 ดาว) + ทัสก์ (1 ดาว) = ทัสก์ (2 ดาว)
- ทัสก์ (2 ดาว) + ทัสก์ (2 ดาว) + ทัสก์ (2 ดาว) = ทัสก์ (3 ดาว)
โดยระดับสูงสุดของฮีโร่ในเกมนี้คือ 3 ดาว แต่ว่าการที่เราจะเก็บได้ฮีโร่ 3 ดาวก็ทำได้ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร เพราะว่าฮีโร่ในเกมมีค่อนข้างเยอะ ต้องอาศัยจังหวะและการบริหารเงินที่จะกด Reroll (สุ่มตัวละครใหม่) ให้เจอฮีโร่ที่เราต้องการ
4.เงินคือคีย์หลัก
ในเกมที่ต้องใช้การวางแผน เรื่องเงินเป็นเรื่องที่เราจะมองข้ามไม่ได้ ซึ่งระบบเงินในเกมนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนและเอื้อประโยชน์ให้แก่คนที่เก็บเงินได้มากกว่า เพราะว่ามี "ดอกเบี้ย" คล้ายกับดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคาร ทำให้ยิ่งเราถือเงินไว้เยอะเท่าไหร่ ก็จะได้เงินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พอเอาดอกเบี้ยที่ว่าไปรวมกับเงินที่ได้ในแต่ละรอบแล้ว จะทำให้เรามีเงินเยอะกว่าชาวบ้านเขา เอาไว้อัพเลเวล และซื้อตัวละครช่วงท้ายกลางเกม-ท้ายเกมได้แบบไม่ลำบาก
ตัวอย่างการบริหารเงิน:
5.ไอเทมกับการเดินเกม
ไอเทม เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฮีโร่ที่เป็นตัวคีย์หลักของทีมได้ ซึ่งไอเทมจะดรอปก็ต่อเมื่อเราสามารถเอาชนะครีปของเกมได้ (ครีปจะออกมาในรอบที่ 1,2,3 และ ทุกๆ รอบที่ 5 และ 10) โดยเมื่อจบรอบ เกมจะให้เราเลือกไอเทม 1 ชิ้นนั่นเอง
เมื่อเราได้ไอเทมมาแล้ว เราสามารถเลือกใส่ไอเทมให้กับฮีโร่ตัวใดก็ได้ 1 ตัว ฮีโร่แต่ละตัวจะสามารถสวมใส่ไอเทมได้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งหากเราเปลี่ยนใจ อยากเปลี่ยนไอเทม หรืออยากเอาไอเทมนี้ไปใส่ให้ฮีโร่ที่เหมาะสมกว่าก็สามารถทำได้
นอกจากไอเทมที่เป็นชิ้นๆ แล้ว บัฟ ในเกมนี้ก็ถือว่าจัดอยู่ในประเภทไอเทมเช่นกัน หากเราไม่อยากใส่ไอเทม ตอนที่เลือกไอเทมหลังจบเทิร์นที่สู้กับครีปป่าก็สามารถเลือกบัฟมาแทนได้ โดยบัฟก็จะมีหลายหลายประเภท เช่น บัฟที่เพิ่มเงินให้ 1 โกลด์เมื่อแพ้ รวมไปถึงบัฟที่ให้เอฟเฟกต์พิเศษกับเผ่าใดเผ่าหนึ่งในเกม
ข้อควรระวัง: เราควรดูว่าเหมาะกับฮีโร่ที่เรามีอยู่หรือไม่ เช่น ไม่ควรเลือกบัฟเผ่าที่เราไม่มี หรือไม่ได้เล่นมา และควรใส่ไอเทมให้เหมาะกับฮีโร่ เช่น ไม่ควรใส่ไอเทมเพิ่มมานาให้กับฮีโร่ที่ไม่มีมานา เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่าง DOTA Underlords และ Auto Chess
- ไอเทมเกมนี้ได้ทุกรอบที่สู้กับครีป การันตีว่าจะได้ชัวร์ 100% (Auto Chess จะสุ่มเอาจากการเจอครีป)
- สามารถโยกย้ายไอเทมได้ ไม่ต้องขายฮีโร่
- ฮีโร่ 1 ตัวสามารถใส่ไอเทมได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น (ใน Auto Chess ใส่ได้ 6 ชิ้นพร้อมกัน
แนะนำเพิ่มเติม - การแพ้ก็ไม่ได้แย่เสมอไป
การแพ้ในเกมอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่แย่ เพราะว่าจุดประสงค์หลักของการเล่นเกมก็เพื่อที่จะคว้าชัยชนะ แต่ว่าในเกมนี้ เราสามารถแพ้ได้ และการแพ้ก็เป็นเรื่องที่ดีในช่วงต้นเกม เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถลองผิดลองถูกได้แบบไม่เสีย HP ในเกมมากนัก นอกจากนี้การแพ้ติดๆ กัน จะทำให้ได้เงินพิเศษที่เรียกว่า "แพ้ต่อเนื่อง" หรือ "ชนะต่อเนื่อง" เป็นโบนัสเพิ่มให้
จบไปแล้วกับไกด์เบื้องต้นของ
DOTA Underlords เพื่อนๆ คิดเห็นยังไง อยากได้ไกด์ไหนเพิ่มเติมก็สามารถบอกเราได้ด้วยการพิมพ์คอมเมนต์ที่ด้านล่างเลย!
Chmura
นักเขียน
Chmura (อ่านว่า "ชมู") เป็นนักเขียนสาวประจำ GameFever ที่ชื่นชอบการปักหวาดเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจุบันดูแลคอนเทนต์ Esports และเขียนไกด์ - กำลังติดเกม DOTA 2