แว่นกรองแสงสีน้ำเงิน เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่หลาย ๆ คนต้องมีติดตัวเอาไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรก็ตาม แต่การจ้องจอดิจิทัลได้กลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ในยุคนี้ไปเสียแล้ว ทั้งจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือ จนแท็ปเล็ต ไปจนถึงจอทีวี ซึ่งจอเหล่านี้ล้วนมีองค์ประกอบหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือการปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมานั่นเอง
โดยการใส่แว่นกรองแสงสีน้ำเงินนั้น จะช่วยลดแสงสีน้ำเงินที่เข้าสู่ดวงตาของผู้สวมใส่ มีทั้งเลนส์สายตาสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาว และมีเลนส์ธรรมดาสำหรับคนที่สายตาปกติเช่นกัน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า แว่นกรองแสงสีน้ำเงินนี้จะช่วยลดอาการปวดตา ตาล้า และปกป้องดวงตาในระยะยาวได้
แต่ในผลการศึกษาชิ้นล่าสุดปรากฎว่า แสงสีน้ำเงินจากหน้าจอดิจิทัลนั้น ไม่ได้ส่งผลต่ออาการปวดตาของมนุษย์แต่อย่างใด สาเหตุของปัญหาทางดวงตาหลาย ๆ อย่างมาจากหน้าจอดิจิทัลต่างหาก
โดย Nicole Bajic ผู้ที่เป็นจักษุแพทย์กล่าวว่า อาการเจ็บป่วยทางดวงตานั้น ส่วนใหญ่จะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่โรคที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นอาการปวดตาด้วย ซึ่งโรคนี้นำไปสู่สาเหตุของอาการทางดวงตาทั้งหลาย เช่น
ตาแฉะ (Watery eyes)
ตาแห้ง (Dry eyes)
ตาเบลอ (Blurred vision)
อ่อนไหวต่อแสง (Sensitivity to light)
ปวดหัว (Headache)
ปวดคอและไหล่ (Neck and shoulder pain)
สมาธิสั้น (Difficulty concentrating)
แสบตา (Burning eyes)
เคืองตา (Itchy eyes)
ลืมตาไม่ขึ้น (Hard time keeping your eyes open)
โดยอาการทั้งหมดนี้ มันมีต้นเรื่องมาจากการที่ดวงตาของมนุษย์จะจับจ้องโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาเมื่อจ้องบนจอดิจิทัล ทำให้ไม่มีช่วงพักสายตา ส่งผลให้คนเรากระพริบตาไม่ปกติ นั่นจึงกลายเป็นสาเหตุของอาการตาล้าหรือปวดตาหลังจากที่จ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง ซึ่งแสงสีน้ำเงินไม่ได้เข้ามามีส่วนทำให้คนเราปวดตาโดยตรงตั้งแต่แรก พูดอีกอย่างหนึ่งว่าอาการปวดตาหรือตาล้าที่เรารู้สึก อาจไม่ได้เกี่ยวกับแสงสีน้ำเงิน แต่เป็นอาการทั่วไปที่เกิดจากการจ้องอะไรก็แล้วแต่ในระยะใกล้ ๆ เป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง
ทั้งนี้ ใช่ว่าแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์จะไม่ส่งผลเสียต่อเราเลย โดยแพทย์สายตาหลายคนได้บอกว่าการรับแสงสีฟ้ามากเกินไปอาจส่งผลต่อคุณภาพในการนอนหลับได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในเวลากลางคืน เพราะแสงสีฟ้าจะส่งผลให้นาฬิกาชีวภาพของเราปรับตัวไม่ถูก และทำให้รู้สึกว่าเป็นเวลากลางวันอยู่ แว่นกันแสงสีฟ้าจึงยังมีผลช่วยสำหรับผู้ที่ประสบอาการนอนไม่หลับจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในเวลากลางคืน
ขอบคุณภาพจาก Tero Vesalainen/GettyImages
วิธีรับมือเมื่อต้องจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ทางคุณหมอ Bajic ยังได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ อีกด้วย โดยสำหรับใครที่มีอาการดวงต่ออ่อนไหวต่อแสง หรือมีอาการไมเกรนเมื่อจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน คุณหมอได้แนะนำให้ใส่แว่น FL-41 ที่จะช่วยลดแสงสว่างที่เข้าสู่ดวงตาของผู้สวมใส่ โดยแว่น FL-41 จะเป็นแว่นที่ใช้เลนส์พิเศษช่วยลดความยาวคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาจากแสงไฟต่าง ๆ โดยเฉพาะแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่มักจะทำให้กระตุ้นปวดไมเกรนได้
ส่วนคนทั่วไป ทางคุณหมอได้สอนถึงกฎ 20-20-20 นั่นคือ “ทุกการจ้องจอดิจิทัล 20 นาที หันไปมองอะไรก็ได้ที่อยู่ไกลออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที” การกระทำนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของดวงตา และยังช่วยทำให้การกระพริบตากลับมาเป็นปกติอีกด้วย
การใช้น้ำตาเทียม ก็ได้ผลดีเช่นกัน เพราะจะช่วยทำให้ตาชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน ไม่สุ่มเสี่ยงอาการตาแห้งจากการจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน แต่ทั้งนี้คุณหมอได้เตือนว่า ไม่ควรใช้เกิน 4 ครั้งต่อวัน ส่วนใครที่มีอาการตาแห้งและต้องใช้งานเป็นจำนวนมาก ควรใช้แบบที่ไม่มีสารกันบูดจะดีกว่า
และข้อสุดท้ายคือ การนั่งให้ห่างจากหน้าจอในระยะช่วงแขน (ประมาณ 63 ซม.) เพราะคนส่วนใหญ่มักนั่งใกล้หน้าจอจนเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดตาเช่นกัน สำหรับคนที่นั่งห่างแล้วรู้สึกว่า ตัวหนังสือเล็ก อ่านไม่ถนัด ก็ให้ขยายขนาดของภาพเอา ไม่ใช่การเขยิบตัวเข้าไปใกล้หน้าจอแทน
ยังมีแสงอื่น ๆ อีกไหมที่ส่งผลกับดวงตาของมนุษย์?
หากใครจำเรื่องที่เรียนในคาบวิทยาศาสตร์ได้ คงพอจะทราบกันว่า สเปกตรัมของแสงมีทั้งหมด 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แสง ซึ่งเป็นสีของรุ้งนั่นเอง
โดยแสงที่มีผลกระทบต่อดวงตานั้นได้แก่ น้ำเงิน เขียว และเหลือง ทั้งแสงน้ำเงิน (Blue Light) กับแสงเขียว (Green Light) จะให้ผลต่อดวงตาที่คล้ายกัน นั่นคือ กระตุ้นความสนใจของมนุษย์ ส่งผลต่อจังหวะการใช้ชีวิต หรือที่เรียกกันภาษาบ้าน ๆ ว่า “นาฬิกาชีวิต” แสงทั้งสองจะทำให้ร่างกายรับรู้ถึงช่วงเวลากลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่คล้ายกับยากล่อมประสาท โดยประยุกต์ใช้ในการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า เนื่องจากขาดแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ แสงสีน้ำเงินกับแสงสีเขียว หากรับในปริมาณที่มากเกินไปก็จะส่งผลร้ายได้เช่นกัน เพราะทั้งสองแสงนี้จะลดการหลั่งสาร Melatonin ซึ่งเป็นสารในสมองที่จะถูกหลั่งออกมาเฉพาะในเวลากลางคืนหรือตอนที่มีแสงน้อย ช่วยทำให้คนเรารู้สึกง่วง แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แสงสีน้ำเงินกับสีเขียวจะส่งผลต่อนาฬิกาชีวิต ดังนั้นหากรับมากไปในเวลากลางคืน จะทำให้ร่างกายของเราเข้าใจผิด ส่งผลให้สมองชะลอการหลั่งสาร Melatonin และทำให้เราไม่รู้สึกง่วงในตอนกลางคืนนั่นเอง ซึ่งการที่สาร Melatonin หลั่งน้อยลง จะนำไปสู่โรคร้ายหลายโรค ได้แก่ ความดัน เบาหวาน และไมเกรน เป็นต้น (โดยปกติแล้วมนุษย์จะเจอแสงสีน้ำเงินมากกว่า เพราะเป็นแสงที่มีจาหน้าจอดิจิทัล และแสงที่มาจากหลอดฟลูออเรสเซนส์)
และสำหรับแสงสีเหลือง (Yellow Light) จะเป็นแสงที่อยู่คู่ตรงข้ามกับแสงสีน้ำเงิน เจ้าแสงสีเหลืองนี้จะช่วยในการป้องกันแสงสีน้ำเงินได้ดี นี่จึงเป็นสาเหตุว่าแว่นกรองแสงสีน้ำเงินจึงมักมีเลนส์สีเหลือง ซึ่งหลักการนี้ก็ใช้กับแว่นกันแดดที่มีสีเหลืองเช่นกัน เพราะนอกจากจะป้องกันแสง UV ได้แล้ว ยังสามารถกรองแสงสีน้ำเงินจากดวงอาทิตย์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ เลนส์ดวงตาของมนุษย์จะมีสีเหลืองโดยธรรชาติเมื่ออายุเพิ่มขึ้น นั่นจึงช่วยทำให้มนุษย์สามารถรับแสงสีฟ้าได้มากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก Unspalsh
สุดท้ายนี้ ถึงแสงสีน้ำเงินจะไม่ได้ส่งผลต่ออาการปวดตาโดยตรง แต่แสงสีน้ำเงินก็สามารถเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากใครมีอาการที่นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน อันเนื่องมาจากการต้องทำงานกับหน้าจอดิจิทัลนาน ๆ หรือจะเป็นการเล่นเกมก็แล้วแต่ คุณควรลองหาแว่นกรองแสงสีน้ำเงินมาใส่ ไม่ก็ลองทำตามวิธีรับมือกับอาการ Computer Vision Syndrome ที่เรานำเสนอไปนะครับ
แหล่งข้อมูล: https://eastwesteye.com/different-colored-light-affects-eyes/
https://health.clevelandclinic.org/do-blue-light-blocking-glasses-actually-work/
https://health.clevelandclinic.org/computers-and-blurry-vision-5-fixes-for-your-tech-induced-eyestrain/แว่นกรองแสงสีน้ำเงิน เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่หลาย ๆ คนต้องมีติดตัวเอาไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรก็ตาม แต่การจ้องจอดิจิทัลได้กลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ในยุคนี้ไปเสียแล้ว ทั้งจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือ จนแท็ปเล็ต ไปจนถึงจอทีวี ซึ่งจอเหล่านี้ล้วนมีองค์ประกอบหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือการปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมานั่นเอง
โดยการใส่แว่นกรองแสงสีน้ำเงินนั้น จะช่วยลดแสงสีน้ำเงินที่เข้าสู่ดวงตาของผู้สวมใส่ มีทั้งเลนส์สายตาสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาว และมีเลนส์ธรรมดาสำหรับคนที่สายตาปกติเช่นกัน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า แว่นกรองแสงสีน้ำเงินนี้จะช่วยลดอาการปวดตา ตาล้า และปกป้องดวงตาในระยะยาวได้
แต่ในผลการศึกษาชิ้นล่าสุดปรากฎว่า แสงสีน้ำเงินจากหน้าจอดิจิทัลนั้น ไม่ได้ส่งผลต่ออาการปวดตาของมนุษย์แต่อย่างใด สาเหตุของปัญหาทางดวงตาหลาย ๆ อย่างมาจากหน้าจอดิจิทัลต่างหาก
โดย Nicole Bajic ผู้ที่เป็นจักษุแพทย์กล่าวว่า อาการเจ็บป่วยทางดวงตานั้น ส่วนใหญ่จะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่โรคที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นอาการปวดตาด้วย ซึ่งโรคนี้นำไปสู่สาเหตุของอาการทางดวงตาทั้งหลาย เช่น
ตาแฉะ (Watery eyes)
ตาแห้ง (Dry eyes)
ตาเบลอ (Blurred vision)
อ่อนไหวต่อแสง (Sensitivity to light)
ปวดหัว (Headache)
ปวดคอและไหล่ (Neck and shoulder pain)
สมาธิสั้น (Difficulty concentrating)
แสบตา (Burning eyes)
เคืองตา (Itchy eyes)
ลืมตาไม่ขึ้น (Hard time keeping your eyes open)
โดยอาการทั้งหมดนี้ มันมีต้นเรื่องมาจากการที่ดวงตาของมนุษย์จะจับจ้องโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาเมื่อจ้องบนจอดิจิทัล ทำให้ไม่มีช่วงพักสายตา ส่งผลให้คนเรากระพริบตาไม่ปกติ นั่นจึงกลายเป็นสาเหตุของอาการตาล้าหรือปวดตาหลังจากที่จ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง ซึ่งแสงสีน้ำเงินไม่ได้เข้ามามีส่วนทำให้คนเราปวดตาโดยตรงตั้งแต่แรก พูดอีกอย่างหนึ่งว่าอาการปวดตาหรือตาล้าที่เรารู้สึก อาจไม่ได้เกี่ยวกับแสงสีน้ำเงิน แต่เป็นอาการทั่วไปที่เกิดจากการจ้องอะไรก็แล้วแต่ในระยะใกล้ ๆ เป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง
ทั้งนี้ ใช่ว่าแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์จะไม่ส่งผลเสียต่อเราเลย โดยแพทย์สายตาหลายคนได้บอกว่าการรับแสงสีฟ้ามากเกินไปอาจส่งผลต่อคุณภาพในการนอนหลับได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในเวลากลางคืน เพราะแสงสีฟ้าจะส่งผลให้นาฬิกาชีวภาพของเราปรับตัวไม่ถูก และทำให้รู้สึกว่าเป็นเวลากลางวันอยู่ แว่นกันแสงสีฟ้าจึงยังมีผลช่วยสำหรับผู้ที่ประสบอาการนอนไม่หลับจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในเวลากลางคืน
ขอบคุณภาพจาก Tero Vesalainen/GettyImages
วิธีรับมือเมื่อต้องจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ทางคุณหมอ Bajic ยังได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ อีกด้วย โดยสำหรับใครที่มีอาการดวงต่ออ่อนไหวต่อแสง หรือมีอาการไมเกรนเมื่อจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน คุณหมอได้แนะนำให้ใส่แว่น FL-41 ที่จะช่วยลดแสงสว่างที่เข้าสู่ดวงตาของผู้สวมใส่ โดยแว่น FL-41 จะเป็นแว่นที่ใช้เลนส์พิเศษช่วยลดความยาวคลื่นที่ถูกปล่อยออกมาจากแสงไฟต่าง ๆ โดยเฉพาะแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่มักจะทำให้กระตุ้นปวดไมเกรนได้
ส่วนคนทั่วไป ทางคุณหมอได้สอนถึงกฎ 20-20-20 นั่นคือ “ทุกการจ้องจอดิจิทัล 20 นาที หันไปมองอะไรก็ได้ที่อยู่ไกลออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที” การกระทำนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของดวงตา และยังช่วยทำให้การกระพริบตากลับมาเป็นปกติอีกด้วย
การใช้น้ำตาเทียม ก็ได้ผลดีเช่นกัน เพราะจะช่วยทำให้ตาชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน ไม่สุ่มเสี่ยงอาการตาแห้งจากการจ้องหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน แต่ทั้งนี้คุณหมอได้เตือนว่า ไม่ควรใช้เกิน 4 ครั้งต่อวัน ส่วนใครที่มีอาการตาแห้งและต้องใช้งานเป็นจำนวนมาก ควรใช้แบบที่ไม่มีสารกันบูดจะดีกว่า
และข้อสุดท้ายคือ การนั่งให้ห่างจากหน้าจอในระยะช่วงแขน (ประมาณ 63 ซม.) เพราะคนส่วนใหญ่มักนั่งใกล้หน้าจอจนเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดตาเช่นกัน สำหรับคนที่นั่งห่างแล้วรู้สึกว่า ตัวหนังสือเล็ก อ่านไม่ถนัด ก็ให้ขยายขนาดของภาพเอา ไม่ใช่การเขยิบตัวเข้าไปใกล้หน้าจอแทน
ยังมีแสงอื่น ๆ อีกไหมที่ส่งผลกับดวงตาของมนุษย์?
หากใครจำเรื่องที่เรียนในคาบวิทยาศาสตร์ได้ คงพอจะทราบกันว่า สเปกตรัมของแสงมีทั้งหมด 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แสง ซึ่งเป็นสีของรุ้งนั่นเอง
โดยแสงที่มีผลกระทบต่อดวงตานั้นได้แก่ น้ำเงิน เขียว และเหลือง ทั้งแสงน้ำเงิน (Blue Light) กับแสงเขียว (Green Light) จะให้ผลต่อดวงตาที่คล้ายกัน นั่นคือ กระตุ้นความสนใจของมนุษย์ ส่งผลต่อจังหวะการใช้ชีวิต หรือที่เรียกกันภาษาบ้าน ๆ ว่า “นาฬิกาชีวิต” แสงทั้งสองจะทำให้ร่างกายรับรู้ถึงช่วงเวลากลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่คล้ายกับยากล่อมประสาท โดยประยุกต์ใช้ในการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า เนื่องจากขาดแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ แสงสีน้ำเงินกับแสงสีเขียว หากรับในปริมาณที่มากเกินไปก็จะส่งผลร้ายได้เช่นกัน เพราะทั้งสองแสงนี้จะลดการหลั่งสาร Melatonin ซึ่งเป็นสารในสมองที่จะถูกหลั่งออกมาเฉพาะในเวลากลางคืนหรือตอนที่มีแสงน้อย ช่วยทำให้คนเรารู้สึกง่วง แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แสงสีน้ำเงินกับสีเขียวจะส่งผลต่อนาฬิกาชีวิต ดังนั้นหากรับมากไปในเวลากลางคืน จะทำให้ร่างกายของเราเข้าใจผิด ส่งผลให้สมองชะลอการหลั่งสาร Melatonin และทำให้เราไม่รู้สึกง่วงในตอนกลางคืนนั่นเอง ซึ่งการที่สาร Melatonin หลั่งน้อยลง จะนำไปสู่โรคร้ายหลายโรค ได้แก่ ความดัน เบาหวาน และไมเกรน เป็นต้น (โดยปกติแล้วมนุษย์จะเจอแสงสีน้ำเงินมากกว่า เพราะเป็นแสงที่มีจาหน้าจอดิจิทัล และแสงที่มาจากหลอดฟลูออเรสเซนส์)
และสำหรับแสงสีเหลือง (Yellow Light) จะเป็นแสงที่อยู่คู่ตรงข้ามกับแสงสีน้ำเงิน เจ้าแสงสีเหลืองนี้จะช่วยในการป้องกันแสงสีน้ำเงินได้ดี นี่จึงเป็นสาเหตุว่าแว่นกรองแสงสีน้ำเงินจึงมักมีเลนส์สีเหลือง ซึ่งหลักการนี้ก็ใช้กับแว่นกันแดดที่มีสีเหลืองเช่นกัน เพราะนอกจากจะป้องกันแสง UV ได้แล้ว ยังสามารถกรองแสงสีน้ำเงินจากดวงอาทิตย์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ เลนส์ดวงตาของมนุษย์จะมีสีเหลืองโดยธรรชาติเมื่ออายุเพิ่มขึ้น นั่นจึงช่วยทำให้มนุษย์สามารถรับแสงสีฟ้าได้มากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก Unspalsh
สุดท้ายนี้ ถึงแสงสีน้ำเงินจะไม่ได้ส่งผลต่ออาการปวดตาโดยตรง แต่แสงสีน้ำเงินก็สามารถเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากใครมีอาการที่นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน อันเนื่องมาจากการต้องทำงานกับหน้าจอดิจิทัลนาน ๆ หรือจะเป็นการเล่นเกมก็แล้วแต่ คุณควรลองหาแว่นกรองแสงสีน้ำเงินมาใส่ ไม่ก็ลองทำตามวิธีรับมือกับอาการ Computer Vision Syndrome ที่เรานำเสนอไปนะครับ
แหล่งข้อมูล: https://eastwesteye.com/different-colored-light-affects-eyes/
https://health.clevelandclinic.org/do-blue-light-blocking-glasses-actually-work/
https://health.clevelandclinic.org/computers-and-blurry-vision-5-fixes-for-your-tech-induced-eyestrain/