ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางสตูดิโอ Luminous Productions ผู้พัฒนาเกม Forspoken ได้ทำการพรีวิวตัวเกมให้กับสื่อหลายสำนักได้ดูกัน โดยการพรีวิวในครั้งนี้จะเป็นแบบ Hands-off ซึ่งตัวสื่อจะได้นั่งดูเกมเพลย์ของ Forspoken ผ่านคนอื่นที่กำลังเล่นอยู่
แน่นอนว่าสื่อรายใหญ่ ๆ อย่าง IGN, TheGamer, GameSpot และ GamesRadar+ ก็ได้ถูกรับเชิญให้ไปร่วมงานพรีวิวนี้เช่นกัน
โดยบรรดาสื่อต่าง ๆ ล้วนให้ความเห็นแตกต่างและปะปนกันไปตามรสนิยมส่วนตัว บางเจ้าชอบในจุดเด่นนี้ บางเจ้าก็กลับมองว่าจุดนั้นเป็นข้อด้อยได้เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นทาง IGN ที่ออกมาพรีวิวว่า ตัวเกมค่อนข้างน่าสนใจและมีแนวคิดที่แหวกไปจากขนบเดิม ๆ ของเกมแนว JRPG
โดยส่วนตัวแล้วทาง IGN ค่อนข้างชอบที่ตัวเกมกล้านำเสนอสิ่งใหม่ ๆ อย่างการใช้เวทมนตร์ช่วยในการออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ และระบบอัปเกรดตัวละครที่มีหลากหลาย แต่ถ้าหากว่าคนที่ชอบเล่นเกมแนว RPG แบบดั้งเดิมอาจจะไม่ชอบก็เป็นได้
ทั้งนี้ตัวเกมยังแอบซ้ำซากกับเกม RPG ในยุคสมัยใหม่อยู่บ้าง โดยเฉพาะการออกแบบตัวแผนที่ โดยสูตรสำเร็จของเกมแนวโลกเปิดก็คือ แผนที่ใหญ่ จุดที่น่าสนใจให้เข้าไปสำรวจ และเป้าหมายเควสต์หลักที่รอให้ผู้เล่นเข้าไปดำเนินเนื้อเรื่องต่อนั่นเอง
ทางฝั่ง TheGamer กลับได้ให้ความเห็นถึงเรื่องการพัฒนาตัวละครไปทางตรงกันข้าม พวกเขาคิดว่าระบบอัปเกรดแบบนี้มีอยู่ทั่ว ๆ ไปในเกม RPG ทั้ง Skill Tree ไปจนถึงการใส่เสื้อผ้าเพื่อช่วยเพิ่มสเตตัสของตัวละครหลัก
และเมื่อหากผู้ถึงเกมแนว JRPG จากฝั่งญี่ปุ่น สิ่งที่โดดเด่นก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบตัวละครที่หล่อสวย ราวกับหลุดออกมาจากเวทีนางแบบ นายแบบ ซึ่งในเกม Forspoken นั้นกลับแตกต่าง ด้วยการใช้ผู้หญิงผิวดำ ที่หน้าสมจริงมากยิ่งขึ้น เป็นเหมือนการบอกกลาย ๆ ว่า ตัวเกมจะมีความสมจริงและซีเรียสมากกว่าเกม JRPG ทั่ว ๆ ไป แต่ทว่าพอได้ดูด้วยตัวเองแล้วกลับรู้สึกธรรมดามากกว่าที่คิด การเล่าเรื่องไม่ได้ทำให้ช่วยอินกับตัวละครหลักได้เลย
นอกจากนี้ทาง TheGamer คาดหวังว่าระบบการต่อสู้จะมีอะไรให้ทำได้มากกว่านี้ เพราะหากว่าระบบการต่อสู้ของ Forspoken ออกมาเหมือนกับ Final Fantasy 15 ที่เป็นเกมก่อนหน้าของสตูดิโอ Luminous Productions แล้วล่ะก็ ตัวเกมคงน่าเบื่อเอามาก ๆ อย่างแน่นอน ต้องมารอดูตัวเกมเต็มว่าจะมีอะไรให้ผู้เล่นได้ทำมากกว่านี้ไหม
“Forspeoken มันเหมือนกับวิดีโอเกมปลอม ๆ ที่คุณจะเห็นอยู่ตามทีวีซีรีส์เลย มันดูดีจนเกินกว่าจะมีตัวตนจริง ๆ ด้วยซ้ำ คุณไม่สามรถจินตนาการออกเลยว่า การได้สัมผัสประสบการณ์ในการเล่นเกมพวกนั้นมันเป็นยังไง แต่อันที่จริงแล้วส่วนผสมที่ทำให้มันเกิดขึ้นมานั้นกลับธรรมดาเอามาก ๆ”
ทางด้าน GameSpot ก็พูดถึงความแปลกใหม่ที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงผิวดำเช่นกัน เนื่องจากสตูดิโอจากฝั่งญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ใช้ตัวละครแบบนี้มากนัก
แต่พวกเขากลับเป็นห่วงฝั่งของคนเขียนบททั้งสองคนอย่าง Both Gary Whitta และ Amy Hennig มากกว่า
ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีผลงาน และประสบการณ์มากมาย แต่พวกเขาสองคนไม่ใช่คนผิวดำ ดังนั้นจึงอาจจะมีบางเรื่องที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่าที่ควร
แน่นอนว่าทางผู้พัฒนาได้ทำการบ้านมาตรงจุดนี้เช่นกัน ด้วยการดึงคนผิวดำจำนวนมาก เพื่อมาร่วมกันช่วยสร้างเรื่องราวพื้นหลังของตัวละครหลักอย่าง Frey แต่ทว่าพวกเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
และสิ่งที่ GameSpot เป็นห่วงมากที่สุดในเกม Forspoken ก็คือ การรังสรรค์โลกออกมาได้ค่อนข้างกลวงเปล่า
แม้ตัวแผนที่ในเกมจะดูกว้างใหญ่ก็จริง แต่ส่วนมากของพื้นที่มักจะเป็นบริเวณรกร้าง ซึ่งผลกระทบนี้อาจจะมาจากการเขียนบทที่มี The Breaks คอยเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสมันให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป ทำให้เมือง Cipal เป็นฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของมนุษย์
ซึ่งในตอนแรกการฟังไอเดียนี้ก็ดูเจ๋งดี แต่เมื่อได้มาลองเห็นกับตาตัวเอง มันกลับทำให้พื้นที่นอกเมืองดูไร้ชีวิตชีวาแบบสุด ๆ
“มันเหมือนกับเกมที่มี Hub ให้ผู้เล่นได้กลับมาพักผ่อนอยู่เสมอ จากนั้นผู้เล่นจะออกไปสำรวจโลกกว้าง จัดการศัตรู แล้วก็วนกลับมาเติมพลังใน Hub ใหม่ ปัญหาก็คือ เราเคยเห็นเกม Anthem ทำแบบนี้มาแล้ว ซึ่งเกมนั้นมันเจ๊งไม่เป็นท่า ผมกลัวเหลือเกินกว่าเกมนี้จะเป็นเหมือนกัน หวังว่าผมจะคิดผิดนะ”
ส่วนความเห็นสุดท้ายจากทางฝั่ง GamesRadar+ ที่ออกมาค่อนข้างดี สวนทางกับสามเจ้าที่พรีวิวไปก่อนหน้าที่หาข้อติกันระงม
โดยทาง GamesRadar+ ได้กล่าวว่า สิ่งที่โดดเด่นของเกมนี้คือการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ด้วยเวทมนตร์ ด้วยสิ่งนี้จะทำให้ตัวละครหลักไม่มีข้อจำกัดในการสำรวจอีกต่อไป แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ควบคุมจอยนั่นด้วยตัวเอง
อีกทั้งการอัปเกรดตัวละครยังคงขนบเดิม ๆ ของเกม RPG เอาไว้ได้ดี ทั้งการอัปเกรดที่พัก คราฟต์ชุดใหม่ ๆ ระบบ Skill Tree นอกจากนี้ยังได้มีไอเดียใหม่อยากจากนำ Break Shards มาทาเล็บเป็นลวดลายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพลังเวทย์ให้ตัวละครหลักอีกด้วย โดยแต่ละลวดลายนั้นจะแสดงผลที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งทางผู้พัฒนากล่าวว่า แนวคิดของเกมนี้เป็นเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน โดย Frey ตัวเอกเป็นตัวแทนของยุคสมัยใหม้่ ส่วนโลก Athia เป็นตัวแทนของความแฟนตาซี
ด้วยองค์ระกอบหลาย ๆ อย่างของความเป็น RPG บวกกับการสำรวจโลกกว้างด้วยเวทมนตร์ จึงทำให้แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้การพรีวิวนี้ยังเป็นเพียงแค่ การดูฟุตเทจของคนอื่นที่เล่น ไม่ใช่การเล่นเองจากทางสื่อแต่อย่างใด เราอาจจะเชื่อถือไม่ได้มากเท่ากับการจับจอยบังคับตัวละครหลักด้วยตัวเอง
ถึงอย่างนั้นเรื่องหนึ่งที่สามารถบอกได้ก็คือ อย่าคาดหวังสูงจะดีกว่า เพราะยิ่งหวังสูงมากเท่าไร เวลาผิดหวังก็จะเจ็บมากเท่านั้น
แหล่งข้อมูล: gamespot
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางสตูดิโอ Luminous Productions ผู้พัฒนาเกม Forspoken ได้ทำการพรีวิวตัวเกมให้กับสื่อหลายสำนักได้ดูกัน โดยการพรีวิวในครั้งนี้จะเป็นแบบ Hands-off ซึ่งตัวสื่อจะได้นั่งดูเกมเพลย์ของ Forspoken ผ่านคนอื่นที่กำลังเล่นอยู่
แน่นอนว่าสื่อรายใหญ่ ๆ อย่าง IGN, TheGamer, GameSpot และ GamesRadar+ ก็ได้ถูกรับเชิญให้ไปร่วมงานพรีวิวนี้เช่นกัน
โดยบรรดาสื่อต่าง ๆ ล้วนให้ความเห็นแตกต่างและปะปนกันไปตามรสนิยมส่วนตัว บางเจ้าชอบในจุดเด่นนี้ บางเจ้าก็กลับมองว่าจุดนั้นเป็นข้อด้อยได้เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นทาง IGN ที่ออกมาพรีวิวว่า ตัวเกมค่อนข้างน่าสนใจและมีแนวคิดที่แหวกไปจากขนบเดิม ๆ ของเกมแนว JRPG
โดยส่วนตัวแล้วทาง IGN ค่อนข้างชอบที่ตัวเกมกล้านำเสนอสิ่งใหม่ ๆ อย่างการใช้เวทมนตร์ช่วยในการออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ และระบบอัปเกรดตัวละครที่มีหลากหลาย แต่ถ้าหากว่าคนที่ชอบเล่นเกมแนว RPG แบบดั้งเดิมอาจจะไม่ชอบก็เป็นได้
ทั้งนี้ตัวเกมยังแอบซ้ำซากกับเกม RPG ในยุคสมัยใหม่อยู่บ้าง โดยเฉพาะการออกแบบตัวแผนที่ โดยสูตรสำเร็จของเกมแนวโลกเปิดก็คือ แผนที่ใหญ่ จุดที่น่าสนใจให้เข้าไปสำรวจ และเป้าหมายเควสต์หลักที่รอให้ผู้เล่นเข้าไปดำเนินเนื้อเรื่องต่อนั่นเอง
ทางฝั่ง TheGamer กลับได้ให้ความเห็นถึงเรื่องการพัฒนาตัวละครไปทางตรงกันข้าม พวกเขาคิดว่าระบบอัปเกรดแบบนี้มีอยู่ทั่ว ๆ ไปในเกม RPG ทั้ง Skill Tree ไปจนถึงการใส่เสื้อผ้าเพื่อช่วยเพิ่มสเตตัสของตัวละครหลัก
และเมื่อหากผู้ถึงเกมแนว JRPG จากฝั่งญี่ปุ่น สิ่งที่โดดเด่นก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบตัวละครที่หล่อสวย ราวกับหลุดออกมาจากเวทีนางแบบ นายแบบ ซึ่งในเกม Forspoken นั้นกลับแตกต่าง ด้วยการใช้ผู้หญิงผิวดำ ที่หน้าสมจริงมากยิ่งขึ้น เป็นเหมือนการบอกกลาย ๆ ว่า ตัวเกมจะมีความสมจริงและซีเรียสมากกว่าเกม JRPG ทั่ว ๆ ไป แต่ทว่าพอได้ดูด้วยตัวเองแล้วกลับรู้สึกธรรมดามากกว่าที่คิด การเล่าเรื่องไม่ได้ทำให้ช่วยอินกับตัวละครหลักได้เลย
นอกจากนี้ทาง TheGamer คาดหวังว่าระบบการต่อสู้จะมีอะไรให้ทำได้มากกว่านี้ เพราะหากว่าระบบการต่อสู้ของ Forspoken ออกมาเหมือนกับ Final Fantasy 15 ที่เป็นเกมก่อนหน้าของสตูดิโอ Luminous Productions แล้วล่ะก็ ตัวเกมคงน่าเบื่อเอามาก ๆ อย่างแน่นอน ต้องมารอดูตัวเกมเต็มว่าจะมีอะไรให้ผู้เล่นได้ทำมากกว่านี้ไหม
“Forspeoken มันเหมือนกับวิดีโอเกมปลอม ๆ ที่คุณจะเห็นอยู่ตามทีวีซีรีส์เลย มันดูดีจนเกินกว่าจะมีตัวตนจริง ๆ ด้วยซ้ำ คุณไม่สามรถจินตนาการออกเลยว่า การได้สัมผัสประสบการณ์ในการเล่นเกมพวกนั้นมันเป็นยังไง แต่อันที่จริงแล้วส่วนผสมที่ทำให้มันเกิดขึ้นมานั้นกลับธรรมดาเอามาก ๆ”
ทางด้าน GameSpot ก็พูดถึงความแปลกใหม่ที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงผิวดำเช่นกัน เนื่องจากสตูดิโอจากฝั่งญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ใช้ตัวละครแบบนี้มากนัก
แต่พวกเขากลับเป็นห่วงฝั่งของคนเขียนบททั้งสองคนอย่าง Both Gary Whitta และ Amy Hennig มากกว่า
ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีผลงาน และประสบการณ์มากมาย แต่พวกเขาสองคนไม่ใช่คนผิวดำ ดังนั้นจึงอาจจะมีบางเรื่องที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่าที่ควร
แน่นอนว่าทางผู้พัฒนาได้ทำการบ้านมาตรงจุดนี้เช่นกัน ด้วยการดึงคนผิวดำจำนวนมาก เพื่อมาร่วมกันช่วยสร้างเรื่องราวพื้นหลังของตัวละครหลักอย่าง Frey แต่ทว่าพวกเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
และสิ่งที่ GameSpot เป็นห่วงมากที่สุดในเกม Forspoken ก็คือ การรังสรรค์โลกออกมาได้ค่อนข้างกลวงเปล่า
แม้ตัวแผนที่ในเกมจะดูกว้างใหญ่ก็จริง แต่ส่วนมากของพื้นที่มักจะเป็นบริเวณรกร้าง ซึ่งผลกระทบนี้อาจจะมาจากการเขียนบทที่มี The Breaks คอยเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสมันให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป ทำให้เมือง Cipal เป็นฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของมนุษย์
ซึ่งในตอนแรกการฟังไอเดียนี้ก็ดูเจ๋งดี แต่เมื่อได้มาลองเห็นกับตาตัวเอง มันกลับทำให้พื้นที่นอกเมืองดูไร้ชีวิตชีวาแบบสุด ๆ
“มันเหมือนกับเกมที่มี Hub ให้ผู้เล่นได้กลับมาพักผ่อนอยู่เสมอ จากนั้นผู้เล่นจะออกไปสำรวจโลกกว้าง จัดการศัตรู แล้วก็วนกลับมาเติมพลังใน Hub ใหม่ ปัญหาก็คือ เราเคยเห็นเกม Anthem ทำแบบนี้มาแล้ว ซึ่งเกมนั้นมันเจ๊งไม่เป็นท่า ผมกลัวเหลือเกินกว่าเกมนี้จะเป็นเหมือนกัน หวังว่าผมจะคิดผิดนะ”
ส่วนความเห็นสุดท้ายจากทางฝั่ง GamesRadar+ ที่ออกมาค่อนข้างดี สวนทางกับสามเจ้าที่พรีวิวไปก่อนหน้าที่หาข้อติกันระงม
โดยทาง GamesRadar+ ได้กล่าวว่า สิ่งที่โดดเด่นของเกมนี้คือการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ด้วยเวทมนตร์ ด้วยสิ่งนี้จะทำให้ตัวละครหลักไม่มีข้อจำกัดในการสำรวจอีกต่อไป แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ควบคุมจอยนั่นด้วยตัวเอง
อีกทั้งการอัปเกรดตัวละครยังคงขนบเดิม ๆ ของเกม RPG เอาไว้ได้ดี ทั้งการอัปเกรดที่พัก คราฟต์ชุดใหม่ ๆ ระบบ Skill Tree นอกจากนี้ยังได้มีไอเดียใหม่อยากจากนำ Break Shards มาทาเล็บเป็นลวดลายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพลังเวทย์ให้ตัวละครหลักอีกด้วย โดยแต่ละลวดลายนั้นจะแสดงผลที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งทางผู้พัฒนากล่าวว่า แนวคิดของเกมนี้เป็นเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน โดย Frey ตัวเอกเป็นตัวแทนของยุคสมัยใหม้่ ส่วนโลก Athia เป็นตัวแทนของความแฟนตาซี
ด้วยองค์ระกอบหลาย ๆ อย่างของความเป็น RPG บวกกับการสำรวจโลกกว้างด้วยเวทมนตร์ จึงทำให้แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้การพรีวิวนี้ยังเป็นเพียงแค่ การดูฟุตเทจของคนอื่นที่เล่น ไม่ใช่การเล่นเองจากทางสื่อแต่อย่างใด เราอาจจะเชื่อถือไม่ได้มากเท่ากับการจับจอยบังคับตัวละครหลักด้วยตัวเอง
ถึงอย่างนั้นเรื่องหนึ่งที่สามารถบอกได้ก็คือ อย่าคาดหวังสูงจะดีกว่า เพราะยิ่งหวังสูงมากเท่าไร เวลาผิดหวังก็จะเจ็บมากเท่านั้น
แหล่งข้อมูล: gamespot