GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม Ghostwire: Tokyo ปราบผีทั่วชิบูย่าด้วยกราฟิกล้ำยุค แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มีอะไรใหม่?
ลงวันที่ 21/03/2022

หลังจากสร้างความสยองขวัญเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนสำหรับซีรีส์เกม The Evil Within จากทางผู้พัฒนา Tango GameWorks ก่อตั้งโดยบิดาผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกม Resident Evil อย่างคุณ Shinji Mikami และในปี 2022 พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งกับเกมใหม่ Ghostwire: Tokyo ที่เกมนี้ได้เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมาก เพราะตัวเกมมีธีมที่แตกต่างไปจากเดิมที่เราจะได้เผชิญหน้าฟาดฟันกับเหล่าภูติผีปีศาจของประเทศญี่ปุ่นด้วยพลังวิเศษต่างๆ ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้มีโอกาสเล่นเกมนี้จนจบและจะมารีวิวเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา ว่าตัวเกมจะยอดเยี่ยมและสร้างความสยองขวัญและความสนุกเหมือนกับเกมก่อนหน้าที่เคยสร้างหรือไม่ ?

กราฟิกและการนำเสนอ

ในด้านภาพของเกมนี้ Ghostwire: Tokyo ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ในการพัฒนามาเป็น Unreal Engine 4 แน่นอนว่าเราสามารถการันตรีได้ถึงความสวยงานในด้านของฉากต่างๆ โดยตัวเกมนั้นได้ทำการจำลองย่านชิบูย่าของเมืองโตเกียวออกมาได้สมจริงมากๆ ทั้งแลนด์มาร์คต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ผิดเพี๊ยนอย่างเช่น 5 แยกชิบูย่าหรือสถานที่ดังอื่นๆ ในย่านนี้ ให้คุณได้เดินเล่นอย่างอิสระใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมานานเกมนี้ก็น่าจะทำให้คุณหายคิดถึงประมาณหนึ่ง ในด้านของเอฟเฟกต์สกิลต่างๆ ก็ใส่รายละเอียดมาแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ฉากแสงเงาต่างๆ ที่สวยงามให้ความรู้สึกถึงความเป็นเกม Next Gen ในระดับหนึ่ง


และถึงแม้โลกนี้จะมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่หนักมากๆ แต่กลิ่นอายของเกมก็จะยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Tango GameWorks อยู่อย่างเช่นบรรยากาศความเป็น Psychological คล้ายๆ กับเกม The Evil Within บรรยากาศชวนขนลุกด้วยโลกหรือห้องที่บิดเบี้ยวไปมา บรรยากาศเสียงอันน่าขนลุก ความหลอนของสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นที่มีให้เห็นตลอดทั้งเกม


โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมมีตัวเลือกด้านภาพให้เล่นสองแบบคือ Quality Mode ที่จะเน้นภาพสวยแต่รันเฟรมเรทที่ 30 FPS กับอีกโหมดคือ Performance ที่ภาพจะดรอปลงมาหน่อยแต่จะรันเฟรมเรทได้ที่ 60 FPS ซึ่งตัวภาพก็ค่อนข้างต่างกันอยู่แต่ก็ไม่มาก (ส่วนตัวเลยเลือกที่จะเล่นแบบ Performance แทนเพื่อความลื่นไหล)

และสิ่งที่น่ากังวลมากๆ ก็คือถึงแม้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่งโลกเปิด ให้เราได้สำรวจย่านชิบูย่าทุกซอกทุกมุม แต่ภายในการทำเกือบๆ ทุกภารกิจ (ทั้งหลัก ทั้งเสริม) ตัวเกมก็จะบังคับให้เราเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เช่นบ้านคน หรือโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่เราจะต้องโหลดฉากใหม่เพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งคนที่เล่นเกมบนเครื่อง Console เจนใหม่หรือเครื่อง PC ที่มี SSD ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร (ตัวเกมแนะนำให้ใช้ SSD ในการเล่นเกมนี้อยู่แล้ว) ซึ่งการโหลดฉากหนึ่งใช้เวลาราวๆ 1-2 วินาทีเท่านั้น แต่เครื่อง Console เจนเก่าอย่าง PS4 และ Xbox One ตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่งผลต่อการเล่นไหมถ้าหากคุณจะต้องโหลดฉากที่นานขึ้นกว่าเดิม


เนื้อเรื่อง

โดยเรื่องราวของเกมจะพูดถึงเมืองชิบูย่าที่อยู่ดีๆ ก็โดนเหล่าวิญญานที่ถูกควบคุมโดยเหล่าคนสวมหน้ากากเข้าโจมตีจนคนในเมืองหายไปหมด ซึ่งเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Akito ที่ในระหว่างการบุกเมือง เขานั้นบังเอิญถูกวิญญานนักสืบสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง KK เข้าสิงทำให้เขานั้นมีพลังวิเศษในการต่อสู้กับเหล่าผีสางพวกนั้น รวมถึงเหล่าชายสวมหน้ากากก็ได้ลักพาตัวน้องสาวของเขาไป และเขานั้นก็จะต้องตามช่วยเหลือเธอให้ได้


ซึ่งการดำเนินเรื่องตัวเกมจะไม่ได้ดำเนินเรื่องราวอะไรให้เรารู้มาตั้งแต่แรก แต่ตัวเกมจะค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง ตัวเกมจะเล่าทั้งเรื่องราวทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ กลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของตัวเอกและน้องสาวที่มีปัญหากัน บวกกับการค่อยๆ เปิดจุดประสงค์ของศัตรู แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างอ่อนพอสมควร เพราะตัวเกมมีเรื่องราวหลายประเด็นให้เราบวกกับเวลาในการเล่าเรื่องที่น้อยเพียงแค่ 15 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับเกมที่มีความเป็นกึ่ง Open World ทำให้หลายๆ อย่างทางผู้พัฒนาดันเล่าห้วนๆ และบางเบา อย่างเช่นเรื่องราวของกลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ถ้าหากเราอยากรู้จักพวกเขาดีพอเราอาจจะต้องไปเล่นเกมแยกอย่าง Ghostwire: Tokyo - Prelude เสียก่อน ถึงจะรู้สึกอินกับเหล่าตัวละครพวกนี้มากขึ้น

เรื่องราวของพระเอกและน้องสาวที่เปิดตัวมาได้น่าสนใจบางอย่างก็เล่ามาเป็นเพียงแค่คำพูด ถึงแม้ว่าจะไปเน้นอธิบายในตอนสุดท้ายแต่มันก็ยังไม่มากพอ และประเด็นสุดท้ายที่รับไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องราวของเหล่าตัวร้ายที่พล็อตมันค่อนข้างโบราณและขาดมิติเอามากๆ (แต่ไม่ขอสปอยส์นะว่าเป็นเรื่องอะไร) หรือเรื่องราวหักมุมก็ไม่มีเลย


เกมเพลย์

ในเกม Ghostwire: Tokyo อาวุธที่เราได้ใช่ต่อสู้นั้นก็คือพลังความสามารถที่จะแบ่งเป็นธาตุต่างๆ ซึ่งจะมีความสามารถและจุดเด่นที่ต่างกันเช่นพลังลมจะเป็นการโจมตีเดี่ยวที่รวดเร็ว พลังธาตุน้ำจะโจมตีได้กว้างกว่าสามารถทำลายการป้องกันของศัตรูได้ หรือพลังธาตุไฟที่จะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงแต่กระสุนน้อย รวมถึงพลังเหล่านี้เรายังสามารถกดโจมตีค้างเพื่อชาร์จพลังโจมตีให้รุนแรงขึ้นด้วยเช่นพลังธาตุลมจะโจมตีได้หลายตีพร้อมกัน พลังน้ำจะทำให้สกิลแรงขึ้นและทำลายป้องกันได้ หรือพลังไฟจะระเบิดเป็นวงกว้างและรุนแรง


นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีอาวุธอย่างอื่นเช่นธนู หรือยันต์อาคมที่จะมีลูกเล่นให้เอาไว้ต่อสู้กับศัตรูอย่างเช่นยันต์ Decoil ที่จะดึงดูดศัตรูให้เราสามารถลอบเร้นและจัดการศัตรูด้านหลังได้ ยันต์ระเบิดไฟเอาไว้โจมตี หรือยันต์ไฟฟ้าเอาไว้สตั๊นศัตรู


นอกจากนี้เวลาฆ่าศัตรูได้เราจะสามารถใช้พลังในการดูดวิญญานศัตรู ซึ่งนอกจากการประหยัดกระสุนพลังแล้วนั้น มันจะช่วยให้เรานั้นได้เลือดเพิ่มจากการต่อสู้จำนวนหนึ่ง และมันก็ทำให้เรามีความรู้สึกเป็นนักปราบผีสุดเท่ได้ดีทีเดียว


ในด้านของเควสนอกจากเควสหลักแล้วนั้นตัวเกมก็จะมีเควสเสริมให้เราได้ทำมากมาย ซึ่งในภารกิจไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือเหล่าวิญญานหรือเหล่าโยไคต่างๆ เช่นการหาสิ่งเร้นลับในบ้าน การตามหาวิญญานคนรักเป็นต้น โดยทำเสร็จคุณก็จะได้ EXP เงินรวมถึงของที่เอาไว้ใช้อัพเกรดสกิลเป็นการตอบแทน


โดยตามเนื้อเรื่องภายในพื้นที่ย่านชิบูย่าจะเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ถ้าหากคุณเข้าไปก็อาจจะตายได้ ซึ่งเราจะต้องทำการไปเคลียร์ศาลเจ้าที่รอบๆ จะมีเหล่าศัตรูยืนอยู่ ซึ่งถ้าหากเคลียร์ศาลเจ้าได้สำเร็จตัวหมอกในบริเวณรอบๆ ก็จะหายไป รวมถึงยังมีการเปิดจุดเควสรองใหม่ๆ หรือตำแหน่งร้านค้าต่างๆ ได้ นอกจากนี้ภายในศาลเจ้ายังมีไอเท็มสวมใส่พิเศษอย่างกำไลประคำที่จะเพิ่มสเตตัสความสามารถให้เราได้เช่นเพิ่มดาเมจอาวุธธนูมากขึ้น 40% เพิ่มพลังโจมตีธาตุต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเลือกใช้ตามสไตล์อาวุธของคุณได้


ในด้านของการอัปสกิลถ้าหากคุณเก็บ Exp จนเลเวลอัพเมื่อไร คุณก็จะได้แต้มสกิลจำนวน 10 แต้มมาใช้อัพ โดยการเก็บ Exp ก็จะได้จากการทำเควสหลัก เควสรอง การฆ่าศัตรูตามแผนที่ หรือแม้แต่การเก็บวิญญานที่อยู่ตามถนน ซึ่งการอัพสกิลก็จะมีหลากหลายสายให้เลือกทั้งการอัพสกิลเน้นธาตุต่างๆ หรืออัพความสามารถของธนูเช่นเพิ่มจำนวนลูกดอก หรือความสามารถในการใช้พลังอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถไล่ทำเควสรอง หรือเดินหาเก็บ Exp ไปเรื่อยๆ คุณก็จะสามารถอัพสกิลพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสายเน้นแต่เนื้อเรื่องหลักคุณก็อาจจะต้องเลือกว่าจะเล่นสายไหน


แต่จากที่ได้ลองสัมผัสมา ต้องยอมรับว่าด้วยอาวุธที่มีให้เล่นแค่นี้ตลอดทั้งเกม มันอาจจะยังไม่สามารถสร้างสีสันได้เพียงพอ เพราะถึงแม้ว่า Ghostwire: Tokyo จะมีธีมการใช้วิชาพลังต่างๆ ในการปราบผี ต่างจากเกม The Evil Within ที่จะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกึ่งซอมบี้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมการเล่นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร ถ้าให้เปรียบเทียบพลังต่างๆ ที่เราได้ใช้ เอาจริงๆ ความรู้สึกมันก็มีความคล้ายคลึงกับอาวุธปืนต่างๆ ไม่มีผิด พลังลมเหมือนปืนพกยิงทีละนัดแต่กระสุนเยอะ พลังน้ำเหมือนลูกซองที่เบาหน่อย ส่วนพลังไฟเหมือนปืนระเบิด ซึ่งมันกลับไม่ได้ช่วยสร้างความหวือหวาให้กับเราเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเราจะอัพสกิลสายนั้นให้เลเวลสูงขึ้น มันก็ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ใดๆ เลยนอกจากความกว้างในการโจมตี หรือความแรงแค่นั้น

และการที่ตัวเกมมีมุมมองแบบ First Person ส่วนตัวมองว่ามันทำให้เกมมีข้อจำกัดเยอะมากๆ เพราะศัตรูแต่ละตัวที่เราเจอก็จะมีท่าทางโจมตีต่างๆ ที่หลากหลาย แต่การป้องกันศัตรูของเราทำได้แค่ Block การโจมตีเท่านั้น ไม่มีการ Dash หรือหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยวิธีอื่นๆ เลย แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอันตรายมากขึ้น เพราะความสามารถของตัวเอกที่ไม่ได้เยอะ แถมเวลาถูกโจมตีแต่ละครั้งก็เกือบตาย แต่ด้วยองค์ประกอบความเป็นแอ็คชันที่มากขึ้น แต่ความโลดโผนให้เล่นที่น้อยไปหน่อย ความสามารถสกิลที่มีลูกเล่นไม่เยอะ เล่นไปสักพักก็รู้สึกจำเจแล้ว


ส่วนเรื่องของศัตรูที่พบเจอจริงๆ ภายในเกมเราก็ได้ต่อสู้กับศัตรูหลากหลายแบบ และมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ขัดใจก็คือดีไซน์ตัวละครที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเลย ทุกตัวเหมือนเป็นผีพนักงานออฟฟิศเกือบทั้งหมด โอเคมันก็จะมีผีมินิบอสบางตัวที่อาจจะดีไซน์แตกต่างและน่าสนใจ แต่มันก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น และบอสภายในเกมที่ถึงแม้ว่าจะดีไซน์ออกมาน่าสนใจ แต่ความหลากหลายในการต่อสู้ก็กลับไม่ได้แตกต่างและมีธีมที่คล้ายๆ กันเกือบทั้งหมด คือการใช้พลังโจมตียัดใส่ศัตรูให้ตายๆ ไป รวมถึงทรัพยากรที่มีให้เก็บก็เยอะมากด้วยโดยไม่ต้องพะวงเรื่องกระสุนจะหมดเลย จากที่เล่นมาเหมือนจะเห็นแค่บอสตัวเดียวที่เราจะต้องลอบเร้นและโจมตีศัตรูตัวนี้จากข้างหลังเท่านั้นที่รู้สึกน่าสนใจ


สรุป

ในด้านของเนื้อเรื่องที่มีเวลาในการเล่าน้อยมากทำให้เรารู้สึกไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของมันเสียเท่าไร สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็น่าจะเล่าเรื่องราวมากเพียงพอแล้ว แต่ตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็นกึ่ง Open World ที่บางครั้งเนื้อเรื่องก็จะหยุดชะงักเพราะเราจะต้องเดินทางไปปลดศาลเจ้าต่างๆ เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไปต่อได้ หรือบางทีเราจะต้องเจอกับการทำเควสหาของต่างๆ ที่มันไม่ได้มีอิมแพคกับเนื้อเรื่องขนาดนั้นเยอะ


จริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยมีปัญหากับเนื้อเรื่องถ้าหากว่าเกมเพลย์ทำออกมาได้ดี แต่ Ghostwire: Tokyo ต่อให้มันจะมีธีมที่น่าสนใจ กับการไล่ล่าปราบผีไปทั่วเมือง พร้อมทั้งยังสามารถใช้พลังวิเศษต่างๆ หรือเครื่องรางในการต่อสู้ แต่พอเกมเพลย์ออกมาจริงๆ เรากลับไม่ได้เห็นอะไรที่รู้สึกใหม่ในการเล่นเลย พลังต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีให้เราเลือกเล่นหลายแบบ แต่ดีไซน์ของพลังกลับไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไรนักทำให้เวลาเล่นรู้สึกจำเจไปจนจบเกม ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากให้เกมมีลูกเล่นมากกว่านี้อย่างเช่นการ Dash อาวุธพวกดาบ หรือพลังพิเศษที่สามารถเปลี่ยนดีไซน์และสไตล์ของพลังชนิดนั้นได้ ซึ่งมันก็ได้แต่คิดนะครับเพราะภายในเกมไม่มีเลย


แต่ถามว่าโดยรวม Ghostwire: Tokyo มันเป็นเกมที่สนุกไหม เอาจริงๆ มันก็เป็นเกมที่ไม่ได้แย่ครับ ในระยะเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็เป็นประสบการณ์ที่กำลังพอเหมาะในการเล่นเกมตัวนี้แล้ว เพราะถ้าหากระยะเวลามันมากไป มันก็อาจจะน่าเบื่อเกินเพราะความจำเจ หรือถ้ามันน้อยไปมันก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องอะไรแล้ว และสิ่งที่อยากจะชมสำหรับเกมนี้ก็คงเป็นเรื่องของงานด้านภาพที่น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนทั้งธีมความเป็นกลิ่นอายญี่ปุ่นสมัยใหม่ การสร้างเมืองย่านชิบูย่าที่ทำออกมาได้สวยงาม (ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก) สำหรับคนที่กำลังคิดถึงประเทศญี่ปุ่นเกมนี้น่าจะทำให้ท่านรู้สึกฟินมิใช่น้อย

7
ข้อดี

กราฟิกสวยทันสมัย ระบบแสงเงาทำได้ดี

ธีมน่าสนใจ มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ผสมผสานกับความเป็น Psychological

ข้อเสีย

เนื้อเรื่องอ่อนมากๆ

เกมเพลย์ไม่ค่อยหลากหลาย เล่นสักพักก็รู้สึกจำเจ

7
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม Ghostwire: Tokyo ปราบผีทั่วชิบูย่าด้วยกราฟิกล้ำยุค แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มีอะไรใหม่?
21/03/2022

หลังจากสร้างความสยองขวัญเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนสำหรับซีรีส์เกม The Evil Within จากทางผู้พัฒนา Tango GameWorks ก่อตั้งโดยบิดาผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์เกม Resident Evil อย่างคุณ Shinji Mikami และในปี 2022 พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งกับเกมใหม่ Ghostwire: Tokyo ที่เกมนี้ได้เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเกมเมอร์อย่างมาก เพราะตัวเกมมีธีมที่แตกต่างไปจากเดิมที่เราจะได้เผชิญหน้าฟาดฟันกับเหล่าภูติผีปีศาจของประเทศญี่ปุ่นด้วยพลังวิเศษต่างๆ ซึ่งทางเรา GameFever TH เองก็ได้มีโอกาสเล่นเกมนี้จนจบและจะมารีวิวเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้สัมผัสมา ว่าตัวเกมจะยอดเยี่ยมและสร้างความสยองขวัญและความสนุกเหมือนกับเกมก่อนหน้าที่เคยสร้างหรือไม่ ?

กราฟิกและการนำเสนอ

ในด้านภาพของเกมนี้ Ghostwire: Tokyo ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ในการพัฒนามาเป็น Unreal Engine 4 แน่นอนว่าเราสามารถการันตรีได้ถึงความสวยงานในด้านของฉากต่างๆ โดยตัวเกมนั้นได้ทำการจำลองย่านชิบูย่าของเมืองโตเกียวออกมาได้สมจริงมากๆ ทั้งแลนด์มาร์คต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ผิดเพี๊ยนอย่างเช่น 5 แยกชิบูย่าหรือสถานที่ดังอื่นๆ ในย่านนี้ ให้คุณได้เดินเล่นอย่างอิสระใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมานานเกมนี้ก็น่าจะทำให้คุณหายคิดถึงประมาณหนึ่ง ในด้านของเอฟเฟกต์สกิลต่างๆ ก็ใส่รายละเอียดมาแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ฉากแสงเงาต่างๆ ที่สวยงามให้ความรู้สึกถึงความเป็นเกม Next Gen ในระดับหนึ่ง


และถึงแม้โลกนี้จะมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่หนักมากๆ แต่กลิ่นอายของเกมก็จะยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Tango GameWorks อยู่อย่างเช่นบรรยากาศความเป็น Psychological คล้ายๆ กับเกม The Evil Within บรรยากาศชวนขนลุกด้วยโลกหรือห้องที่บิดเบี้ยวไปมา บรรยากาศเสียงอันน่าขนลุก ความหลอนของสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นที่มีให้เห็นตลอดทั้งเกม


โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 ตัวเกมมีตัวเลือกด้านภาพให้เล่นสองแบบคือ Quality Mode ที่จะเน้นภาพสวยแต่รันเฟรมเรทที่ 30 FPS กับอีกโหมดคือ Performance ที่ภาพจะดรอปลงมาหน่อยแต่จะรันเฟรมเรทได้ที่ 60 FPS ซึ่งตัวภาพก็ค่อนข้างต่างกันอยู่แต่ก็ไม่มาก (ส่วนตัวเลยเลือกที่จะเล่นแบบ Performance แทนเพื่อความลื่นไหล)

และสิ่งที่น่ากังวลมากๆ ก็คือถึงแม้ตัวเกมจะมีความเป็นกึ่งโลกเปิด ให้เราได้สำรวจย่านชิบูย่าทุกซอกทุกมุม แต่ภายในการทำเกือบๆ ทุกภารกิจ (ทั้งหลัก ทั้งเสริม) ตัวเกมก็จะบังคับให้เราเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ เช่นบ้านคน หรือโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่เราจะต้องโหลดฉากใหม่เพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งคนที่เล่นเกมบนเครื่อง Console เจนใหม่หรือเครื่อง PC ที่มี SSD ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร (ตัวเกมแนะนำให้ใช้ SSD ในการเล่นเกมนี้อยู่แล้ว) ซึ่งการโหลดฉากหนึ่งใช้เวลาราวๆ 1-2 วินาทีเท่านั้น แต่เครื่อง Console เจนเก่าอย่าง PS4 และ Xbox One ตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่งผลต่อการเล่นไหมถ้าหากคุณจะต้องโหลดฉากที่นานขึ้นกว่าเดิม


เนื้อเรื่อง

โดยเรื่องราวของเกมจะพูดถึงเมืองชิบูย่าที่อยู่ดีๆ ก็โดนเหล่าวิญญานที่ถูกควบคุมโดยเหล่าคนสวมหน้ากากเข้าโจมตีจนคนในเมืองหายไปหมด ซึ่งเราจะได้รับบทเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Akito ที่ในระหว่างการบุกเมือง เขานั้นบังเอิญถูกวิญญานนักสืบสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง KK เข้าสิงทำให้เขานั้นมีพลังวิเศษในการต่อสู้กับเหล่าผีสางพวกนั้น รวมถึงเหล่าชายสวมหน้ากากก็ได้ลักพาตัวน้องสาวของเขาไป และเขานั้นก็จะต้องตามช่วยเหลือเธอให้ได้


ซึ่งการดำเนินเรื่องตัวเกมจะไม่ได้ดำเนินเรื่องราวอะไรให้เรารู้มาตั้งแต่แรก แต่ตัวเกมจะค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง ตัวเกมจะเล่าทั้งเรื่องราวทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ กลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของตัวเอกและน้องสาวที่มีปัญหากัน บวกกับการค่อยๆ เปิดจุดประสงค์ของศัตรู แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าในด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างอ่อนพอสมควร เพราะตัวเกมมีเรื่องราวหลายประเด็นให้เราบวกกับเวลาในการเล่าเรื่องที่น้อยเพียงแค่ 15 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับเกมที่มีความเป็นกึ่ง Open World ทำให้หลายๆ อย่างทางผู้พัฒนาดันเล่าห้วนๆ และบางเบา อย่างเช่นเรื่องราวของกลุ่มสืบสวนสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ถ้าหากเราอยากรู้จักพวกเขาดีพอเราอาจจะต้องไปเล่นเกมแยกอย่าง Ghostwire: Tokyo - Prelude เสียก่อน ถึงจะรู้สึกอินกับเหล่าตัวละครพวกนี้มากขึ้น

เรื่องราวของพระเอกและน้องสาวที่เปิดตัวมาได้น่าสนใจบางอย่างก็เล่ามาเป็นเพียงแค่คำพูด ถึงแม้ว่าจะไปเน้นอธิบายในตอนสุดท้ายแต่มันก็ยังไม่มากพอ และประเด็นสุดท้ายที่รับไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องราวของเหล่าตัวร้ายที่พล็อตมันค่อนข้างโบราณและขาดมิติเอามากๆ (แต่ไม่ขอสปอยส์นะว่าเป็นเรื่องอะไร) หรือเรื่องราวหักมุมก็ไม่มีเลย


เกมเพลย์

ในเกม Ghostwire: Tokyo อาวุธที่เราได้ใช่ต่อสู้นั้นก็คือพลังความสามารถที่จะแบ่งเป็นธาตุต่างๆ ซึ่งจะมีความสามารถและจุดเด่นที่ต่างกันเช่นพลังลมจะเป็นการโจมตีเดี่ยวที่รวดเร็ว พลังธาตุน้ำจะโจมตีได้กว้างกว่าสามารถทำลายการป้องกันของศัตรูได้ หรือพลังธาตุไฟที่จะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงแต่กระสุนน้อย รวมถึงพลังเหล่านี้เรายังสามารถกดโจมตีค้างเพื่อชาร์จพลังโจมตีให้รุนแรงขึ้นด้วยเช่นพลังธาตุลมจะโจมตีได้หลายตีพร้อมกัน พลังน้ำจะทำให้สกิลแรงขึ้นและทำลายป้องกันได้ หรือพลังไฟจะระเบิดเป็นวงกว้างและรุนแรง


นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีอาวุธอย่างอื่นเช่นธนู หรือยันต์อาคมที่จะมีลูกเล่นให้เอาไว้ต่อสู้กับศัตรูอย่างเช่นยันต์ Decoil ที่จะดึงดูดศัตรูให้เราสามารถลอบเร้นและจัดการศัตรูด้านหลังได้ ยันต์ระเบิดไฟเอาไว้โจมตี หรือยันต์ไฟฟ้าเอาไว้สตั๊นศัตรู


นอกจากนี้เวลาฆ่าศัตรูได้เราจะสามารถใช้พลังในการดูดวิญญานศัตรู ซึ่งนอกจากการประหยัดกระสุนพลังแล้วนั้น มันจะช่วยให้เรานั้นได้เลือดเพิ่มจากการต่อสู้จำนวนหนึ่ง และมันก็ทำให้เรามีความรู้สึกเป็นนักปราบผีสุดเท่ได้ดีทีเดียว


ในด้านของเควสนอกจากเควสหลักแล้วนั้นตัวเกมก็จะมีเควสเสริมให้เราได้ทำมากมาย ซึ่งในภารกิจไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการช่วยเหลือเหล่าวิญญานหรือเหล่าโยไคต่างๆ เช่นการหาสิ่งเร้นลับในบ้าน การตามหาวิญญานคนรักเป็นต้น โดยทำเสร็จคุณก็จะได้ EXP เงินรวมถึงของที่เอาไว้ใช้อัพเกรดสกิลเป็นการตอบแทน


โดยตามเนื้อเรื่องภายในพื้นที่ย่านชิบูย่าจะเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ถ้าหากคุณเข้าไปก็อาจจะตายได้ ซึ่งเราจะต้องทำการไปเคลียร์ศาลเจ้าที่รอบๆ จะมีเหล่าศัตรูยืนอยู่ ซึ่งถ้าหากเคลียร์ศาลเจ้าได้สำเร็จตัวหมอกในบริเวณรอบๆ ก็จะหายไป รวมถึงยังมีการเปิดจุดเควสรองใหม่ๆ หรือตำแหน่งร้านค้าต่างๆ ได้ นอกจากนี้ภายในศาลเจ้ายังมีไอเท็มสวมใส่พิเศษอย่างกำไลประคำที่จะเพิ่มสเตตัสความสามารถให้เราได้เช่นเพิ่มดาเมจอาวุธธนูมากขึ้น 40% เพิ่มพลังโจมตีธาตุต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเลือกใช้ตามสไตล์อาวุธของคุณได้


ในด้านของการอัปสกิลถ้าหากคุณเก็บ Exp จนเลเวลอัพเมื่อไร คุณก็จะได้แต้มสกิลจำนวน 10 แต้มมาใช้อัพ โดยการเก็บ Exp ก็จะได้จากการทำเควสหลัก เควสรอง การฆ่าศัตรูตามแผนที่ หรือแม้แต่การเก็บวิญญานที่อยู่ตามถนน ซึ่งการอัพสกิลก็จะมีหลากหลายสายให้เลือกทั้งการอัพสกิลเน้นธาตุต่างๆ หรืออัพความสามารถของธนูเช่นเพิ่มจำนวนลูกดอก หรือความสามารถในการใช้พลังอื่นๆ ซึ่งคุณสามารถไล่ทำเควสรอง หรือเดินหาเก็บ Exp ไปเรื่อยๆ คุณก็จะสามารถอัพสกิลพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสายเน้นแต่เนื้อเรื่องหลักคุณก็อาจจะต้องเลือกว่าจะเล่นสายไหน


แต่จากที่ได้ลองสัมผัสมา ต้องยอมรับว่าด้วยอาวุธที่มีให้เล่นแค่นี้ตลอดทั้งเกม มันอาจจะยังไม่สามารถสร้างสีสันได้เพียงพอ เพราะถึงแม้ว่า Ghostwire: Tokyo จะมีธีมการใช้วิชาพลังต่างๆ ในการปราบผี ต่างจากเกม The Evil Within ที่จะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกึ่งซอมบี้ แต่ถึงอย่างนั้นเกมการเล่นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร ถ้าให้เปรียบเทียบพลังต่างๆ ที่เราได้ใช้ เอาจริงๆ ความรู้สึกมันก็มีความคล้ายคลึงกับอาวุธปืนต่างๆ ไม่มีผิด พลังลมเหมือนปืนพกยิงทีละนัดแต่กระสุนเยอะ พลังน้ำเหมือนลูกซองที่เบาหน่อย ส่วนพลังไฟเหมือนปืนระเบิด ซึ่งมันกลับไม่ได้ช่วยสร้างความหวือหวาให้กับเราเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเราจะอัพสกิลสายนั้นให้เลเวลสูงขึ้น มันก็ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ใดๆ เลยนอกจากความกว้างในการโจมตี หรือความแรงแค่นั้น

และการที่ตัวเกมมีมุมมองแบบ First Person ส่วนตัวมองว่ามันทำให้เกมมีข้อจำกัดเยอะมากๆ เพราะศัตรูแต่ละตัวที่เราเจอก็จะมีท่าทางโจมตีต่างๆ ที่หลากหลาย แต่การป้องกันศัตรูของเราทำได้แค่ Block การโจมตีเท่านั้น ไม่มีการ Dash หรือหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยวิธีอื่นๆ เลย แน่นอนว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอันตรายมากขึ้น เพราะความสามารถของตัวเอกที่ไม่ได้เยอะ แถมเวลาถูกโจมตีแต่ละครั้งก็เกือบตาย แต่ด้วยองค์ประกอบความเป็นแอ็คชันที่มากขึ้น แต่ความโลดโผนให้เล่นที่น้อยไปหน่อย ความสามารถสกิลที่มีลูกเล่นไม่เยอะ เล่นไปสักพักก็รู้สึกจำเจแล้ว


ส่วนเรื่องของศัตรูที่พบเจอจริงๆ ภายในเกมเราก็ได้ต่อสู้กับศัตรูหลากหลายแบบ และมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ขัดใจก็คือดีไซน์ตัวละครที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเลย ทุกตัวเหมือนเป็นผีพนักงานออฟฟิศเกือบทั้งหมด โอเคมันก็จะมีผีมินิบอสบางตัวที่อาจจะดีไซน์แตกต่างและน่าสนใจ แต่มันก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น และบอสภายในเกมที่ถึงแม้ว่าจะดีไซน์ออกมาน่าสนใจ แต่ความหลากหลายในการต่อสู้ก็กลับไม่ได้แตกต่างและมีธีมที่คล้ายๆ กันเกือบทั้งหมด คือการใช้พลังโจมตียัดใส่ศัตรูให้ตายๆ ไป รวมถึงทรัพยากรที่มีให้เก็บก็เยอะมากด้วยโดยไม่ต้องพะวงเรื่องกระสุนจะหมดเลย จากที่เล่นมาเหมือนจะเห็นแค่บอสตัวเดียวที่เราจะต้องลอบเร้นและโจมตีศัตรูตัวนี้จากข้างหลังเท่านั้นที่รู้สึกน่าสนใจ


สรุป

ในด้านของเนื้อเรื่องที่มีเวลาในการเล่าน้อยมากทำให้เรารู้สึกไม่ได้อินกับเนื้อเรื่องของมันเสียเท่าไร สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็น่าจะเล่าเรื่องราวมากเพียงพอแล้ว แต่ตัวเกมนี้มีองค์ประกอบความเป็นกึ่ง Open World ที่บางครั้งเนื้อเรื่องก็จะหยุดชะงักเพราะเราจะต้องเดินทางไปปลดศาลเจ้าต่างๆ เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไปต่อได้ หรือบางทีเราจะต้องเจอกับการทำเควสหาของต่างๆ ที่มันไม่ได้มีอิมแพคกับเนื้อเรื่องขนาดนั้นเยอะ


จริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยมีปัญหากับเนื้อเรื่องถ้าหากว่าเกมเพลย์ทำออกมาได้ดี แต่ Ghostwire: Tokyo ต่อให้มันจะมีธีมที่น่าสนใจ กับการไล่ล่าปราบผีไปทั่วเมือง พร้อมทั้งยังสามารถใช้พลังวิเศษต่างๆ หรือเครื่องรางในการต่อสู้ แต่พอเกมเพลย์ออกมาจริงๆ เรากลับไม่ได้เห็นอะไรที่รู้สึกใหม่ในการเล่นเลย พลังต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีให้เราเลือกเล่นหลายแบบ แต่ดีไซน์ของพลังกลับไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไรนักทำให้เวลาเล่นรู้สึกจำเจไปจนจบเกม ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากให้เกมมีลูกเล่นมากกว่านี้อย่างเช่นการ Dash อาวุธพวกดาบ หรือพลังพิเศษที่สามารถเปลี่ยนดีไซน์และสไตล์ของพลังชนิดนั้นได้ ซึ่งมันก็ได้แต่คิดนะครับเพราะภายในเกมไม่มีเลย


แต่ถามว่าโดยรวม Ghostwire: Tokyo มันเป็นเกมที่สนุกไหม เอาจริงๆ มันก็เป็นเกมที่ไม่ได้แย่ครับ ในระยะเวลาราวๆ 15 ชั่วโมงก็เป็นประสบการณ์ที่กำลังพอเหมาะในการเล่นเกมตัวนี้แล้ว เพราะถ้าหากระยะเวลามันมากไป มันก็อาจจะน่าเบื่อเกินเพราะความจำเจ หรือถ้ามันน้อยไปมันก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องอะไรแล้ว และสิ่งที่อยากจะชมสำหรับเกมนี้ก็คงเป็นเรื่องของงานด้านภาพที่น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนทั้งธีมความเป็นกลิ่นอายญี่ปุ่นสมัยใหม่ การสร้างเมืองย่านชิบูย่าที่ทำออกมาได้สวยงาม (ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตชีวามากนัก) สำหรับคนที่กำลังคิดถึงประเทศญี่ปุ่นเกมนี้น่าจะทำให้ท่านรู้สึกฟินมิใช่น้อย


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header