GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
รีวิวเกม Far Cry 6 "ใครว่าการปฏิวัติไม่ใช่เรื่องสนุก?"
ลงวันที่ 06/10/2021

เมื่อพูดถึงเกมตระกูล Far Cry ของผู้พัฒนา Ubisoft เชื่อว่าคนที่เคยเล่นมาก่อนน่าจะนึกออกทันทีว่าเกมจะหน้าตาเป็นอย่างไร จากแนวคิดการออกแบบตาม “สูตรสำเร็จ” ของผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำให้เกมหลายๆ ภาคที่ผ่านมา (รวมถึงเกมซีรีส์อื่นๆ ของผู้พัฒนา) ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ของ “ความจำเจ” อยู่บ่อยครั้ง แต่แม้ว่าเกมทุกภาคจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก Far Cry ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่ได้รับการจับตาและเฝ้ารอจากแฟนๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะภาคล่าสุดอย่าง Far Cry 6 ที่นอกจากจะเป็นก้าวแรกของซีรีส์บนคอนโซลยุคใหม่อย่าง PlayStation 5 และ Xbox Series X แล้ว เกมยังได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Giancarlo Esposito (Breaking Bad, The Mandalorian) มารับบทวายร้ายเจ้าเสน่ห์อย่างเผด็จการ Anton Castillo อีกด้วย ยังไม่นับท่าทีของผู้พัฒนาในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านๆ มา ที่เปิดเผยว่าเนื้อเรื่องของการปฏิวัติภายในเกมจะโอบรับความเป็น “การเมือง” ที่ผู้พัฒนา Ubisoft พยายามกล่าวถึงเพียงเลียบๆ เคียงๆ มาตลอดอีกด้วย


ผลลัพธ์ที่ออกมา แม้จะยังมีรูปแบบเหมือนกับเกมภาคที่ผ่านๆ มาอย่างมากในแง่ของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ถือได้ว่าเป็นเกม Far Cry ภาคที่ “กลมกล่อม” ที่สุดในรอบหลายปีจากเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของเกม ที่กล้าจะพูดถึงแง่มุมอันซับซ้อนของการปฏิวัติการปกครองประเทศ ที่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแค่เพียงการ “กำจัดใครคนใดคนหนึ่ง” แต่คือการต่อสู้กับอดีตที่ยึดหน่วงเราเอาไว้อีกด้วย



Far Cry 6 จะติดตามตัวละคร Dani Rojas (สามารถเลือกเป็นหญิงหรือชายก็ได้) ประชากรแห่งหมู่เกาะ Yara ประเทศสมมุติแถมอเมริกาใต้ที่อยู่ใต้การปกครองของเผด็จการจอมโหด Anton Castillo โดยหลังจากที่ความพยายามจะหนีจาก Yara ไปยังอเริกาเหนือของเขาและกลุ่มเพื่อนๆ กลับถูกพังไม่เป็นท่า Dani ก็ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มทหาร Libertad ที่ชักชวนให้เขาเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปลดแอก Yara จากเงื้อมมือของ Castillo ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ Yara เพื่อชักชวนนักปฏิวัติกลุ่มย่อยๆ ทั้งหลายให้ร่วมมือกันอีกด้วย


อย่างที่ผู้กำกับเนื้อเรื่องของเกมอย่างคุณ Navid Khavari เคยกล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เกม Far Cry 6 เลือกที่จะโอบรับความเป็นการเมืองของเนื้อเรื่องเกมอย่างเต็มอก ซึ่งต่างจากเกมของผู้พัฒนา Ubisoft ที่มักจะแตะประเด็นหนักๆ เหล่านี้แบบขอไปทีอย่างทีจนโดนตำหนิเป็นประจำ โดยการเลือกที่จะไม่ปฏิเสธความเป็นการเมืองทำให้เกมสามารถนำเสนอเนื้อเรื่องที่มี “น้ำหนัก” ได้มากกว่าเกมภาคอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตามกว่าที่ผ่านๆ มาไปด้วย และเช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรแยกออกเป็นขาวกับดำ Far Cry 6 ก็ไม่กลัวที่จำนำเสนอความซับซ้อนของการปฏิวัติ เมื่อกลุ่มคนที่มีความต้องการไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และหนทางอันยาวไกลของเหล่านักสู้กว่าจะได้มาซึ่ง Yara อันสงบสุขสำหรับทุกคน



แต่แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมจะค่อนข้างซีเรียส ตัวละคร NPC ต่างๆ ที่พบเจอในเกมมักจะออกไปทางตลกอารมณ์ดีกันซะมากกว่า ซึ่งก็ช่วยให้อารมณ์โดยรวมของเกมไม่หนักจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องเสริมของตัวละครแต่ละตัวก็สามารถช่วยเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อีกด้วยการนำเสนอแง่มุมต่างๆ ของการปฏิวัติมากขึ้น อาจจะสรุปได้ง่ายๆ ว่าเกม Far Cry 6 ถือเป็น Far Cry ภาคแรกนับตั้งแต่ภาค 3 ที่ผู้เขียนรู้สึก “อยากเล่นเนื้อเรื่องต่อ” จริงๆ มากกว่าจะวิ่งเล่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปเรื่อยๆ เหมือนภาคอื่น



แน่นอนว่าส่วนสำคัญของการนำเสนอเนื้อเรื่องที่ดีก็คือการพากย์เสียง ซึ่งเกมก็ทำได้ดีตามคาด แม้ว่าอนิเมชั่นสรหน้าท่าทางของ Ubisoft จะไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ แต่ก็ทำออกมาได้ดีกว่าในเกม Far Cry ภาคที่ผ่านๆ มา โดยการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้การเล่าเรื่องผ่านคัตซีนมุมมองบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากคัตซีนสำคัญๆ ได้น่าสนใจกว่าในภาคอื่นๆ และทำให้ผู้เล่นสามารถสังเกติสีหน้าท่าทางของตัวละครได้อย่างละเอียดกว่าที่ผ่านมาด้วย คนที่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed: Valhalla มาก่อนอาจจะพอนึกภาพออกว่าคัตซีนของ Far Cry 6 จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร


สิ่งที่สำคัญกว่าคุณภาพของกราฟฟิกคงจะเป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ Yara เองที่มีความน่าสนใจและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดริมทะเล หมู่เขาที่มีป่าทึบปกคลุม ไปจนถึงเมืองขนาดน้อยใหญ่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเกาะ ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตและที่มาที่ไปจริงๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานานแล้วจริงๆ และเอื้อให้ผู้เล่นรู้สึกอยากสำรวจเพื่อค้นหาความลับ (และสมบัติ) มากมายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่



หากจะมีข้อตำหนิซักหน่อยคงเป็นเรื่องของการเดินทางในเกมที่มักมีระยะทางค่อนข้างไกล แต่กลับมีจุด Fast Travel ให้ปลดล๊อคไม่เยอะขนาดนั้น และแม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเรียกรถส่วนตัวได้ทุกเมื่อ (ตรายใดที่อยู่ใกล้ถนนหลัก) แต่การขับยานพาหนะทั้งหมดในเกมยังถูกล๊อคอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบหรือเวียนหัวได้ ครั้นจะใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติก็ใช้ได้เฉพาะเวลาอยู่บนถนนหลัก ซึ่งก็เสี่ยงจะโดนทหารยิงตายเอาได้ง่ายๆ โดยจุดนี้จะเป็นปัญหาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนทนกับระบบขับรถของเกมได้แค่ไหนเช่นกัน



ในส่วนของเกมเพลย์ แม้ว่าผู้พัฒนาจะพยายามเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับการต่อสู้ผ่านระบบ “Bullet Type” (ชนิดกระสุน) และระบบของสวมใส่ที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ แต่เมื่อเล่นจริงๆ ก็พบว่าระบบเหล่านี้มักไม่ได้มีความหมายมากนัก


สำหรับระบบการเลือกชนิดของกระสุนนั้น แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอกส่องดูล่วงหน้าได้ว่าศัตรูแต่ละตัวแพ้กระสุนชนิดใด (หรือโจมตีด้วยกระสุนชนิดใด) รวมไปถึงไฮไลต์ตำแหน่งของศัตรูตัวนั้นๆ ไปด้วย แต่เมื่อเริ่มสู้จริงๆ ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งส่องชนิดกระสุนของศัตรูแต่ละตัวอยู่ดี แถมสุดท้ายแล้วก็ยังมีปืนบางชนิดที่สามารถยิงหัวศัตรูให้ตายได้ในนัดเดียวอยู่ดี เช่นปืนสไนเปอร์ ปืนลูกซอง หรือกระทั่งธนู ทำให้ต่อให้ไม่สนใจระบบนี้เลยก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่นัก อาจจะยกเว้นเพียงภารกิจเนื้อเรื่องหรือศัตรูบางชนิดที่ยากเป็นพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ในส่วนของระบบของสวมใส่ จะเปรียนเสมือนกับระบบ Perk ในภาคอื่นๆ โดยแทนที่จะใช้การอัปสกิลเหมือนภาคอื่นๆ เกมได้เปลี่ยนให้ Perk ต่างๆ ผูกเข้ากับของสวมใส่แต่ละชิ้นแทน หากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกม Far Cry เพื่อระเบิดภูเขาเผากระท่อมสนุกๆ แบบไม่คิดไรมาก การที่ต้องมาคอยสลับของสวมใส่อยู่เรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ แต่เช่นเดียวกับระบบชนิดกระสุน ต่อให้ไม่สนใจมากก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ยกเว้นในกรณีที่เจอศัตรูหรือภารกิจที่หินจริงๆ เท่านั้น



จุดที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากกว่าคงเป็นระบบกระเป๋า Supremo และอาวุธ Revolver Weapon ทั้งหลายที่เพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับการต่อสู้ โดยกระเป๋า Supremo อาจจะเปรียบได้กับ “ท่าไม้ตาย” ในเกมอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนได้หลากหลายตลอดเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวดติดตามเพื่อกำจัดศัตรูกลุ่มใหญ่ หรือการปล่อยระเบิด EMP เพื่อทำให้ยานพาหนะและเครื่องจักรต่างๆ ของศัตรูหยุดทำงานชั่วขณะ ในขณะที่เหล่า Revolver Weapon คืออาวุธพิศดารๆ ที่ประดิษฐ์โดย NPC Juan Carlos ที่มักจะมาพร้อมความสามารถแปลกๆ อย่างปืนยิงไฟ ปืนยิงก๊าซพิษ ปืนยิงฉมวก หรือปืนลูกซองที่มาพร้อมโล่ห์กันกระสุนเป็นต้น



นอกเหนือไปจากระบบที่กล่าวไป เกมเพลย์ของ Far Cry 6 ก็แทบจะตามสูตรของ Far Cry เป๊ะๆ เลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปรอบๆ เกาะเพื่อทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับจากตัวละคร NPC ที่พบเจอ พร้อมกับกำจัดศัตรูตามฐานทัพหรือล่าสัตว์เพื่อเก็บทรัพยากรณ์ไปแลกอาวุธชุดเกราะใหม่ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าระหว่างทางยังมีกิจกรรมเสริมมากมายให้ทำ ตั้งแต่ภารกิจเสริม การตกปลา หรือการชนไก่ ที่เพิ่มความหลากหลายให้กับการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเกมการชนไก่ที่เปรียบเสมือนเกมต่อสู้ย่อมๆ ของตัวเองเลย หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Far Cry ภาคอื่นๆ แล้ว มั่นใจได้เลยว่า Far Cry 6 ก็จะมอบประสบการณ์แบบเดียวกันให้กับคุณ 



แม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกับเกมในอดีตนักในส่วนของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ยังเป็นเกมที่สนุกครบเครื่องตามมาตรฐานของเกม Far Cry ทุกภาคที่ผ่านมา โดยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและชวนคิดของเกมถือเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจของผู้พัฒนา Ubisoft ทำให้เกม Far Cry 6 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับซีรีส์ในยุคคอนโซลปัจจุบัน


รีวิวซับไตเติ้ลและเมนูภาษาไทย


เกม Far Cry 6 จะถือเป็นเกมภาคแรกในซีรีส์ที่สนุบสนุนภาษาไทยทั้งในบทบรรยายและเมนู โดยหลังจากที่ฝากผลงานแปลไทยที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเอาไว้ในเกมก่อนหน้าอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนา Ubisoft ได้รับฟังคำติชมของผู้เล่นชาวไทยแล้ว เพราะคุณภาพของการแปลภาษาไทยในเกม Far Cry 6 นั้นดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจจะทัดเทียบกับเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องคำแปลอย่าง The Last of Us Part 2 หรือ Ghost of Tsushima ได้เลย แน่นอนว่าการจะแปลให้ถูกต้อง 100% คงจะยังคาดหวังได้ยาก แต่ก็ยังถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ และเป็นข่าวดีของแฟนๆ ชาวไทยที่จะได้เข้าถึงเกมอย่างเต็มที่ซะที



7
ข้อดี

เกมเพลย์สนุก ย่อยง่าย สไตล์ Far Cry

เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้น น่าติดตามกว่าหลายภาคที่ผ่านมา

เล่นได้อย่างลื่นไหล กราฟฟิกงามกริบบน PS5

ข้อเสีย

ระบบใหม่ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มอะไรเท่าไหร่


8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
รีวิวเกม Far Cry 6 "ใครว่าการปฏิวัติไม่ใช่เรื่องสนุก?"
06/10/2021

เมื่อพูดถึงเกมตระกูล Far Cry ของผู้พัฒนา Ubisoft เชื่อว่าคนที่เคยเล่นมาก่อนน่าจะนึกออกทันทีว่าเกมจะหน้าตาเป็นอย่างไร จากแนวคิดการออกแบบตาม “สูตรสำเร็จ” ของผู้พัฒนา Ubisoft ที่ทำให้เกมหลายๆ ภาคที่ผ่านมา (รวมถึงเกมซีรีส์อื่นๆ ของผู้พัฒนา) ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ของ “ความจำเจ” อยู่บ่อยครั้ง แต่แม้ว่าเกมทุกภาคจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก Far Cry ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่ได้รับการจับตาและเฝ้ารอจากแฟนๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะภาคล่าสุดอย่าง Far Cry 6 ที่นอกจากจะเป็นก้าวแรกของซีรีส์บนคอนโซลยุคใหม่อย่าง PlayStation 5 และ Xbox Series X แล้ว เกมยังได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Giancarlo Esposito (Breaking Bad, The Mandalorian) มารับบทวายร้ายเจ้าเสน่ห์อย่างเผด็จการ Anton Castillo อีกด้วย ยังไม่นับท่าทีของผู้พัฒนาในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านๆ มา ที่เปิดเผยว่าเนื้อเรื่องของการปฏิวัติภายในเกมจะโอบรับความเป็น “การเมือง” ที่ผู้พัฒนา Ubisoft พยายามกล่าวถึงเพียงเลียบๆ เคียงๆ มาตลอดอีกด้วย


ผลลัพธ์ที่ออกมา แม้จะยังมีรูปแบบเหมือนกับเกมภาคที่ผ่านๆ มาอย่างมากในแง่ของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ถือได้ว่าเป็นเกม Far Cry ภาคที่ “กลมกล่อม” ที่สุดในรอบหลายปีจากเนื้อเรื่องอันเข้มข้นของเกม ที่กล้าจะพูดถึงแง่มุมอันซับซ้อนของการปฏิวัติการปกครองประเทศ ที่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแค่เพียงการ “กำจัดใครคนใดคนหนึ่ง” แต่คือการต่อสู้กับอดีตที่ยึดหน่วงเราเอาไว้อีกด้วย



Far Cry 6 จะติดตามตัวละคร Dani Rojas (สามารถเลือกเป็นหญิงหรือชายก็ได้) ประชากรแห่งหมู่เกาะ Yara ประเทศสมมุติแถมอเมริกาใต้ที่อยู่ใต้การปกครองของเผด็จการจอมโหด Anton Castillo โดยหลังจากที่ความพยายามจะหนีจาก Yara ไปยังอเริกาเหนือของเขาและกลุ่มเพื่อนๆ กลับถูกพังไม่เป็นท่า Dani ก็ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มทหาร Libertad ที่ชักชวนให้เขาเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปลดแอก Yara จากเงื้อมมือของ Castillo ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ Yara เพื่อชักชวนนักปฏิวัติกลุ่มย่อยๆ ทั้งหลายให้ร่วมมือกันอีกด้วย


อย่างที่ผู้กำกับเนื้อเรื่องของเกมอย่างคุณ Navid Khavari เคยกล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เกม Far Cry 6 เลือกที่จะโอบรับความเป็นการเมืองของเนื้อเรื่องเกมอย่างเต็มอก ซึ่งต่างจากเกมของผู้พัฒนา Ubisoft ที่มักจะแตะประเด็นหนักๆ เหล่านี้แบบขอไปทีอย่างทีจนโดนตำหนิเป็นประจำ โดยการเลือกที่จะไม่ปฏิเสธความเป็นการเมืองทำให้เกมสามารถนำเสนอเนื้อเรื่องที่มี “น้ำหนัก” ได้มากกว่าเกมภาคอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าติดตามกว่าที่ผ่านๆ มาไปด้วย และเช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรแยกออกเป็นขาวกับดำ Far Cry 6 ก็ไม่กลัวที่จำนำเสนอความซับซ้อนของการปฏิวัติ เมื่อกลุ่มคนที่มีความต้องการไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และหนทางอันยาวไกลของเหล่านักสู้กว่าจะได้มาซึ่ง Yara อันสงบสุขสำหรับทุกคน



แต่แม้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมจะค่อนข้างซีเรียส ตัวละคร NPC ต่างๆ ที่พบเจอในเกมมักจะออกไปทางตลกอารมณ์ดีกันซะมากกว่า ซึ่งก็ช่วยให้อารมณ์โดยรวมของเกมไม่หนักจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องเสริมของตัวละครแต่ละตัวก็สามารถช่วยเสริมเนื้อเรื่องหลักได้อีกด้วยการนำเสนอแง่มุมต่างๆ ของการปฏิวัติมากขึ้น อาจจะสรุปได้ง่ายๆ ว่าเกม Far Cry 6 ถือเป็น Far Cry ภาคแรกนับตั้งแต่ภาค 3 ที่ผู้เขียนรู้สึก “อยากเล่นเนื้อเรื่องต่อ” จริงๆ มากกว่าจะวิ่งเล่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปเรื่อยๆ เหมือนภาคอื่น



แน่นอนว่าส่วนสำคัญของการนำเสนอเนื้อเรื่องที่ดีก็คือการพากย์เสียง ซึ่งเกมก็ทำได้ดีตามคาด แม้ว่าอนิเมชั่นสรหน้าท่าทางของ Ubisoft จะไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ แต่ก็ทำออกมาได้ดีกว่าในเกม Far Cry ภาคที่ผ่านๆ มา โดยการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้การเล่าเรื่องผ่านคัตซีนมุมมองบุคคลที่ 3 ทำให้ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอฉากคัตซีนสำคัญๆ ได้น่าสนใจกว่าในภาคอื่นๆ และทำให้ผู้เล่นสามารถสังเกติสีหน้าท่าทางของตัวละครได้อย่างละเอียดกว่าที่ผ่านมาด้วย คนที่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed: Valhalla มาก่อนอาจจะพอนึกภาพออกว่าคัตซีนของ Far Cry 6 จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร


สิ่งที่สำคัญกว่าคุณภาพของกราฟฟิกคงจะเป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมของเกาะ Yara เองที่มีความน่าสนใจและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดริมทะเล หมู่เขาที่มีป่าทึบปกคลุม ไปจนถึงเมืองขนาดน้อยใหญ่มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเกาะ ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตและที่มาที่ไปจริงๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานานแล้วจริงๆ และเอื้อให้ผู้เล่นรู้สึกอยากสำรวจเพื่อค้นหาความลับ (และสมบัติ) มากมายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่



หากจะมีข้อตำหนิซักหน่อยคงเป็นเรื่องของการเดินทางในเกมที่มักมีระยะทางค่อนข้างไกล แต่กลับมีจุด Fast Travel ให้ปลดล๊อคไม่เยอะขนาดนั้น และแม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเรียกรถส่วนตัวได้ทุกเมื่อ (ตรายใดที่อยู่ใกล้ถนนหลัก) แต่การขับยานพาหนะทั้งหมดในเกมยังถูกล๊อคอยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบหรือเวียนหัวได้ ครั้นจะใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติก็ใช้ได้เฉพาะเวลาอยู่บนถนนหลัก ซึ่งก็เสี่ยงจะโดนทหารยิงตายเอาได้ง่ายๆ โดยจุดนี้จะเป็นปัญหาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นแต่ละคนทนกับระบบขับรถของเกมได้แค่ไหนเช่นกัน



ในส่วนของเกมเพลย์ แม้ว่าผู้พัฒนาจะพยายามเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับการต่อสู้ผ่านระบบ “Bullet Type” (ชนิดกระสุน) และระบบของสวมใส่ที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ แต่เมื่อเล่นจริงๆ ก็พบว่าระบบเหล่านี้มักไม่ได้มีความหมายมากนัก


สำหรับระบบการเลือกชนิดของกระสุนนั้น แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอกส่องดูล่วงหน้าได้ว่าศัตรูแต่ละตัวแพ้กระสุนชนิดใด (หรือโจมตีด้วยกระสุนชนิดใด) รวมไปถึงไฮไลต์ตำแหน่งของศัตรูตัวนั้นๆ ไปด้วย แต่เมื่อเริ่มสู้จริงๆ ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งส่องชนิดกระสุนของศัตรูแต่ละตัวอยู่ดี แถมสุดท้ายแล้วก็ยังมีปืนบางชนิดที่สามารถยิงหัวศัตรูให้ตายได้ในนัดเดียวอยู่ดี เช่นปืนสไนเปอร์ ปืนลูกซอง หรือกระทั่งธนู ทำให้ต่อให้ไม่สนใจระบบนี้เลยก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่นัก อาจจะยกเว้นเพียงภารกิจเนื้อเรื่องหรือศัตรูบางชนิดที่ยากเป็นพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ในส่วนของระบบของสวมใส่ จะเปรียนเสมือนกับระบบ Perk ในภาคอื่นๆ โดยแทนที่จะใช้การอัปสกิลเหมือนภาคอื่นๆ เกมได้เปลี่ยนให้ Perk ต่างๆ ผูกเข้ากับของสวมใส่แต่ละชิ้นแทน หากคุณเป็นคนที่ชอบเล่นเกม Far Cry เพื่อระเบิดภูเขาเผากระท่อมสนุกๆ แบบไม่คิดไรมาก การที่ต้องมาคอยสลับของสวมใส่อยู่เรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ แต่เช่นเดียวกับระบบชนิดกระสุน ต่อให้ไม่สนใจมากก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ยกเว้นในกรณีที่เจอศัตรูหรือภารกิจที่หินจริงๆ เท่านั้น



จุดที่ทำให้การต่อสู้น่าสนใจมากกว่าคงเป็นระบบกระเป๋า Supremo และอาวุธ Revolver Weapon ทั้งหลายที่เพิ่มมิติใหม่ๆ ให้กับการต่อสู้ โดยกระเป๋า Supremo อาจจะเปรียบได้กับ “ท่าไม้ตาย” ในเกมอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนได้หลากหลายตลอดเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวดติดตามเพื่อกำจัดศัตรูกลุ่มใหญ่ หรือการปล่อยระเบิด EMP เพื่อทำให้ยานพาหนะและเครื่องจักรต่างๆ ของศัตรูหยุดทำงานชั่วขณะ ในขณะที่เหล่า Revolver Weapon คืออาวุธพิศดารๆ ที่ประดิษฐ์โดย NPC Juan Carlos ที่มักจะมาพร้อมความสามารถแปลกๆ อย่างปืนยิงไฟ ปืนยิงก๊าซพิษ ปืนยิงฉมวก หรือปืนลูกซองที่มาพร้อมโล่ห์กันกระสุนเป็นต้น



นอกเหนือไปจากระบบที่กล่าวไป เกมเพลย์ของ Far Cry 6 ก็แทบจะตามสูตรของ Far Cry เป๊ะๆ เลย ผู้เล่นจะต้องเดินทางไปรอบๆ เกาะเพื่อทำภารกิจเนื้อเรื่องที่ได้รับจากตัวละคร NPC ที่พบเจอ พร้อมกับกำจัดศัตรูตามฐานทัพหรือล่าสัตว์เพื่อเก็บทรัพยากรณ์ไปแลกอาวุธชุดเกราะใหม่ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าระหว่างทางยังมีกิจกรรมเสริมมากมายให้ทำ ตั้งแต่ภารกิจเสริม การตกปลา หรือการชนไก่ ที่เพิ่มความหลากหลายให้กับการเล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเกมการชนไก่ที่เปรียบเสมือนเกมต่อสู้ย่อมๆ ของตัวเองเลย หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกมเพลย์ของ Far Cry ภาคอื่นๆ แล้ว มั่นใจได้เลยว่า Far Cry 6 ก็จะมอบประสบการณ์แบบเดียวกันให้กับคุณ 



แม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกับเกมในอดีตนักในส่วนของเกมเพลย์ แต่ Far Cry 6 ก็ยังเป็นเกมที่สนุกครบเครื่องตามมาตรฐานของเกม Far Cry ทุกภาคที่ผ่านมา โดยเนื้อเรื่องที่ซีเรียสและชวนคิดของเกมถือเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจของผู้พัฒนา Ubisoft ทำให้เกม Far Cry 6 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับซีรีส์ในยุคคอนโซลปัจจุบัน


รีวิวซับไตเติ้ลและเมนูภาษาไทย


เกม Far Cry 6 จะถือเป็นเกมภาคแรกในซีรีส์ที่สนุบสนุนภาษาไทยทั้งในบทบรรยายและเมนู โดยหลังจากที่ฝากผลงานแปลไทยที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเอาไว้ในเกมก่อนหน้าอย่าง Ghost Recon: Breakpoint ต้องยอมรับว่าผู้พัฒนา Ubisoft ได้รับฟังคำติชมของผู้เล่นชาวไทยแล้ว เพราะคุณภาพของการแปลภาษาไทยในเกม Far Cry 6 นั้นดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจจะทัดเทียบกับเกมที่ได้รับคำชมในเรื่องคำแปลอย่าง The Last of Us Part 2 หรือ Ghost of Tsushima ได้เลย แน่นอนว่าการจะแปลให้ถูกต้อง 100% คงจะยังคาดหวังได้ยาก แต่ก็ยังถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ และเป็นข่าวดีของแฟนๆ ชาวไทยที่จะได้เข้าถึงเกมอย่างเต็มที่ซะที




บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header