‘สิ่งที่น่าอัศจรรย์มิใช่ความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลดาว แต่คือการที่มนุษย์สามารถวัดขนาดของมันได้’ โดย Anatole France กวีชาวฝรั่งเศส
นี่คือบทกวีที่ถูกนำมาใช้ในตัวอย่างของ Starfield เกม IP ใหม่โดยทีมงาน Bethesda (เจ้าของผลงานสุดอมตะอย่างซีรีส์ The Elder Scrolls และ Fallout) โดยกระแสเกมนี้ช่วงแรกยังไม่ได้มีมากเท่าไหร่นัก จากการที่ผู้พัฒนาได้ปิดปาดเงียบมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เปิดตัวเกมไปเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่หลังจากที่มีการปล่อยตัวอย่างล่าสุดในงาน Xbox & Bethesda Games Showcase 2022 ที่ผ่านมา ก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาในหมู่เกมเมอร์ได้พอสมควร ด้วยระบบเกมเพลย์การสำรวจอวกาศอันลึกล้ำ รวมไปถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่มีดาวเคราะห์รอให้ผู้เล่นสำรวจอยู่ "นับ 1000 ดวง"
เพื่อสรุปรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับ Starfield ที่ถูกเปิดเผยออกมา วันนี้พวกเรา GameFever TH ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อต่างประเทศ และการวิเคราะห์ตัวอย่าง เพื่อจะนำเสนอรายละเอียดข้อมูลที่ในสนใจจากเกม Starfield
แล้วมาดูกันซิว่าฉายา "Skyrim in Space" (Skyrim ในอวกาศ) ของเกมนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่?!
ดังที่กล่าวไปข้างต้น เกม Starfield ถือเป็น IP เกมใหม่ที่ถูกพัฒนาโดย Bethesda Game Studios ผู้รังสรรค์ผลงานเกมแนว RPG โลกเปิดชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ Fallout หรือ The Elder Scrolls ซึ่งในครั้งนี้ตัวเกม Starfield ก็จะมาในรูปแบบเกมแนว RPG Open-World เช่นเดิม แต่จะนำเสนอในรูปแบบของธีมอวกาศ ที่จะให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจดวงดาว ฟาร์มของ ล่าสัตว์ และติดตามภารกิจเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้พัฒนาบอกว่าใช้เวลาเล่นได้ไม่ต่ำกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แน่นอนว่ามันมีข้อแม้ใหญ่อยู่ว่า "ถ้าเกมทำได้ตามที่นักพัฒนาพูดไว้" ก็จะดี เพราะกรณีศึกษาที่เราเคยเห็นมาแล้วว่าเกมของ Bethesda มักวางจำหน่ายพร้อมบั๊กน้อยใหญ่จำนวนมหาศาล จนต้องรอให้ผู้พัฒนาตามแพทช์เกมอีกหลายเดือนกว่าจะเข้าร่องเข้ารอย หรือจะเกมที่เคยเกือบแย่อย่าง No Man’s Sky ที่ทีมพัฒนาก็ประกาศโปรโมทเกมไว้เกินจริง (แถมแนวเกมยังคล้าย Starfield มากอีกต่างหาก) จนถูกกระแสดราม่า แต่พวกเราก็สามารถปรับปรุงเกม แก้ไข และทำให้เกมกลับมากลายเป็นอีกหนึ่งเกมแนวอวกาศที่ไม่ควรพลาดในที่สุด
เนื้อเรื่องของ Starfield ได้ถูกทีมงานนิยามว่าเป็นแนว ‘นาซ่า พังค์’ (NASA Punk ซึ่งมักจะหมายถึงโลกไซไฟอนาคตที่อ้างอิงจากเทคโนโลยีอวกาศที่ใช้อยู่จริงในปัจจุบันโดยองค์กร NASA) ที่จะเล่าถึงฉากหลังอยู่ในช่วงอนาคตประมาณ 300 ปีในยุคของการล่าอาณานิคมอวกาศ ทำให้ทางมนุษย์ต้องทำการออกสำรวจดวงดาว และได้เดินทางมานอกเขตระบบสุริยะประมาณ 50 ปีแสง โดยในเกมจะเรียกว่า The Settled Systems (ระบบดาวที่มนุษย์ตั้งรกราก) ที่อยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของสองกลุ่มมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในเกมอย่าง United Colonies และ Freestar Collective ที่เคยมีความขัดแย้งกันจนก่อให้เกิดสงครามอาณานิคมเมื่อ 20 ปีก่อน และแม้ในปัจจุบันจะสงบศึกกันแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้นหากมีแม้แต่ความขัดแย้งเล็ก ๆ อะไรก็ตามมาสร้างความบาดหมางอีก สิ่งนั้นก็อาจจะทำให้เกิดสงครามนองเลือดขึ้นได้อีกครั้ง!
สำหรับผู้เล่นนั้น จะได้รับบทเป็นตัวละครที่ปรับแต่งได้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Constellation องค์กรของนักสำรวจอวกาศที่ตั้งใจและอุทิศตนเพื่อการช่วยเหลือมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์ และต้องคอยค้นหา ความลับต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในจักรวาล นอกจากนี้ผู้เล่นจะยังต้องมีส่วนร่วมว่าจะเป็นผู้เฝ้ามอง ผู้สงบศึก หรือผู้จุดประกายสงครามของความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจดังกล่าวก็เป็นได้!
่เช่นเดียวกับเกม RPG ส่วนใหญ่ของค่าย Bethesda ตัวเอกของเกมจะไม่มีเสียงพูด โดยทุกครั้งที่เข้าถึงการสนทนาตัวเกมจะพาผู้เล่นเข้าสู่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง พร้อมกับมีบทสนทนาโต้ตอบมากมายให้เราเลือกตอบ ตามสไตล์ของ Bethesda ซึ่งผู้พัฒนามีการเคลมว่าจะมีบทสนทนามากกว่า 150,000 ประโยค ซึ่งมากกว่าบทสนทนาจาก Skyrim ที่มีบทสนทนา 60,000 ประโยคมากกว่า 2 เท่าได้เลย! (รองลงมาคือ Fallout 4 ที่มีบทสนทนามากถึง 111,000 ประโยค) ดังนั้นอย่างที่บอกไปว่าเราให้คำตอบชัดเจนไม่ได้เรื่องที่ตัวเอกของผู้เล่นจะมีบทบาทอย่างไรในเนื้อเรื่องหลักครั้งนี้ เพราะเราอาจจะเดินเส้นทางสู้การเป็นฝ่ายกลางไม่ร่วมสงคราม หรือเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือว่าแม้แต่เป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย ความเป็นไปได้เหล่านี้ ก็อาจจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา ไม่สามารถคาดเดาใด ๆ ได้ บอกเลยว่าใครที่ชอบเกมสไลต์ของ Bethesda ที่มีตัวเลือก มีเส้นทางตัดสินใจให้เลือกมากมายนั้น Starfield นี่แหละจะเป็นอีกหนึ่งซีรี่ย์เกมใหม่ที่พร้อมสานฝันคุณได้ให้กลิ่นอายของ Fallout หรือ The Elder Scrolls แน่นอน!
เอะใจไหมว่าทำไหผมถึงพูดว่าเมื่อเราเข้าสู่บทสนทนาตัวเกมจะตัดเข้าสู่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง นั่นก็เพราะเราสามารถเลือกมุมมองการเล่นได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ใครที่ไม่สามารถเล่นมุมมอง FPS ได้ ก็สามารถเข้ามาท่องโลก Starfield ผ่านมุมมองบุคคลที่สามได้เช่นกัน อีกทั้งการสลับมุมมองได้แบบนี้จะช่วยให้การเล่นมีความหลากหลายขึ้น อย่างในตัวอย่างเมื่อเข้าสู่โซนที่แคบ ในสิ่งปลูกสร้างเราอาจจะเล่นเป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่เมื่อต้องเล่นในที่เปิดกว้างก็สามารถเปลี่ยนมาเล่นมุมมองบุคคลที่สามได้
ขึ้นชื่อว่าเกม RPG แน่นอนว่าผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งตัวละครได้อย่างอิสระ แต่การปรับแต่งพื้นฐานอย่างหน้าตา สีผม รูปร่าง เพียงเท่านี้มันอาจจะดูธรรมดาไปสำหรับผู้นำเกม RPG อย่าง Bethesda พวกเขาจึงได้นำเสนอฟีเจอร์ปรับแต่งอื่น ๆ ที่จะสร้างมิติให้กับการปรับแต่งตัวละครมากขึ้น โดย 2 จุดเด่นหลักที่น่าสนใจนั่นคือ:
1. ระบบ ฺBackground หรือภูมิหลัง - จะเป็นเหมือนระบบสกิล แต่…จะเพิ่มความโรลเพลย์เข้ามาตรงที่ผู้เล่นจะต้องเลือกคาแรคเตอร์ บทบาท หรืออาชีพของตัวละครที่เราสร้าง ซึ่งแต่ละภูมิหลังจะมีเนื้อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามาสร้างความอินให้กับผู้เล่น แต่จุดที่น่าสนใจนั่นคือ แต่ละ Background นั้นจะมีค่าสกิลเริ่มต้นในการเล่นมาให้ 3 อย่างแตกต่างออกไป เช่น บางสกิลเพิ่มดาเมจปืนพก เพิ่มความสามารถด้านการแฮ็ก การเก็บของ หรือความสามารถด้านการต่อรองเป็นต้น ซึ่งบอกเลยว่าในตัวอย่างล่าสุดนั้นเห็นได้ว่ามีให้ผู้เล่นเลือกเยอะมาก!
2. ระบบ Traits หรือลักษณะนิสัย - ตัวเกมยังนำเสนอระบบ Traits ที่จะบอกถึงบุคลิก 3 อย่างของตัวละครผู้เล่น โดยแต่ละนิสัยจะมอบค่าสถานะ มอบสิ่งอำนวยสะดวกให้แก่ผู้เล่นต่างกันไป แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีเงื่อนไขที่ต้องแลก เช่น บาง Trait ก็จะมอบบ้านหลังเล็ก ๆ บนดวงจันทร์ให้ฟรี แต่จะต้องเป็นหนี้ธนาคาร 50,000 เครดิต หรือเรามีพ่อแม่ที่อยู่สุขสบายดี ผู้เล่นสามารถไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านได้ แต่จะถูกหักเงิน 10% จากรายได้ทั้งหมดมอบให้แก่พวกเขา (ในบ้านอาจจะมีสิ่งอำนวยพิเศษ หรืออาจจะเป็นแค่การโรลเพลย์เท่านั้น) บอกเลยว่าได้เล่น RPG แบบถึงพริกถึงขิงแน่นอน!
มาต่อด้วยอีกหนึ่งระบบที่ชูโรงมาก ๆ ของ Starfield นั่นคือผู้เล่นจะมียานอวกาศที่สามารถขับได้ ปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ทั้งภายนอกและระบบภายในได้แบบไม่ซ้ำใคร โดยสามารถใช้สำหรับท่องดาวต่างๆ หรือทะยานสู่อวกาศได้ แต่การขับยานอวกาศใน Starfield นั้นบางครั้งผู้เล่นจะเจออันตรายระหว่างขับขี่ด้วย เช่น เศษอุกกาบาต หรือกระทั่งยานอวกาศของศัตรู ที่สำคัญการทำลายสิ่งกีดขวาด หรือจัดการพวกศัตรูผู้เล่นก็จะได้รับ XP ที่สามารถนำมาอัพเกรดยานได้อีกด้วย
นอกจากนี้กลับมาที่เรื่องของการปรับแต่งยาน ผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งได้ละเอียดมาก ๆ ตั้งแต่เครื่องยนต์ เชื้อเพลง ปีกยาน อาวุธ รวมถึงแต่งรูปทรงยาน หรือสีได้ทั้งหมด นอกจากนี้เรายังสามารถเกณฑ์คน หาเพื่อนร่วมยาน หรือลูกเรือมาร่วมสำรวจอวกาศใน Starfield ได้อีกด้วย และผู้พัฒนาเคลมว่า ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องปรับแต่งยานแค่แบบเดียว เพราะจะมีระบบการตั้งค่าล่วงหน้า ที่จะช่วยให้เรามียานอวกาศที่หลากหลายเหมาะกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพิ่มมิติการเล่นมากขึ้น ซึ่งระบบนี้จะเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะกระตุ้นให้ผู้เล่นออกฟาร์ม ออกสำรวจเพื่อหาทรัพยากรมาสร้างส่วนประกอบของยาน ซึ่งมั่นใจได้ว่าน่าจะมีอะไรให้เล่นกันจนหนำใจแน่นอน
เมื่อมียานอวกาศในฝันแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราอินไปกับตัวยานมากขึ้นก็คือ ‘พื้นที่ผจญภัย’ ทำให้ทาง Bethesda ได้สร้างแผนที่ของเกมไว้ใหญ่มาก ๆ ผู้เล่นจะได้ออกสำรวจระบบสุริยะกว่า 100 ระบบ และมีดาวมากกว่า 1,000 ดวงที่สามารถลงไปสำรวจได้ โดยผู้พัฒนาบอกว่าส่วนใหญ่อาจจะเป็นดาวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีภารกิจอะไรเป็นพิเศษ อาจเป็นเพียงแหล่งเก็บทรัพยากรณ์เท่านั้น (เช่นเดียวกับการสำรวจอวกาศจริง ๆ ที่คงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวทุกดวง) แต่ก็จะมีบางส่วนที่มีทั้งเนื้อเรื่อง ผู้คน และภารกิจของตัวเองให้ค้นพบเช่นกัน โดยเมื่อผู้เล่นเข้าใกล้ดาวเคราะห์แต่ละดวง จะมีการบอกค่าสถานะว่าดาวดวงดังกล่าวมีอะไรให้เราสำรวจบ้างในเบื้องต้น และจะมีค่าเปอร์เซ็นต์ความคืบหน้าการสำรวจของแต่ละดาวบอกให้อย่างละเอียดด้วย เรียกได้ว่านี่แหละคืออีกหนึ่งสเน่ห์ของเกมจากค่าย Bethesda!
มีฝ่ายต่างๆ ภายใน Starfield
แทบจะทุกเกม RPG ของ Bethesda มักจะมีระบบพรรค ระบบฝ่าย มีการแบ่งเขต มีการดำเนินชีวิตของ NPC ที่ต่างกัน จนนำพาไปสู่เรื่องราวอันหลากหลาย เช่น แต่ละฝ่ายตีกันเองบ้าง ผู้เล่นอาจถูกหมายหัวจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบ้าง ซึ่งก็เป็นสเน่ห์ของผลงาน Bethesda ที่ถูกนำมาใส่ให้กับ Starfield เช่นกัน โดยข้อมูลฝ่ายยังไม่มีมีรายละเอียดออกมามากนัก แต่ก็สรุปได้สั้นๆ ดังนี้
United Colonies: 'สาธารณรัฐอวกาศในอนาคตในอุดมคติ'
Freestar Collective: 'อวกาศแฟนตาซีตะวันตก ผู้คนที่ชายแดน'
Ryujin Industries: กลุ่มบริษัทริวจิน เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ผู้เล่นจะพบภายในเกม
Crimson Fleet: กลุ่มสลัดอวกาศที่ผู้เล่นสามารถเข้าร่วม หรือหักหลังพวกเขาได้
House Va'Ruun: กลุ่มพวกคลั่งลัทธิ ศาสนา
ทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผู้เล่นอาจจะเจอไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเข้าข้างฝ่ายไหน หรือเป็นศัตรูกับฝ่ายไหนบ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าสนุก ๆ ไว้แลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้เล่น และทำให้สามารถเล่นเกมซ้ำได้หลายครั้งอีกด้วย
อีกหนึ่งเรื่องที่เราเห็นกันในตัวอย่างนั่นคือหุ่นยนต์สำรวจที่ชื่อว่า Vasco ที่คาดว่าจะกลายมาเป็นหนึ่งในคู่หูตั้งแต่ช่วงแรก ของผู้เล่นใน Starfield โดยผู้พัฒนาได้เคยเปิดเผยออกมาแล้วว่าเกมจะมีระบบคู่หูร่วมเดินทางกับผู้เล่นเช่นเดียวกับเกมอย่าง Fallout 4 นั่นเอง ซึ่งเจ้า Vasco ถือเป็นคู่หูตัวแรกที่เราได้เห็นหน้าตาในขณะนี้
ในส่วนของภูมิหลังนั้น หุ่น Vasco แท้จริงแล้วเป็นหุ่นรบที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้ในภารกิจการสำรวจดาวของกลุ่ม Constellation โดยอาวุธและเกราะหนักของเขาได้ถูกถอดออก และทดแทนด้วยเครื่องมือที่ช่วยในการสำรวจ เช่นมือจักรกลเอาไว้หยิบจับตัวอย่างสิ่งของจากดวงดาว หรือตะขอติดหลังเอาไว้ลากสัมภาระเป็นต้น
อีกหนึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้มีการอธิบายมากมายเท่าไหร่นัก แต่เราจะเห็นในตัวอย่างครู่หนึ่ง นั่นคือการเห็นระบบสร้างฐาน ที่เรียกว่า Outpost ซึ่งเป็นการเปิดแผนที่ รวมไปถึงการเปิดฟีเจอร์สิ่งอำนวยสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบคราฟ เป็นต้น เป็นการปรับปรุงขึ้นของระบบสร้างเมืองใน Fallout 4 นั่นเอง ผู้เล่นจะสามารถสร้างและปรับแต่งฐานทัพได้อย่างอิสระพอสมควร คงต้องจับตากันต่อไปว่าระบบ Outpost นี้จะมีความสำคัญต่อเกมแค่ไหนอย่างไรบ้าง
ก่อนหน้านี้ทางเราได้เกริ่นถึงระบบคราฟไป ซึ่งในตัวอย่างจะพบได้ว่าภายในฐานที่มั่นของผู้เล่นนั้น จะมีระบบคราฟหลัก ๆ อยู่ 5 หมวดนั่นคือ
หมวดปรุงยา ปรุงเคมี หรือแปลตรงตัวคือ เภสัชวิทยา
หมวดอาหาร และเครื่องดื่ม
หมวดการพัฒนา Outpost
หมวดอุปกรณ์สวมใส่
และ หมวดอาวุธ
ซึ่งในตัวอย่างเรายังไม่ได้เห็นระบบการสร้างของทุกหมวดว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือผู้เล่นจะสามารถตกแต่งอาวุธ ใส่ม็อดรวมถึงอาจจะปรับแต่งสีได้อย่างอิสระ ให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ได้มากขึ้น
จากในตัวอย่างเราจะพอเห็นได้ว่าตัวเกมมีหน้าต่างแสดงผล หรือ HUD ต่างๆ ที่นำเสนอได้ในรูปแบบที่ดีในระดับหนึ่งเลย เพราะสีสันไม่ฉูดฉาด หน้าต่างไม่รกสายตา และเข้าใจง่ายด้วย โดยจะขอสรุปเท่าที่เราสามารถหาข้อมูลได้ก่อนดังนี้
ระบบอาวุธก็จะขึ้นมาเป็นรูปบวก เมื่อกดเรียกใช้งาน โดยแต่ละข้างก็จะมีช่องอาวุธ 3 สล็อตให้เลือก
การแสดงผลทั่วไป ด้านขวาล่างจะเป็นการแสดงแถบเลือก อาวุธล่าสุด และจำนวนกระสุน ส่วนซ้ายมือจะเป็นเหมือนค่าพลังงานสเตมิน่า และเข็มทิศ-มินิแมพไปในตัว โดยหากมีศัตรูอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรือพวกมันโจมตีมาก็จะขึ้นจุดสีแดงแสดงให้เราเห็นตำแหน่งอีกด้วย
หน้า HUD การสะเดาะกุญแจ โดยในตัวเกมจะนำเสนอผ่านมินิ-เกมเล็กน้อย ที่ถือว่าทำได้แตกต่างจากหลายเกมในยุค
นี้ และจะใช้ Lockpick ที่ในเกมนี้จะเรียกว่า ‘Digipick’ ในการสะเดาะกลอน
และยังมีหน้า HUD อื่น ๆ เช่น หน้าสแกนที่ดูไม่ซับซ้อนอะไรเข้าถึงง่าย และหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามี Photo Mode ให้เราถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้หรือนำไปแชร์ในคอมมูได้อีกด้วย
มีศัตรูอยู่แทบทุกที่ และมีความแข็งแกร่งโดยอ้างอิงผ่าน Level
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ชอบนัก นั่นคือ Starfield เป็นแนว Action-RPG ดังนั้น ตัวเกมก็จะนำเสนอระบบ Level หมายความว่า ศัตรูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก NPC มนุษย์ สัตว์ / เอเลี่ยน ก็จะมี Level เป็นของตัวเอง ดังนั้นหากอาวุธชุดเกราะหรือสกิลของเรามีเลเวลไม่สูงพอก็อาจจะสู้ยากหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย เพราะหากผู้เล่นมีทริกดี ๆ มีความอดทนสูงก็สามารถใช้เวลาในการจัดการกับศัตรูที่เวลสูงกว่าได้ แต่จะไปว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะนี้คือระบบฟาร์มสไตล์ของพี่ Bethesda เขา ที่ทำมาอย่างยาวนานและประสบความสำเร็จเสียด้วย!
สำหรับตัวเกมก็ยังคงใช้ Creation Engine เอนจิ้นของทาง Bethesda เอง แต่ได้มีการพัฒนามาเป็น Creation Engine 2 ที่จะยกระดับสิ่งต่าง ๆ ให้มีความสมจริง และน่าสนใจยิ่งขึ้นแบบที่เราเห็นในตัวอย่าง อีกทั้ง Starfield ยังเป็นเกมแรกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเอนจิ้นใหม่ตัวนี้ของ Bethesda อีกด้วย
ทีมงานได้มีการกำหนดวันวางจำหน่ายไว้แรกเริ่มคือวันที่ 11 พฤศจิกายนปีนี้ แต่ทีมงานมีการเปิดเผยถึงการที่พวกเขายอมรับว่าที่คือ IP เกมใหม่ที่มีความทะเยอทะยานที่สุด ณ ขนาดนี้ของสตูดิโอ พวกเขาจึงขอทำการเลื่อนไปวางจำหน่ายในช่วงปี 2023 ปีหน้านี้แทนเพื่อที่จะพัฒนาตัวเกมออกมาให้ดีที่สุด และจะปล่อยให้กับ 2 แพลตฟอร์มหลัก ๆ นั่นคือ PC และ Xbox Series X/S
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลต่างๆ ที่เราสามารถรวบรวมมาได้ ณ ขนาดนี้ แล้วติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Starfield ได้ทาง GameFever แน่นอน!
‘สิ่งที่น่าอัศจรรย์มิใช่ความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลดาว แต่คือการที่มนุษย์สามารถวัดขนาดของมันได้’ โดย Anatole France กวีชาวฝรั่งเศส
นี่คือบทกวีที่ถูกนำมาใช้ในตัวอย่างของ Starfield เกม IP ใหม่โดยทีมงาน Bethesda (เจ้าของผลงานสุดอมตะอย่างซีรีส์ The Elder Scrolls และ Fallout) โดยกระแสเกมนี้ช่วงแรกยังไม่ได้มีมากเท่าไหร่นัก จากการที่ผู้พัฒนาได้ปิดปาดเงียบมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เปิดตัวเกมไปเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่หลังจากที่มีการปล่อยตัวอย่างล่าสุดในงาน Xbox & Bethesda Games Showcase 2022 ที่ผ่านมา ก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาในหมู่เกมเมอร์ได้พอสมควร ด้วยระบบเกมเพลย์การสำรวจอวกาศอันลึกล้ำ รวมไปถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่มีดาวเคราะห์รอให้ผู้เล่นสำรวจอยู่ "นับ 1000 ดวง"
เพื่อสรุปรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับ Starfield ที่ถูกเปิดเผยออกมา วันนี้พวกเรา GameFever TH ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อต่างประเทศ และการวิเคราะห์ตัวอย่าง เพื่อจะนำเสนอรายละเอียดข้อมูลที่ในสนใจจากเกม Starfield
แล้วมาดูกันซิว่าฉายา "Skyrim in Space" (Skyrim ในอวกาศ) ของเกมนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่?!
ดังที่กล่าวไปข้างต้น เกม Starfield ถือเป็น IP เกมใหม่ที่ถูกพัฒนาโดย Bethesda Game Studios ผู้รังสรรค์ผลงานเกมแนว RPG โลกเปิดชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ Fallout หรือ The Elder Scrolls ซึ่งในครั้งนี้ตัวเกม Starfield ก็จะมาในรูปแบบเกมแนว RPG Open-World เช่นเดิม แต่จะนำเสนอในรูปแบบของธีมอวกาศ ที่จะให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจดวงดาว ฟาร์มของ ล่าสัตว์ และติดตามภารกิจเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้พัฒนาบอกว่าใช้เวลาเล่นได้ไม่ต่ำกว่า 100 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แน่นอนว่ามันมีข้อแม้ใหญ่อยู่ว่า "ถ้าเกมทำได้ตามที่นักพัฒนาพูดไว้" ก็จะดี เพราะกรณีศึกษาที่เราเคยเห็นมาแล้วว่าเกมของ Bethesda มักวางจำหน่ายพร้อมบั๊กน้อยใหญ่จำนวนมหาศาล จนต้องรอให้ผู้พัฒนาตามแพทช์เกมอีกหลายเดือนกว่าจะเข้าร่องเข้ารอย หรือจะเกมที่เคยเกือบแย่อย่าง No Man’s Sky ที่ทีมพัฒนาก็ประกาศโปรโมทเกมไว้เกินจริง (แถมแนวเกมยังคล้าย Starfield มากอีกต่างหาก) จนถูกกระแสดราม่า แต่พวกเราก็สามารถปรับปรุงเกม แก้ไข และทำให้เกมกลับมากลายเป็นอีกหนึ่งเกมแนวอวกาศที่ไม่ควรพลาดในที่สุด
เนื้อเรื่องของ Starfield ได้ถูกทีมงานนิยามว่าเป็นแนว ‘นาซ่า พังค์’ (NASA Punk ซึ่งมักจะหมายถึงโลกไซไฟอนาคตที่อ้างอิงจากเทคโนโลยีอวกาศที่ใช้อยู่จริงในปัจจุบันโดยองค์กร NASA) ที่จะเล่าถึงฉากหลังอยู่ในช่วงอนาคตประมาณ 300 ปีในยุคของการล่าอาณานิคมอวกาศ ทำให้ทางมนุษย์ต้องทำการออกสำรวจดวงดาว และได้เดินทางมานอกเขตระบบสุริยะประมาณ 50 ปีแสง โดยในเกมจะเรียกว่า The Settled Systems (ระบบดาวที่มนุษย์ตั้งรกราก) ที่อยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของสองกลุ่มมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในเกมอย่าง United Colonies และ Freestar Collective ที่เคยมีความขัดแย้งกันจนก่อให้เกิดสงครามอาณานิคมเมื่อ 20 ปีก่อน และแม้ในปัจจุบันจะสงบศึกกันแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้นหากมีแม้แต่ความขัดแย้งเล็ก ๆ อะไรก็ตามมาสร้างความบาดหมางอีก สิ่งนั้นก็อาจจะทำให้เกิดสงครามนองเลือดขึ้นได้อีกครั้ง!
สำหรับผู้เล่นนั้น จะได้รับบทเป็นตัวละครที่ปรับแต่งได้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Constellation องค์กรของนักสำรวจอวกาศที่ตั้งใจและอุทิศตนเพื่อการช่วยเหลือมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์ และต้องคอยค้นหา ความลับต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในจักรวาล นอกจากนี้ผู้เล่นจะยังต้องมีส่วนร่วมว่าจะเป็นผู้เฝ้ามอง ผู้สงบศึก หรือผู้จุดประกายสงครามของความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจดังกล่าวก็เป็นได้!
่เช่นเดียวกับเกม RPG ส่วนใหญ่ของค่าย Bethesda ตัวเอกของเกมจะไม่มีเสียงพูด โดยทุกครั้งที่เข้าถึงการสนทนาตัวเกมจะพาผู้เล่นเข้าสู่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง พร้อมกับมีบทสนทนาโต้ตอบมากมายให้เราเลือกตอบ ตามสไตล์ของ Bethesda ซึ่งผู้พัฒนามีการเคลมว่าจะมีบทสนทนามากกว่า 150,000 ประโยค ซึ่งมากกว่าบทสนทนาจาก Skyrim ที่มีบทสนทนา 60,000 ประโยคมากกว่า 2 เท่าได้เลย! (รองลงมาคือ Fallout 4 ที่มีบทสนทนามากถึง 111,000 ประโยค) ดังนั้นอย่างที่บอกไปว่าเราให้คำตอบชัดเจนไม่ได้เรื่องที่ตัวเอกของผู้เล่นจะมีบทบาทอย่างไรในเนื้อเรื่องหลักครั้งนี้ เพราะเราอาจจะเดินเส้นทางสู้การเป็นฝ่ายกลางไม่ร่วมสงคราม หรือเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือว่าแม้แต่เป็นศัตรูกับทั้งสองฝ่าย ความเป็นไปได้เหล่านี้ ก็อาจจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา ไม่สามารถคาดเดาใด ๆ ได้ บอกเลยว่าใครที่ชอบเกมสไลต์ของ Bethesda ที่มีตัวเลือก มีเส้นทางตัดสินใจให้เลือกมากมายนั้น Starfield นี่แหละจะเป็นอีกหนึ่งซีรี่ย์เกมใหม่ที่พร้อมสานฝันคุณได้ให้กลิ่นอายของ Fallout หรือ The Elder Scrolls แน่นอน!
เอะใจไหมว่าทำไหผมถึงพูดว่าเมื่อเราเข้าสู่บทสนทนาตัวเกมจะตัดเข้าสู่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง นั่นก็เพราะเราสามารถเลือกมุมมองการเล่นได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ใครที่ไม่สามารถเล่นมุมมอง FPS ได้ ก็สามารถเข้ามาท่องโลก Starfield ผ่านมุมมองบุคคลที่สามได้เช่นกัน อีกทั้งการสลับมุมมองได้แบบนี้จะช่วยให้การเล่นมีความหลากหลายขึ้น อย่างในตัวอย่างเมื่อเข้าสู่โซนที่แคบ ในสิ่งปลูกสร้างเราอาจจะเล่นเป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่เมื่อต้องเล่นในที่เปิดกว้างก็สามารถเปลี่ยนมาเล่นมุมมองบุคคลที่สามได้
ขึ้นชื่อว่าเกม RPG แน่นอนว่าผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งตัวละครได้อย่างอิสระ แต่การปรับแต่งพื้นฐานอย่างหน้าตา สีผม รูปร่าง เพียงเท่านี้มันอาจจะดูธรรมดาไปสำหรับผู้นำเกม RPG อย่าง Bethesda พวกเขาจึงได้นำเสนอฟีเจอร์ปรับแต่งอื่น ๆ ที่จะสร้างมิติให้กับการปรับแต่งตัวละครมากขึ้น โดย 2 จุดเด่นหลักที่น่าสนใจนั่นคือ:
1. ระบบ ฺBackground หรือภูมิหลัง - จะเป็นเหมือนระบบสกิล แต่…จะเพิ่มความโรลเพลย์เข้ามาตรงที่ผู้เล่นจะต้องเลือกคาแรคเตอร์ บทบาท หรืออาชีพของตัวละครที่เราสร้าง ซึ่งแต่ละภูมิหลังจะมีเนื้อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามาสร้างความอินให้กับผู้เล่น แต่จุดที่น่าสนใจนั่นคือ แต่ละ Background นั้นจะมีค่าสกิลเริ่มต้นในการเล่นมาให้ 3 อย่างแตกต่างออกไป เช่น บางสกิลเพิ่มดาเมจปืนพก เพิ่มความสามารถด้านการแฮ็ก การเก็บของ หรือความสามารถด้านการต่อรองเป็นต้น ซึ่งบอกเลยว่าในตัวอย่างล่าสุดนั้นเห็นได้ว่ามีให้ผู้เล่นเลือกเยอะมาก!
2. ระบบ Traits หรือลักษณะนิสัย - ตัวเกมยังนำเสนอระบบ Traits ที่จะบอกถึงบุคลิก 3 อย่างของตัวละครผู้เล่น โดยแต่ละนิสัยจะมอบค่าสถานะ มอบสิ่งอำนวยสะดวกให้แก่ผู้เล่นต่างกันไป แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีเงื่อนไขที่ต้องแลก เช่น บาง Trait ก็จะมอบบ้านหลังเล็ก ๆ บนดวงจันทร์ให้ฟรี แต่จะต้องเป็นหนี้ธนาคาร 50,000 เครดิต หรือเรามีพ่อแม่ที่อยู่สุขสบายดี ผู้เล่นสามารถไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านได้ แต่จะถูกหักเงิน 10% จากรายได้ทั้งหมดมอบให้แก่พวกเขา (ในบ้านอาจจะมีสิ่งอำนวยพิเศษ หรืออาจจะเป็นแค่การโรลเพลย์เท่านั้น) บอกเลยว่าได้เล่น RPG แบบถึงพริกถึงขิงแน่นอน!
มาต่อด้วยอีกหนึ่งระบบที่ชูโรงมาก ๆ ของ Starfield นั่นคือผู้เล่นจะมียานอวกาศที่สามารถขับได้ ปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ทั้งภายนอกและระบบภายในได้แบบไม่ซ้ำใคร โดยสามารถใช้สำหรับท่องดาวต่างๆ หรือทะยานสู่อวกาศได้ แต่การขับยานอวกาศใน Starfield นั้นบางครั้งผู้เล่นจะเจออันตรายระหว่างขับขี่ด้วย เช่น เศษอุกกาบาต หรือกระทั่งยานอวกาศของศัตรู ที่สำคัญการทำลายสิ่งกีดขวาด หรือจัดการพวกศัตรูผู้เล่นก็จะได้รับ XP ที่สามารถนำมาอัพเกรดยานได้อีกด้วย
นอกจากนี้กลับมาที่เรื่องของการปรับแต่งยาน ผู้เล่นจะสามารถปรับแต่งได้ละเอียดมาก ๆ ตั้งแต่เครื่องยนต์ เชื้อเพลง ปีกยาน อาวุธ รวมถึงแต่งรูปทรงยาน หรือสีได้ทั้งหมด นอกจากนี้เรายังสามารถเกณฑ์คน หาเพื่อนร่วมยาน หรือลูกเรือมาร่วมสำรวจอวกาศใน Starfield ได้อีกด้วย และผู้พัฒนาเคลมว่า ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องปรับแต่งยานแค่แบบเดียว เพราะจะมีระบบการตั้งค่าล่วงหน้า ที่จะช่วยให้เรามียานอวกาศที่หลากหลายเหมาะกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพิ่มมิติการเล่นมากขึ้น ซึ่งระบบนี้จะเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะกระตุ้นให้ผู้เล่นออกฟาร์ม ออกสำรวจเพื่อหาทรัพยากรมาสร้างส่วนประกอบของยาน ซึ่งมั่นใจได้ว่าน่าจะมีอะไรให้เล่นกันจนหนำใจแน่นอน
เมื่อมียานอวกาศในฝันแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราอินไปกับตัวยานมากขึ้นก็คือ ‘พื้นที่ผจญภัย’ ทำให้ทาง Bethesda ได้สร้างแผนที่ของเกมไว้ใหญ่มาก ๆ ผู้เล่นจะได้ออกสำรวจระบบสุริยะกว่า 100 ระบบ และมีดาวมากกว่า 1,000 ดวงที่สามารถลงไปสำรวจได้ โดยผู้พัฒนาบอกว่าส่วนใหญ่อาจจะเป็นดาวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีภารกิจอะไรเป็นพิเศษ อาจเป็นเพียงแหล่งเก็บทรัพยากรณ์เท่านั้น (เช่นเดียวกับการสำรวจอวกาศจริง ๆ ที่คงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวทุกดวง) แต่ก็จะมีบางส่วนที่มีทั้งเนื้อเรื่อง ผู้คน และภารกิจของตัวเองให้ค้นพบเช่นกัน โดยเมื่อผู้เล่นเข้าใกล้ดาวเคราะห์แต่ละดวง จะมีการบอกค่าสถานะว่าดาวดวงดังกล่าวมีอะไรให้เราสำรวจบ้างในเบื้องต้น และจะมีค่าเปอร์เซ็นต์ความคืบหน้าการสำรวจของแต่ละดาวบอกให้อย่างละเอียดด้วย เรียกได้ว่านี่แหละคืออีกหนึ่งสเน่ห์ของเกมจากค่าย Bethesda!
มีฝ่ายต่างๆ ภายใน Starfield
แทบจะทุกเกม RPG ของ Bethesda มักจะมีระบบพรรค ระบบฝ่าย มีการแบ่งเขต มีการดำเนินชีวิตของ NPC ที่ต่างกัน จนนำพาไปสู่เรื่องราวอันหลากหลาย เช่น แต่ละฝ่ายตีกันเองบ้าง ผู้เล่นอาจถูกหมายหัวจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบ้าง ซึ่งก็เป็นสเน่ห์ของผลงาน Bethesda ที่ถูกนำมาใส่ให้กับ Starfield เช่นกัน โดยข้อมูลฝ่ายยังไม่มีมีรายละเอียดออกมามากนัก แต่ก็สรุปได้สั้นๆ ดังนี้
United Colonies: 'สาธารณรัฐอวกาศในอนาคตในอุดมคติ'
Freestar Collective: 'อวกาศแฟนตาซีตะวันตก ผู้คนที่ชายแดน'
Ryujin Industries: กลุ่มบริษัทริวจิน เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ผู้เล่นจะพบภายในเกม
Crimson Fleet: กลุ่มสลัดอวกาศที่ผู้เล่นสามารถเข้าร่วม หรือหักหลังพวกเขาได้
House Va'Ruun: กลุ่มพวกคลั่งลัทธิ ศาสนา
ทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผู้เล่นอาจจะเจอไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเข้าข้างฝ่ายไหน หรือเป็นศัตรูกับฝ่ายไหนบ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าสนุก ๆ ไว้แลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้เล่น และทำให้สามารถเล่นเกมซ้ำได้หลายครั้งอีกด้วย
อีกหนึ่งเรื่องที่เราเห็นกันในตัวอย่างนั่นคือหุ่นยนต์สำรวจที่ชื่อว่า Vasco ที่คาดว่าจะกลายมาเป็นหนึ่งในคู่หูตั้งแต่ช่วงแรก ของผู้เล่นใน Starfield โดยผู้พัฒนาได้เคยเปิดเผยออกมาแล้วว่าเกมจะมีระบบคู่หูร่วมเดินทางกับผู้เล่นเช่นเดียวกับเกมอย่าง Fallout 4 นั่นเอง ซึ่งเจ้า Vasco ถือเป็นคู่หูตัวแรกที่เราได้เห็นหน้าตาในขณะนี้
ในส่วนของภูมิหลังนั้น หุ่น Vasco แท้จริงแล้วเป็นหุ่นรบที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้ในภารกิจการสำรวจดาวของกลุ่ม Constellation โดยอาวุธและเกราะหนักของเขาได้ถูกถอดออก และทดแทนด้วยเครื่องมือที่ช่วยในการสำรวจ เช่นมือจักรกลเอาไว้หยิบจับตัวอย่างสิ่งของจากดวงดาว หรือตะขอติดหลังเอาไว้ลากสัมภาระเป็นต้น
อีกหนึ่งเรื่องที่ยังไม่ได้มีการอธิบายมากมายเท่าไหร่นัก แต่เราจะเห็นในตัวอย่างครู่หนึ่ง นั่นคือการเห็นระบบสร้างฐาน ที่เรียกว่า Outpost ซึ่งเป็นการเปิดแผนที่ รวมไปถึงการเปิดฟีเจอร์สิ่งอำนวยสะดวกต่าง ๆ เช่น ระบบคราฟ เป็นต้น เป็นการปรับปรุงขึ้นของระบบสร้างเมืองใน Fallout 4 นั่นเอง ผู้เล่นจะสามารถสร้างและปรับแต่งฐานทัพได้อย่างอิสระพอสมควร คงต้องจับตากันต่อไปว่าระบบ Outpost นี้จะมีความสำคัญต่อเกมแค่ไหนอย่างไรบ้าง
ก่อนหน้านี้ทางเราได้เกริ่นถึงระบบคราฟไป ซึ่งในตัวอย่างจะพบได้ว่าภายในฐานที่มั่นของผู้เล่นนั้น จะมีระบบคราฟหลัก ๆ อยู่ 5 หมวดนั่นคือ
หมวดปรุงยา ปรุงเคมี หรือแปลตรงตัวคือ เภสัชวิทยา
หมวดอาหาร และเครื่องดื่ม
หมวดการพัฒนา Outpost
หมวดอุปกรณ์สวมใส่
และ หมวดอาวุธ
ซึ่งในตัวอย่างเรายังไม่ได้เห็นระบบการสร้างของทุกหมวดว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือผู้เล่นจะสามารถตกแต่งอาวุธ ใส่ม็อดรวมถึงอาจจะปรับแต่งสีได้อย่างอิสระ ให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ได้มากขึ้น
จากในตัวอย่างเราจะพอเห็นได้ว่าตัวเกมมีหน้าต่างแสดงผล หรือ HUD ต่างๆ ที่นำเสนอได้ในรูปแบบที่ดีในระดับหนึ่งเลย เพราะสีสันไม่ฉูดฉาด หน้าต่างไม่รกสายตา และเข้าใจง่ายด้วย โดยจะขอสรุปเท่าที่เราสามารถหาข้อมูลได้ก่อนดังนี้
ระบบอาวุธก็จะขึ้นมาเป็นรูปบวก เมื่อกดเรียกใช้งาน โดยแต่ละข้างก็จะมีช่องอาวุธ 3 สล็อตให้เลือก
การแสดงผลทั่วไป ด้านขวาล่างจะเป็นการแสดงแถบเลือก อาวุธล่าสุด และจำนวนกระสุน ส่วนซ้ายมือจะเป็นเหมือนค่าพลังงานสเตมิน่า และเข็มทิศ-มินิแมพไปในตัว โดยหากมีศัตรูอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรือพวกมันโจมตีมาก็จะขึ้นจุดสีแดงแสดงให้เราเห็นตำแหน่งอีกด้วย
หน้า HUD การสะเดาะกุญแจ โดยในตัวเกมจะนำเสนอผ่านมินิ-เกมเล็กน้อย ที่ถือว่าทำได้แตกต่างจากหลายเกมในยุค
นี้ และจะใช้ Lockpick ที่ในเกมนี้จะเรียกว่า ‘Digipick’ ในการสะเดาะกลอน
และยังมีหน้า HUD อื่น ๆ เช่น หน้าสแกนที่ดูไม่ซับซ้อนอะไรเข้าถึงง่าย และหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามี Photo Mode ให้เราถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้หรือนำไปแชร์ในคอมมูได้อีกด้วย
มีศัตรูอยู่แทบทุกที่ และมีความแข็งแกร่งโดยอ้างอิงผ่าน Level
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ชอบนัก นั่นคือ Starfield เป็นแนว Action-RPG ดังนั้น ตัวเกมก็จะนำเสนอระบบ Level หมายความว่า ศัตรูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก NPC มนุษย์ สัตว์ / เอเลี่ยน ก็จะมี Level เป็นของตัวเอง ดังนั้นหากอาวุธชุดเกราะหรือสกิลของเรามีเลเวลไม่สูงพอก็อาจจะสู้ยากหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย เพราะหากผู้เล่นมีทริกดี ๆ มีความอดทนสูงก็สามารถใช้เวลาในการจัดการกับศัตรูที่เวลสูงกว่าได้ แต่จะไปว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะนี้คือระบบฟาร์มสไตล์ของพี่ Bethesda เขา ที่ทำมาอย่างยาวนานและประสบความสำเร็จเสียด้วย!
สำหรับตัวเกมก็ยังคงใช้ Creation Engine เอนจิ้นของทาง Bethesda เอง แต่ได้มีการพัฒนามาเป็น Creation Engine 2 ที่จะยกระดับสิ่งต่าง ๆ ให้มีความสมจริง และน่าสนใจยิ่งขึ้นแบบที่เราเห็นในตัวอย่าง อีกทั้ง Starfield ยังเป็นเกมแรกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเอนจิ้นใหม่ตัวนี้ของ Bethesda อีกด้วย
ทีมงานได้มีการกำหนดวันวางจำหน่ายไว้แรกเริ่มคือวันที่ 11 พฤศจิกายนปีนี้ แต่ทีมงานมีการเปิดเผยถึงการที่พวกเขายอมรับว่าที่คือ IP เกมใหม่ที่มีความทะเยอทะยานที่สุด ณ ขนาดนี้ของสตูดิโอ พวกเขาจึงขอทำการเลื่อนไปวางจำหน่ายในช่วงปี 2023 ปีหน้านี้แทนเพื่อที่จะพัฒนาตัวเกมออกมาให้ดีที่สุด และจะปล่อยให้กับ 2 แพลตฟอร์มหลัก ๆ นั่นคือ PC และ Xbox Series X/S
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลต่างๆ ที่เราสามารถรวบรวมมาได้ ณ ขนาดนี้ แล้วติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Starfield ได้ทาง GameFever แน่นอน!