หลังจากที่ Techland ได้ให้กำเนิดเกมซอมบี้สุดแปลกใหม่อย่าง Dead Island ที่มาพร้อมกับความสำเร็จมากมาย ตัวผู้พัฒนาเองก็เลือกที่จะสร้างเกมซีรีส์ใหม่อย่าง Dying Light ที่วางจำหน่ายออกมาเมื่อปี 2015 ซึ่งในเกมนี้พวกเขาได้อิสระในการคิดมากมาย และได้ใส่สิ่งต่างๆ มากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างเช่นการใส่ระบบ Parkour ที่เราสามารถปีนป่ายหนีซอมบี้ได้อย่างอิสระ ใส่ซอมบี้ที่ทั้งโหด เร็วและดุในตอนกลางคืน ทำให้ตัวเกมมีไดนามิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเกมภาคแรกเองมียอดผู้เล่นสูงถึง 17 ล้านคนเลยทีเดียว
และในปี 2022 ทาง Techland เองได้เขนภาคต่อของเกมนี้มาอีกครั้งใน Dying Light 2 Stay Human กับการอัพสเกลของเกมให้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมเช่นแผนที่ใหญ่โตกว่าเดิมถึง 4 เท่า แอนิเมชันการปีนป่ายที่มากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งชุดและอาวุธก็จะมีหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าตัวเกมมีอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิมบ้าง และควรค่าแก่การซื้อหรือไม่
เนื้อเรื่อง
โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกนานกว่า 20 ปี โดยเราจะได้รับบทเป็น Aiden Caldwel ชายหนุ่มคนนอกเมืองผู้ที่ต้องเดินทางมายัง The City (หรือที่เรียกว่าเมือง Villedor) เพื่อตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันในวัยเด็ก โดยเนื้อเรื่องจุดประสงค์หลักของตัวเอกนั้นมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทั้งหมดของเราจะพูดถึงความขัดแย้งระหว่างผู้คนสองฝ่ายอย่างเหล่า Survivor (ผู้รอดชีวิต) และ Peacekeeper (ผู้รักษาสันติภาพ) โดยเราจะมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็จะให้เราเลือกช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องบางอย่างของเกม
แต่จากที่ได้เล่นมานั้นต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องของ Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างอ่อนในระดับหนึ่งเลย เพราะตัวเกมพยายามจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของแต่ละฝ่ายมากจนเกินไป ทำให้จุดประสงค์แรกในการที่เราอยากมาช่วยเหลือน้องสาวนั้นเบาบางลงอย่างมากถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะบอกว่าการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ พวกเขานั้นจะให้สิ่งที่เราต้องการในการตามหาน้องสาวก็เถอะ !! แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราก็ต้องใช้เวลาเล่นมากกว่า 15-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าประเด็นที่พวกเขาเล่านั้นค่อนข้างน่าสนใจที่แต่ละคนนั้นมีเหตุผลของตัวเองอยู่ที่ว่าคุณชอบใครเท่านั้น ซึ่งการเลือกช่วยเหลืออีกฝ่าย โดยภายในเนื้อเรื่องจะมีตัวเลือกตัดสินใต ก็อาจจะส่งผลเสียต่ออีกฝ่าย โดยการเล่นของเนื้อเรื่องอย่างเดียวจะอยู่ราวๆ 30 ชั่วโมง
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าผิดหวังในด้านเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นคำถามเลือกตอบ ถึงแม้ว่าเรื่องราวของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่โครงเรื่องหลักโดยรวมเองก็ยังตรงไปในทางเดียวกัน สุดท้ายตัวเกมก็จะจบเรื่องราวเหมือนกัน เพราะเรื่องราวทั้งหมดหรือตัวละครที่ไม่มีบทหรือผ่านเนื้อเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็แทบไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อเส้นเรื่องหลัก หรือเส้นเรื่องรองอีกเลย
กราฟิก / การนำเสนอ
สำหรับเมือง Villedor จะมีความแตกต่างจากเมือง Harran ของเกมภาคแรกเกือบจะทั้งหมด โดยตัวเกมจะให้กลิ่นอายความเป็นยุโรป ตัวบ้านเมืองเองมีสีสันมากขึ้นกว่าภาคแรกที่จะอยู่ในสลัม และเนื่องจากเรื่องราวจะดำเนินหลังที่โลกล่มสลายมากว่า 20 ปี ทำให้เราได้เห็นต้นไม้ที่เลื่อยเกาะตามบ้านให้ความรู้สึกสบายตาและเขียวชอุ่มกขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีโซนตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย ให้ความรู้สึกว่าเรานั้นอยู่ในใจกลางเมืองหลวงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PC ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเกม Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับผู้คนคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ หรือกลางเสียเท่าไร เพราะผู้เขียนใช้คอมพิวเตอร์ CPU I5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งก็สามารถรันเกมในความละเอียด 1080p ได้เพียงแค่ 40-50 FPS เท่านั้น อาจจะเพราะรายละเอียดของเกมที่เยอะขึ้น ตึกราบ้านช่องที่มีรายละเอียดและเข้าถึงได้ลึกขึ้นทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง บวกกับแผนที่อันใหญ่โตมากขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ถามว่าเฟรมเรทราวๆ นี้ประสบปัญหาในการเล่นไหมก็ต้องบอกว่าไม่ประสบปัญหาใดๆ เลย อาจจะไม่ลื่นไหลอย่างที่คิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เพราะจังหวะการเล่นของเกมนี้ก็ไม่ได้เร็วมากนักอยู่แล้ว
เกมเพลย์
ต้องยอมรับว่าระบบเกมคือจุดเด่นหลักของ Dying Light 2 Stay Human เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากระบบเดิมที่เคยมีในภาคแรกยังอยู่เกือบครบแล้วนั้น ตัวเกมยังยกระดับเกมเพลย์ในมีความแปลกใหม่กว่าเดิม โดยระบบการต่อสู้ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการตัดระบบปืนออกไป เพื่อเน้นให้เราได้สู้ในระยะประชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้เรามากมายอย่างเช่นตัวเรานั้นสามารถทั้ง Block, Parry, กดกระโดดหลบ และทำการสวนศัตรูได้ ซึ่งมันทำให้การต่อสู้จะมีมิติมากขึ้น แต่กลับกันตัว AI เองเวลาโจมตีก็จะมีลูกเล่นมากขึ้น อย่างเช่นการหลอกตี (เพราะเราจะต้องกดป้องกันให้พอกับที่ศัตรูตีมาจึงจะสามารถ Parry และสวนได้)
ระบบอาวุธของเกมนั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากภาคแรก ที่ในภาคนี้เราสามารถซ่อมอาวุธได้แล้ว ซึ่งมันตัดปัญหาคนใช้อาวุธเดียวยันจบเกมเราไม่จำเป็นต้องไปนั่งหาของซ่อมอาวุธเหมือนภาคก่อน แต่มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมมีอาวุธมากมายให้เราเก็บ (หรือให้เราซื้อ) เต็มไปหมด ซึ่งถ้าหากคุณไม่เถลไถลไปไหนไกล กว่าอาวุธคุณจะพังหมด เราก็มักจะได้อาวุธดีๆ มาใหม่แล้ว รวมถึงการใส่ MOD ความสามารถต่างๆ (เช่นช็อตไฟฟ้า ติดพิษ เพิ่มดาเมจ หรือติดไฟ) มันก็ยังช่วยเพิ่มค่าความทนทานให้เราด้วย เลิกกังวลในจุดนี้ได้เลย
ระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบสวมใส่ ที่เราสามารถปรับแต่งสไตล์ของชุดได้อย่างตามใจชอบ ซึ่งชุดก็จะแบ่งออกเป็น 4 สายด้วยกันก็คือ Brawler (เน้นโจมตีระยะใกล้), Medic (เน้นฟื้นฟู), Tank (เน้นป้องกันสูงๆ), Ranger (เน้นอาวุธโจมตีระยะไกล) รวมถึงชุดแต่ละชิ้นก็จะมีระดับ (ตั้งแต่ 1-5) แถมยังมีความแรร์ที่เพิ่มสเตตัสมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเราใส่ชุดเซ็ตที่สอดคล้องกันหมด มันจะทำให้ตัวคุณเก่งขึ้นเยอะมากๆ
แน่นอนว่าระบบเกมค่อนข้างที่จะมีความแปลกใหม่พอสมควร ตัวเกมใส่ระบบความเป็น RPG มากขึ้น การตีศัตรูจะมีตัวเลขขึ้นบ่งบอกดาเมจ แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเลยก็คือถ้าหากว่าเราตั้งใจฟาร์มหรือใส่เซ็ตสวมใส่ดีๆ ตัวเรานั้นจะค่อนข้างเก่งพอสมควร เก่งขนาดที่ศัตรูในโหมดเนื้อเรื่องไม่มีความท้าทายใดๆ เลย ยกตัวอย่างถึงแม้ว่าเกมนี้จะนำระบบปืนออกไป แต่การใช้ธนูและใส่เซ็ต Ranger ที่เพิ่มดาเมจอาวุธระยะไกล มันก็ทำให้ตัวเราโกงพอสมควร (ยิงศัตรูระดับบอสในฉากไม่กี่ตีตาย โดยเราไม่ต้องเข้าไปหาเลย)
ซึ่งตัวเกมจะรู้สึกท้าทายมากๆ ในช่วงราวๆ 5-10 ชั่วโมงแรก ซึ่งสาวนตัวคิดว่าการเข้าไปที่กบดานซอมบี้ หรือเล่นเควสรองบางอันอาจจะรู้สึกน่ากลัวและท้าทายมากกว่า เพราะบางทีเราาอาจจะไปเจอบอสแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอมาแบบไม่รู้ตัวและโดนมันฆ่าในชุดเดียว เอาจริงๆ ในภารกิจหลักบางตัวก็ทำให้รู้สึกท้าทายนะอย่างเช่นเควสหลักที่จะให้เราต้องหนีอย่างเดียว ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ แต่การพบเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็น้อยจนเกินไป ซึ่งเหล่าซอมบี้ส่วนใหญ่ที่เจอนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่กลัวอีกต่อไป ส่วนตัวมองว่าต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองยังรู้สึกสนุกมากกว่า
อีกหนึ่งระบบที่ไม่พูดไม่ได้ของเกมนี้นั่นก็คือระบบ Parkour ที่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีมากๆ และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าระบบเรื่องการปีนป่ายนั้นทางผู้พัฒนานั้นทำได้ดีมากๆ อยู่แล้วในภาคแรก ซึ่งภาคสองเองก็ถูกยกเอามาทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้คือลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นที่ร่อน Paraglider ที่ให้เราสามารถบินโลดแล่นบนฟ้าได้, จุดวิ่งไต่กำแพงที่มากขึ้น
หรือการปรับเปลี่ยนระบบ Graphling Hook ที่ในภาคนี้มันอาจจะไม่ได้พาเราพุ่งไปง่ายๆ เหมือนก่อน แต่จะเน้นความสมจริงที่จะเน้นให้เราโหนไปข้างหน้ามากกว่า (เปรียบเทียบ Graphling Hook ภาคแรกจะคล้ายๆ กับ Spider-Man แต่ภาคสองจะเหมือน Tarzan มากกว่า) ซึ่งมันก็สร้างความแปลกใหม่ และอิสระในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่ข้อเสียของระบบก็คือการปลดล็อคแต่ละอุปกรณ์ของเกมที่ค่อนข้างได้มาช้ามากๆ อย่างเช่นตัว Paraglider ที่เราจะได้มาตอน Act 2 ส่วน Graphling Hook จะได้มาตอน Act 4 ซึ่งใกล้จบเกมแล้ว แน่นอนว่าผู้พัฒนาจงใจ เพราะถ้าหากจะดีไซน์เควสที่มันเหมาะสมกับอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ มันก็จะต้องค่อยๆ สอนและค่อยๆ ไปทีละก้าว แต่ลองคิดดูว่าถ้าหากเรามีอุปกรณ์พวกนี้ใช้ตั้งแต่แรก มันอาจจะทำให้เรามีอิสระมากกว่าเดิมอีก แต่ก็ขอแก้ตัวว่าจริงๆ ระบบที่มีอยู่ก็สนุกมากพอแล้ว
ส่วนระบบ Skill Trees ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ตัดความยุ่งยากของภาคแรกที่มีให้เลือกหลายสายออกไป และปรับสายความสามารถให้เหลือเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้นก็คือสาย Combat (เพิ่มเลือด) ที่จะเพิ่มท่าโจมตีใหม่ๆ ให้กับเรา และสาย Parkour (เพิ่ม Stamina) ที่นอกจากการเพิ่มสเตตัวแล้วนั้น เรายังสามารถอัพท่าต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแต้มที่ใช้อัพเกรดนั้นจะสามารถหาได้จากการค้นหา Inhibitor ให้ครบสามอัน คุณก็จะได้รับหนึ่งแต้มมาใช้ ซึ่งตัวคุณเองก็ต้องเลือกว่าจะเลือกอัพฝั่งไหน แน่นอนว่าตัวเกมสามารถให้คุณอัพทั้งสองสายเต็มได้ เพียงแต่ว่าการเล่นในเนื้อเรื่องปกติ ตัว Inhibitor อาจจะไม่เพียงพอให้คุณอัพได้ทั้งหมด ซึ่งตัวคุณเองจะต้องใช้เวลาเพิ่มในการหาสิ่งๆ นี้ทั่วแผนที่
รวมถึงการอัพสกิลแต่ละอย่างตัวคุณเองก็จะต้องใช้เลเวลในการอัพอีกด้วย ซึ่ง XP ต่างๆ ก็จะได้มาจากการที่คุณทำสิ่งนั้นๆ บ่อยๆ เช่นปีนป่ายบ่อยๆ หรือสู้กับศัตรูบ่อย หรืออีกหนึ่งวิธีคือการทำ Side Quest, เข้าไปเคลียร์ที่กบดานศัตรู เปิดพลังงานกังหันลม (และสามารถเปิดจุดภารกิจใหม่ๆ ได้ด้วย) หรือทำชาเลนซ์ Parkour ซึ่งมันก็จะทำให้คุณได้ XP ต่างๆ มากขึ้น แต่มันก็จะแลกมากับเวลาที่มากโขพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้พัฒนาบอกจริงๆ ว่ากว่าถ้าจะเคลียร์หลายๆ อย่างให้หมด อาจจะใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในระบบตัวเลือกตอบของเกมจะมีให้เราเลือกยกถิ่นฐานทรัพยากรให้ระหว่าง Survivor และ Peacekeeper ด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลให้คุณสามารถปลดล็อคของใหม่ๆ ตามด่านได้ อย่างเช่นการเลือกให้ทรัพยากรกับ Survivor คุณก็จะปลดล็อคของใหม่ๆ ในการเดินทางเช่นจุดกระโดดสูง หรือถ้าหากเลือกช่วย Peacekeeper คุณก็อาจจะได้รับกับดักต่างๆ ในการสู้กับซอมบี้เป็นต้น
แต่ข้อติเดียวที่รู้สึกก็คือสกิลต่างๆ ที่มีให้อัพเกรดนั้น ส่วนตัวมองว่าสกิลบางอันมันเป็นสกิลพื้นฐานที่ควรจะมีตั้งแต่แรก อย่างเช่นสกิลวิ่งไต่กำแพงของฝ่าย Parkour หรือสกิล Perfect Dodge ที่ส่วนตัวมองว่ามันควรอยู่ในสกิลติดตัวของเราตั้งแต่เริ่ม
สรุป
ต้องพูดตามตรงว่าในด้านของเนื้อเรื่องนั้นอาจจะดูด้อยไปกว่าภาคแรกพอสมควร รู้สึกว่าตัวเกมเล่นหลายประเด็นเกินไปจนลืมโฟกัสจุดประสงค์แรกที่ดำเนินมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านของเกมเพลย์ ทางผู้พัฒนาได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของภาคเก่าให้ดี และสนุกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความน่ากลัวอาจจะลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังรู้สึกสนุกเช่นเดิม
ใครที่กำลังมองหาเกมเพลย์สนุกๆ มีความยืดหยุ่นในการเล่นมากมาย Dying Light 2 Stay Human เป็นเกมที่เหมาะกับท่านแน่นอน ส่วนใครที่มองหาเกมเนื้อเรื่อง หรือคาดหวังเนื้อเรื่องให้สนุกเท่ากับภาคแรก เกมนี้อาจจะไม่ใช่ทางของท่านครับ
และถ้าใครที่กำลังกลัวว่าเล่นเกมนี้จะเกิดอาการ Motion Sickness (มึนหัวเพราะภาพในเกมเหวี่ยงมาก) ก็ต้องบอกว่าเกมนี้ส่วนตัวรู้สึกมันเบากว่าภาคแรก อาจจะเป็นเพราะภาพและสีสันของเกมที่ดูสบายตามากขึ้น ไม่เหมือนภาคแรกที่อาจจะมีควันและ Motion Blur เยอะเกินไป มันอาจจะบรรเทาได้ (แต่ก็มีบางคนที่ยังรู้สึกมีอาการอยู่ในภาคนี้)
โดยเกม Dying Light 2 Stay Human วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox One X สนนราคา 1899 บาท ส่วน Nintendo Switch จะวางจำหน่ายหลังจากที่เกมปล่อยราวๆ 6 เดือน
ระบบ Parkour สนุกมาก
มีอะไรให้เล่นเยอะกว่าภาคแรก
เนื้อเรื่องค่อนข้างอ่อน
เกมดูง่ายไปหน่อยถ้าใส่ของดี และฟาร์มเยอะ
หลังจากที่ Techland ได้ให้กำเนิดเกมซอมบี้สุดแปลกใหม่อย่าง Dead Island ที่มาพร้อมกับความสำเร็จมากมาย ตัวผู้พัฒนาเองก็เลือกที่จะสร้างเกมซีรีส์ใหม่อย่าง Dying Light ที่วางจำหน่ายออกมาเมื่อปี 2015 ซึ่งในเกมนี้พวกเขาได้อิสระในการคิดมากมาย และได้ใส่สิ่งต่างๆ มากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างเช่นการใส่ระบบ Parkour ที่เราสามารถปีนป่ายหนีซอมบี้ได้อย่างอิสระ ใส่ซอมบี้ที่ทั้งโหด เร็วและดุในตอนกลางคืน ทำให้ตัวเกมมีไดนามิกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเกมภาคแรกเองมียอดผู้เล่นสูงถึง 17 ล้านคนเลยทีเดียว
และในปี 2022 ทาง Techland เองได้เขนภาคต่อของเกมนี้มาอีกครั้งใน Dying Light 2 Stay Human กับการอัพสเกลของเกมให้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมเช่นแผนที่ใหญ่โตกว่าเดิมถึง 4 เท่า แอนิเมชันการปีนป่ายที่มากกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งชุดและอาวุธก็จะมีหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ว่าตัวเกมมีอะไรที่แปลกใหม่ไปจากเดิมบ้าง และควรค่าแก่การซื้อหรือไม่
เนื้อเรื่อง
โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเล่าเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกนานกว่า 20 ปี โดยเราจะได้รับบทเป็น Aiden Caldwel ชายหนุ่มคนนอกเมืองผู้ที่ต้องเดินทางมายัง The City (หรือที่เรียกว่าเมือง Villedor) เพื่อตามหาน้องสาวที่พลัดพรากกันในวัยเด็ก โดยเนื้อเรื่องจุดประสงค์หลักของตัวเอกนั้นมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่เรื่องเล่าทั้งหมดของเราจะพูดถึงความขัดแย้งระหว่างผู้คนสองฝ่ายอย่างเหล่า Survivor (ผู้รอดชีวิต) และ Peacekeeper (ผู้รักษาสันติภาพ) โดยเราจะมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมก็จะให้เราเลือกช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องบางอย่างของเกม
แต่จากที่ได้เล่นมานั้นต้องยอมรับว่าตัวเนื้อเรื่องของ Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างอ่อนในระดับหนึ่งเลย เพราะตัวเกมพยายามจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งของแต่ละฝ่ายมากจนเกินไป ทำให้จุดประสงค์แรกในการที่เราอยากมาช่วยเหลือน้องสาวนั้นเบาบางลงอย่างมากถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะบอกว่าการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ พวกเขานั้นจะให้สิ่งที่เราต้องการในการตามหาน้องสาวก็เถอะ !! แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราก็ต้องใช้เวลาเล่นมากกว่า 15-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าประเด็นที่พวกเขาเล่านั้นค่อนข้างน่าสนใจที่แต่ละคนนั้นมีเหตุผลของตัวเองอยู่ที่ว่าคุณชอบใครเท่านั้น ซึ่งการเลือกช่วยเหลืออีกฝ่าย โดยภายในเนื้อเรื่องจะมีตัวเลือกตัดสินใต ก็อาจจะส่งผลเสียต่ออีกฝ่าย โดยการเล่นของเนื้อเรื่องอย่างเดียวจะอยู่ราวๆ 30 ชั่วโมง
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าผิดหวังในด้านเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นคำถามเลือกตอบ ถึงแม้ว่าเรื่องราวของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่โครงเรื่องหลักโดยรวมเองก็ยังตรงไปในทางเดียวกัน สุดท้ายตัวเกมก็จะจบเรื่องราวเหมือนกัน เพราะเรื่องราวทั้งหมดหรือตัวละครที่ไม่มีบทหรือผ่านเนื้อเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็แทบไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อเส้นเรื่องหลัก หรือเส้นเรื่องรองอีกเลย
กราฟิก / การนำเสนอ
สำหรับเมือง Villedor จะมีความแตกต่างจากเมือง Harran ของเกมภาคแรกเกือบจะทั้งหมด โดยตัวเกมจะให้กลิ่นอายความเป็นยุโรป ตัวบ้านเมืองเองมีสีสันมากขึ้นกว่าภาคแรกที่จะอยู่ในสลัม และเนื่องจากเรื่องราวจะดำเนินหลังที่โลกล่มสลายมากว่า 20 ปี ทำให้เราได้เห็นต้นไม้ที่เลื่อยเกาะตามบ้านให้ความรู้สึกสบายตาและเขียวชอุ่มกขึ้น นอกจากนี้ตัวเกมยังมีโซนตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย ให้ความรู้สึกว่าเรานั้นอยู่ในใจกลางเมืองหลวงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
โดยผู้เขียนได้เล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PC ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวเกม Dying Light 2 Stay Human ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับผู้คนคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ หรือกลางเสียเท่าไร เพราะผู้เขียนใช้คอมพิวเตอร์ CPU I5 8400 กับการ์ดจอ GTX 1060 6GB ซึ่งก็สามารถรันเกมในความละเอียด 1080p ได้เพียงแค่ 40-50 FPS เท่านั้น อาจจะเพราะรายละเอียดของเกมที่เยอะขึ้น ตึกราบ้านช่องที่มีรายละเอียดและเข้าถึงได้ลึกขึ้นทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง บวกกับแผนที่อันใหญ่โตมากขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ถามว่าเฟรมเรทราวๆ นี้ประสบปัญหาในการเล่นไหมก็ต้องบอกว่าไม่ประสบปัญหาใดๆ เลย อาจจะไม่ลื่นไหลอย่างที่คิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เพราะจังหวะการเล่นของเกมนี้ก็ไม่ได้เร็วมากนักอยู่แล้ว
เกมเพลย์
ต้องยอมรับว่าระบบเกมคือจุดเด่นหลักของ Dying Light 2 Stay Human เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากระบบเดิมที่เคยมีในภาคแรกยังอยู่เกือบครบแล้วนั้น ตัวเกมยังยกระดับเกมเพลย์ในมีความแปลกใหม่กว่าเดิม โดยระบบการต่อสู้ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาได้ทำการตัดระบบปืนออกไป เพื่อเน้นให้เราได้สู้ในระยะประชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ ให้เรามากมายอย่างเช่นตัวเรานั้นสามารถทั้ง Block, Parry, กดกระโดดหลบ และทำการสวนศัตรูได้ ซึ่งมันทำให้การต่อสู้จะมีมิติมากขึ้น แต่กลับกันตัว AI เองเวลาโจมตีก็จะมีลูกเล่นมากขึ้น อย่างเช่นการหลอกตี (เพราะเราจะต้องกดป้องกันให้พอกับที่ศัตรูตีมาจึงจะสามารถ Parry และสวนได้)
ระบบอาวุธของเกมนั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากภาคแรก ที่ในภาคนี้เราสามารถซ่อมอาวุธได้แล้ว ซึ่งมันตัดปัญหาคนใช้อาวุธเดียวยันจบเกมเราไม่จำเป็นต้องไปนั่งหาของซ่อมอาวุธเหมือนภาคก่อน แต่มันก็แลกมากับการที่ตัวเกมมีอาวุธมากมายให้เราเก็บ (หรือให้เราซื้อ) เต็มไปหมด ซึ่งถ้าหากคุณไม่เถลไถลไปไหนไกล กว่าอาวุธคุณจะพังหมด เราก็มักจะได้อาวุธดีๆ มาใหม่แล้ว รวมถึงการใส่ MOD ความสามารถต่างๆ (เช่นช็อตไฟฟ้า ติดพิษ เพิ่มดาเมจ หรือติดไฟ) มันก็ยังช่วยเพิ่มค่าความทนทานให้เราด้วย เลิกกังวลในจุดนี้ได้เลย
ระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือระบบสวมใส่ ที่เราสามารถปรับแต่งสไตล์ของชุดได้อย่างตามใจชอบ ซึ่งชุดก็จะแบ่งออกเป็น 4 สายด้วยกันก็คือ Brawler (เน้นโจมตีระยะใกล้), Medic (เน้นฟื้นฟู), Tank (เน้นป้องกันสูงๆ), Ranger (เน้นอาวุธโจมตีระยะไกล) รวมถึงชุดแต่ละชิ้นก็จะมีระดับ (ตั้งแต่ 1-5) แถมยังมีความแรร์ที่เพิ่มสเตตัสมากขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเราใส่ชุดเซ็ตที่สอดคล้องกันหมด มันจะทำให้ตัวคุณเก่งขึ้นเยอะมากๆ
แน่นอนว่าระบบเกมค่อนข้างที่จะมีความแปลกใหม่พอสมควร ตัวเกมใส่ระบบความเป็น RPG มากขึ้น การตีศัตรูจะมีตัวเลขขึ้นบ่งบอกดาเมจ แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเลยก็คือถ้าหากว่าเราตั้งใจฟาร์มหรือใส่เซ็ตสวมใส่ดีๆ ตัวเรานั้นจะค่อนข้างเก่งพอสมควร เก่งขนาดที่ศัตรูในโหมดเนื้อเรื่องไม่มีความท้าทายใดๆ เลย ยกตัวอย่างถึงแม้ว่าเกมนี้จะนำระบบปืนออกไป แต่การใช้ธนูและใส่เซ็ต Ranger ที่เพิ่มดาเมจอาวุธระยะไกล มันก็ทำให้ตัวเราโกงพอสมควร (ยิงศัตรูระดับบอสในฉากไม่กี่ตีตาย โดยเราไม่ต้องเข้าไปหาเลย)
ซึ่งตัวเกมจะรู้สึกท้าทายมากๆ ในช่วงราวๆ 5-10 ชั่วโมงแรก ซึ่งสาวนตัวคิดว่าการเข้าไปที่กบดานซอมบี้ หรือเล่นเควสรองบางอันอาจจะรู้สึกน่ากลัวและท้าทายมากกว่า เพราะบางทีเราาอาจจะไปเจอบอสแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอมาแบบไม่รู้ตัวและโดนมันฆ่าในชุดเดียว เอาจริงๆ ในภารกิจหลักบางตัวก็ทำให้รู้สึกท้าทายนะอย่างเช่นเควสหลักที่จะให้เราต้องหนีอย่างเดียว ซึ่งมันตื่นเต้นมากๆ แต่การพบเจอความรู้สึกแบบนี้มันก็น้อยจนเกินไป ซึ่งเหล่าซอมบี้ส่วนใหญ่ที่เจอนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่กลัวอีกต่อไป ส่วนตัวมองว่าต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ด้วยกันเองยังรู้สึกสนุกมากกว่า
อีกหนึ่งระบบที่ไม่พูดไม่ได้ของเกมนี้นั่นก็คือระบบ Parkour ที่ต้องบอกเลยว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีมากๆ และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าระบบเรื่องการปีนป่ายนั้นทางผู้พัฒนานั้นทำได้ดีมากๆ อยู่แล้วในภาคแรก ซึ่งภาคสองเองก็ถูกยกเอามาทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้คือลูกเล่นต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นที่ร่อน Paraglider ที่ให้เราสามารถบินโลดแล่นบนฟ้าได้, จุดวิ่งไต่กำแพงที่มากขึ้น
หรือการปรับเปลี่ยนระบบ Graphling Hook ที่ในภาคนี้มันอาจจะไม่ได้พาเราพุ่งไปง่ายๆ เหมือนก่อน แต่จะเน้นความสมจริงที่จะเน้นให้เราโหนไปข้างหน้ามากกว่า (เปรียบเทียบ Graphling Hook ภาคแรกจะคล้ายๆ กับ Spider-Man แต่ภาคสองจะเหมือน Tarzan มากกว่า) ซึ่งมันก็สร้างความแปลกใหม่ และอิสระในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่ข้อเสียของระบบก็คือการปลดล็อคแต่ละอุปกรณ์ของเกมที่ค่อนข้างได้มาช้ามากๆ อย่างเช่นตัว Paraglider ที่เราจะได้มาตอน Act 2 ส่วน Graphling Hook จะได้มาตอน Act 4 ซึ่งใกล้จบเกมแล้ว แน่นอนว่าผู้พัฒนาจงใจ เพราะถ้าหากจะดีไซน์เควสที่มันเหมาะสมกับอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ มันก็จะต้องค่อยๆ สอนและค่อยๆ ไปทีละก้าว แต่ลองคิดดูว่าถ้าหากเรามีอุปกรณ์พวกนี้ใช้ตั้งแต่แรก มันอาจจะทำให้เรามีอิสระมากกว่าเดิมอีก แต่ก็ขอแก้ตัวว่าจริงๆ ระบบที่มีอยู่ก็สนุกมากพอแล้ว
ส่วนระบบ Skill Trees ในภาคนี้ทางผู้พัฒนาก็ตัดความยุ่งยากของภาคแรกที่มีให้เลือกหลายสายออกไป และปรับสายความสามารถให้เหลือเพียงแค่ 2 แบบเท่านั้นก็คือสาย Combat (เพิ่มเลือด) ที่จะเพิ่มท่าโจมตีใหม่ๆ ให้กับเรา และสาย Parkour (เพิ่ม Stamina) ที่นอกจากการเพิ่มสเตตัวแล้วนั้น เรายังสามารถอัพท่าต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแต้มที่ใช้อัพเกรดนั้นจะสามารถหาได้จากการค้นหา Inhibitor ให้ครบสามอัน คุณก็จะได้รับหนึ่งแต้มมาใช้ ซึ่งตัวคุณเองก็ต้องเลือกว่าจะเลือกอัพฝั่งไหน แน่นอนว่าตัวเกมสามารถให้คุณอัพทั้งสองสายเต็มได้ เพียงแต่ว่าการเล่นในเนื้อเรื่องปกติ ตัว Inhibitor อาจจะไม่เพียงพอให้คุณอัพได้ทั้งหมด ซึ่งตัวคุณเองจะต้องใช้เวลาเพิ่มในการหาสิ่งๆ นี้ทั่วแผนที่
รวมถึงการอัพสกิลแต่ละอย่างตัวคุณเองก็จะต้องใช้เลเวลในการอัพอีกด้วย ซึ่ง XP ต่างๆ ก็จะได้มาจากการที่คุณทำสิ่งนั้นๆ บ่อยๆ เช่นปีนป่ายบ่อยๆ หรือสู้กับศัตรูบ่อย หรืออีกหนึ่งวิธีคือการทำ Side Quest, เข้าไปเคลียร์ที่กบดานศัตรู เปิดพลังงานกังหันลม (และสามารถเปิดจุดภารกิจใหม่ๆ ได้ด้วย) หรือทำชาเลนซ์ Parkour ซึ่งมันก็จะทำให้คุณได้ XP ต่างๆ มากขึ้น แต่มันก็จะแลกมากับเวลาที่มากโขพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้พัฒนาบอกจริงๆ ว่ากว่าถ้าจะเคลียร์หลายๆ อย่างให้หมด อาจจะใช้เวลามากกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในระบบตัวเลือกตอบของเกมจะมีให้เราเลือกยกถิ่นฐานทรัพยากรให้ระหว่าง Survivor และ Peacekeeper ด้วย ซึ่งมันก็จะส่งผลให้คุณสามารถปลดล็อคของใหม่ๆ ตามด่านได้ อย่างเช่นการเลือกให้ทรัพยากรกับ Survivor คุณก็จะปลดล็อคของใหม่ๆ ในการเดินทางเช่นจุดกระโดดสูง หรือถ้าหากเลือกช่วย Peacekeeper คุณก็อาจจะได้รับกับดักต่างๆ ในการสู้กับซอมบี้เป็นต้น
แต่ข้อติเดียวที่รู้สึกก็คือสกิลต่างๆ ที่มีให้อัพเกรดนั้น ส่วนตัวมองว่าสกิลบางอันมันเป็นสกิลพื้นฐานที่ควรจะมีตั้งแต่แรก อย่างเช่นสกิลวิ่งไต่กำแพงของฝ่าย Parkour หรือสกิล Perfect Dodge ที่ส่วนตัวมองว่ามันควรอยู่ในสกิลติดตัวของเราตั้งแต่เริ่ม
สรุป
ต้องพูดตามตรงว่าในด้านของเนื้อเรื่องนั้นอาจจะดูด้อยไปกว่าภาคแรกพอสมควร รู้สึกว่าตัวเกมเล่นหลายประเด็นเกินไปจนลืมโฟกัสจุดประสงค์แรกที่ดำเนินมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าในด้านของเกมเพลย์ ทางผู้พัฒนาได้ยกระดับความยอดเยี่ยมของภาคเก่าให้ดี และสนุกมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความน่ากลัวอาจจะลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังรู้สึกสนุกเช่นเดิม
ใครที่กำลังมองหาเกมเพลย์สนุกๆ มีความยืดหยุ่นในการเล่นมากมาย Dying Light 2 Stay Human เป็นเกมที่เหมาะกับท่านแน่นอน ส่วนใครที่มองหาเกมเนื้อเรื่อง หรือคาดหวังเนื้อเรื่องให้สนุกเท่ากับภาคแรก เกมนี้อาจจะไม่ใช่ทางของท่านครับ
และถ้าใครที่กำลังกลัวว่าเล่นเกมนี้จะเกิดอาการ Motion Sickness (มึนหัวเพราะภาพในเกมเหวี่ยงมาก) ก็ต้องบอกว่าเกมนี้ส่วนตัวรู้สึกมันเบากว่าภาคแรก อาจจะเป็นเพราะภาพและสีสันของเกมที่ดูสบายตามากขึ้น ไม่เหมือนภาคแรกที่อาจจะมีควันและ Motion Blur เยอะเกินไป มันอาจจะบรรเทาได้ (แต่ก็มีบางคนที่ยังรู้สึกมีอาการอยู่ในภาคนี้)
โดยเกม Dying Light 2 Stay Human วางจำหน่ายแล้วบนเครื่อง PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox One X สนนราคา 1899 บาท ส่วน Nintendo Switch จะวางจำหน่ายหลังจากที่เกมปล่อยราวๆ 6 เดือน