หากจะพูดถึงความสำเร็จของวงการวิดีโอเกมในการแย่งชิงพื้นที่ความสนใจของผู้บริโภคกระแสหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตัวแปรที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งคงหนีไม่พ้นความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Witcher โดยเฉพาะเกมภาค 3 ที่ผลักดันให้ชื่อของตัวเอกอย่าง Geralt กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้าง และยังผลักดันให้ Netflix หยิบแฟรนไชส์นี้มาปลุกปั้นเป็นซ๊รีส์ยอดนิยมอีก ซึ่งก็ทำให้แฟรนไชส์ยิ่งแพร่หลายออกไปสู่ผู้คนมากยิ่งขึ้น
นอกจากซีรีส์ Live-action ที่นำแสดงโดย Henry Cavill นั้น ทาง Netflix ยังได้ประกาศว่ากำลังสร้างผลงานจากแฟรนไชส์ The Witcher ขึ้นมาเพิ่มอีกหลายชิ้น โดยชิ้นแรกที่ได้เผยแพร่ออกมาให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่น The Witcher: Nightmare of the Wolf ที่เพิ่งออกอากาศทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสำรวจประวัติที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนของตัวละคร Vesemir ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์และพ่อบุญธรรมของตัวเอก Geralt นั่นเอง
จากที่ได้รับชมภาพยนตร์มาแล้ว แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Netflix แต่ The Witcher: Nightmare of the Wolf ก็ยังถือเป็นผลงานที่น่าสนใจสำหรับแฟนๆ ของแฟรนไชส์ The Witcher ด้วยฉากต่อสู้อันร้าวใจไปจนถึงธีม “ศิลธรรมสีเทา” ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักแฟรนไชส์ The Witcher แต่แรกด้วย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแนะนำให้คนที่ไม่รู้จัก The Witcher สามารถทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อนของแฟไชส์นี้
เรื่องราวหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf จะติดตามการเดินทางของตัวละคร Vesemir ในสมัยที่เขายังหนุ่ม ผู้ซึ่งต้องรับมือกับทั้งเหล่าปีศาจร้ายและความเกลียดชังของเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่มองเหล่า Witcher เป็นเพียงปีศาจกลายพันธุ์กระหายเลือด โดยเนื้อเรื่องหลักจะเล่าเหตุการณ์เมื่อเขาถูกจ้างวานให้ออกล่าปีศาจปริศนาที่คอยเข่นฆ่าผู้คนในป่าใกล้ๆ เมือง Kaedwen สลับกับฉากย้อนเวลาให้ผู้เล่นได้เห็นชีวิตของ Vesemir วัยเด็ก เพื่อสำรวจกระบวนการฝึกฝนอันหฤโหดให้เด็กมนุษย์ธรรมดากลายเป็น Witcher อีกด้วย
หากให้พูดในภาพรวมแล้ว ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf อาจจะไม่ใช่จุดที่ประทับใจผู้เขียนที่สุด อาจจะด้วยประสบการณ์ที่มีกับธีมของ The Witcher อยู่แล้วด้วยทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์หักมุมใหญ่ๆ หลายครั้งมีความ “เดาได้” อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่ข้อตำหนิว่าเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นั้นไม่ดีหรือแย่อะไร และเนื้อเรื่องก็ยังคงเล่นกับแนวคิดเรื่อง “ศิลธรรมสีเทา” อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่าภาพยนตร์อาจจะใช้เวลาไปกับการปูเส้นเรื่องและตัวละครเสริมมากมายเกินไป จนบ่อยครั้งจำเป็นต้องรวบรัดเล่าเหตุการณ์สำคัญตรงๆ ให้สามารถจบได้ในเวลาราว 80 นาทีของหนัง ทำให้ไม่สามารถค่อยๆ คลายปมที่ปูไว้ได้อย่างแยบยลได้เท่าที่ควร
ส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจจริงๆ สำหรับผู้เขียนคือเส้นเรื่องรองทั้งหลาย ที่มักจะสำรวจแง่มุมต่างๆ ของโลก The Witcher ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน เช่นการติดตามตัวละคร Vesemir วัยเด็กเพื่อสำรวจเหตุผลและวิธีการต่างๆ ที่ทำให้เด็กมนุษย์คนหนึ่งได้กลายมาเป็น Witcher รวมไปถึงกระบวนการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมที่รู้จักกันในนาม “Trial of the Grasses” ซึ่งคนเล่นเกมอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันน่าตาเป็นอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละคร Vesemir เองก็เป็นตัวละครที่ผู้เล่นเกม The Witcher (โดยเฉพาะภาค 3) น่าจะมีความผูกพันอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่ในการเติมเต็มช่องว่างเกี่ยวกับอดีตของ Vesemir ได้เป็นอย่างดี ให้เราได้เห็นแง่มุมอันหลากหลายของตัวละครที่จะเติบโตไปเป็นเจ้าสำนักหมาป่าแห่ง Kaer Morhen ที่เรารู้จัก ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามแฟรนไชส์นี้จากเกมเป็นหลักอย่างเราๆ บริบทที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับไปเพิ่มมิติให้กับการกระทำหรือคำพูดหลายๆ อย่างของเขาในเกมได้อีกทีได้ด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายอย่างมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ในส่วนของฉากแอคชั่นในภาพยนตร์ Winter of the Wolf แม้จะทำออกมาได้ดุเดือดเลือดสาดตามมาตรฐาร อนิเมชั่นของ Netflix (เช่น Castlevania หรือ DOTA: Dragon’s Blood) และนำเสนอสไตล์การต่อสู้ที่ผสมผสานเวทย์มนนตร์และเพลงดาบของเหล่า Witcher ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งน่าจะถูกใจคออนิเมะเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ค่อนข้างติดดินของทั้งซีรีส์ Live-action และเกมเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ภาพยนตร์ The Witcher: Winter of the Wolf เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อแนะนำให้คนได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของเหล่านักล่าปีศาจกลายพันธ์เหล่านี้ และยังนำเสนอองค์ประกอบตื้นลึกหนาบางหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโลกของ The Witcher ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มมิติให้กับตัวละคร Vesemir ที่เราไม่ได้เห็นในเกม ซึ่งก็ช่วยเสริมมิติให้กับตัวละครทีเรารู้จักกันมานาน ถือเป็นผลงานสนุกๆ ที่น่าติดตามทั้งสำหรับแฟนๆ ของจักรวาล The Witcher ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า
นำเสนอประเด็นหนักๆ ในโลกของ The Witcher ได้ดี
เสริมมิติให้ตัวละคร Vesemir
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับคนที่อยากรู้จักกับโลกของ Witcher มากขึ้น
เส้นเรื่องหลักแอบเดาง่าย
หากจะพูดถึงความสำเร็จของวงการวิดีโอเกมในการแย่งชิงพื้นที่ความสนใจของผู้บริโภคกระแสหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตัวแปรที่สำคัญมากๆ อย่างหนึ่งคงหนีไม่พ้นความสำเร็จของแฟรนไชส์ The Witcher โดยเฉพาะเกมภาค 3 ที่ผลักดันให้ชื่อของตัวเอกอย่าง Geralt กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้าง และยังผลักดันให้ Netflix หยิบแฟรนไชส์นี้มาปลุกปั้นเป็นซ๊รีส์ยอดนิยมอีก ซึ่งก็ทำให้แฟรนไชส์ยิ่งแพร่หลายออกไปสู่ผู้คนมากยิ่งขึ้น
นอกจากซีรีส์ Live-action ที่นำแสดงโดย Henry Cavill นั้น ทาง Netflix ยังได้ประกาศว่ากำลังสร้างผลงานจากแฟรนไชส์ The Witcher ขึ้นมาเพิ่มอีกหลายชิ้น โดยชิ้นแรกที่ได้เผยแพร่ออกมาให้เหล่าแฟนๆ ได้ชมกันก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่น The Witcher: Nightmare of the Wolf ที่เพิ่งออกอากาศทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะพาผู้เล่นย้อนเวลากลับไปสำรวจประวัติที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนของตัวละคร Vesemir ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์และพ่อบุญธรรมของตัวเอก Geralt นั่นเอง
จากที่ได้รับชมภาพยนตร์มาแล้ว แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดของ Netflix แต่ The Witcher: Nightmare of the Wolf ก็ยังถือเป็นผลงานที่น่าสนใจสำหรับแฟนๆ ของแฟรนไชส์ The Witcher ด้วยฉากต่อสู้อันร้าวใจไปจนถึงธีม “ศิลธรรมสีเทา” ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักแฟรนไชส์ The Witcher แต่แรกด้วย และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแนะนำให้คนที่ไม่รู้จัก The Witcher สามารถทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อนของแฟไชส์นี้
เรื่องราวหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf จะติดตามการเดินทางของตัวละคร Vesemir ในสมัยที่เขายังหนุ่ม ผู้ซึ่งต้องรับมือกับทั้งเหล่าปีศาจร้ายและความเกลียดชังของเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่มองเหล่า Witcher เป็นเพียงปีศาจกลายพันธุ์กระหายเลือด โดยเนื้อเรื่องหลักจะเล่าเหตุการณ์เมื่อเขาถูกจ้างวานให้ออกล่าปีศาจปริศนาที่คอยเข่นฆ่าผู้คนในป่าใกล้ๆ เมือง Kaedwen สลับกับฉากย้อนเวลาให้ผู้เล่นได้เห็นชีวิตของ Vesemir วัยเด็ก เพื่อสำรวจกระบวนการฝึกฝนอันหฤโหดให้เด็กมนุษย์ธรรมดากลายเป็น Witcher อีกด้วย
หากให้พูดในภาพรวมแล้ว ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องหลักของ The Witcher: Nightmare of the Wolf อาจจะไม่ใช่จุดที่ประทับใจผู้เขียนที่สุด อาจจะด้วยประสบการณ์ที่มีกับธีมของ The Witcher อยู่แล้วด้วยทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์หักมุมใหญ่ๆ หลายครั้งมีความ “เดาได้” อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่ข้อตำหนิว่าเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นั้นไม่ดีหรือแย่อะไร และเนื้อเรื่องก็ยังคงเล่นกับแนวคิดเรื่อง “ศิลธรรมสีเทา” อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่าภาพยนตร์อาจจะใช้เวลาไปกับการปูเส้นเรื่องและตัวละครเสริมมากมายเกินไป จนบ่อยครั้งจำเป็นต้องรวบรัดเล่าเหตุการณ์สำคัญตรงๆ ให้สามารถจบได้ในเวลาราว 80 นาทีของหนัง ทำให้ไม่สามารถค่อยๆ คลายปมที่ปูไว้ได้อย่างแยบยลได้เท่าที่ควร
ส่วนที่ทำให้ภาพยนตร์น่าสนใจจริงๆ สำหรับผู้เขียนคือเส้นเรื่องรองทั้งหลาย ที่มักจะสำรวจแง่มุมต่างๆ ของโลก The Witcher ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน เช่นการติดตามตัวละคร Vesemir วัยเด็กเพื่อสำรวจเหตุผลและวิธีการต่างๆ ที่ทำให้เด็กมนุษย์คนหนึ่งได้กลายมาเป็น Witcher รวมไปถึงกระบวนการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมที่รู้จักกันในนาม “Trial of the Grasses” ซึ่งคนเล่นเกมอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันน่าตาเป็นอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละคร Vesemir เองก็เป็นตัวละครที่ผู้เล่นเกม The Witcher (โดยเฉพาะภาค 3) น่าจะมีความผูกพันอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่ในการเติมเต็มช่องว่างเกี่ยวกับอดีตของ Vesemir ได้เป็นอย่างดี ให้เราได้เห็นแง่มุมอันหลากหลายของตัวละครที่จะเติบโตไปเป็นเจ้าสำนักหมาป่าแห่ง Kaer Morhen ที่เรารู้จัก ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามแฟรนไชส์นี้จากเกมเป็นหลักอย่างเราๆ บริบทที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ยังสามารถย้อนกลับไปเพิ่มมิติให้กับการกระทำหรือคำพูดหลายๆ อย่างของเขาในเกมได้อีกทีได้ด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายอย่างมี “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ในส่วนของฉากแอคชั่นในภาพยนตร์ Winter of the Wolf แม้จะทำออกมาได้ดุเดือดเลือดสาดตามมาตรฐาร อนิเมชั่นของ Netflix (เช่น Castlevania หรือ DOTA: Dragon’s Blood) และนำเสนอสไตล์การต่อสู้ที่ผสมผสานเวทย์มนนตร์และเพลงดาบของเหล่า Witcher ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งน่าจะถูกใจคออนิเมะเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ค่อนข้างติดดินของทั้งซีรีส์ Live-action และเกมเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ภาพยนตร์ The Witcher: Winter of the Wolf เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อแนะนำให้คนได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของเหล่านักล่าปีศาจกลายพันธ์เหล่านี้ และยังนำเสนอองค์ประกอบตื้นลึกหนาบางหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโลกของ The Witcher ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มมิติให้กับตัวละคร Vesemir ที่เราไม่ได้เห็นในเกม ซึ่งก็ช่วยเสริมมิติให้กับตัวละครทีเรารู้จักกันมานาน ถือเป็นผลงานสนุกๆ ที่น่าติดตามทั้งสำหรับแฟนๆ ของจักรวาล The Witcher ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า