หากคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ชอบที่จะได้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มเหลว ชอบที่เราจะเติบโตขึ้นทุก ๆ ครั้งจากความผิดพลาด แนวเกมที่คุณน่าจะชื่นชอบก็คงเป็นพวกแนว Roguelite และในปี 2022 นี้ แม้ว่าจะมีเกม Roguelite จำนวนมาก ออกใหม่มาให้เราได้เล่นกัน แต่มีอยู่ 1 เกม ที่อัปเดตเป็นตัวเกมเวอร์ชั่นเต็ม และอัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์และความสนุกในแบบที่แฟนเกม Roguelite ไม่ควรพลาด และวันนี้เราจะหยิบเกมนี้มารีวิวให้ได้ดูกันกับ Rogue Legacy 2
การผจญภัยของตระกูลอัศวินผู้ปราบปีศาจ
ต้องบอกว่าใครที่คิดว่าเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ เข้าใจได้สบาย ๆ ก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะแม้ตัวผู้เขียนเองจะเล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่อาจคาดได้ถึงปูมหลัง เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมได้เลย และแม้กระทั่งในเว็บไซต์สนทนากันของเหล่าเกมเมอร์อย่าง Reddit ก็ยังเผยว่า การจะเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมนี้ ต้องอาศัยการเล่นซ้ำเป็นจำนวนมาก และบางคนแม้จะ New Game+ ไปหลายรอบ แต่ก็ยังมีข้อมูล และเนื้อหาในเกมที่ยังเปิดเผยได้ไม่ครบ และแน่นอนว่าเนื้อหา อาจไม่ใช่แก่นหลักความสนุกของเกมนี้ด้วย แต่เราไม่ได้บอกว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี แค่ถ้าหากว่าคุณอยากเข้าใจเรื่องราวของโลกในเกมนี้ให้ได้มากที่สุด คุณอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่หลายคนชอบสักเท่าไรนัก
แต่หากจะเอาคร่าว ๆ มันก็คือเรื่องราวของอัศซินตระกูลหนึ่งที่สืบเชื้อชาติในการต่อสู้ บุกโจมตีปราสาทที่ถูกจอมมารรร้ายเข้าไปสิงสู่อยู่ และวงศ์ตระกูลของเราก็สืบทอดการเป็นนักรบเรื่อยมา แถมยังแตกแขนงออกเป็นคลาสต่าง ๆ ซึ่งจะไปโยงกับระบบเกมเพลย์ที่เรากำลังจะอธิบายกันต่อไป แต่กล่าวได้ว่า Rogue Legacy 2 นั้น มีเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อน ไม่แพ้พวกเกมซีรีส์โซลเลยด้วยซ้ำไป
ตระกูลฉันเป็นยอดนักสู้ แถมหลากหลายความสามารถ
ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น "สมาชิกตระกูล" ตระกูลหนึ่ง ที่สืบทอดจิตวิญญาณด้านนักสู้เสมอมาทุกรุ่น ๆ และนำเสนอในรูปแบบ Roguelite หากคุณนึกภาพไม่ออก เมื่อเริ่มเกมมา คุณจะเริ่มต้นด้วยตัวละครตัวหนึ่ง และเมื่อนำตัวละครนั้นไปเล่นตะลุยด่านจนตาย คุณจะได้เลือกตัวละครใหม่ ที่เป็นเหมือนกับลูกหลานของตัวละครตัวก่อนหน้ามาเล่นแทน ซึ่งนี่เป็นไอเดียการนำเสนอที่ถือว่ามีสีสันมาก แต่เกม Rogue Legacy ก็ใช้วิธีนี้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และในภาคนี้ก็ยังคงเสน่ห์การนำเสนอแบบนี้ไว้
และไม่ใช่แค่เริ่มตระกูลมาแล้วเราจะเป็นนักรบอย่างเดียว เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะปลดล็อคคลาสต่าง ๆ ได้จากการอัปเกรดปราสาทหลัก ซึ่งจะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเรา มีสายอาชีพใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้อาวุธใหม่ สกิลใหม่ได้อีกด้วย ทำให้ตระกูลของเรามีความหลากหลาย ซึ่งนั่นก็หมายถึงคลาสในเกมที่จะมีเยอะขึ้นจากเริ่มต้นเป็นแค่นักรบ ก็อาจจะมีตั้งแต่จอมเวท นักธนู พ่อครัว คนเถื่อน วัลคิรี่ และอื่น ๆ อีกมาก แถมแต่ละคลาส หากเราหยิบคลาสนั้นมาเล่นบ่อย ๆ ก็จะเป็นการเก็บเลเวลให้กับคลาสนั้น ให้มีพลังที่มากขึ้นอีกด้วย
ตัวเกมมีการนำเสนอเกมเพลย์แบบ Roguelite สิ่งที่คุณต้องเจออย่างแน่นอนในเกมนี้ก็คือความตาย คุณไม่มีทางที่จะจบเกมนี้ได้ด้วยการเล่นไม่กี่รอบ การตายจึงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการเรียนรู้ และทำให้เราเชี่ยวชาญการเล่นมากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่ม เราใช้คำว่า Roguelite ไม่ใช่ Roguelike นั่นเพราะเกมนี้ ทุก ๆ ความตายของเรา จะทำให้เราเก่งขึ้น ทั้งฝีมือของผู้เล่นจากการเรียนรู้ และจากระบบของตัวเกมเอง
เกมเพลย์เข้าใจง่าย ตายเพื่ออัปเกรด ตายเพื่อให้ลูกหลานแข็งแกร่งขึ้น
เกมเพลย์ของ Rogue Legacy 2 เป็นแบบ 2D Side Scrolling กราฟิกแบบการ์ตูน เบาสบาย เข้าถึงได้ง่าย แต่ที่จะยากจริง ๆ คือระบบของเกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่ามันคือ Roguelite ที่ถ้าหากว่าเราอยากเก่งขึ้น ความตายจะเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ แต่ก่อนที่เราจะตายนั้น เราจะได้ผจญภัย ต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่าง ๆ และความเป็น Roguelite จะทำให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบสุ่ม ในการเล่นทุกรอบนั้นจะไม่เหมือนกัน เราอาจจะเจอพื้นที่ใหม่ โซนใหม่ที่แตกต่างกันออกไปในการเล่นแต่ละรอบ
เราอาจจะวิ่งไปเจอกล่องสมบัติ ที่อาจจะเป็นแบบแปลนอาวุธ ชุดเกราะ ที่เราสามารถซื้อมาใส่เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวละครได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ระบบการอัปเกรดในเกมนี้ จะอยู่ที่การอัปเกรดปราสาท เพราะเจ้าปราสาทนี่แหละ ที่จะเป็น Core Upgrade ทั้งหมดในเกม ตั้งแต่ปลดล็อคอาชีพภายในเกม ไปจนถึง NPC สายช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จะปรากฎตัวออกมา หลังจากเราปลดล็อคปราสาทไปแล้ว NPC เหล่านี้จะมีหน้าที่อัปเกรดอาวุธ อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งการล็อคฉากในการเล่นรอบต่อไปให้เป็นเหมือนเดิม สำหรับคนที่รู้สึกว่า ฉากและแผนที่รอบนั้น น่าสนใจพอจะสำรวจเพิ่ม เราจะได้ไม่ต้องสุ่มแผนที่ใหม่ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วย
การอัปเกรดปราสาท จะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา สามารถปลดล็อคอาชีพใหม่ ๆ ได้ โดยในการเล่นเกมแต่ละรอบ ระบบจะสุ่มลูกหลานออกมา 3 คน (หรือก็คือ 3 ตัวละคร) เช่นช่วงแรก เราอาจจะได้เป็นแค่ Warrior แต่เมื่ออัปเกรดเพิ่ม อาจจะเปลี่ยนไปเป็นนักธนู นักเวท มือสังหาร พ่อครัว และแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย มีสกิลติดตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น มือสังหาร ที่โจมตีได้รวดเร็ว มีโอกาสติดคริติคอลสูงมาก แต่ก็จะบอบบางมาก หรือพ่อครัว ที่มีความสามารถในการเก็บสะสมยาเติมพลัง แต่การโจมตีจะเปลี่ยนเป็นใช้กระทะหวด ทำดาเมจได้ปานกลางและช้า ซึ่งผู้เล่นต้องเลือกเอาเองว่า อุปสรรคแบบไหนที่เราอยากจะรับมือด้วย ผ่านการเลือกตัวละครเหล่านี้
และไม่ใช่ว่าทุกตัวละครจะไม่มีข้อเสีย และเลือกมั่ว ๆ อย่างที่ต้องการได้ เกมยังมีระบบ Traits หรือระบบลักษณะนิสัย แต่ในบริบทของเกมนี้แล้ว มันเป็นเหมือนกับบัฟ หรือดีบัฟมากกว่า ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ดี แม้ว่าสเตตัสของตัวละครบางตัวจะดูดีแค่ไหน แต่ถ้า Traits แย่ขึ้นมา แล้วไม่อ่านให้ดีล่ะก็ บอกเลยว่าการเล่นรอบนั้นจะยากเสียจนคุณอยากจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนที่กลับหัว อาวุธกลายเป็นไม้บิลบอร์ดแห่งความสงบสุข ตีแล้วไม่มีดาเมจเลย หรือตัวละครเรากลายเป็นไซส์เล็กจิ๋วแทน ก็มี ดังนั้นข้อควรระวังของเกมนี้เลยคือ อย่ามองแค่สกิลและความสามารถของคลาสนั้น ๆ แต่ให้ดู Traits ของตัวละครตัวนั้นด้วย
เมื่อเราพลาดท่าตายในแต่ละรอบ สิ่งที่เราจะนำกลับมาได้หลังเกิดใหม่คือ จำนวน Gold หรือเงินที่เราต่อสู้ได้มา เงินจะใช้ในการอัปเกรดปราสาท เพื่อเพิ่มสเตตัส และปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ อย่างที่เราได้กล่าวไป นอกจากนั้นยังใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่ทำให้เราตีได้แรงขึ้น หนาขึ้น แบกรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีกด้วย
ด้วยความที่มันเป็นเกม Roguelite ที่ยังไงเราก็ต้องตาย ความสนุกโดยเฉพาะของเกมนี้เลยก็คือ การที่เราจะต้องวนมาเจอกับศัตรู (หรือบอส) หน้าเดิม ๆ และทำยังไงก็ตามให้เราโดนโจมตีน้อยที่สุด สำหรับเกมนี้แล้ว จะมีความเป็น Dark Souls อยู่ที่ ยาน้อยมาก ถ้าโชคไม่ดีจริง ๆ ในการเล่นแต่ละรอบ เราแทบจะไม่เจอยาเลยก็มี ดังนั้นทุกดาเมจ ทุกความเสียหายที่ตัวละครเราได้รับมา อาจจะหมายถึงระยะทางการไปต่อที่สั้นลง เพราะยิ่งโดนตีมาก ก็ยิ่งเสี่ยงตายมากขึ้น ตายบ่อย ๆ อาจจะเก่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าตายเร็ว อะไรหลายอย่างอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ที่ต้องชื่นชมอีกอย่าง คือการออกแบบฉาก และด่านการเล่นของตัวเกม ที่ผสมผสานอุปสรรคประเภทศัตรูและพวกกับดักต่าง ๆ ออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้น ที่เราจะต้องคอยรับมือมันให้ดี แต่พวกกับดัก อุปสรรคฝังด่านต่าง ๆ ถ้าไม่ระวังให้ดี มันก็จะทำให้คุณเสียพลังชีวิตได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นเลยก็มี ทำให้มันเป็นเกม Roguelite ที่ท้าทายและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในเวลาเดียวกัน
ส่วนเรื่องของ Performance ตัวเกม ด้วยกราฟิกแบบการ์ตูนเบาสบายแบบ 2D แบบนี้ ก็ไม่ค่อยจะกินสเปคมากสักเท่าไรนัก เพราะแค่แรม 8 GB กับการ์ดจอซีรีส์ 6xx สำหรับ Nvidia หรือ AMD R9 ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมนี้แล้ว เบาเครื่องเป็นอย่างมาก และด้านการปรับแต่งตัวเกมก็มีความละเอียดไม่แพ้เกมอื่น ๆ แต่จะครอบคลุมในส่วนของความเป็นเกมฟอร์มเล็กเท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการปรับแต่งรายละเอียดให้เยอะอะไรขนาดนั้น
กล่าวได้ว่า ในขณะที่เกมใหญ่ ๆ หลายเกมออกมาล้มระเนระนาด เกมอินดี้แสนพิถีพิถัน ก็ยังคงมีให้เห็น เหมือนดั่งเช่น Rogue Legacy 2 และเป็นอีกเกมที่ตัวเกมเลือกที่จะหยิบเอาแนว Roguelite มาปรุงแต่งให้เกิดรสชาติเกมที่กลมกล่อม สนุก และอาจผลาญเวลาไปกับมันได้เป็น้รอยชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าคุณชอบการนำเสนอของมัน
เกมเพลย์แบบน้อยแต่มาก เข้าใจง่ายแต่ลึกล้ำ
ระบบเกมลึกซึ้ง เล่นซ้ำได้ไม่รู้จบ
กราฟิคการ์ตูนสบายคอม
เนื้อเรื่องแบบมีก็ได้ไม่มีก็ได้
ต้องพึ่งโชคประมาณหนึ่ง
หากคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ชอบที่จะได้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มเหลว ชอบที่เราจะเติบโตขึ้นทุก ๆ ครั้งจากความผิดพลาด แนวเกมที่คุณน่าจะชื่นชอบก็คงเป็นพวกแนว Roguelite และในปี 2022 นี้ แม้ว่าจะมีเกม Roguelite จำนวนมาก ออกใหม่มาให้เราได้เล่นกัน แต่มีอยู่ 1 เกม ที่อัปเดตเป็นตัวเกมเวอร์ชั่นเต็ม และอัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์และความสนุกในแบบที่แฟนเกม Roguelite ไม่ควรพลาด และวันนี้เราจะหยิบเกมนี้มารีวิวให้ได้ดูกันกับ Rogue Legacy 2
การผจญภัยของตระกูลอัศวินผู้ปราบปีศาจ
ต้องบอกว่าใครที่คิดว่าเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ เข้าใจได้สบาย ๆ ก็คงต้องบอกว่าคิดผิด เพราะแม้ตัวผู้เขียนเองจะเล่นไปหลายสิบชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่อาจคาดได้ถึงปูมหลัง เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมได้เลย และแม้กระทั่งในเว็บไซต์สนทนากันของเหล่าเกมเมอร์อย่าง Reddit ก็ยังเผยว่า การจะเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมนี้ ต้องอาศัยการเล่นซ้ำเป็นจำนวนมาก และบางคนแม้จะ New Game+ ไปหลายรอบ แต่ก็ยังมีข้อมูล และเนื้อหาในเกมที่ยังเปิดเผยได้ไม่ครบ และแน่นอนว่าเนื้อหา อาจไม่ใช่แก่นหลักความสนุกของเกมนี้ด้วย แต่เราไม่ได้บอกว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี แค่ถ้าหากว่าคุณอยากเข้าใจเรื่องราวของโลกในเกมนี้ให้ได้มากที่สุด คุณอาจจะต้องเล่นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องที่หลายคนชอบสักเท่าไรนัก
แต่หากจะเอาคร่าว ๆ มันก็คือเรื่องราวของอัศซินตระกูลหนึ่งที่สืบเชื้อชาติในการต่อสู้ บุกโจมตีปราสาทที่ถูกจอมมารรร้ายเข้าไปสิงสู่อยู่ และวงศ์ตระกูลของเราก็สืบทอดการเป็นนักรบเรื่อยมา แถมยังแตกแขนงออกเป็นคลาสต่าง ๆ ซึ่งจะไปโยงกับระบบเกมเพลย์ที่เรากำลังจะอธิบายกันต่อไป แต่กล่าวได้ว่า Rogue Legacy 2 นั้น มีเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อน ไม่แพ้พวกเกมซีรีส์โซลเลยด้วยซ้ำไป
ตระกูลฉันเป็นยอดนักสู้ แถมหลากหลายความสามารถ
ในเกมนี้เราจะได้รับบทเป็น "สมาชิกตระกูล" ตระกูลหนึ่ง ที่สืบทอดจิตวิญญาณด้านนักสู้เสมอมาทุกรุ่น ๆ และนำเสนอในรูปแบบ Roguelite หากคุณนึกภาพไม่ออก เมื่อเริ่มเกมมา คุณจะเริ่มต้นด้วยตัวละครตัวหนึ่ง และเมื่อนำตัวละครนั้นไปเล่นตะลุยด่านจนตาย คุณจะได้เลือกตัวละครใหม่ ที่เป็นเหมือนกับลูกหลานของตัวละครตัวก่อนหน้ามาเล่นแทน ซึ่งนี่เป็นไอเดียการนำเสนอที่ถือว่ามีสีสันมาก แต่เกม Rogue Legacy ก็ใช้วิธีนี้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และในภาคนี้ก็ยังคงเสน่ห์การนำเสนอแบบนี้ไว้
และไม่ใช่แค่เริ่มตระกูลมาแล้วเราจะเป็นนักรบอย่างเดียว เมื่อเราเล่นไปเรื่อย ๆ เราจะปลดล็อคคลาสต่าง ๆ ได้จากการอัปเกรดปราสาทหลัก ซึ่งจะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเรา มีสายอาชีพใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้อาวุธใหม่ สกิลใหม่ได้อีกด้วย ทำให้ตระกูลของเรามีความหลากหลาย ซึ่งนั่นก็หมายถึงคลาสในเกมที่จะมีเยอะขึ้นจากเริ่มต้นเป็นแค่นักรบ ก็อาจจะมีตั้งแต่จอมเวท นักธนู พ่อครัว คนเถื่อน วัลคิรี่ และอื่น ๆ อีกมาก แถมแต่ละคลาส หากเราหยิบคลาสนั้นมาเล่นบ่อย ๆ ก็จะเป็นการเก็บเลเวลให้กับคลาสนั้น ให้มีพลังที่มากขึ้นอีกด้วย
ตัวเกมมีการนำเสนอเกมเพลย์แบบ Roguelite สิ่งที่คุณต้องเจออย่างแน่นอนในเกมนี้ก็คือความตาย คุณไม่มีทางที่จะจบเกมนี้ได้ด้วยการเล่นไม่กี่รอบ การตายจึงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการเรียนรู้ และทำให้เราเชี่ยวชาญการเล่นมากขึ้น แต่สังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่ม เราใช้คำว่า Roguelite ไม่ใช่ Roguelike นั่นเพราะเกมนี้ ทุก ๆ ความตายของเรา จะทำให้เราเก่งขึ้น ทั้งฝีมือของผู้เล่นจากการเรียนรู้ และจากระบบของตัวเกมเอง
เกมเพลย์เข้าใจง่าย ตายเพื่ออัปเกรด ตายเพื่อให้ลูกหลานแข็งแกร่งขึ้น
เกมเพลย์ของ Rogue Legacy 2 เป็นแบบ 2D Side Scrolling กราฟิกแบบการ์ตูน เบาสบาย เข้าถึงได้ง่าย แต่ที่จะยากจริง ๆ คือระบบของเกมเพลย์ อย่างที่บอกไปว่ามันคือ Roguelite ที่ถ้าหากว่าเราอยากเก่งขึ้น ความตายจะเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ แต่ก่อนที่เราจะตายนั้น เราจะได้ผจญภัย ต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่าง ๆ และความเป็น Roguelite จะทำให้พื้นที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบสุ่ม ในการเล่นทุกรอบนั้นจะไม่เหมือนกัน เราอาจจะเจอพื้นที่ใหม่ โซนใหม่ที่แตกต่างกันออกไปในการเล่นแต่ละรอบ
เราอาจจะวิ่งไปเจอกล่องสมบัติ ที่อาจจะเป็นแบบแปลนอาวุธ ชุดเกราะ ที่เราสามารถซื้อมาใส่เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวละครได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ระบบการอัปเกรดในเกมนี้ จะอยู่ที่การอัปเกรดปราสาท เพราะเจ้าปราสาทนี่แหละ ที่จะเป็น Core Upgrade ทั้งหมดในเกม ตั้งแต่ปลดล็อคอาชีพภายในเกม ไปจนถึง NPC สายช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จะปรากฎตัวออกมา หลังจากเราปลดล็อคปราสาทไปแล้ว NPC เหล่านี้จะมีหน้าที่อัปเกรดอาวุธ อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งการล็อคฉากในการเล่นรอบต่อไปให้เป็นเหมือนเดิม สำหรับคนที่รู้สึกว่า ฉากและแผนที่รอบนั้น น่าสนใจพอจะสำรวจเพิ่ม เราจะได้ไม่ต้องสุ่มแผนที่ใหม่ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วย
การอัปเกรดปราสาท จะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา สามารถปลดล็อคอาชีพใหม่ ๆ ได้ โดยในการเล่นเกมแต่ละรอบ ระบบจะสุ่มลูกหลานออกมา 3 คน (หรือก็คือ 3 ตัวละคร) เช่นช่วงแรก เราอาจจะได้เป็นแค่ Warrior แต่เมื่ออัปเกรดเพิ่ม อาจจะเปลี่ยนไปเป็นนักธนู นักเวท มือสังหาร พ่อครัว และแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย มีสกิลติดตัวที่แตกต่างกันออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น มือสังหาร ที่โจมตีได้รวดเร็ว มีโอกาสติดคริติคอลสูงมาก แต่ก็จะบอบบางมาก หรือพ่อครัว ที่มีความสามารถในการเก็บสะสมยาเติมพลัง แต่การโจมตีจะเปลี่ยนเป็นใช้กระทะหวด ทำดาเมจได้ปานกลางและช้า ซึ่งผู้เล่นต้องเลือกเอาเองว่า อุปสรรคแบบไหนที่เราอยากจะรับมือด้วย ผ่านการเลือกตัวละครเหล่านี้
และไม่ใช่ว่าทุกตัวละครจะไม่มีข้อเสีย และเลือกมั่ว ๆ อย่างที่ต้องการได้ เกมยังมีระบบ Traits หรือระบบลักษณะนิสัย แต่ในบริบทของเกมนี้แล้ว มันเป็นเหมือนกับบัฟ หรือดีบัฟมากกว่า ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ดี แม้ว่าสเตตัสของตัวละครบางตัวจะดูดีแค่ไหน แต่ถ้า Traits แย่ขึ้นมา แล้วไม่อ่านให้ดีล่ะก็ บอกเลยว่าการเล่นรอบนั้นจะยากเสียจนคุณอยากจะฆ่าตัวตายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนที่กลับหัว อาวุธกลายเป็นไม้บิลบอร์ดแห่งความสงบสุข ตีแล้วไม่มีดาเมจเลย หรือตัวละครเรากลายเป็นไซส์เล็กจิ๋วแทน ก็มี ดังนั้นข้อควรระวังของเกมนี้เลยคือ อย่ามองแค่สกิลและความสามารถของคลาสนั้น ๆ แต่ให้ดู Traits ของตัวละครตัวนั้นด้วย
เมื่อเราพลาดท่าตายในแต่ละรอบ สิ่งที่เราจะนำกลับมาได้หลังเกิดใหม่คือ จำนวน Gold หรือเงินที่เราต่อสู้ได้มา เงินจะใช้ในการอัปเกรดปราสาท เพื่อเพิ่มสเตตัส และปลดล็อคคลาสใหม่ ๆ อย่างที่เราได้กล่าวไป นอกจากนั้นยังใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่ทำให้เราตีได้แรงขึ้น หนาขึ้น แบกรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีกด้วย
ด้วยความที่มันเป็นเกม Roguelite ที่ยังไงเราก็ต้องตาย ความสนุกโดยเฉพาะของเกมนี้เลยก็คือ การที่เราจะต้องวนมาเจอกับศัตรู (หรือบอส) หน้าเดิม ๆ และทำยังไงก็ตามให้เราโดนโจมตีน้อยที่สุด สำหรับเกมนี้แล้ว จะมีความเป็น Dark Souls อยู่ที่ ยาน้อยมาก ถ้าโชคไม่ดีจริง ๆ ในการเล่นแต่ละรอบ เราแทบจะไม่เจอยาเลยก็มี ดังนั้นทุกดาเมจ ทุกความเสียหายที่ตัวละครเราได้รับมา อาจจะหมายถึงระยะทางการไปต่อที่สั้นลง เพราะยิ่งโดนตีมาก ก็ยิ่งเสี่ยงตายมากขึ้น ตายบ่อย ๆ อาจจะเก่งขึ้นก็จริง แต่ถ้าตายเร็ว อะไรหลายอย่างอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ที่ต้องชื่นชมอีกอย่าง คือการออกแบบฉาก และด่านการเล่นของตัวเกม ที่ผสมผสานอุปสรรคประเภทศัตรูและพวกกับดักต่าง ๆ ออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่ใช่แค่ศัตรูเท่านั้น ที่เราจะต้องคอยรับมือมันให้ดี แต่พวกกับดัก อุปสรรคฝังด่านต่าง ๆ ถ้าไม่ระวังให้ดี มันก็จะทำให้คุณเสียพลังชีวิตได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นเลยก็มี ทำให้มันเป็นเกม Roguelite ที่ท้าทายและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในเวลาเดียวกัน
ส่วนเรื่องของ Performance ตัวเกม ด้วยกราฟิกแบบการ์ตูนเบาสบายแบบ 2D แบบนี้ ก็ไม่ค่อยจะกินสเปคมากสักเท่าไรนัก เพราะแค่แรม 8 GB กับการ์ดจอซีรีส์ 6xx สำหรับ Nvidia หรือ AMD R9 ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมนี้แล้ว เบาเครื่องเป็นอย่างมาก และด้านการปรับแต่งตัวเกมก็มีความละเอียดไม่แพ้เกมอื่น ๆ แต่จะครอบคลุมในส่วนของความเป็นเกมฟอร์มเล็กเท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการปรับแต่งรายละเอียดให้เยอะอะไรขนาดนั้น
กล่าวได้ว่า ในขณะที่เกมใหญ่ ๆ หลายเกมออกมาล้มระเนระนาด เกมอินดี้แสนพิถีพิถัน ก็ยังคงมีให้เห็น เหมือนดั่งเช่น Rogue Legacy 2 และเป็นอีกเกมที่ตัวเกมเลือกที่จะหยิบเอาแนว Roguelite มาปรุงแต่งให้เกิดรสชาติเกมที่กลมกล่อม สนุก และอาจผลาญเวลาไปกับมันได้เป็น้รอยชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าคุณชอบการนำเสนอของมัน