GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
รีวิว Call of Duty: Vanguard ยังคงมาตรฐานเดิม และไม่ทำให้ผิดหวัง
ลงวันที่ 09/11/2021

หลังจากความสำเร็จของเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 กับการพาเราเข้าไปสู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในปีนี้ทาง Sledgehammer Games ก็ได้พาเรากลับสู่ในยุคนี้อีกครั้งกับ Call of Duty: Vanguard ที่จะพาให้เราด้ไปสัมผัสกับยุคสงครามโลกยุคนี้อีกรอบหนึ่ง แต่จะให้เราได้ไปติดตามเหล่าวีรบุรุษสงครามด่านหน้าของแต่ละประเทศ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปเล่นมาแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง

กราฟิก / การนำเสนอ

ภายในเกม Call of Duty: Vanguard นี้ได้ใช้ Engine อย่าง IW8 Engine ที่เป็นการอัปเกรดกราฟิกจาก Call of Duty: Modern Warfare (2019) ซึ่งตัวภาพต้องยอมรับในเรื่องของความสมจริงทั้งในด้านโมเดลของตัวละครที่ถือว่าใกล้เคียงกับคนจริงๆ มากขึ้นจนมองเผินๆ จะแยกไม่ออกแล้ว ส่วนในฉากเล่นเกมทั่วไปนั้น โมเดลฉากต่างๆ ตอนเล่นถ้าหากคุณเคยเล่น Call of Duty: Modern Warfare (2019) มันก็จะให้ความรู้สึกนั้นทั้งกราฟิกและหน้า Interface ที่คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างของ Call of Duty: Vanguard ก็คงจะเป็นแสงเงาที่ชัดมากขึ้น


และสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของการกินสเปกของเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องไม่ได้สูงมากนัก เพราะคอมของผู้เขียนที่ใช้เล่นเกมนี้ก็คือ I5 8400 + GTX 1060 6GB ก็ยังสามารถเล่นเกมนี้ได้ในระดับ High สามารถทำเฟรมเรทได้ราวๆ 70 เฟรม ซึ่งถือว่าเล่นได้ค่อนข้างไหลลื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าปรับกราฟิกระดับนี้เวลาเจอฉากเอฟเฟกเยอะๆ ก็อาจจะทำให้เฟรมร่วงหรือเกิดอาการแคชเกมเด้งบางครั้ง (แต่จากที่เล่นมาเกิดแค่รอบเดียว) ซึ่งตัวผู้เขียนเองชอบเล่นในระดับที่ต่ำลงมาขั้นหนึ่ง เพื่อความลื่นไหลตลอดโดยไม่ติดขัดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นตัวกราฟิกก็ยังไม่ได้ต่างกันมาก



โหมดเนื้อเรื่อง

ภายในภาคนี้ตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง เพียงแต่ตัวเกมจะโฟกัสเราไปที่การติดตามกลุ่มนักรบยอดฝีมือจากประเทศต่างๆ โดยใช้ชื่อกลุ่มทหารนี้ว่า Vanguard กับภารกิจค้นหาภารกิจลับของนาซีนามว่าโปรเจกต์ฟีนิกซ์ โดยตัวเกมจะพาเราไปเห็นในช่วงสุดท้ายของยุคนาซี พร้อมกับได้ย้อนดูวีรกรรมของเหล่าพลทหารในทีม Vanguard ว่าพวกเขานั้นสร้างผลงานอะไรมาก่อนได้ร่วมทีม 

โดยระยะเวลาในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ราวๆ 5-7 ชั่วโมง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นระยะเวลาที่กำลังดีในการเล่นโหมดนี้เพราะมันไม่นานจนน่าเบื่อเกินไป รวมถึงภารกิจแต่ละด่านที่มอบให้จะเป็นการพาเราย้อนไปดูวีรกรรมของเหล่าทหารทีมนี้ที่แต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางด่านก็จะพาให้เราได้บังคับหัวหน้ากองบัญชาการที่จะมีความสามารถในการสั่งลูกทีมโจมตีศัตรูตัวเดียวได้ 


บางด่านก็จะบังคับให้เราเข้าสู่โหมดลอบเร้นที่มีความสามารถในการจับออร่าการเคลื่อนไหวของศัตรูรอบๆ ได้ บางด่านก็อาจจะพาเราเข้าสู่การสวมบทเป็นมือสไนเปอร์ หรือบางด่านก็พาเราไปบังคับเครื่องบินรบก็มี โดยการเล่นโหมดแคมเปญราวๆ 7 ชั่วโมงของผู้เขียนนั้นไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิด เพราะความหลากหลายในการเล่นนี้


แต่ถ้าจะให้พูดข้อเสียก็คงจะมีอย่างเดียวก็คือเนื่องจากระยะเวลาของเกมที่สั้นบวกกับจำนวนของตัวละครที่เราได้เล่นนั้นไม่ได้มากจนเกินไป ทำให้ตัวละครของเกมภาคนี้ไม่ได้น่าจดจำเสียเท่าไรนัก รวมถึงเวลาส่วนใหญ่ของเกมมักจะเป็นการเล่าย้อนความหลังเสียมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องหลักปัจจุบันนั้นอาจจะดูเบาบางลงไปนิด เหล่าตัวร้ายเองก็ดูไม่ได้โหดและน่าจดจำเช่นกัน เพราะบทที่ค่อนข้างน้อย 


โหมด Multiplayer

ภายในโหมดผู้เล่นหลายคนนอกจากโหมดปกติที่เคยมีในทุกๆ ภาคอย่าง Domination, Deathmatch, Team Deathmatch และโหมดอื่นๆ อีกมากมายที่ท่านเคยเล่น แต่โหมดใหม่ที่ถูกใส่มาในภาคนี้และค่อนข้างน่าสนใจมากๆ ก็คือโหมด Patrol ที่่เกมการเล่นก็จะคล้ายคลึงกับโหมดยึดครองทั่วไป เพียงแต่ว่าจุดยึดครองจะทำการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบเพราะมันจะทำให้เราไม่ต้องพบเจอกับการดักรอจุดเกิดหรือดักซุ่มจุดๆ เดียวทั้งเกม เรามีโอกาสสุ่มจุดเกิดตรงไหนก็ได้และวิ่งยิงวิ่งยึดไปตลอด ทำให้โหมดนี้ค่อนข้างเอื้อกับผู้เล่นมือใหม่พอสมควร เพราะถ้าหากคุณสู้ไม่เก่ง การวิ่งยึดจุดเรื่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน เพราะต่อให้ Kill เยอะอยู่จุดๆ เดียวและไม่ยอมไปยึดจุดเลย ก็ทำให้แพ้ได้


ส่วนในระบบ Kill Streak ภาคนี้จะใช้ระบบการนับจำนวน Kill ต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นมือใหม่เสียเท่าไร เพราะเราจะต้องเก็บ Stack ฆ่าศัตรูให้ได้ตามจำนวนกำหนดเราถึงจะสามารถใช้ความสามารถนั้นๆ ได้ ซึ่งคนเก่งๆ ก็จะสามารถเรียกของดีๆ ออกมาใช้ได้บ่อยๆ ส่วนผู้เล่นใหม่ก็อาจจะลำบากพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบนี้แฟนๆ รุ่นเก่าก็อาจจะชอบเพราะมันก็มีอยู่ในหลายๆ ภาคนั่นเอง

ส่วนระบบการแต่งปืนถ้าหากใครที่เคยเล่น  Call of Duty: Modern Warfare (2019) มา ท่านเองก็อาจจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะระบบต่างๆ นั้นเหมือนกันเกือบทั้งหมด ระบบแต่งปืนยังมีความละเอียดและก็มีสเตตัสบอกเราอย่างชัดเจน ซึ่งข้อแตกต่างก็คือปืนที่มีให้ใช้จะเป็นปืนจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง


ความรู้สึก

ส่วนตัวยอมรับเลยว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมซีรีส์ Call of Duty นั้น ค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างมาก เพราะบางทีเราจะต้องใช้อาวุธเดิมๆ ตั้งแต่ต้นเกมจนเกือบจบเกม บวกกับระยะเวลาที่ยาวกว่า 15-20 ชั่วโมง แต่ผิดกับทาง Call of Duty: Vanguard ที่แต่ละด่านนอกจากจะมีธีมที่แตกต่างกันไป เกมเพลย์การเล่นก็จะแตกต่างกันด้วย รวมถึงระยะเวลาที่พอเหมาะไม่ทำให้เบื่อเกินไปด้วย


ส่วนระบบ Multiplayer ของเกมถ้าใครที่เป็นแฟนเกม Call of Duty อยู่แล้วท่านก็คงจะยังชอบเกมภาคนี้อยู่เหมือนเดิม มีโหมดที่น่าสนใจอย่าง Patrol ที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นตลอดเวลาในนั้น แต่ข้อสังเกตุเดียวของภาคนี้ที่อยากจะพูดก็คงเป็นเรื่องของธีมสงครามโลกที่มันอาจจะค่อนข้างซ้ำซากกับทางเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 อาจจะทำให้ Call of Duty: Vanguard ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมดี รักษาความเป็นเกมยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้ถูกเป็นที่จดจำใดๆ ในภายหลังและอาจจะทำให้ผู้คนลืมเลือนมันไปในอนาคต

7
ข้อดี

กราฟิกสวย

โหมดคนเดียวไม่มีความน่าเบื่อ

ยังคงคุณภาพของซีรีส์ Call of Duty

ข้อเสีย

มีบัคให้เห็นอยู่บ้างเล็กน้อย

เนื่องจากเกมยังเป็นธีมสงครามโลกครั้งที่เลย เลยอาจจะจำเจอยู่บ้าง

8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
รีวิว Call of Duty: Vanguard ยังคงมาตรฐานเดิม และไม่ทำให้ผิดหวัง
09/11/2021

หลังจากความสำเร็จของเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 กับการพาเราเข้าไปสู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในปีนี้ทาง Sledgehammer Games ก็ได้พาเรากลับสู่ในยุคนี้อีกครั้งกับ Call of Duty: Vanguard ที่จะพาให้เราด้ไปสัมผัสกับยุคสงครามโลกยุคนี้อีกรอบหนึ่ง แต่จะให้เราได้ไปติดตามเหล่าวีรบุรุษสงครามด่านหน้าของแต่ละประเทศ ซึ่งในบทความนี้พวกเรา GameFever TH ได้เข้าไปเล่นมาแล้วและจะมารีวิวเกมนี้ให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าตัวเกมมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง

กราฟิก / การนำเสนอ

ภายในเกม Call of Duty: Vanguard นี้ได้ใช้ Engine อย่าง IW8 Engine ที่เป็นการอัปเกรดกราฟิกจาก Call of Duty: Modern Warfare (2019) ซึ่งตัวภาพต้องยอมรับในเรื่องของความสมจริงทั้งในด้านโมเดลของตัวละครที่ถือว่าใกล้เคียงกับคนจริงๆ มากขึ้นจนมองเผินๆ จะแยกไม่ออกแล้ว ส่วนในฉากเล่นเกมทั่วไปนั้น โมเดลฉากต่างๆ ตอนเล่นถ้าหากคุณเคยเล่น Call of Duty: Modern Warfare (2019) มันก็จะให้ความรู้สึกนั้นทั้งกราฟิกและหน้า Interface ที่คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างของ Call of Duty: Vanguard ก็คงจะเป็นแสงเงาที่ชัดมากขึ้น


และสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของการกินสเปกของเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องไม่ได้สูงมากนัก เพราะคอมของผู้เขียนที่ใช้เล่นเกมนี้ก็คือ I5 8400 + GTX 1060 6GB ก็ยังสามารถเล่นเกมนี้ได้ในระดับ High สามารถทำเฟรมเรทได้ราวๆ 70 เฟรม ซึ่งถือว่าเล่นได้ค่อนข้างไหลลื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าปรับกราฟิกระดับนี้เวลาเจอฉากเอฟเฟกเยอะๆ ก็อาจจะทำให้เฟรมร่วงหรือเกิดอาการแคชเกมเด้งบางครั้ง (แต่จากที่เล่นมาเกิดแค่รอบเดียว) ซึ่งตัวผู้เขียนเองชอบเล่นในระดับที่ต่ำลงมาขั้นหนึ่ง เพื่อความลื่นไหลตลอดโดยไม่ติดขัดมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นตัวกราฟิกก็ยังไม่ได้ต่างกันมาก



โหมดเนื้อเรื่อง

ภายในภาคนี้ตัวเกมจะพาเราเข้าสู่ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง เพียงแต่ตัวเกมจะโฟกัสเราไปที่การติดตามกลุ่มนักรบยอดฝีมือจากประเทศต่างๆ โดยใช้ชื่อกลุ่มทหารนี้ว่า Vanguard กับภารกิจค้นหาภารกิจลับของนาซีนามว่าโปรเจกต์ฟีนิกซ์ โดยตัวเกมจะพาเราไปเห็นในช่วงสุดท้ายของยุคนาซี พร้อมกับได้ย้อนดูวีรกรรมของเหล่าพลทหารในทีม Vanguard ว่าพวกเขานั้นสร้างผลงานอะไรมาก่อนได้ร่วมทีม 

โดยระยะเวลาในการเล่นโหมดเนื้อเรื่องจะอยู่ที่ราวๆ 5-7 ชั่วโมง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นระยะเวลาที่กำลังดีในการเล่นโหมดนี้เพราะมันไม่นานจนน่าเบื่อเกินไป รวมถึงภารกิจแต่ละด่านที่มอบให้จะเป็นการพาเราย้อนไปดูวีรกรรมของเหล่าทหารทีมนี้ที่แต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางด่านก็จะพาให้เราได้บังคับหัวหน้ากองบัญชาการที่จะมีความสามารถในการสั่งลูกทีมโจมตีศัตรูตัวเดียวได้ 


บางด่านก็จะบังคับให้เราเข้าสู่โหมดลอบเร้นที่มีความสามารถในการจับออร่าการเคลื่อนไหวของศัตรูรอบๆ ได้ บางด่านก็อาจจะพาเราเข้าสู่การสวมบทเป็นมือสไนเปอร์ หรือบางด่านก็พาเราไปบังคับเครื่องบินรบก็มี โดยการเล่นโหมดแคมเปญราวๆ 7 ชั่วโมงของผู้เขียนนั้นไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่นิด เพราะความหลากหลายในการเล่นนี้


แต่ถ้าจะให้พูดข้อเสียก็คงจะมีอย่างเดียวก็คือเนื่องจากระยะเวลาของเกมที่สั้นบวกกับจำนวนของตัวละครที่เราได้เล่นนั้นไม่ได้มากจนเกินไป ทำให้ตัวละครของเกมภาคนี้ไม่ได้น่าจดจำเสียเท่าไรนัก รวมถึงเวลาส่วนใหญ่ของเกมมักจะเป็นการเล่าย้อนความหลังเสียมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องหลักปัจจุบันนั้นอาจจะดูเบาบางลงไปนิด เหล่าตัวร้ายเองก็ดูไม่ได้โหดและน่าจดจำเช่นกัน เพราะบทที่ค่อนข้างน้อย 


โหมด Multiplayer

ภายในโหมดผู้เล่นหลายคนนอกจากโหมดปกติที่เคยมีในทุกๆ ภาคอย่าง Domination, Deathmatch, Team Deathmatch และโหมดอื่นๆ อีกมากมายที่ท่านเคยเล่น แต่โหมดใหม่ที่ถูกใส่มาในภาคนี้และค่อนข้างน่าสนใจมากๆ ก็คือโหมด Patrol ที่่เกมการเล่นก็จะคล้ายคลึงกับโหมดยึดครองทั่วไป เพียงแต่ว่าจุดยึดครองจะทำการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบเพราะมันจะทำให้เราไม่ต้องพบเจอกับการดักรอจุดเกิดหรือดักซุ่มจุดๆ เดียวทั้งเกม เรามีโอกาสสุ่มจุดเกิดตรงไหนก็ได้และวิ่งยิงวิ่งยึดไปตลอด ทำให้โหมดนี้ค่อนข้างเอื้อกับผู้เล่นมือใหม่พอสมควร เพราะถ้าหากคุณสู้ไม่เก่ง การวิ่งยึดจุดเรื่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน เพราะต่อให้ Kill เยอะอยู่จุดๆ เดียวและไม่ยอมไปยึดจุดเลย ก็ทำให้แพ้ได้


ส่วนในระบบ Kill Streak ภาคนี้จะใช้ระบบการนับจำนวน Kill ต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นมือใหม่เสียเท่าไร เพราะเราจะต้องเก็บ Stack ฆ่าศัตรูให้ได้ตามจำนวนกำหนดเราถึงจะสามารถใช้ความสามารถนั้นๆ ได้ ซึ่งคนเก่งๆ ก็จะสามารถเรียกของดีๆ ออกมาใช้ได้บ่อยๆ ส่วนผู้เล่นใหม่ก็อาจจะลำบากพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบนี้แฟนๆ รุ่นเก่าก็อาจจะชอบเพราะมันก็มีอยู่ในหลายๆ ภาคนั่นเอง

ส่วนระบบการแต่งปืนถ้าหากใครที่เคยเล่น  Call of Duty: Modern Warfare (2019) มา ท่านเองก็อาจจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะระบบต่างๆ นั้นเหมือนกันเกือบทั้งหมด ระบบแต่งปืนยังมีความละเอียดและก็มีสเตตัสบอกเราอย่างชัดเจน ซึ่งข้อแตกต่างก็คือปืนที่มีให้ใช้จะเป็นปืนจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง


ความรู้สึก

ส่วนตัวยอมรับเลยว่าโหมดเนื้อเรื่องของเกมซีรีส์ Call of Duty นั้น ค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างมาก เพราะบางทีเราจะต้องใช้อาวุธเดิมๆ ตั้งแต่ต้นเกมจนเกือบจบเกม บวกกับระยะเวลาที่ยาวกว่า 15-20 ชั่วโมง แต่ผิดกับทาง Call of Duty: Vanguard ที่แต่ละด่านนอกจากจะมีธีมที่แตกต่างกันไป เกมเพลย์การเล่นก็จะแตกต่างกันด้วย รวมถึงระยะเวลาที่พอเหมาะไม่ทำให้เบื่อเกินไปด้วย


ส่วนระบบ Multiplayer ของเกมถ้าใครที่เป็นแฟนเกม Call of Duty อยู่แล้วท่านก็คงจะยังชอบเกมภาคนี้อยู่เหมือนเดิม มีโหมดที่น่าสนใจอย่าง Patrol ที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นตลอดเวลาในนั้น แต่ข้อสังเกตุเดียวของภาคนี้ที่อยากจะพูดก็คงเป็นเรื่องของธีมสงครามโลกที่มันอาจจะค่อนข้างซ้ำซากกับทางเกม Call of Duty: WWII ในปี 2017 อาจจะทำให้ Call of Duty: Vanguard ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมดี รักษาความเป็นเกมยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้ถูกเป็นที่จดจำใดๆ ในภายหลังและอาจจะทำให้ผู้คนลืมเลือนมันไปในอนาคต


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header