GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "รีวิว"
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก" [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
[Unbox & Review] Digivice 2020 เปิดจักรวาลใหม่ อุปกรณ์ของเด็กที่ถูกเลือก
เครื่องเล่นพกพาแบบ Pixel ในตัวก็มีทำอยู่แค่สองซีรี่ส์หลักๆ ที่รู้จักกันคือ Tamagotchi และ Digimon ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องเล่นประเภท Vitual Pet หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า V-Pet มันยังคงได้รับความนิยมที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มในสมัยก่อน เพราะยังไงซะมันก็อาจจะสู้เครื่องเล่นพกพายุคใหม่ๆ ที่เป็นจอสีหรือมือถือที่มีเกมมากมายให้เล่น แต่ทว่าทางบริษัท Bandai ผู้พัฒนาของเล่นและสร้างซีรื่ย์ Digimon ได้ดำเนินรุกการตลาดให้เข้าถึงเด็กรุ่นใหม่และรุ่นเดอะอย่างคนเขียนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเครื่องเล่นที่ผสมผสานแสงสีเสียงที่เรียกว่า Digivice รุ่นปี 2020 พร้อมกับทำอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 ควบคู่กัน ทำให้กระแสคนรักดิจิมอนกลับมาอย่างคึกคักและดึงดูดผู้สนใจดิจิมอนหน้าใหม่มาเพียบ และในอนาคต ก็จะมี V-pet รุ่นใหม่อย่าง Pendulum Z และ Vital Bracelet ที่จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Smart band แบบจอสีและการเลี้ยง Digimon เข้าด้วยกัน และบทความนี้เราไม่ได้มารีวิวเกม แต่มารีวิวตอบรับกระแสด้วยการ Unboxing และรีวิวเครื่องเล่นเกม Digivice รุ่น 2020 ให้คุณผู้ชมได้รับชมกันว่า เครื่องเล่นพกพานี้มันมีความน่าเล่นในยุคปัจจุบันมากขนาดไหนกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Digivice เสียก่อน ซึ่งขออธิบายในส่วนนี้ก่อนว่าเครื่องเล่นพกพาซีรี่ย์ Digimon จะมีสองประเภทนั้นก็คือ V-Pet ซึ่งเน้นพักไข่, เลี้ยงดูและเอาไปต่อสู้ ซึ่งรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบเควสต์หรือโคลอสเซี่ยมให้ต่อสู้เพื่อเอาชนะ, เก็บ Level และปลดล็อคเงื่อนไขลับภายในเครื่อง ส่วนอีกประเภทจะเรียกว่า Digivice ซึ่งดีไซน์จะมาจาก Digivice ภายในอนิเมะชั่น Digimon ภาคนั้นๆ โดยจะมีลูกเล่นที่เน้นการผจญภัยตามเนื้อเรื่องอนิเมะ และ Easter Egg ให้ไขความลับภายในเครื่อง ไม่เน้นการเลี้ยงดูและไม่มีวันหมดอายุขัยหรือตายแบบ V-Pet และส่วนที่รีวิวอันนี้คือ Digivice รุ่นปี 2020 ที่มีลูกเล่นเน้นการผจญภัยตะลุยด่านตามเนื้อเรื่องของอนิเมะ Digimon Adventure ภาค Reboot 2020 อันนี้คือตัว Package ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นมาเลย แบบห่อกระดาษไขป้องกันรอยและสิ่งสกปรก ซึ่งพอแกะกระดาษสาออกไปก็จะเป็นกล่องสีขาวกันกระแทกอีกที ไม่ใช่ตัวกล่องของ Digivice จริงๆ หรือพูดง่ายๆ นี่แค่เป็นกล่องชั้นนอกสำหรับกันกระแทกเท่านั้น แต่พอแกะกระดาษสาและเปิด Package ชั้นนอกเท่านั้นแหละถึงกับอุทานว่า "ลุง Bandai จะห่อเยอะไปไหน" เพราะคุณจะได้เห็นตัวกล่องใส่ Digivice รุ่น 2020 จริงๆ ที่มีกระดาษสาห่ออีกชั้นข้างใน นับถือตัวลุงแกเลยว่าใส่ใจเรื่องการป้องกันการเป็นรอยระหว่างขนส่งจริงๆ พอแกะกระดาษสารอบที่สองออก คุณก็จะได้พบกับความ Premium ของตัว Package อย่างแท้จริง ลายบนกล่องเป็นเจ้าตัว Agumon ซึ่งเป็นมาสคอตของซีรี่ย์ Digimon ไม่ว่าจะภาคอนิเมะหรือในเกมก็ตาม ถอดมาก็เป็นตัวอักษรสีเงินสะท้อนแสงเขียนว่า "DIGIMON ADVENTURE" ดูเรียบหรูสุดๆ ส่วนข้างล่างก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "DIGIVICE" ภายในกล่องที่เห็นก็มีตัว Digivice ที่เป็นสีขาว ดูเหมือนไม่มีปุ่มอะไรให้กดเลย และฝ่าหลังที่โชว์ให้เห็น ดูจากสายตาแล้วมันมีขนาดใหญ่น่าจะทำออกมาในอัตราส่วน 1 : 1 แน่ๆ ใหญ๋กว่า Digivce รุ่น D-2 เสียอีก ด้านตัวกล่องทั้งสองข้างก็เขียนคำว่า "DIGIMON ADVENTURE" และคำว่า "DIGIVICE" เป็นสีเงินสะท้อนแสงสวยงาม และใต้ฝากล่องก็พบกับ Easter Egg อย่างแรกของตัว Package เลยนั้นก็คือ ภาพเหล่า Digimon คู่หูของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนเป็นลวดลาย Pixel สีขาว ทำให้เรานึกถึงวัยเด็กที่ได้เล่น Digivice รุ่น D-2 เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก่อนจะดูตัวเครื่อง Digivice เราก็ขอยกตัวพลาสติคกันกระแทกของตัวเครื่องออกเสียก่อน ใต้กล่องก็จะพบกับคู่มือการเปิดเครื่องเบื้องตน ซึ่งคราวนี้มาแปลกเพราะว่ามันเป็นคู่มือแบบย่อเท่านั้น ให้รู้ว่าตัวเครื่องใส่ถ่าน AAA จำนวนสามก้อน และสัญญาณแบตเตอร์รี่อ่อนว่าเป็นอย่างไร และควรเปลี่ยนตอนไหน ส่วนคู่มือวืธีเล่นตัวเต็มต้องใชมือถือ Scan QR Code อีกทีหนึ่ง ซึ่งเอาจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปดูก็ได้ ใช้วิธีงมโข่งเล่นเอาหลังเปิดเครื่องไปเลย ด้านข้างของใต้กล่องก็มี Easter Egg อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคน เห็นแล้วทำให้เราคิดถึงอนิเมะชั่นภาคแรกที่เคยดูมากันเลย คราวนี้ก็ถือคอร์สหลักสักทีก็คือ ตัวเครื่องนั้นเอง หลักๆ จะมีสองส่วนด้วยกันคือ ตัวเครื่อง Digivice สีขาว มีรอบวงแหวนสีน้ำเงิน เขียนอักษรภาษา Digital World สีทองบนตัววงสีน้ำเงิน พร้อมจอแบบ Pixel ที่คุ้นเคยและฝ่าหลังปิดถ่านโดยใช้น็อตหัวสี่แฉกเป็นตัวยึด ส่วนแบตเตอร์รี่ที่ใช้ จะใช้ถ่านขนาด AAA ทั้งหมดสามก้อน หลังจากใส่ครั้งแรกให้กดปุ่ม Reset อยู่ตรงรูเล็กๆ เยื้องทางขวาของหลังเครื่อง ที่ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มเข้าไปรูตรงนั้น ลองได้สัมผัสตัวเครื่องครั้งแรกก็เป็นอย่างที่คิด ตัว Digivice ใหญ่เต็มไม้เต็มมือมากเหมือนขนาด 1 : 1 จากในอนิเมะเลย และพอลองได้เปิดเครื่อง ก็มีไฟ LED แปดสี ซึ่งเป็นสีประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนสว่างรอบตัวเครื่องพร้อมตรา BANDAI เด่นขึ้นมากลางจอ Pixel ส่วนปุ่มกดนั้นดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วมีปุ่มให้กดสี่ปุ่ม ด้านซ้ายและขวามีอย่างละสองปุ่ม ตำแหน่งแถวเยื้องข้างบนและข้างล่าง ทั้งสองข้าง โดยเมื่อเรากดปุ่มใดก็ได้ เริ่มต้นจะมี Digimon ให้เลือกเล่นสองตัวระหว่าง Agumon และ Gabumon ซึ่งไม่ว่าเลือกตัวไหนก่อน เราก็จะได้เล่นทั้งสองตัวตั้งแต่แรก ไม่มีผลต่อการเล่นช่วงต้นเกมแต่อย่างใด คำสั่งปุ่มทั่วไปและเมนูต่างๆ Digivice รุ่น 2020 นี้อย่างที่บอกข้างต้นว่าดูเหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วปุ่มกดจะมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ ซึ่งปุ่มสัมผัมเป็นพลาสติคแข็งๆ และเมื่อกดลงไปมันมีเสียงคลิ๊กเด้งมือมากๆ ราวกับกดปุ่ม Machanical Keyboard แบบจังหวะเดียว ให้ความรู้สึกแตกต่างจากปุ่มยางที่เคยใช้ใน Digivice หรือ V-Pet รุ่นอื่นๆ โดยคำสั่งปุ่มต่างๆ มีฟังก์ชั่นการใช้งานดังนี้ ปุ่มที่ 1: ปุ่มเลื่อนขึ้นบนคำสั่งทั่วไปและย้อนหลังในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 2: ปุ่มเลื่อนลงบนคำสั่งทั่วไปและหน้าถัดไปในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 3: เป็นปุ่มสำหรับกดตกลงและเข้าหน้าเมนู ( จริงๆ ปุ่ม 1 2 และ 3 สามารถกดเข้าเมนูได้หมดบนหน้าหลัก ) ปุ่มที่ 4: เป็นปุ่มสำหรับยกเลิกเมนูและกดดู Emotion เล็กๆ ของ Digimon ทั้งสองตัวเมื่ออยู่หน้าหลักแบบสุ่มอารมณ์ เมื่อเข้าหน้าเมนู เมนูแรกที่จะเจอนั้นก็คือเมนู Status ซึ่งเป็นเมนูที่สามารถเข้าไปเช็คสถานะข้อมูลของ Digimon คู่หูของเราว่าเป็น Digimon ประเภทอะไร ลักษณะของสายเป็นแบบไหน ซึ่งปกติมีสามสายคือ Data, Virus และ Vaccine ซึ่งมีการแพ้ทางกันและกัน รวมไปถึงเช็คสถานะจำนวนที่ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ว่าชนะไปกี่ครั้ง ไปถึงระดับไหนแล้วซึ่งมีผลต่อการปลดระดับพัฒนาร่างในเมนู Quest ด้วย ถัดมาเป็นเมนู Quest ซึ่งมันคือโหมดตะลุยด่านอ้างอิงจากอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 เลย โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 11 Stage และมี Stage ลับขอปลดล็อคอยู่อีก เมื่อเข้าไปในแต่ละ Stage จะมีด่านย่อยๆ ให้เล่นสิบด่านซึ่งด่านย่อนที่สิบจะเป็น Boss ประจำ Stage นั้นๆ หากเอาชนะได้ก็จะสามารถไป Stage ต่อไปได้นั้นเอง ส่วนวิธีการต่อสู้นั้น จะใช้วิธีการต่อสู้แบบ Roulette หรือหมุนวงล้อให้เกจพลังขึ้นสูงที่สุด ซึ่งหากทำได้ก็มีโอกาสชนะศัตรูได้มาก และมีโอกาสได้เจอ Cutscene ที่ Digimon คู่หูจะใช้ท่า Burst โจมตีศัตรูตายภายในครั้งเดียวและต้องกดปุ่มที่ 3 รัวๆ ให้เกจเต็มก่อนหมดเวลา ส่วนรายละเอียดการเล่นนั้น หากมีโอกาสได้ทำ Guide จะได้พูดถึงระบบนี้แบบละเอียดอย่างแน่นอน เมนูสุดท้ายของเครื่องนั้นก็คือ Setting ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากให้เราสามารถเลือกปิดหรือเปิดลูกเล่นไฟ LED และเสียงของตัวเครื่องสามารถปรับให้ปิดหรือเปิดได้เช่นกัน เหมาะกับกรณีไม่ชอบไฟที่แสบตาเกินไปหรือเสียงดังจนรบกวนคนอื่น Feature ต่างๆ ที่เป็นหัวใจของเครื่องนี้ Digivice รุ่น 2020 นี้ได้ตัดระบบการเขย่านับก้าวเดินที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของ Digivice ออกไป ซึ่งฟังแล้วน่าเสียดายมากๆ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยระบบเมนู Quest ที่มีด่านให้เล่นเยอะมากๆ ฉะนั้นเมื่อเราปล่อยจอเข้าสู่หน้าหลัก Digimon คู่หูของเราจะทำการขยับและเดินเล่นไปมาแบบนั้นพร้อมแสดงท่าทางดีใจให้เราเห็นด้วย เมื่อเรากดปุ่มที่ 4 หรือปุ่มยกเลิกเมื่ออยู่หน้าจอหลัก จะเป็นการแสดง Animation เล็กๆ ระหว่าง Digimon คู่หูทั้งสองตัวแบบสุ่ม จะเป็นทั้งดีใจด้วยกัน โกรธกัน หรือหลับด้วยกันซึ่งไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากให้เรากดดูเพลินๆ และ Digivice รุ่น 2020 นี้ไม่มีปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง ดังนั้นจึงใช้ระบบปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่ได้เล่นช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสังเกตจากการปล่อยเครื่องสักพัก Digimon คู่หูเราจะนอนหลับ และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องจะปิดหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอร์รี่ และนี่คือทีเด็ดของ Digivice รุ่นนี้เลยก็คือ เมื่อเราทำการวิวัฒนาการตอนต่อสู้ จะมีไฟ LED สว่างขึ้นมาโดยการพัฒนาแต่ละร่างจะมีการไล่ไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และ Digimon คู่หูแต่ละตัวเมื่อพัฒนาร่างก็จะมีสีไฟที่ไม่เหมือนกันอีก โดยสีไฟจะแสดงเป็นสีต่างๆ ตามสีประจำตัวของ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ที่สำคัญเลยก็คือ หากพัฒนาร่างสุดยอดด้วยการ Jogress ระหว่าง WarGreymon และ MetalGarurumon จะเป็นไฟ LED วิ่งวนสองสีที่ดูสวยงามสุดๆ แต่แอบใช้เวลาแปลงร่างนานไปหน่อยนะ ยังไงก็ตามแลกกับความสวยงามของไฟถือว่ายินดีเลย หากไม่รู้สึกแสบตาไปเสียก่อนเพราะไฟมันสว่างมาก และอีก Feature หนึ่งที่เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเลยก็คือ ระบบ Emergency Enemy หรือระบบสุ่มเจอศัตรู โดยมีโอกาสสุ่มเจอเมื่อเราเอาชนะ Boss ประจำ Stage นั้นๆ ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ตื่นเต้นมากๆ และจะได้เจอศัตรูที่เราเห็นแล้วจะต้องร้องพระเจ้าซึ่งหากชนะศัตรูพวกนี้ เราจะได้พวกเขามาเป็นพวก แต่หากแพ้ก็ต้องรอสุ่มกันต่อไป ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับคนที่อยู่ๆ มาเจออะไรแบบนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจจะทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการ Unboxing และ Review ของเครื่องเล่น Digivice รุ่น 2020 ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ดีต่อใจมากๆ สำหรับคนรักและสะสม Digimon หรือถึงแฟนบอยของ Digimon ที่ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง ทำไฟ LED ที่มีลูกเล่นไล่ไฟตอนพัฒนาร่าง รวมถึงระบบ Quest ที่เข้ามาแทนที่การเขย่านับก้าวเดิน ก็เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยเหมือนกัน อีกทั้งด้วยสัดส่วนขนาดแบบ 1 : 1 และมีไฟตามแบบฉบับอนิเมะ ถ้าหากในแง่สะสมถือว่าคุ้มค่าอย่างมากหรือหากเอามาเล่นจริงจังให้เคลียร์เกมก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มกับเงินที่จ่ายไปราวๆ 3,XXX บาทเช่นกัน เพราะระดับความยากถือว่าทำเอาคนเขียนบทความหัวอุ่นใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ การที่เอาระบบเขย่าออก มันทำให้เสน่ห์ของมันหายไปเยอะพอสมควร และไฟที่สว่างมากๆ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะแสบตาหรือไวต่อแสง และราคาค่อนข้างสูง หากเป็นคนที่ไม่ใช่แฟนบอยอาจจะมองว่าแพงก็ได้ หากใครชอบบทความนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้เยอะๆ เลยนะ และหากมีโอกาสได้ทำบทความ Digivice 2020 อีก ก็จะทำ Guide ระบบการเล่นระบบ Quest ให้อ่านกันนะ
06 Jan 2021
[รีวิว] Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact จะรอดหรือจะร่วง?
หลังจาก Poco X3 NFC ออกสู่วางตลาดไปได้ไม่นาน ก็นับว่าเป็น Smartphone ที่แทบจะตบหลายยี่ห้อกันเลยทีเดียวทั้งสเปคต่อความคุ้มค่าคุ้มราคาและตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดีสมกับค่าตัวของมัน และคนเขียนเองก็ได้เป็นหนึ่งในเจ้าของเครื่องนี้ด้วยเช่นกัน บทความนี้เราจะไม่ได้มาเน้นรีวิว Smartphone เครื่องนี้เป็นหลักเพราะคงจะทราบถึงสเปคและประสิทธิภาพเครื่องนี้กันมาพอสมควรแล้ว แต่เราจะมารีวิวเฉพาะทางด้วยการนำ Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact ที่เป็นเกมแนว Action RPG Openworld เพื่อทดลองว่าโทรศัพท์ยี่ห้อนี้เหมาะหรือคุ้มค่ากับการเอามาเล่นเกม Genshin Impact หรือไม่ เราไปดูกัน ================================================== มาทำความรู้จักสเปคคร่าวๆ และตัวแพคเกจกันก่อน ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก ก็ขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวแพคเกจและสเปคโดยรวมของมันเสียหน่อย ซึ่งทางเราได้ซื้อตัวรุ่น Ram 6GB / Rom 128GB สีน้ำเงิน หรือตัวบนสุดของ Poco X3 NFC ในราคาเจ็ดพันต้นๆ โดยลักษณะกล่องจะเป็นสีดำด้านตัดกับตัวอักษรสีเหลือง พอเปิดฝากล่องก็จะมีแพคเกจเป็นกล่องสีเหลืองคร่อมอีกชั้นทำให้ตัวแพคเกจดูแข็งแรง ปลอดภัยเรื่องแรงกระแทกอย่างแน่นอน ในตัวแพคเกจที่มีมาให้หลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย ตัวโทรศัพท์ Poco X3 NFC หนึ่งเครื่อง เคสพลาสติคใส ตรงมุมจะแข็งกว่าปกติ หัวชาร์จแบบ Fast Charge 33W สาย USB Type-C to Type A หนึ่งเส้น ( สายชาร์จนั้นแหละ ) เข็มถาดจิ้มช่อง SIM คู่มือและใบรับประกันต่างๆ แพคเกจที่แถมมาให้ก็นับว่าเยอะพอสมควร ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปตามมาตรฐาน ส่วนการจับรู้สึกว่ากระชับมือ แต่ทว่าน้ำหนักตัวของมันดูหนักไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้มากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะตัวแบตเตอร์รี่ที่ให้มาเยอะมากๆ ก็ถือว่าหักล้างขอเสียเรื่องน้ำหนักไปได้ ส่วนในด้านสเปคเครื่องโดยคร่าวๆ ก็มีรายการดังนี้ สเปคข้อมูลสำคัญ (สำหรับการทดลองเล่นเกม Genshin Impact) CPU: Qualcomm Snapdragon 732G แกน 8 หัว 2.3Ghz GPU: Adreno 618 มีซิงค์ระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus หน้าจอใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียดจอเป็น FHD+ แบบ IPS ค่า Refresh Rate 120Hz Touch Sampling 240Hz Ram ขนาด 6GB แบบ LPDDRX4 ความจุ 64GB/128GB แบบ UFS 2.1 (ทางเราซื้อตัว 128GB มา) แบตเตอรี่ 5160mAh, รองรับการชาร์ตด่วนที่ 33W สเปคข้อมูลส่วนอื่นๆ (ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล่นเกมแต่เขียนไว้สำหรับผู้สนใจ) รองรับเทคโนโลยี 4G LTE ถาด SIM รองรับ 2 ถาด และรองรับ Micro SD Card สูงสุด 256GB ลำโพงคู่ รองรับ Hi-Res Audio ( ออกตรงลำโพงด้านทายเครื่องและตำแหน่งลำโพงรับสาย ) ช่องหูฟังแบบ 3.5 mm รองรับ USB Type-C รองรับสแกนลายนิ้วมือตรงปุ่ม Power มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP53 กล้องหลังหลัก 64MP, อัลตร้าไวล์ 13MP, เลนส์มาโคร 2MP, เลนส์ Depth 2MP รวมทั้งหมด 4 ตัว กล้องหน้า 20MP ระบบปฏิบัติการณ์ Android 10 ครอบด้วย MIUI 12 for POCO รองรับเซนเซอร์ต่างๆ 8 อย่าง รองรับ NFC ซึ่งหากพูดด้วยสเปคแล้วขอบอกเลยว่า โห...สเปคจัดเต็มมากกับราคาที่จ่ายไป แต่ก็มีจุดที่แอบกังวลใจบางอย่างนั้นก็คือ เทคโนโลยี ROM ที่ยังคงใช้ UFS 2.1 อยู่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งถ่ายข้อมูลแบบเก่าอยู่ แต่จะขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้ในหัวข้อต่อๆ ไป และหลังจากนี้จะเป็นการรีวิวเจ้า POCO X3 NFC เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม Genshin Impact เท่านั้น ================================================== การเปิดเกมครั้งแรกที่ทั้งชอบและไม่ชอบใจ โดยทางนี้จะใช้แอพ Game Turbo ของตัว Poco X3 เพื่อรีดประสิทธิภาพและบูสขุมพลัง CPU ภายในตัวเครื่องให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากนี้ยังสามารถตั้งค่าไม่ให้ใครมารบกวนเช่นปิดการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการบล็อคการโทรเข้าชั่วคราวเพื่อไม่ให้ใครหงุดหงิดใจ แต่เราเลือกที่จะไม่บล็อคเพราะอยากรู้ว่าเวลาแจ้งเตือนหรือ Headchat จาก Facebook จะส่งผลต่อเครื่องหรือไม่ และเราจะเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่ 100% หรือ 5160 mAh เต็ม ส่วนที่ชอบสิ่งแรกที่ได้เจอเลยคือ ตัว Game Turbo สามารถปรับแสงและสีของตัวหน้าจอให้เข้ากับสายตาเพื่อถนอมสายตาของเราหรือปรับให้เหมาะกับสภาพแสงโดยรอบตอนเล่นเกมให้มากที่สุด โดยจะมีโหมดเพิ่มความสว่างโดยจะทำให้ภาพดูสว่างนวลขึ้นไม่แสบตา, ภาพแบบอิ่มสีก็คือจะทำให้ภาพดูสีสดใสมากขึ้น หรือจะปรับภาพให้แสดงผลทั้งสองอย่างด้วยกันซึ่งมันก็จะกินแบตเตอรี่ด้วย...แน่นอนว่าไหนๆ มาทรมานเครื่องแล้วก็ต้องเปิดการแสดงภาพแบบสว่างและอิ่มสีอยู่แล้ว และจุดนี้ก็ถือเป็นจุดที่เป็นข้อติจุดใหญ่ๆ จุดแรกเลยก็คือหลัง Log in เข้าไปแล้วมันโหลดเข้าเกมช้ามากๆ ราวๆ 40 วินาทีถึง 1 นาทีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าเล่นครั้งล่าสุดเราอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง โดยมันจะคาไว้ที่ไอคอนธาตุน้ำแข็งสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเข้าหน้าเกมได้ ซึ่งเหตุผลตรงนี้มีข้อเดียวคือ ตัวอ่านหน่วยความจำภายในเครื่องยังคงใช้ UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า การอ่านเขียนข้อมูลดึงข้อมูลจากในเกมจะทำได้ช้ากว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมาใช้ UFS 3.0 ขึ้นไปแล้ว แต่หากเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าพอรับได้ เว้นแต่ว่าเป็นเกมเมอร์สายใจร้อนก็อาจจะนั่งเซ็งกันสักหน่อย กราฟิคเปิดสุดไม่ต้องยั้ง พังหรือไม่เดี๋ยวรู้กัน เมื่อเข้ามาหน้าตั้งค่าการแสดงผลแล้ว ค่าเดิมๆ ของมันถูกปรับให้เป็นคุณภาพต่ำ อันนี้เราจะแสดงกันให้เห็นชัดๆ เลยว่าเราเปลี่ยนมาเปิดสุดจริงๆนะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงกราฟิคเล็กน้อยในส่วนของหัวข้อ FPS ที่เดิมๆ มันตั้งไว้ 30 FPS เราเปลี่ยนให้มันเป็น 60 FPS แล้วมาดูกันว่าเล่นไป 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดกี่เปอเซ็นต์และเครื่องจะรีดประสิทธิภาพไหวไหม ภาพนี้จะเป็นหลักฐานยืนยันชัดๆ อีกทีว่าเราเริ่มเล่นช่วงแบตเตอรี่ 100% เต็มและจะเล่นต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงเพื่อทำการทดลองโดยมีน้อง Sucrose ที่แสนน่ารักและนุ่มนิ่มมากจะมาเป็นผู้ช่วยในครั้งนี้ แต่ว่าพอหลังตั้งค่าเสร็จ ภาพก็ดีเนียนดูสวยนะ แต่ก็อาจจะยังไม่เนียนไม่สวยเท่ากับโทรศัพท์ระดับสูงๆ เสียเท่าไหร่ หืมมมม....หลังจากนี้จะเป็นการทดลองภาคสนามกันแล้ว ช่วงเวลาการถ่ายทำจะไม่ตรงกันในแต่ละภาพที่จะได้เห็นก็จริงแต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าสถานะการณ์ต่างๆ และผลทดลองที่ได้ยังคงอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงการทดลองจ้า ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Monstadt ตอนนี้เราได้ทำการออกเดทกับน้อง Sucrose เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตที่ทำออกมาได้โดยปรับการตั้งค่าให้สูงสุด โดยพาไปเดินเล่นช่วงนอกเมือง Monstadt ก็ได้เห็น CPU ใช้ไปโดยเฉลี่ย 55% แต่ GPU แทบจะวิ่งเต็ม 100% เกือบตลอดเวลา เพราะว่าเราได้ดึงประสิทธิภาพของตัว Snapdragon 732G อย่างเต็มที่ของมันแล้ว ซึ่งโดยรวมค่าเฟรมเรตที่ทำได้จะอยู่ในช่วง 45 ถึง 55 เฟรมเรต ถือว่าเคลื่อนไหวได้ราบเรียบมากๆ จากนั้นก็ได้พาน้อง Sucrose ทำการทดลองด้วยการลงภาคสนามกับเหล่า Slime หินผู้โชคร้ายว่าเวลาต่อสู้เฟรมเรตจะเป็นอย่างไร ผลที่ออกมาก็ตามคาดคือ FPS ร่วงลงมา โดยต่ำสุดอยู่ที่ 30 FPS ไม่ต่ำกว่านั้น มีแกว่งๆ ขึ้นไป 40 FPS บ้าง โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 35 FPS ทีนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมายังตัวเมือง Monstadt กันบ้างซึ่งหากเราเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเลย จะแทบกระตุกช่วงพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเป็นเพราะระบบการถ่ายโอนข้อมูลยังคงเป็น UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่านั้นเอง ราวกับว่าต้องใช้เวลาโหลดฉากนิดหนึ่งอะไรประมาณนั้น ตอนนี้น้อง Qiqi ก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) เราเลยใจอ่อนยอมเปลี่ยนตัวให้ Sucrose ไปพักเหนื่อยบ้าง ต้องขอบอกก่อนว่าพอเราอยู่ในเมืองค่าเฟรมเรตที่ได้จะตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่า GPU กลับใช้พลังงานน้อยลงเป็นนัยยะสำคัญเช่นกัน โดยค่าเฟรมเรตที่ทำได้ ไม่ต่ำกว่า 25 FPS และสูงสุดไม่เกิน 40 FPS มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 FPS ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหงุดหงิดใจนัก ยังคงพอรับได้ บังคับได้ลื่นไหลพอสมควร หลังจากนี้เราก็เอาทีมคณะผู้ช่วยไปบวกกับ Boss หมาป่า Adrius ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่มันมาก เพราะการต่อสู้ลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้กวนใจแต่อย่างใดเลย FPS เฉลี่ยที่ทำได้คือ 40 FPS ถือว่าทำออกมาได้ดีมากสำหรับ Poco X3 แม้จะต้องเจอกับเอฟเฟคเยอะๆ ก็ตามที ที่สำคัญ การควบคุมตอบสนองดีมาก ไม่มีอาการหลุดการควบคุมหรือหลอนเลยเพราะตัว Touch Sampling ที่มีมากถึง 240Hz ทำให้การตอบสนองต่อการกดนั้นไวมากๆ และแม่นยำมากๆ แม้ว่าเราจะติดฟิลม์กระจกอย่างหนาก็ตาม ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Liyue ทีนี้เราพาน้อง Sucrose มาเปลี่ยนบรรยากาศมาที่เขต Liyue กันบ้างโดยเริ่มจากเขตนอกท่าเรือ Liyue ที่เต็มไปด้วยผาน้อยใหญ่ บรรยากาศให้ความรู้สึกอยู่ในพื้นที่แฟนตาซีหนังจีนกำลังภายใน ผลการทดสอบของ CPU ก็ใช้พลังงานมากขึ้นนิดหน่อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 55% และ GPU ก็ยังเต็มเกือบ 100% มีบ้างบางช่วงที่ตกลงมาที่ 85% โดยเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้จะอยู่ประมาณ 45 FPS เหมือนกัน ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเขตนอกเมือง Monstadt เท่าไหร่นัก ส่วนในฉากต่อสู้ทั่วๆ ไปนั้นก็ยังลื่นไหลไม่ต่างเขตนอกเมือง Monstadt เช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 FPS ไม่ต่ำกว่า 30 FPS อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่าช่วงที่ถ่ายทำนั้นมีผลเท่ากันจึงเลยไม่ได้ตัดสินใจถ่ายช่วงต่อสู้เพื่อความกระชับของเนื้อหา จากนั้นก็ลองพาเข้ามายังท่าเรือ Liyue ด้วยการเทเลพอร์ตดูบ้าง โดยงานนี้น้อง Klee โลลิที่น่ารักของผองเราก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) พอเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเท่านั้นแหละ กระตุกหนักกว่าอยู่ในเมือง Monstadt อีก แต่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับมาลื่นเป็นปกติ เหตุผลก็เพราะว่าระบบถ่ายโอนข้อมูล UFS 2.1 เช่นเดิม และด้วยเมือง Liyue มี Object ที่เยอะมากอยู่แล้วไม่แปลกใจที่โหลดฉากไม่ทันและกระตุก แต่อย่างน้อยก็กลับมาลื่นปกติโดยปล่อยไว้สักพัก ส่วนเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้อยู่ที่ 30FPS ต่ำสุดคือ 25FPS ซึ่งอยู่ในเขตเมืองก็ยังพอโอเคไม่มีปัญหาอะไรขนาดนั้น คราวนี้ก็มาถึงช่วงทีเด็ดของเรานั้นคือลุยภาคสนามไปตบตีกับ Tatarglia "Childe" แห่ง Fatui กัน ซึ่งบอกเลยว่าถึงจะเจอฉากอลังการงานสร้างตั้งแต่ Phase แรกของการต่อสู้เฟรมเรตที่ทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 45FPS ต่ำสุดอยู่ที่ 30FPS จัดว่าดีงามมากๆ เลยนะ ช่วง Phase ที่สองของการต่อสู้ ลูกเล่นของเจ้า Childe ก็เยอะขึ้นแต่ด้วยตัว Touch Sampling 240Hz ทำให้ตอบสนองได้ไว การใช้ Beidou ในการต่อสู้หรือกดสกิลสวนกลับต่างๆ รวมถึงการกดสับตัวเพื่อใช้สกิลก็ทำได้รวดเร็ว คล่องมือมากๆ เฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้ยังคงได้ดีอยู่ที่ 40FPS ไม่กระตุกหรือแลคแต่อย่างใด พอเข้าสู่ช่วง Phase ที่สามของการต่อสู้ ชากคัตซีนดูเนียนตาและลื่นมากๆ ทำเฟรมเรตแตะไปที่ 55FPS พร้อมกับเสียงลำโพงคู่ที่กระหึ่มได้ใจในช่วงที่ Childe ได้ใช้พลังขั้นสุดยอด เอาซะเราขนลุกเลยทีเดียว พอตัดฉากมาช่วงต่อสู้ค่าเฟรมเรตที่ทำได้ยังคงอยู่ที่ 40FPS โดยเฉลี่ย แน่นอนว่าการตอบสนองการทำอะไรต่างๆ ยังคงลื่นๆ สบายๆ หลบสกิลหรือต่อสู้กับ Childe ได้สบายหายห่วง...แน่นอนว่ามีน้อง Klee ซะอย่าง สายโลลิระเบิดเขา เผากระท่อมนั้นกลัวผู้ใหญ่ของ Fatui ซะทีไหน...ดู Damage นั้นสิ! สรุปผลจากการเล่นครบหนึ่งชั่วโมงและขอสังเกตุต่างๆ เมื่อเราทำการเล่นครบหนึ่งชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 100% ตั้งค่าสเปคในเกมปรับสุด ผลก็คือแบตเตอรี่เหลือ 78% เท่ากับว่าหนึ่งชั่วโมงเราใช้แบตเตอรี่ไปราวๆ 22% โดยเฉลี่ย ถือว่าสูบพลังงานเอาเรื่องจากแบตเตอรี่ที่จุดมากถึง 5160mAh แต่เพราะทั้งนี้ก็มาจาก Engine ที่ใช้พัฒนา Genshin Impact เป็น Unity Engine เวอร์ชั่นเก่า ( เวอร์ชี่นเดียวกับ Honkai Impact ) ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกมนี้กินสเปคเยอะและใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะในเวลาเดียวกัน และก่อนหน้านั้นก็ได้ทำการทดลองเปิดแจ้งเตือนแบบลอยและเปิด Head Chat ของ Facebook Messenger เพื่อดูว่าหากใครทักมาจะเป็นอย่างไร ผลก็คือมีคนทัก Head Chat ปรากฎขึ้น เกมจะกระตุกทันที และกระตุกนานหลายวินาทีก่อนจะกลับมาลื่นอีกครั้ง ส่วนการแจ้งเตือนแบบลอยไม่มีผล ถ้ากำลังตบตีกับศัตรูอยู่แล้วมีใครทักมาก็อาจจะทำให้หงุดหงิดได้บ้างเป็นบางเวลา เหตุผลก็เพราะว่าเกม Genshin Impact บนมือถือก็กิน RAM ไปมากกว่า 3.5GB แล้วซึ่งตัว Poco X3 มี RAM อยู่ที่ 6GB หากเปิดการทำงานส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีการดึงทรัพยากรของ RAM กันเกิดขึ้น และอีกข้อสังเกตุเลยก็คือเรื่องความร้อน พอเราปรับสุดในเกม Genshin Impact พอผ่านไปได้ห้านาที ฝาหลังร้อนเลยจ้า แต่ไม่ได้ลวกมือหรือร้อนจี๋อะไรแบบนั้น เนื่องจากตัวเครื่องมีฮีตซิงค์ที่เรียกว่า LiquidCool Technology 1.0 Plus ซึ่งมันเป็นระบบระบายความร้อนรูปแบบเดียวกันที่ใช้กับ CPU ของตัวคอมพิวเตอร์ โดยการทำงานของมันคือจะมีแท่งเหล็กทองแดงแปะพาดตัว CPU ข้างในแท่งทองแดงจะมีของเหลวนำความร้อนอยู่ ทำให้การนำความร้อนออกจากเครื่องได้รวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเล่นแป๊บเดียวก็เริ่มร้อนมือ แต่ว่ามันก็ไม่ทำให้เครื่องร้อนเกินไป และพอหยุดเล่นเครื่องก็หายร้อนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ================================================== โดยสรุปแล้ว Poco X3 NFC สามารถเล่น Genshin Impact ได้อย่างสบายๆ ถึงจะปรับสุดก็ไม่เคยหวั่น แม้ว่าภาพหรือกราฟิคต่างๆ รวมถึงความลื่นไหลของเฟรมเรตอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับมือถือระดับสูง แต่หากเทียบกับความคุ้มค่าในราคาหลักเจ็ดพันกว่าๆ แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมหนักๆ ได้อย่างดี แม้ว่าเครื่องจะร้อนเร็วไปหน่อยก็ตาม มันก็ไม่ถึงกับลวกมือขนาดนั้น เพราะเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่ระบายความร้อนได้รวดเร็วนั้นเอง หากใครอยากหาซื้อมือถืองบไม่สูงเพื่อเล่น Genshin Impact โดยเฉพาะ Poco X3 NFC ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และหากอยากให้เล่นลื่นๆ ฟินๆ ก็ปรับแค่ระดับกลางๆ ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์จากเกมนี้มากเกินพอแล้ว และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า Sucrose นั้นเราจองแล้ว หวงนะ! ( ล้อเล่นจ้า )
17 Nov 2020
Princess Connect! Re:Dive ตามหาความทรงจำไปกับเหล่าเจ้าหญิงสุดน่ารัก
Princess Connect! Re:Dive เป็นเกม RPG สไตล์อนิเมะจากค่าย Cygames ที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มมือถือในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2015 จากนั้นทาง Ini3 Games ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดให้บริการในบ้านเราเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับเกมกาชาที่มีตัวละครสุดน่ารักกันในตอนนี้ครับ จุดเด่นของเกมนี้คือการที่เราได้นั่งดูฉากคัทซีนของเกมที่มีภาพ และเสียงสไตล์อนิเมะ แถมเรายังสามารถตอบโต้กับตัวละครที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยได้จากการเลือกตอบตามตัวเลือกที่มีให้ และสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าคุณภาพของคัทซีนแต่ละฉาก เนื้อเรื่องแต่ละตอนของเกมนี้มันมีคุณภาพสูงมากจริงๆ ครับ เจ้าเกมนี้จะดียังไง มีจุดเด่นอย่างไร กาชาเกลือแค่ไหน วันนี้ผมจะมาบอกเล่าทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสจากเกมนี้ครับ ถ้าพร้อมกันแล้วไปอ่านกันเลย! เนื้อเรื่อง ฉากแรกของเกมเริ่มด้วยกลุ่มของเราซึ่งเป็นปาร์ตี้ของผู้กล้าที่ถูกเรียกว่า Princess Knight กำลังต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกขาวนามว่า ไคเซอร์อินไซท์ แต่ดูเหมือนว่าพลังของเธอจะมีมากจนเราไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย ยิ่งเวลาผ่านไปพวกพ้องของเราก็เริ่มล้มลงไปที่ละคน และในการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจจิ้งจอกขาวที่คิดจะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เราที่ถูกเรียกว่า อัศวินผู้พิทักษ์ ก็ได้เอาร่างกายของตัวเองเข้าไปบังเพื่อรับการโจมตีนั้นให้กับเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนสุดท้าย แล้วจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้พบกับเด็กสาวที่สภาพดูไม่สมบูรณ์มากนัก เธอดูเหมือนกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างจนไม่ค่อยมีเวลามาเป็นคู่สนทนาของเรา ที่น่าสงสัยก็คือเธอดูเหมือนจะรู้จักเราดี ทั้งๆ ที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย เด็กสาวตรงหน้าแนะนำตัวว่า เธอชื่อ อาเมส โดยบอกเสริมว่า พักหลังมีแต่คนเรียกเธอแบบนี้ และเธอก็บอกต่อว่า เราไม่จำเป็นต้องไปฝืนจำชื่อเธอหรอก ยังไงอีกเดี๋ยวเราก็จะลืมแล้ว เพราะสถานที่เราอยู่คุยกับเธอตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับความฝัน อาเมสบ่นว่าเธอถูกเล่นงานจนพังยับ ขยับไปไหนก็ไม่ได้จนกว่าจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริงก็ไม่ได้ด้วย แถมยังบอกอีกด้วยว่าเธอจะส่งเรากลับไปเกิดใหม่ และเพื่อให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น เธอจะส่ง ผู้นำทาง มาช่วยเหลือเราด้วย โดย เธอ คนนั้นจะเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา จากนั้นอาเมสก็กล่าวว่า ตอนนี้ได้เวลาจากกันแล้ว แม้จะยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วยอีกมาก แต่จะอยู่นานกว่านี้ก็ไม่ได้ ถึงแม้โลกความจริงจะโหดร้าย แต่จะอยู่ในความฝันไปตลอดก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวและภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ระหว่างที่เรากำลังหลับอยู่นั้น ได้มีเสียงเพลงดังลอดเข้ามาในหู เมื่อเราลืมตาตื่นสิ่งแรกที่เห็นคือสาวน้อยผมขาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีใบหน้าแสนอ่อนโยนกำลังมองลงมาที่เรา เธอแนะนำตัวว่าเป็น ผู้นำทาง ที่ท่านอาเมสผู้ยิ่งใหญ่ส่งมา มีนามว่า คกโคโระ เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า เธอมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและดูแลเรานับแต่อรุณยันราตรี ตั้งแต่นอนเปลยันนอนโลง หลังจากที่เธอพูดคุยกับเราไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้รู้สภาพตนเองจากปากของเธอว่า เรา สูญเสียความทรงจำเกือบทั้งหมด ไปนั่นเอง และเพราะการพบกันที่ถูกลิขิตเอาไว้นี้ เรื่องราวการเดินทางตามหาความทรงจำที่ทำให้เราได้พบเจอกับหญิงสาวมากมายพร้อมกับการลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เกมเพลย์ รูปแบบการเล่นของ Princess Connect! Re:Dive จะเป็นการจัดทีม 5 คนไปตะลุยด่าน โดยผู้เล่นจะไม่สามารถควบคุมตัวละครเองได้ เปรียบเสมือนว่าเราคืออัศวินผู้พิทักษ์ที่กำลังความจำเสื่อม เหล่าหญิงสาวจึงคอยต่อสู้เพื่อปกป้องเรา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้ตัวละครใช้ท่าไม้ตายตอนไหนก็ได้ตามใจ เมื่อหลอดท่าไม้ตายเต็ม โดยตัวละครภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ แนวหน้า, แนวกลาง, และแนวหลัง ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างแนวหน้ามักจะมีเลือดเยอะใช้อาวุธระยะประชิดเป็นหลัก เหมาะแก่การเป็นตัวชนให้กับปาร์ตี้ ส่วนแนวกลางมักจะเป็นตัวที่โจมตีได้อย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นตัวบัฟคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้อง พวกเธอจะใช้อาวุธระยะกลางอย่างดาบยาว หรือหอก เป็นต้น สุดท้ายคือตัวละครแนวหลัง พวกเธอมักจะเป็นสายตีไกลอย่างนักธนูหรือจอมเวทย์ ซึ่งแนวหลังนี้จะมีจอมเวทย์ที่มีความสามารถในการรักษาเป็นหลักอยู่ด้วยครับ และแน่นอนว่าตัวละครในเกมนี้มีเยอะมาก ดังนั้นการจัดทีมจึงสามารถทำได้อย่างหลากหลายแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นเอง การต่อสู้ของเกมนี้จะเป็นภาพ 2D น่ารักๆ มุมมองแบบด้านข้างที่จะมีฉากคัทซีนและอนิเมชั่นมาแทรกบ้างตามจังหวะของเกม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกมกาชามือถือจะมีกันแทบทุกเกมอยู่แล้วครับ นอกจากการจัดทีมออกไปสู้กับเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ตัวเกมยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นนำอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้มาจากการทำภารกิจ หรือ กาชามาให้ตัวละครของเราสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถด้วย อีกทั้งยังมีระบบอัพเกรดตัวละคร และของสวมใส่อีกต่างหาก อย่างที่บอกไปว่าของสวมใสในเกมนี้จะดรอปจากภารกิจต่างๆ ที่เราทำ ดังนั้นการจะหาของสวมใส่ให้เพียงพอกับตัวละครทั้งหมดของเรา ก็จำเป็นต้องฟาร์มเยอะพอสมควร ซึ่งก็สมกับเป็นเกมประเภทนี้ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเปิดเกมบนมือถือมาเพื่อลงด่านฟาร์มของเพียงอย่างเดียว ก็คงจะเบื่อไม่น้อยครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถ ตกแต่งกิลด์เฮ้าส์ ได้ด้วย ซึ่งของที่เราเอามาตกแต่งบ้านกิลด์นั้น นอกจากจะมีเพื่อความสวยงามแล้ว ของเหล่านั้นยังมอบของจำเป็นต่างๆ ในการเล่นให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็น ขวดอัพเลเวล, ขวดสตามิน่า หรือ มานาที่เอาไว้อัพสกิลตัวละคร แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็คือการทำบ้านกิลด์ของเราสวยนั่นแหล่ะครับ อย่าลืมมาตกแต่ง เรือนเลิศรส ของเราให้สวยงามกันนะครับ สำหรับการออกผจญภัยกับเพื่อนๆ ก็ไม่แปลกเลยที่ความสัมพันธ์ของเราจะแน่นแฟ้นขึ้น และภายในเกมนี้เองก็มีระบบที่ชื่อว่า "ระบบความสัมพันธ์” ที่เมื่อค่าความสัมพันธ์ของแต่ละคนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนด ตัวละครนั้นจะมีบทพูดพิเศษขึ้นมาให้เราอ่าน นอกจากนี้ค่าความสัมพันธ์จะปลดล็อคเรื่องราว Side Story ของตัวละครนั้นๆ ด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้เราได้รู้เรื่องราวของตัวละครเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ต้องบอกก่อนว่าเกม Princess Connect! Re:Dive นั้นไม่ได้เน้นที่ระบบเกมเพลย์ครับ ผู้พัฒนาตั้งใจเน้นไปที่เนื้อเรื่องและความสวยงามของอนิเมชั่นต่างหาก แต่ในระบบของเกมนี้ก็มีเรื่องน่าตลกเล็กๆ อยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือตอนที่เราอัพระดับของตัวละคร ของสวมใส่ที่อยู่บนตัวพวกเธอจะถูกย่อยเพื่อเพิ่มระดับให้กับตัวละครดังกล่าว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องย่อยของสวมใส่ไปด้วย หรือพวกเธอจะกินของสวมใส่เป็นการเพิ่มพลังกันแน่นะ? กราฟิก กราฟิกของ Princess Connect! Re:Dive เป็นภาพสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่สวยงามสมกับที่มีอนิเมะเป็นของตัวเอง ตัวละครสาวๆ ในเกมแต่ละคนก็มีเสน่ห์กับเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูและเพลิดเพลินไปกับการอ่านเนื้อเรื่องไม่น้อยเลยครับ ปกติต้องยอมรับว่าในบางเกมผมจะกดข้ามฉากคัทซีนอย่างรวดเร็วเลยครับ แต่กับเกมนี้ตัวละครมันมีความดึงดูดให้เราอยากอ่านเนื้อเรื่องและติดตามเรื่องราวของพวกเธอมากจริงๆ เหมือนกับเรากำลังติดตามดูอนิเมะไปทีละตอนอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ ในส่วนของเอฟเฟกต์การโจมตีต่างๆ นั้นก็สวยงามดีครับ แต่การโจมตีโดยใช้ท่าไม้ตายจะกลายเป็นอนิเมชั่น ดังนั้นไม่ต้องห่วงถึงเรื่องนี้เลย มันสวยแน่นอนอยู่แล้ว นับว่านี่เป็นเกมที่มีคุณภาพกราฟิกที่ดีมากจริงๆ และสำหรับคนที่เคยเล่นเกมของค่าย Cygames กันมาก่อนก็คงจะรู้กันดีว่าเกมของค่ายนี้กราฟิกดีทุกเกมครับ และเกมนี้ Cygames เองก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ภาษาและเสียงพากย์ Princess Connect! Re:Dive เป็นอีกหนึ่งเกมมือถือที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และต้องขอยอมรับว่าการแปลของเกมนี้ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้มากทีเดียว เกมมือถือบางเกมเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแค่อ่านเข้าใจได้ก็ดีมากแล้ว แต่ในเกมนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นภาษาไทยที่สละสลวยมาก ทำให้เวลาที่เราอ่านเนื้อเรื่องจะรู้สึกเพลิดเพลินและเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าหลายๆ เกม นอกจากนี้ด้วยความที่เกม Princess Connect! Re:Dive เน้นไปที่อนิเมชั่น และเนื้อเรื่องมากกว่าเกมเพลย์ ดังนั้นเสียงพากย์ของตัวละครจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ Cygames ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นกัน เสียงพากย์ของตัวละครแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของพวกเธอมากครับ มันจึงทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดูพวกเธอสนทนากันมากๆ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเกมนี้เลยทีเดียว สรุป Princess Connect! Re:Dive คืออีกหนึ่งเกมที่ควรหยิบมาเล่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเกมมือถือแนวกาชา ฟาร์มของ สไตล์อนิเมะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานภาพ เนื้อเรื่อง หรือการแปลภาษา เกมนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าเกมมือถือหลายๆ เกมมากทีเดียว แต่ในส่วนของกาชา เกมนี้ค่อนข้างใจร้ายไม่น้อย ตัวละคร 4 ดาวออกมาให้เราเชยชมค่อนข้างยากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติของเกมกาชาฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ชินก็คงรู้สึกไม่ดีกันนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว เกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เหมาะแก่การหยิบมาเล่นยามว่างมากจริงๆ ครับ [penci_review id="68262"]
01 Oct 2020
รีวิว Spellbreak: Battle Royale สไตล์ใหม่กินไก่ด้วยเวทมนตร์!!
ถึงแม้เกมแนว Battle Royale จะมีออกมาให้เราเล่นเรื่อยๆ แต่เกมที่ฮิตและติดกระแสจริงๆ นั้นก็ยังคงเป็นเกมเดิมๆ อยู่เสมอ ทว่า Proletariat Inc. ก็ไม่ได้เกรงกลัวและผลักดันเกมของพวกเขาเข้ามาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale อย่างกล้าหาญ ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ Spellbreak เกมที่จะเปลี่ยนจากการจับปืนถือระเบิดมาเป็นสวมถุงมือเวทมนตร์ยิงลูกไฟใส่กันแทน ตัวเกมมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะเรา แทบ จะไม่เคยเห็นเกม Battle Royale เกมไหนที่ไม่ต้องจับปืนเลย อีกทั้งกราฟิกของเกมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนเป็นภาพการ์ตูนซึ่งมันคล้ายกับเกม Battle Royale ยอดนิยมอย่าง Fortnite อีกด้วย แต่ถ้าหากพูดถึงความง่ายของเกมเพลย์ และความสามารถในการพลิกแพลกสถานการณ์ เจ้าเกมนี้มีความหลากหลายกว่ามากเลยทีเดียวครับ ถึงแม้ Spellbreak จะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนเกม Battle Royale ยอดนิยมเกมอื่นๆ แต่ก็เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ตัวเกมน่าสนใจอย่างมาก แล้วเจ้าเกมนี้จะสนุกหรือไม่ ความสามารถในการพลิกแพลกที่ว่าหมายถึงอะไร และทำไมเกมนี้ถึงไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย บทความนี้ผมจะบอกเล่าทุกอย่างที่ได้ลองสัมผัสในเกม Spellbreak หากอยากรู้จักเกมนี้ให้มากขึ้นก็ไปอ่านกันเลยครับ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเกมเพลย์นั้นง่ายและเป็นมิตรต่อผู้เล่นค่อนข้างมาก เนื่องจากต่อให้คุณยิงไม่แม่นหรือคุมปืนไม่เป็นในเกม Battle Royale เกมอื่นๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใน Spellbreak เลยครับ เพราะการยิงเวทมนตร์ในเกมนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโจมตีวงกว้าง ดังนั้นต่อให้ยิงใส่พื้นอย่างเดียวก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อยู่ดี อีกทั้งเกมนี้ต้องให้บริการในหลายแพลตฟอร์มดังนั้นจึงต้องมีระบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้ได้เร็วเพื่อรองรับผู้เล่นหลากหลายแบบ เพราะผู้เล่นบางคนก็อาจไม่คุ้นเคยกับเกมแนว Battle Royale มากนัก ในส่วนของรูปแบบการเล่นส่วนใหญ่เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับ ก็คือ เลือกจุดที่ต้องการจะลง แล้วทำการค้นหาอาวุธ จากนั้นก็หนีวงที่ค่อยๆ บีบเข้าหาเรา และทำการสังหารศัตรูเพื่อกลายเป็นผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว (หรือทีมเดียว) แต่การเลือกจุดที่ต้องการลงของเกมนี้ไม่เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่นๆ เพราะปกติเราจะต้องนั่งยานอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วเลือกกระโดดร่มลงตรงจุดที่ต้องการ แต่ในเกมนี้ที่ใช้เวทมนตร์ในการโจมตี ดังนั้นการจะลงในจุดที่เราต้องการก็ต้องใช้เวทมนตร์เช่นกัน เพียงแค่เรากดเลือกจุดที่ต้องการลงในแผนที่เวทมนตร์ จากนั้นเราก็จะวาร์ปไปอยู่บนน่านฟ้าบริเวณนั้นๆ แล้วแลนดิงแบบฮีโร่ลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ในหนึ่งแมตช์ของเกมนี้สามารถรองรับจอมเวทได้สูงสุด 42 คน ถึงจะดูน้อยกว่าหลายๆ เกม แต่เอาเข้าจริงตอนอยู่ในวงท้ายๆ ก็มักจะมีคนเหลือมากกว่า 10 คนแทบตลอด เพราะว่าเกมนี้มันหนีง่ายกว่าสู้นั่นเอง เนื่องจากเกมดังกล่าวนอกจากจะมีถุงมือเวทมนตร์ทั้งหมดหกธาตุ ให้เราเลือกใช้เพื่อผสมผสานคอมโบและสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดแล้ว (เฉพาะข้างขวา ส่วนข้างซ้ายจะให้เราเลือกตั้งแต่เริ่มแมตช์) มันยังมี Rune หลากหลายประเภท เช่น บิน พุ่งตัว วาร์ป และหายตัว เป็นต้น   ซึ่ง Rune เหล่านี้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้หนึ่งอย่าง และเจ้า Rune นี้เองที่ทำให้ผู้เล่นมีวิธีหนีเอาตัวรอดจากการถูกซุ่มโจมตีได้หลากหลายวิธี และยังสามารถพลิกแพลงการเล่นได้อีกมาก อย่างเช่น การเอารูน พุ่งตัว มาใช้ทิ้งระยะจากศัตรูแล้วโจมตีอีกฝ่ายด้วยสกิลโจมตีพื้นที่แบบวงกว้าง หรือจะหายตัววิ่งไปด้านหลังแล้วยิงเวทมนตร์ใส่แบบหมดสต็อก ก็ยังได้ ในส่วนของเวทมนตร์ทั้งหกธาตุนั้น ได้แก่ Frostborn, Conduit, Pyromancer, Toxicologist, Stoneshaper และ Tempest หรือก็คือธาตุ น้ำแข็ง สายฟ้า ไฟ พิษ หิน และ ลม ตามลำดับ ซึ่งเจ้าธาตุแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น Tempest (ลม) ที่โจมตีได้รวดเร็วและมีพลังในการเคลื่อนไหวในอากาศ แต่ข้อเสียของธาตุนี้ก็คือโจมตีได้เบา กับ Pyromancer (ไฟ) ที่โจมตีแรงมีสกิลกำแพงไฟในการบดบังวิสัยทัศน์ศัตรู หรือจะเอามาโจมตีศัตรูก็ได้เช่นกัน แต่ข้อเสียคือหลบได้ง่ายเพราะกว่าเปลวไฟจะตกลงพื้นก็มีระยะเวลาพอให้พุ่งหนี เป็นต้น นอกจากนี้เวทมนตร์ที่ผู้เล่นสวมใส่ได้ในมือทั้งสองข้าง เราสามารถผสมผสานเวทมนตร์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเสียหายหรือระยะการโจมตีได้ด้วย อย่างเช่น Pyromancer ผสมกับ Tempest จะได้เป็นพายุเปลวไฟสุดร้อนแรง หรือ Frostborn ผสมกับ Conduit ที่เมื่อคุณใช้สกิลพิเศษ Flash Freeze ของธาตุน้ำแข็ง เมื่อมันละลายกลายเป็นน้ำแล้วคุณทำการโจมตีด้วยเวทมนตร์สายฟ้าลงไป น้ำทั้งหมดบนพื้นจะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านอยู่ ซึ่งจากวิธีการผสมผสานธาตุได้หลากหลายรูปแบบนี้เองที่ทำให้เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้มากกว่าเกมอื่นๆ หลายๆ เกม แล้วถ้าคุณเสียเลือดหรือเกราะในระหว่างการต่อสู้ การที่จะฟื้นมันได้นั้นก็ต้องใช้เวลา ไม่มีการใช้ยาปุ๊บเลือดพุ่งขึ้นปั๊บ และขนาดของยาเองก็มีการแบ่งเป็นเลเวลไว้อย่างชัดเจน เลเวลยิ่งสูงยิ่งเพิ่มได้เยอะ แต่ถ้าคุณพลาดท่าถูกอีกฝ่ายจัดการ หากเล่นเป็นทีมคุณจะยังคงมีโอกาสได้ไปต่อ แต่มีข้อแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของคุณจะต้องวิ่งมาชุบคุณที่เป็นลูกบอลแสงได้ทันนะ เพราะหากไม่ทันหรือคุณโดนอีกฝ่ายจัดการซ้ำเสียก่อน ก็ถือว่าจบเกมทันที ตามสไตล์ Battle Royale ทั่วไป แผนที่ในเกมนี้ก็นับว่าดีไม่น้อย เพราะไม่กว้างจนหากันไม่เจอ และไม่เล็กจนจบไวเกินไป แต่ถึงจะบอกว่าแผนที่มันไม่กว้างมาก ในบางแมตช์คนส่วนใหญ่ก็ยังจะพร้อมใจกันไปลงในเมืองๆ หนึ่ง จนเราที่ไปลงเมืองเล็กๆ ก็เลยต้องแอบเหงาอยู่คนเดียว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ครับ คือต่อให้คุณอยู่สุดขอบแผนที่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงมากนัก เพราะความเสียหายจากวงนั้นค่อนข้างเบา ยังมีเวลาให้คุณวิ่งเข้าวงอยู่มากครับ กราฟิก กราฟิกของ Spellbreak อย่างสภาพแวดล้อมกับเอฟเฟกต์นั้นนับว่าสวยงามในสไตล์ภาพของการ์ตูนครับ มีความสดใส และสีสันสูงมาก แต่มันก็ไม่ได้แสบตาอะไร แถมยังเป็นสเน่ห์ของมันเองอีกต่างหาก แน่นอนว่าในเมื่อเป็นภาพสไตล์การ์ตูน ดังนั้นเอฟเฟต์ต่างๆ ของเวทมนตร์ไม่ว่าจะเป็นระเบิด หรือสายฟ้า ต่างก็มีเสน่ห์ในตัวเองทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นในเรื่องของโมเดลตัวละครแม้จะบอกว่าเป็นภาพสไตล์การ์ตูน แต่มันก็ไม่ได้ดูสวยงามเท่ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบของเกมเลยด้วยซ้ำ ต้นไม้ยังดูมีความชัดของลายเส้นมากกว่าตัวละครเสียอีก นอกจากนี้ยังมองตัวละครศัตรูจากระยะไกลค่อนข้างยากอีกด้วย แต่มันก็แฟร์กับผู้เล่นอยู่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายก็มองหาเรายากเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวสิ่งก่อสร้างในเกมต้องบอกว่ามันดูน่าเบื่อเล็กน้อย เพราะมันค่อนข้างซ้ำซาก ถ้าไม่เป็นปราสาทเก่าๆ ก็ต้องเป็นเศษซากปรักหักพัง อาจเพราะผู้พัฒนาต้องการให้เข้ากับธีมสงครามก็ได้ แต่บางทีก็น่าจะมีสิ่งปลูกสร้างสวยๆ ที่ยังคงมีสภาพแบบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ดูบ้างนะ ส่วนโมเดลของถุงมือก็ออกแบบมาได้ค่อนข้างเท่ไม่น้อยเลยครับ แต่ช่วงแรกๆ อาจจะแยกถุงมือเวทมนตร์ธาตุสายฟ้ากับน้ำแข็งจากกันยากหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาครับเพราะยังไงก็มีชื่อบอกอยู่ดี และถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเกม รวมถึงโมเดลตัวละครจะไม่ได้สวยมากมาย แต่มันก็ทดแทนได้ด้วยเอฟเฟกต์เวทมนตร์กับสภาพแวดล้อมอย่างต้นไม้ ผืนหญ้า เนินเขาเล็กๆ มาทดแทนได้ อาจเป็นเพราะเกมนี้ต้องลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch ด้วย ทำให้กราฟิกของเกมจะต้องไม่หนักเครื่องจนเกินไปก็เป็นได้ครับ ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้ Spec เครื่อง PC ของคุณไม่เร็วมาก ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบเติมเงิน แน่นอนว่าเมื่อเป็นเกม Free to Play ระบบหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือ Shop ที่จะนำชุดแฟชั่นต่างๆ รวมถึงแสงตอนบินลงเมื่อเริ่มเกม นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ มาวางขายแบบจำกัดเวลาเรียกกิเลสของเราอีกต่างหาก ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าโมเดลตัวละครนั้นมันสวยสู้สภาพแวดล้อมในเกมยังไม่ได้ แต่ว่าสกินต่างๆ ที่ตัวเกมนำมาวางขายใน Shop นั้นบางสกินมีโมเดลที่สวยมากจริงๆ ครับ เหมือนกับว่าผู้พัฒนาจะสื่ออ้อมๆ ว่า หากอยากมีตัวละครสวยก็จ่ายเงินมาเสียสิ! แต่เกมนี้ก็ยังใจดีแจกเงินให้กับเราอยู่บ้าง โดยเราจะได้เงิน 50 Gold ทุกครั้งที่อัพเลเวลได้ ดังนั้นผู้เล่นก็สามารถเล่นไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเลเวลแล้วนำเงินไปซื้อสกินที่ต้องการได้ครับ แต่ว่าสกินสวยๆ นั้นส่วนใหญ่จะมีราคามากกว่า 1,000 Gold ดังนั้นมันก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะเก็บเงินได้ครบครับ โดยรวมแล้ว Shop ในเกมไม่ได้มีความดึงดูดให้เราต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น อีกทั้งเรายังสามารถใช้เงินในเกมซื้อได้อยู่แล้ว ถึงจะต้องเก็บนานนิดหน่อยก็ตาม แต่ถ้าหากใครอยากดูโดดเด่นกว่าเพื่อนมันก็ไม่ได้แย่ที่จะยอมเสียเงินนิดๆ หน่อยๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้วเกมนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้หลากหลาย ผสมผสานเวทมนตร์ได้มากมาย มีกราฟิกสไตล์ภาพการ์ตูนที่ดูสดใสและน่ารัก ยิ่งถ้าพูดถึงความง่ายในการเข้าถึงอย่างมีให้บริการบนหลายแพลตฟอร์มแถมยังสามารถเล่นร่วมกันได้อีกต่างหาก มันจึงนับเป็นเกม Battle Royale เกมใหม่ที่มาแรงในหลายๆ ประเทศมากครับ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเกมที่จำเป็นต้องหยิบมาเล่นมากขนาดนั้นเพราะถ้าหากอยากเล่นเกม Battle Royale สไตล์ภาพการ์ตูนเราก็มี Fortnite กันอยู่แล้ว หรือถ้าหาเกม Battle Royale ที่มีสกิลให้ใช้งานก็มีเกมที่ดีกว่าอย่าง Apex Legends อยู่เช่นกันครับ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เกมนี้ไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย เพราะคู่แข่งของเกมนี้แข็งแกร่งมากนั่นเอง ถึงแม้ในหลายๆ ประเทศเ Spellbreak จะดูมีกระแสอยู่บ้าง แต่สำหรับประเทศไทยเกมนี้ยังไม่ดีพอที่จะมาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale จากเกมอย่าง PUBG หรือ Fortnite ครับ [penci_review id="67337"]
24 Sep 2020
[รีวิว] Tom and Jerry: Chase เมื่อหนู 4 ตัวรุมแมว 1 ตัว ความฮาจึงบังเกิด
สมัยเด็กๆ คุณผู้อ่านอาจจะต้องเคยรับชมการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Tom & Jerry อย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวกับ Tom เจ้าแมวสีน้ำเงินกับ Jerry หนูซ่าหาเรื่องป่วนไปทั่ว เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นจบในตอน ฉายครั้งแรกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1940 ผ่านไปกว่า 80 ปี การ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ถูกผลิตออกมาหลายตอน หลายเวอร์ชั่นมากมาย เพราะมันสนุกและตลกโปกฮาโดยแทบไม่ต้องมีเสียงพากย์อะไรมากมายนั้นเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นเกม Tom and Jerry: Chase เกมแนว Survival เหมือนกับ Day by Daylight ให้เล่นกันบนมือถือเรียบร้อยแล้ว แต่มีความแตกต่างอยู่ที่เกมนี้มันคือให้หนู 4 ตัว รุมแมว 1 ตัว ( ใช่แล้ว 4 รุม 1 จริงๆ นะ ) ก็อยากจะรู้ว่าพอมันเป็นเจ้าหนูซ่าหาเรื่องแมวในเวอร์ชั่นนี้จะทำให้เราหวนถึงคืนวันเก่าๆ สมัยเราเป็นเด็กเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์ได้อยู่หรือเปล่านะ บทความนี้จะมารีวิวเกมนี้กันว่ามันจะสนุกแค่ไหน ================================================== ไม่มีสาระจากเนื้อเรื่องก็สัมผัสความเกรียนได้ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกและประทับใจมากๆ เลยก็ว่าได้พอเปิดเกมมาก็ได้เห็นคัตซีนฉากเจ้า Tom ไล่ตะปบ Jerry ด้วยความโหดมันฮา ตามสไตล์พร้อมอุปกรณ์สารพัดพอดูแล้วอยากหาดูเล่นสักตอนเลยล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องของเกมนี้เหรอ ? สั้นๆ เลยก็คือ "เนื้อเรื่องไม่มีหรอก" แต่สิ่งที่ได้รับชมเลยก็คือ บ้านคุณนายที่เลี้ยงเจ้า Tom ไว้คงได้วินาศสันตะโรในเกมแน่ๆ ส่วนในหน้า Log in นั้นไม่มีอะไรมาก สามารถเข้าระบบผ่าน Google Play, Facebook หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเกมจะสนุกไหม ? สามารถเข้าแบบ Guest หรือนักท่องเที่ยวได้ตามสะดวกเลย Tutorial ที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival ผู้ถูกล่าต้องหนีรอดจากผู้ล่าแบบ Dead by Daylight แต่การบังคับใช่ว่าจะเหมือนกันฉะนั้น Tutorial เกมนี้จึงสำคัญมากและไม่ควรมองข้าม โดยเราสามารถเลือกฝึกฝนว่าจะเล่นเป็น Tom ก่อนหรือเหล่า Jerry ก่อนก็ได้ โดยเราจะเลือกฝึกและสอนการทำภารกิจต่างๆ รวมถึงทริคเบื้องต้นและขั้นสูงอย่าง Jerry ที่ต้องทำหน้าทีเอาชีสยัดลงรูให้หมดพร้อมกับหลบหนี ส่วน Tom ก็มีหน้าที่กำจัดหนูด้วยการจับพวกเขาผูกกับประทัดแล้วส่งขึ้นฟ้าไปเลย และข้อดีของ Tutorial ที่ไม่อยากให้พลาดคือทุกการฝึกแจกของฟรีทั้ง EXP, น้ำยาความรู้และไอเท็มต่างๆ มากมาย กราฟิคดูเก่าๆ ชวนคิดถึงแต่ Interface ดูกดลำบาก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเลยก็คือภาพกราฟิคที่ทีมพัฒนาพยายามทำเลียนแบบให้ดูเหมือนการ์ตูน Tom & Jerry มากที่สุดทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้ลายเส้นให้ดูเก่าๆ มันอาจจะถูกใจคนที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนี้แต่อาจจะขัดใจใครหลายคนที่ดูแล้วรู้สึกไม่ลื่นไหลขัดหูขัดตาเสียมากกว่า และในหน้า Interface นั้นอาจจะต้องขอติเสียหน่อยเพราะกดเมนูต่างๆ ที่อยู่แถมมุมๆ นั้นกดค่อนข้างลำบาก หากเล่นบน Tablet อาจจะไม่เป็นปัญหานัก แต่สำหรับในมือถือบอกเลยว่าจิ้มยากอยู่ ระบบ Perk เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบกาชา ในด้านระบบ Perk นั้นการที่ตัวละครเราเลเวลอัพก็อัพแค่เพดานการรองรับ Cost ของ Perk หรือในเกมที่เรียกว่าบัตรความรู้ ส่วน Perk จริงๆ จะต้องเก็บสิ่งที่เรียกว่า น้ำยาความรู้ ที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ และการเล่นเกมแต่ละรอบมาเปิดกาชาสุ่มหา Perk ซึ่งการทำแบบนี้ก็นับว่าเป็นดาบสองคมเช่นกัน มันดีที่ว่าทำให้เราต้องเจอกับความท้าทายและต้องปรับตัวกับ Perk ที่ได้มา แต่มันก็ทำให้หลายคนหงุดหงิดใจว่าทำไมไม่ให้อัพแบบปกติเหมือนชาวบ้านชาวช่องกัน ส่วน Perk สามารถอัพเกรดได้ด้วยการสุ่ม Perk ซ้ำๆ หรือหาจิ๊กซอว์ของ Perk นั้นมาอัพเกรดอีกที การบังคับที่ต้องเรียนรู้และสามารถปรับได้ตามใจชอบ การบังคับเดินของเกมนี้จะมีแค่เดินซ้ายขวาเท่านั้น แต่สามารถเลือกรูปแบบการบังคับได้สองแบบคือแบบปุ่มซ้ายขวาหรือแบบคันโยก ซึ่งส่วนตัวถนัดแบบคันโยกมากกว่า และในปุ่มฝั่งขวาจะเป็นปุ่มการ Interact ต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ตามความถนัดส่วนทางนี้เลือกแบบโต้ตอบอิสระเพราะกดถนัดกว่า นับว่าเป็นข้อดีที่ว่าผู้เล่นถนัดการบังคับแบบไหนก็มีให้เลือกสรรหรือหากยังไม่ถูกใจอีกก็มีการตั้งค่าปุ่มแบบละเอียดซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในเมนู Setting ได้เช่นกัน ระบบการเล่นที่ดูเรียบง่ายแต่ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเกมนี้มันคือการต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าแบบ 1 ต่อ 4 ซึ่งจริงๆ ควรเรียกว่า หนู 4 ตัวรุมแมวตัวเดียวมากกว่าเพราะ Jerry สามารถโจมตีใส่ Tom ได้หากมีของให้เก็บพร้อมหวดตามฉากหรือไอเท็มติดตัวหรือสกิลเฉพาะ ทำให้งานของ Tom นั้นโคตรลำบาก แต่มันดีที่ทั้งฝ่าย Tom และ Jerry สามารถเลือก Costume ได้ซึ่งชุดแต่งเหล่านี้จะมีสกิลเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีเทคนิคการเล่นจะหลากหลายมากแค่หน้าตาจะซ้ำๆ กันเฉยๆ อย่างเช่น Tom ชุดปกติก็มีแค่สกิลยิงปืนจับ Jerry แต่พอเป็น Tom ชุดคาวบอยก็จะเปลี่ยนสกิลเป็นเอาแส้ไล่หวดสร้าง Debuff พร้อมกับสกิลเรียกกระทิงไล่ชน และที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายสามารถใช้บัตรความรู้เป็นเหมือน Perk ใช้ตัวไหนก็ได้เพื่อความหลากหลายและชิงความได้เปรียบ ทีเด็ดของเกมนี้เลยคือระบบการเล่นและการบังคับต่างๆ ซึ่งสภาพบรรยากาศภายในเกมจะเป็นการไล่จับภายในบ้าน แบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่าง Tom และ Jerry และตัวเกมก็จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ Prepare Phase และ Action Phase โดยช่วงเตรียมตัวหรือ Prepare Phase เจ้าแมวสีน้ำเงินของเราก็ต้องดักตบหุ่นยนต์หนูสอดแนม ขัดขวางไม่ให้เอาเค้กเข้ารูหนู การตบหนูหุ่นยนต์ได้จะเป็นการเพิ่ม EXP ใว้อัพสกิล ส่วน Jerry ก็เอาพวกหนูสอดแนมไปค้นหาตำแหน่งชีสและชิงชิ้นเค้กพร้อมกับเอาไว้กับตัวจนกว่าจะหมดเวลาช่วง Prepare Phase ให้ได้เพื่อทำแต้มและเพิ่ม EXP ในการอัพสกิลเช่นกัน พอเข้าสู่ช่วง Action Phase งานของเจ้าแมว Tom ไม่ต้องคิดอะไรมาก จับพวกหนูมัดเข้าประทัดรอนับเวลาถอยหลังปล่อยขึ้นฟ้าไปเลย หาก Tom สามารถจับเจ้าพวกหนูมัดกับประทัดส่งขึ้นฟ้าได้มากกว่าสามตัวจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะไปเลย แม้ว่าจะมีหนูรอดไปเพียงตัวเดียวก็ตาม แต่หากจับมัดประทัดได้ทั้งหมดพร้อมส่งขึ้นฟ้าจะเป็นการจบเกมและชนะทันที แต่ก็ต้องระวังที่ว่า Jerry สามารถดิ้นให้หลุดจากประทัดได้และ Tom เองก็มี HP สามารถโดนโจมตีได้จากสิ่งต่างๆ หาก HP หมดเจ้าแมวจะหายซ่าและลงไปนั่งมึนกับพื้นรอฟื้นฟู HP ทำให้เสียเวลาการตามล่าอีก ส่วนงานของ Jerry ไม่มีอะไรมาก หาก้อนชีสยัดเข้ารูให้ครบ พร้อมกับขัดขวางไม่ให้ Tom มาจับเราผูกกับประทัดได้ ซึ่งตัวเจ้าหนู Jerry นั้นบอบบางมาก โดย Tom โจมตีไม่กี่ครั้ง HP ก็หมดหลอดลงไปนอนมึนกับพื้น แต่มีข้อได้เปรียบคือตัวเล็กและมีความพริ้วมากกว่า อาศัยการหลบหลีก, ก่อกวน Tom และหาชีสยัดเข้ารูให้ครบ สุดท้ายประตูทางออกจะเปิดโดยให้เรารวมพลังการทำลายประตูให้พังก็สามารถหลบหนีออกไปได้ หากฝ่ายหนูรอดมากกว่าสองตัวถือว่าชนะไป อุปสรรค์ต่างๆ และของทุกชิ้นบนพื้นคืออาวุธ นี่คือไฮไลต์เด็ดของเกมนี้ที่ขาดมันไปก็เหมือนขาดสีสันนั้นก็คือระบบอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งทางลื่นของน้ำที่เดินเข้ามาแล้วตัวจะสไลด์หรือแม้ถ้วย แก้ม จาน ชาม หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตกบนพื้นหรือในห้องสามารถใช้เป็นอาวุธตอบโต้กันไปมาได้ทั้งฝ่าย Tom และฝ่าย Jerry ลองนึกภาพว่าฝ่ายหนูมีอาวุธครบมือแทนที่จะคิดหนีแต่กลับไล่หวดแมวซะเอง นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นเกม 4 รุม 1 เสียมากกว่า ================================================== นี่คือทั้งหมดของเกม Tom & Jerry: Chase ที่ได้ลองเล่นมาสักพัก บอกเลยว่าติดใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นติดงอมแงม พอเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นให้หายคิดถึงวันวานสมัยเด็กที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะให้กลิ่นอายครบ แต่การบังคับหรือการกดเข้าเมนูต่างๆ ยังกดยากและเข้าได้ช้า ไม่ค่อยลื่นไหลนัก โดยรวมแล้วสนุกไม่แพ้เกมแนว Survivor 1 ต่อ 4 แบบเกมอื่นๆ เลยซึ่งมันก็ไม่มีความเลือดสาดนอกจากความตลกโปกฮาตามแบบฉบับของ Tom & Jerry หากในอนาคตมีการอัพแผนที่ใหม่ๆ หรือโหมดใหม่ๆ เข้ามาพร้อมกับปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งกว่านี้ก็อาจจะกลายเป็นเกมที่สนุกไปอีกขั้นก็ได้ [penci_review id="66291"]
10 Sep 2020
รีวิว Date A Live: Spirit Pledge เมื่อเราต้องเดทกู้โลกพิชิตรัก เพื่อพิทักษ์หัวใจเหล่าสาวๆ
เมื่อวันหนึ่ง โลกใบนี้ได้พบกับปรากฎการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Spacequake พร้อมกับกลืนกินทุกอย่างจากจุดศูนย์กลางของพื้นที่นั้น ต้นตอของความเสียหายนี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่เราเรียกกันว่า Seirei ที่แปลว่าเหล่าภูติ ทำให้ต้องมีการส่งกองกำลังเพื่อสังหารเธอเสียก่อนที่โลกจะวุ่นวายมากกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วเหล่าภูติก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ควบคุมพลังนั้นไม่ได้ แค่ต้องการใครสักคนช่วยเหลือเธอเท่านั้น และมีแต่คุณเท่านั้นที่จะผนึกพลังของเธอโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียนี้ได้ คุณจะกล้าตัดสินใจเผชิญกับอันตรายนั้นหรือไม่ ? คุณคือผู้ตัดสินชะตาโลกและชะตารักในครั้งนี้... จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นแค่เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ Light Novel และอนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Date A Live หรือมีชื่อไทยคือ พิชิตรัก พิทักษ์โลก ซึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในปี 2013 และปัจจุบันกระแสของเรื่องนี้ก็ยังไม่จางหายจนกระทั่งได้ทาง Kadokawa มาพัฒนาเกมลงมือถือแนว Action RPG, Hackn Slash ผสมผสานกับแนว Visual Novel ภายใต้ชื่อ Date A Live: Spirit Pledge ซึ่งตัวเกมจะสนุกขนาดไหน ทาง GameFever TH จะขอรีวิวให้รบชมกัน ================================================== เนื้อเรื่องยังคงเคารพต้นฉบับเดิมๆ ได้น่าประทับใจ พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมนี้ครั้งแรก เราจะรับบทบาทเป็นผู้เล่นที่มีพลังแฝงในการผนึกพลังของ Seirei ที่มาจากต่างมิติ ต้นเหตุของการเกิด Spacequake ซึ่งแม้ในฉากคัตซีนจะไม่โชว์หน้าตัวละครของเรา แต่สำหรับคนที่เคยติดตามเรื่อง Date A Live ก็จะรู้เลยว่า เราได้รับบทบาทเป็น อิสึกะ ชิโดว เสียมากกว่า แต่เข้าใจทางทีมพัฒนาแหละว่าจะให้เราจินตนาการเป็นตัวเราเองพร้อมสามารถตั้งชื่อเราเองว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ คิดซะว่าเป็นเนื้อเรื่อง Date A Live โลกคู่ขนานที่มีตัวเราเป็นพระเอกของเรื่องแล้วกัน ส่วนเนื้อเรื่องจะอิงจาก Date A Live Season 1 เลยเพราะเปิดตัวมาก็ได้เห็น Yatogami Tohka ในร่าง Seirei กำลังหวดกับ Tobiichi Origami ที่เป็นคนของหน่วย AST อย่างดุเดือดโดย Origami มีเป้าหมายคือการกำจัดภัยคุกคามอย่าง Seirei ทำให้พวกเธอต่อสู้กันในครั้งแรก หลังจากการดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ ก็แทบจะตรงตามเส้นทางของเนื้อเรื่องในอนิเมะ Date A Live แทบจะทุกอย่าง หากใครเคยดูอยู่แล้วมาเล่นเกมนี้ก็อาจจะทำให้อินกับมันมากขึ้น แต่หากใครไม่เคยดูก็อาจจะงงกับบทในเกมนิดหน่อยเพราะบทพูดในเกมรวมถึงการดำเนินเนื้อเรื่องช่วงต้นอาจจะเร็วเกินไป บทการดำเนินเรื่องอาจจะดูดขัดๆ ไปเสียหน่อยซึ่งมันทำให้งงได้ แนะนำว่าหามีเวลาแนะนำลองหาอนิเมะ Date A Live มานั่งดูกันเพื่อเพิ่มความอินเนอร์เข้าไปนั้นเอง Interface ที่ดูสบายตา มี Achievement ให้ทำเยอะมาก กล่าวในส่วนของ Interface กันเสียหน่อย ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามันรกก็ไม่ใช่เพราะการจัดองค์ประกอบเมนูต่างๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ต้องเรียกว่า มันมีเมนูต่างๆ และฟังก์ชั่นให้เล่นเยอะแยะถึงจะถูกต้อง แต่บางครั้งก็อาจจะมีการงงกับเมนูบ้าง โชคดีที่ตัวเกมเป็นเวอร์ชั่น Global ภาษาอังกฤษเข้าใจง่าย นอกจากนี้เราสามารถเลือก Seirei ที่เราต้องการโดยจะขอหยิบยก Tohka ออกมาเป็นตัวอย่างซึ่งเราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ด้วยการเอานิ้วแตะตัวตามส่วนต่างๆ ซึ่งคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd ในรูปแบบ Live 3D โดยจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลาเพื่อปลดล็อคความสนิทสนมและบทคำพูดที่มากขึ้น แต่หากแตะเยอะเกินไปหรือไปลวมลามเธอระวังจะโกรธเอานะ แน่นแนว่าการแตะไปที่คุณน้อง Tohka ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามก็สามารถเรียกหน้าต่างเมนูเปลี่ยนชุด Costumeได้ด้วย ( แต่อย่าไปแตะบริเวณหน้าอกบ่อยล่ะ แล้วหาว่าจะไม่เตือน เราโดนเธอโกรธหนักมากมาแล้ว ) ในส่วนของการปรับแต่ง Costume ตัวละครหรือการปรับแต่งฉากหลังก็มีให้เลือกได้หลากหลายมากเลยตั้งเปลี่ยนเวลาฉากหลังช่วงกลางวัน-กลางคืนได้แบบ Real-time มีการเพิ่ม BGM ประกอบหน้า Lobby ได้ด้วย โดยทั้งหมดนี้สามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยการทำ Archievment ต่างๆ ภายในเกม และจุดสำคัญของหน้าเมนูต่างๆ ภายใน Lobby เลยก็คือเมนู Achievment ที่จะบอกสถิติเราว่าเราได้ผ่านจุดไหนมาบ้าง เก็บอะไรมาแล้ว ซึ่งทำให้เรารู้ได้ด้วยว่าเราขาดเหลืออะไร ไปเดทกับใครมาบ้าง นั้นหมายความว่าทำให้เรามีเป้าหมายกับเกมนี้และไม่รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อง่ายๆ แน่นอน กาชาเกมนี้ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ ในส่วนระบบกาชาที่ต้องพูดด้วยเพราะว่ามีให้เลือกสุ่มหลายตู้มาก ทั้งตู้สุ่มชุด Costume สวยๆ หรือสุ่มหาสาวๆ Seirei ที่ชอบ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ในการออกก็ไม่ถึงกับว่าเกลือจนเค็มปี๋ และ Fate Badge ที่ใช้แลกเปิดกาชานั้นสามารถหาได้จากการทำเควสต์, เก็บ Archievement และเอาเพชรไปแลกซื้อได้ซึ่งเพชรมีให้แจกทุกวันจนเยอะมากเลยล่ะ ระบบการออกเดทที่มีความน่าสนใจและไม่ยากจนเกินไป แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็น Date A Live ก็ต้องมีเรื่องระบบการออกเดทกับสาวๆ อยู่แล้วซึ่งทางทีมพัฒนาได้นำจุดแข็งของเกม Date A Live เวอร์ชั่น Console ภาคก่อนหน้าที่เน้นขายระบบแนวจีบสาวก็ถูกใส่ลงมาในนี้ด้วย โดยพยายามลงในเวอร์ชั่นมือถือให้ดูลงตัวที่สุด หลังเข้ามาในระบบการออกเดทแล้วเราสามารถเช็คได้ว่าเรานัดสาวคนไหนไปเดทด้วยรวมถึงเช็คค่าความสัมพันธ์, ติดตามสถานที่รวมถึงเช็คสิ่งที่พวกเธอชื่นชอบด้วย แน่นอนว่าการออกเดทจะเป็นการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ที่รวดเร็วที่สุด เพื่อการปลดล็อคสิ่งต่างๆ เช่นบทคำพูดเพิ่มเติมหรือ CG สวยๆ กับฉากน่ารักๆ ให้เราได้ฟินกัน และเมื่อเราเริ่มเลือกสาวที่ต้องการไปออกเดทแล้ว เราจะไม่สามารถข้ามคัตซีนได้เลย ฉะนั้นใครที่ชอบเร่งๆ กดๆ ให้เกมดำเนินเนื้อเรื่องไวขึ้นก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ไม่อยากให้ข้ามเช่นกัน โดยเมื่อเนื้อเรื่องการออกเดทของเราดำเนินไปได้สักพัก จะมีคำตอบให้เราเลือกตอบ โดยบางครั้งจะมีเวลาจำกัดในเราเลือกตอบ หากเลือกไม่ดีก็ส่งผลต่อเนื้อเรื่องรวมถึงการความสัมพันธ์ที่จะได้มากหรือน้อยหลังจบการเดทด้วย แต่ไม่ต้องห่วงในเกมก็ไม่ได้ใจร้ายเพราะมีโอกาสให้แก้ตัวภายในการเดทของสาวเหล่านั้นถึงสามครั้งต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้นเราควรที่จะมีความเข้าใจในภาษาเสียหน่อยแล้วบอกเลยว่าเนื้อเรื่องชวนฟินให้จิกหมอนมากเลยล่ะ จุดที่ทำให้รู้สึกว่าระบบการจีบสาวของเกมนี้มีมิติมากขึ้นคือเราสามารถเลือกไปทำงาน Part-time ภายในเมืองได้โดยของตอบแทนจะเป็นไอเท็มสำหรับพัฒนาเลเวลและสกิลของ Seirei ที่เราเลือกไว้ใช้ในระบบต่อสู้ รวมถึงไอเท็มที่สาวๆ ชอบไว้มอบเป็นของขวัญได้ด้วย โดยไม่ว่าระบบการออกเดทหรือทำงาน Part-time ต่างต้องใช้ Energy รูปดอกไม้สีชมพูทั้งสิ้น ฉะนั้นหากวันไหนต้องนัดเดทกับสาวๆ หลายคนก็บริหาร Energy ดีๆ ล่ะ การปรับแต่งและเสริมพลังตัวละครต้องพึ่งพาการฟาร์ม ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องพูดถึงส่วนนี้ก่อนนั้นคือในส่วนของสเตตัสต่างๆ ของเหล่า Seirei ที่มีนั้น สามารถอัพเพิ่มตามเลเวลของผู้เล่น เช่นหากผู้เล่นมีเลเวล 13 เพดานเลเวลของ Seirei ก็จะเพิ่มขึ้นตามเรา รวมถึงระบบ Crytal ที่ไว้เพิ่ม Status, ระบบ Sephira ที่เหมือนระบบ สติกม่าของเกม Honkai Impact 3rd มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความหลากหลาย, ระบบ Angel ที่เป็นระบบเพิ่มขีดความสามารถของ Skill ในรูปแบบ Skill Tree, ระบบ Astral Dress ก็จะเป็นการเปลี่ยนชุดของ Seirei ตอนออกไปสู้รบได้ ขอโฟกัสในส่วนของระบบ Angel อีกสักนิดซึ่งระบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่มีความสำคัญ โดยเราสามารถอัพเกรดให้กับความสามารถต่างๆ ของเธอได้ด้วยการใช้ขนนกซึ่งจะได้จากการทำเควสต์และการเลเวลอัพของสาวๆ คนนั้น ซึ่งการอัพเกรดสกิลจะใช้จำนวนขนนกต่างหาก และหากสกิลไหนอัพเต็ม ก็จะปลดล็อคสกิลต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทางและสามารถเลือกอัพส่วนไหนก่อนก็ได้เพื่อสร้างความแตกต่างและให้เข้ากับสไตล์ของเรา โดยสามารถสร้าง Profile เลือกสายการอัพเกรดได้ถึงสี่ Profile สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานะการณ์เช่น Profile แรกไว้เน้นต่อสู้ด้วยการใช้สกิล อีก Profile อาจจะใช้เพื่อการคอมโบการโจมตีเป็นหลักก็ได้ ระบบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นต้องอลังการก็สนุกกับมันได้ กล่าวถึงส่วนในระบบการต่อสู้กัน จะต้องใช้ข้าวปั้นเสมือน Energy อีกรูปแบบหนึ่งที่เราต้องจ่าย และเราจะต้องตะลุยด่านตามโหมดเนื้อเรื่องที่ปูให้ไว้ โดยตัวละครตามเนื้อเรื่องบางครั้งจะถูกล็อคและไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ตัวอื่นแทนเป็นตัวหลักได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาไว้ค่อยสับเปลี่ยนเป็นตัวที่เราชอบระหว่างการเล่นก็ได้ จึงไม่ค่อยมีผลอะไรมากเว้นเสียว่าอยากอินกับเนื้อเรื่องก็ให้ใช้ตัวละครตามระบบเกมที่ล็อคไว้ให้ดีกว่า การควบคุมภายในเกมจะเป็นแนว Hackn Slash แบบ Side-Scrolling หรือแบบตะลุยด่านด้านข้าง การบังคับไม่มีอะไรซับซ้อน มันก็เหมือนกับเกมบุกตะลุยทั่วไป ปุ่มซ้ายคือคันบังคับขึ้นลง หน้าหลัง ปุ่มทางขวาจะเป็นปุ่มโจมตีและสกิลต่างๆ ไว้ทำคอมโบกัน โดยใช้เวลาการเล่นในแต่ละด่านบอกเลยว่าสั้นเอามากๆ แต่เข้าใจได้เพราะมีด่านอื่นๆ อีกหลังจากนี้เพียบ และการทำสามดาวในแต่ละด่านก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถนัก ถ้าเป็นสายเสพเนื้อเรื่องก็อาจจะโอเค แต่หากสายชอบความท้าทายอาจจะน่าเบื่อ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละด่านจะมี Hard Mode และ Hell Mode ให้เล่นกันอีกหลังเคลียร์ด่านนี้ไปได้และเลเวลเราสูงพอก็จะปลดล็อคระดับความยากขึ้นไปอีก และในบางด่านอาจจะเป็นด่านพิเศษที่เปลี่ยนแนวทางการเล่นจาก Hackn Slash เป็น Bullet-Hell เสียอย่างนั้น แต่ก็ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างโดยเราแค่บังคับทางด้านซ้ายให้ตัวละครเคลื่อนที่หลบกระสุนเท่านั้นก็พอเพราะตัวเราจะยิงกระสุนแบบ Auto ให้ แค่เอาตัวรอดจนกว่าจะผ่านด่านเป็นอันใช้ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่ ต้องเรียกว่าออกไปทางแนวเฉยๆ กับระบบการต่อสู้มากกว่า กราฟิคสไตล์ Visual Novel คือจุดเด่นของเกมนี้ หลายๆ เกมที่สนุกได้ไม่จำเป็นต้องมีเอฟเฟคหรือกราฟิคอลังการก็ทำให้เราอินไปกับมันได้อย่างดี เมื่อพูดถึงเกมในจักรวาล Date A Live ก็ต้องพูดถึงงานภาพและกราฟิคแบบอนิเมะที่งานดีสุด ซึ่ง Kadokawa ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตัวละคร Seirei ทุกตัวเคลื่อนไหวแบบ Live 2D ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เสียงพากย์ตัวละครแต่ละคนก็คัดคนที่มีประวัติการทำงานมากมายเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากที่สุด ทำให้เราหลงรักเหล่าสาวๆ ได้อย่างหมดใจ และในระหว่างกำดำเนินโหมดเนื้อเรื่องแล้ว นอกจากการต่อสู้ก็ยังมีเนื้อเรื่องในการออกเดทแทรกในเนื้อเรื่องหลักด้วย ทำให้ตัวเกมก็จะสลับไปมาระหว่างการต่อสู้และการออกเดท ซึ่งในส่วนการออกเดทก็จะมีฉาก CG สวยๆ ให้เราได้เสพซึ่งเราชอบช็อตไหนก็สามารถเข้าโหมดถ่ายรูปเพื่อลบหน้าข้อความการสนทนาออกเหลือแต่ภาพสวยๆ ให้เราได้แคปเก็บไว้กัน และในส่วนฉากอนิเมชั่นคัตซีนที่แทรกระหว่างตัวเกมทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคเลยล่ะ งานสวย ไม่มีการเผาแต่อย่างใด แต่บางคนอาจจะขัดใจที่มีซับภาษาจีนด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมนี้ได้เข้าตีตลาดในจีนเป็นที่แรกๆ อาจจะมีบางจังหวะที่ดูทื่อๆ ไปนิดซึ่งคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ไม่งั้นแล้วอาจจะกลายเป็นเกมที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในตัวเลยก็ว่าได้ แต่รวมๆ แล้วดีงามมากๆ เลยล่ะ ================================================== สรุปแล้วเกม Date A Live: Spirit Pledge เป็นเกมที่ดีอีกเกมสำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์ Date A Live ที่หายไปนานแล้วกลับมาทำให้แฟนๆ ได้สัมผัสจนหายคิดถึง เนื้อเรื่องเคารพต้นฉบับมากๆ ระบบ Visual Novel ทำได้ดีเกินคาด และฉากต่างๆ ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง เสียดายที่ระบบการต่อสู้ดูค่อนข้างน่าเบื่อไปเสียหน่อย แต่อาจจะมีอิเวนท์สนุกๆ เพิ่มเข้ามาในอนาคตก็ได้ แม้ช่วงนี้จะมีแต่อิเวนท์ให้ฟาร์มของก็ตาม แต่โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุก เนื้อเรื่องดีมากๆ และจะดีกว่านี้หากได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ด้วย และสุดท้าย...โทคิซากิ คุรุมิคือนางเอก ไม่ใช่โทวกะหรอกนะ! ( ล้อเล่นน่า แค่ชอบคุรุมิมากที่สุดในเรื่องเอง ) [penci_review id="65301"]
31 Aug 2020
รีวิว Hyper Scape เกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ของคนจริง วิ่งสู้ฟัด
จะว่าไปแล้ว เกมแนว Battle Royale ถึงหลายคนจะบ่นว่าเริ่มเยอะ ไม่ค่อยมีเป้าหมายนอกจากการเอาตัวรอด หรือแม้กระทั่งคนเขียนที่ไม่ค่อยชอบแนวนี้ก็ตามเพราะไม่ถนัดการเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ยอมรับโดยดีว่าเป็นแนวเกมที่ยังอยู่กับเราอีกนานด้วยความสนุกและรูปแบบการปะทะนั้นจะไม่มีวันซ้ำซากน่าเบื่อ แถมยังเล่นได้เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งล่าสุดท้าย Ubisoft ก็ได้เปิดตัวเกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ภายใต้ชื่อว่า Hyper Scape นั้นเอง โดยเกม Hyper Scape นี้ได้ทีมพัฒนาของ Assassins Creed และ Rainbow Six: Siege มาร่วมกันพัฒนาเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้มีกลิ่นอายทั้งสองเกมผสมกันอยู่ แถมทำออกมาได้น่าประทับใจด้วย แต่ประทับใจขนาดไหนกันนั้น ทาง GameFever TH จะข้อเล่าประสบการณ์ที่ได้เล่นเกมนี้ให้รับชมกัน ================================================== เปิดตัวเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่รู้สึกถึงความกระหายได้ การเข้าเกมครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก เปิดตัวด้วยการปูเนื้อเรื่องว่าในจักรวาลของ Hyper Scape มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรแบบคร่าวๆ สรุปเลยก็คือ ในยุคปี 2054 ทางบริษัท Prisma Dimension ได้สร้างเกมแนว Battle Royale ที่เรียกว่า Hyper Scape โดยจำลองเมือง Neo Arcadia ทั้งเมืองให้ผู้เล่นที่สนใจ สวมอุปกรณ์จำลองเสมือน, สร้างอวตารและดวลฝีมือกันด้วยอาวุธและทุกอย่างที่มี ผู้อยู่รอดเพียงหนึ่งจะมีโอกาสได้คว้าสิ่งที่เรียกว่า มงกุฎ ซึ่งผู้ที่ได้มันมา ว่ากันว่ามันคือรางวัลที่จะเปลี่ยนชีวิตของคน คนนั้นไปตลอดกาลเช่น หากผู้ชนะเป็นคนยาจก จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนหรือหากมีอะไรที่อยากได้ ก็จะได้ตามปราถนา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ทว่ากลับมีการมาของพวก Hacker ที่เข้ามาแทรกแซงเกม Battle Royale นี้ พร้อมเข้าทำร้ายผู้เล่นจนเเกิดการบาดเจ็บจริงๆ ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเข้าแทรกแซงได้ด้วยวิธีไหน แต่รู้เพียงแค่ว่าพวกนั้นก็ต้องการ มงกุฎ เช่นเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้ ผู้เล่นจะต้องสืบหาเรื่องราวผ่านการเก็บ Memory Shard ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง สำหรับคนที่ไม่ชอบแนว Battle Royale อย่างคนเขียนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนชวนปวดหัวแต่กลับมีความลึกลับในเวลาเดียวกัน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ขึ้นมา และในส่วนที่รู้สึกให้ความสนใจส่วนตัวคือ บริษัท Prisma Dimension ภายในเกมนี้มีความลับชวนอยากรู้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเกมปูให้ผู้เล่นได้เตรียมตัวเป็นนักสืบระหว่างการเล่นเพื่อขยายเนื้อเรื่องที่ถูกซ่อนไว้ ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้ต้องมีให้ทำมากกว่าการเอาตัวรอดจนเหลือคนสุดท้าย อย่ากดข้าม Tutorial ไม่งั้นคุณจะเล่นไม่รู้เรื่อง มีหลายๆ เกมที่เราข้ามโหมดการฝึกสอนก็ได้ไม่ส่งผลต่อการเล่นหรือบางคนมีพื้นฐานอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมดนี้แต่สำหรับเกม Hyper Scape ขอให้โยนพื้นฐานรูปแบบการเล่นเดิมๆ ทิ้งออกไปเลย เพราะคุณจะได้เรียนรู้การอัพเกรดอาวุธหรือ Fuze ด้วยการเก็บอาวุธตัวเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสียหาย, การฝึกการเคลื่อนไหวแบบ Free Running, การใช้ Gadget ที่เรียกว่า Arsenal ทำให้โหมดการฝึกสอนนี้มีความสำคัญจริงๆ นอกจากนี้เราสามารถเลือก Avatar ได้มากถึงแปดตัวละครด้วยกันซึ่งแต่ละตัวละครนั้นอาจจะยังไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าหน้าตา, รูปร่างและประวัติแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วประวัติตัวละครต่างๆ ที่ถูกซ่อนไว้จะอยู่ภายในเกมโดยต้องตามหาสิ่งที่เรียกว่า Memory Shard เช่นกันแต่จะกล่าวถึงส่วนนี้ภายหลังเช่นกันเพราะมันค่อนข้างสำคัญ โหมดการเล่นที่มีให้เลือกถึงสามแบบ โหมดการเล่นภายในเกมจะมีให้เล่นถึงสามแบบมีดังนี้ Squad: จะเป็นโหมดที่เล่นร่วมกับทีม 3 คน พร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คน โดยเราและเพื่อนร่วมทีมจะต้องเอาตัวรอดและเหลือเป็นทีมสุดท้ายให้ได้ Solo: จะเหมือนกับโหมด Squad แต่เราจะลุยเดี่ยวพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คนด้วยเช่นกัน ขอให้เราเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายก็ถือว่าชนะ Faction War: จะเป็นการเล่นแบบแบ่งทีมออกไปทั้งหมด 4 ทีม ทีมละ 24 คนแล้วถล่มกัน ทีมไหนรอดเป็นทีมสุดท้ายไม่ว่าจะกี่คนก็ตามถือว่าชนะไปเลย การควบคุมและ Interface ไม่ซับซ้อนแต่ต้องเชี่ยวชาญ การควบคุมจะเป็นมุมมองแบบ First Person Shooting ที่ต้องใช้ปุ่มวิ่ง, ก้ม, สไลด์, การปีนป่ายแบบ Free Running และการกระโดดที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก ควบคุมง่ายรวมถึง Interface ที่ดูไม่รกเกินไป ถึงว่าออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ในระหว่างรอคนใน Lobby นี้ อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยเฉพาะผู้เล่นใหม่ เพราะทุกสิ่งสามารถฝึกเราในการวิ่ง สไลด์หรือกระโดดข้ามสิ่งต่างๆ เพราะเกมนี้เป็นเกมค่อนข้างเร็ว ถือว่าออกแบบห้อง Lobby ได้ค่อนข้างอย่างชาญฉลาด ทำให้รู้สึกว่าผู้เล่นใหม่ได้มีเวลาวอร์มอัพกับการฝึกการเคลื่อนไหว การ Landing ลงพื้นก่อนใช่ว่าจะได้เปรียบ โดยปกติของเกมแนว Battle Royale แล้ว การลงพื้นก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบในการค้นหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเกม Hyper Scape เพราะคนที่ลงทีหลังเขาอาจจะเห็นกล่องอาวุธซุกซ่อนอยู่ชั้นบนหรือตามซอกตึกต่างๆ ซึ่งกล่องพวกนี้จะให้อาวุธคุณภาพที่ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ สร้างความได้เปรียบได้มากกว่านั้นเอง Free Running คือหัวใจหลักของสนามแห่งนี้ ในแผนที่ Neo Arcadia จะเป็นลักษณะตัวเมืองที่มีตึกสูงเสียส่วนใหญ่ และระบบการเคลื่อนไหวที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป, สามารถสไลด์ระหว่างวิ่งได้ และมีระบบที่ช่วยปีนป่ายเมื่อใกล้ขอบมุมต่างๆ ทำให้เกิดการวิ่งแบบ Free Running ภายในเกม เคลื่อนที่ข้ามตึกต่างๆ ได้อย่างไม่มีสะดุด สำหรับเกมนี้การอยู่บนพื้นจะเป็นอะไรที่เสียเปรียบมากๆ ตรงกันข้ามหากอยู่ที่สูงกลับได้เปรียบ ฉีกกฎเกณฑ์จากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง Hacks Arsenal นี่คือสิ่งที่จะช่วยพลิกสถานะการณ์ ระบบนี้ที่ทำให้ Hyper Scape มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ เลยก็คือระบบ Hack Arsenal ซึ่งพูดง่ายๆ เลยก็คือระบบสกิลที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 9 แบบด้วยกัน โดยล่าสุดได้เพิ่มสกิล Magnet ที่สามารถดูดคู่แข่งให้รวมอยู่จุดที่ใช้สกิลได้ ซึ่งสกิลทั้งหมดเราสามารถเลือกใช้งานได้สองสกิลเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะพลิกสถานะการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือได้เลยล่ะ อาวุธในเกมมีให้เล่นมากถึง 11 ชิ้น อาวุธภายในเกมที่มีตั้งแต่ตัวเกมเปิดตัวมาก็มีให้เยอะมากถึง 11 ชิ้นด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ปืนกล, ปืนพก, ไรเฟิล(รวมลูกซองด้วย) และ Launcher โดยตัวผู้เล่นสามารถแบกอาวุธติดตัวได้สองชิ้นให้เหมาะกับสถานะการณ์ได้ แต่ทว่าอาวุธในเกมกับมีพลังการทำลายที่ค่อนข้างเบามากๆ ยิงกันตายยากเสียเหลือเกินถ้าหากไมไ่ด้ทำการ Fuze หรืออัพเกรดตัวปืน ก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิดในช่วงแรกๆ แต่เล่นไปสักพัก เดี๋ยวก็ชินเอง ระบบ Fuze อัพเกรดปืนให้เทพ แรงและดุดัน หากคุณประสบกับปัญหาอาวุธในเกม Hyper Scape ยิงใครไม่ค่อยตายล่ะก็ ขอทำความรู้จักกับระบบ Fuze หรือระบบอัพเกรดอาวุธภายในเกม ง่ายๆ เพียงคุณหยิบอาวุธตัวเดียวกันมาเพิ่ม ก็จะทำการอัพเกรดประสิทธิภาพทันที โดยเก็บซ้ำได้สูงสุดสี่กระบอก (รวมเก็บใช้ครั้งแรกก็เท่ากับต้องเก็บปืนเดียวกันห้ากระบอก) นอกจากนี้ยังสามารถทำการ Fuze พวก Arsenal เพื่อลดคูลดาวน์ได้ด้วย Memory Shard เนื้อเรื่องลับที่ถูกซ่อนไว้ในเกม สำหรับใครที่เป็นสายเสพเนื้อเรื่องแล้วชอบเล่นเกมแนว Battle Royale ในเวลาเดียวกันอาจจะถูกใจกับเกม Hyper Scape ก็เป็นไปได้เพราะตอนแรกเนื้อเรื่องอาจจะพูดถึงกันผิวเผิน แต่จริงๆ เนื้อเรื่องส่วนต่างๆ ถูกกระจัดกระจายและซุกซ่อนไว้ใน Memory Shard โดยสามารถตามหาพวกมันได้ตามจุดต่างๆ ภายในเกม โดยภายในจะมีการกล่าวถึงด้านลับๆ ของบริษัท Prisma Dimension รวมถึงประวัติตัวละครต่างๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกด้วย มันทำให้รู้สึกว่า มันไม่ใช่การเล่นเกมนี้เพื่อเอาชนะอย่างเดียว แต่หากใครรู้สึกยุ่งยากก็สามารถเมินเฉยกับมันได้เช่นกัน เลือกที่จะ ฆ่า หรือเลือกที่จะเป็น ผู้ถือมงกุฎ สำหรับวิธีการเอาชนะคู่แข่งในโหมด Solo และ Squad นอกจากการสังหารคนอื่นๆ ให้หมดจนเหลือรอดเพียงแค่หนึ่งเดียว ก็มีอีกวิธีที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้เช่นกันโดยเรียกมันว่า Showdown Time โดยไอ้ Showdown Time มันคือการมาของ มงกุฎ ซึ่งจะปรากฎให้เห็นในช่วงท้ายเกม โดยผู้เล่นจะต้องทำการชิงมันแล้วถือครองไว้ให้ได้ภายใน 45 วินาทีโดยผู้ที่ถือครองจะถูกแสดงตัวตนพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ จะทำการไล่ล่าเรา ฟังดูเหมือนใช้เวลานิดเดียว แต่สำหรับเกมนี้ 45 วินาทีถือว่ายาวนานมากๆ เพราะด้วยระบบเกมที่ว่องไว ฉะนั้นจึงต้องงัดทักษะและอาวุธทุกอย่างที่มีเพื่อมงกุฎอันล้ำค่านี้ บอกเลยว่า โค-ตะ-ระ มันมากๆ แต่มันก็อาจจะไม่มันเท่าไหร่สำหรับมือใหม่นัก เพราะมันคือการชิงไหวชิงพริบสกิลเพลย์ของผู้เล่นระดับสูงนั้นเอง หากคุณตาย อย่าเพิ่งออกเกมเพราะเราชุบได้ ในช่วงเวลาที่เราตายสำหรับโหมด Squad และ Faction War เราจะได้รับโอกาสในการชุบชีวิตโดยมีเงื่อนไขว่า เราจะต้องไปยังจุดที่คู่แข่งตาย จะปรากฎจุด Restore ทรงสามเหลี่ยมขึ้น ให้เรายืนรอในนั้นแล้วรอเพื่อนมากดชุบชีวิตอีกที แน่นอนว่าเราไม่สามารถยืนบนจุด Restore ของตัวเองได้ ทำให้ระบบการชุบชีวิตเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ไปเลย และยังสามารถชุบได้เรื่อยๆ ตราบใดที่มีจุด Restore จากการสังหารศัตรูให้เราเข้าไปรอเพื่อนชุบชีวิต โหมด Faction War ยกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกม คงอาจจะไม่พูดถึงโหมด Solo หรือ Squad มากนักเพราะมันก็แทบไม่แตกต่างอะไรนัก แต่สำหรับโหมด Faction War คงไม่พูดไม่ได้ เรายกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกมนี้ เพราะมันคือการนำทีม 24 คน มาตะลุมบอนกับทีมที่เหลืออีกสามทีม บอกเลยว่าสู้กันดุเดือดมากๆ และเหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่สุดเพราะว่าไม่ต้องกังวลว่าเราอาจจะสู้ใครไม่ได้ เพราะเรามาเยอะ แน่นอนว่าสามัคคีคือพลังแม้ว่าเราจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม เพียงแค่อยู่แนวหลังค่อยๆ ช่วยยิงก็พอแล้ว ที่เหลือคือเรียนรู้พัฒนาฝีมือจนแกร่งกล้าก็ค่อยเล่นโหมดอื่นก็ยังไม่สาย ทำให้รู้สึกได้เลยว่าโหมดนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่และยิ่งคนเยอะ ทำให้เกมเพลย์ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดจึงพอสามารถยิงต่อสู้ได้บ้าง เจอรถเหลือง อย่าไปเหยียบหรือใกล้มัน ระบบนี้ถึงจะเป็นระบบเล็กๆ แต่ก็ไม่ควรจะละเลยมันคือรถสีเหลืองพวกนี้ หากเราเข้าใกล้หรือตกจากที่สูงไปเหยียบหลังคารถเมื่อไหร่ มันจะส่งเสียงดังพร้อมเผยตำแหน่งของเรา มันจะแย่มากหากเล่นในโหมด Solo หรือ Squad แต่มันก็จะแทบไม่มีผลอะไรกับโหมด Faction War นักเพราะพวกเยอะ ใครจะกล้ามายิงเรา Event Time สิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนการเล่นของเราชั่วพริบตา ระหว่างการเล่นนั้นเราอาจจะได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า Event Time โดยจะมีปรากฎการณ์แบบสุ่มขึ้นมาในรูปแบบจำกัดเวลาเช่น เลือดฟื้นฟูไวขึ้น, กระโดดได้ถึงสี่สเต็ป, กระโดดสูง หรือแม้กระทั่งกระสุนไม่จำกัด นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ อีกมากมายที่จะรอเซอไพร์สเราอีก มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นและบางครั้งมันอาจจะเปลี่ยนหรือพลิกสถานะการณ์ได้เลยล่ะ กราฟิคและ Performance ในเกมอาจจะยังขัดใจ สำหรับกราฟิกในเกม Hyper Scape ก็สวยใช้ได้ในแบบของมัน แต่ถามว่ามันดูลื่นไหลหรือดีขนาดนั้นไหม ก็ตอบได้เลยว่าอาจจะไม่โดยเฉพาะโหมด Faction War ที่บางครั้งหากตะลุมบอนกันจำนวนมากในจุดเดียวอาจจะเกิดการ Lag หรือกระตุกได้ รวมถึงบัคเสียงหายที่ยังแก้ไม่หายในช่วง Closed Beta Test จากที่เล่นเกมฟังเสียงระทึกมันๆ จู่ๆ เสียงก็หายไปดื้อๆ อาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันเสียหน่อย ================================================== โดยสรุปแล้ว Hyper Scape เป็นเกมแนว Battle Royale ที่แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นกัน (ยกเว้น Faction War) ด้วยระบบเกมที่ไว ยิงไว เคลื่อนที่ไว แต่ยิงตายกันยากหากไม่แม่นพอ แต่ใช่ว่ามือใหม่จะเล่นไม่ได้เลยต้องอาศัยเวลาการปรับตัวระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วสนุก ใช้เวลาจบเกมไม่นานและที่สำคัญเลยคือหากใครชอบแนวเกมไว Hyper Scape อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายและตอบโจทย์ได้อย่างดีแน่นอน [penci_review id="65106"]
24 Aug 2020
เล่าประสบการณ์ หลังสัมผัส Rocket Arena "ทำไมถึงไม่เป็นเกม F2P?!"
Rocket Arena เกม Hero Shooter แบบ 3v3 ที่ผู้เล่นทุกคนจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจรวดในการเผชิญหน้ากัน เกมดังกล่าวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Overwatch เล็กน้อย แต่จุดเด่นของเกมนี้คือการที่ผู้เล่นจะได้ใช้ปืนยิงจรวดในการปะทะกันพร้อมกับทำเป้าหมายต่างๆ ที่เกมสุ่มมาให้ในแต่ละแมตซ์ให้สำเร็จ แต่ตัวเกมนี้ถึงแม้จะมีหลากหลายโหมดและหลายเป้าหมายให้ผู้เล่นได้เล่นกันก็ตาม แต่มันยังไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความคุ้มค่ามากนักหากต้องซื้อเกมนี้มาเล่นในราคาเต็ม 999 บาท เพราะอะไรผู้เขียนจึงคิดเช่นนี้ ก็สามารถอ่านได้จากข้างล่างนี้เลยครับ! กราฟิก กราฟิกของเกม Rocket Arena นั้นโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันค่อนข้างสวยทีเดียวครับ สีสันสดใสแต่ไม่ได้ระคายตาแต่อย่างใด โมเดลตัวละคร 3D ก็นับว่าน่ารักใช้ได้ ส่วนวัตถุแวดล้อมต่างๆ ในแผนที่ อย่างก้อนหิน ต้นเสา ต้นไม้ นั้นไม่ได้สวยเท่าไหร่นัก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้เน้นตกแต่งรายละเอียดสภาพแวดล้อมมากนัก แต่ก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ครับ เนื่องจากเกมนี้เป็นเกมที่ตัวละครของผู้เล่นจะเคลื่อนไหวแทบตลอดเวลา แถมแต่ละแมตซ์ในเกมก็จบค่อนข้างเร็ว อีกทั้งการเคลื่อนไหวของตัวละครก็เร็วพอสมควร ดังนั้นผู้พัฒนาจึงละทิ้งรายละเอียดของพวกก้อนหิน หรือกำแพงไป เพื่อเน้นในเรื่องอื่นแทน แต่สิ่งที่มาทดแทนความสวยงามของสภาพแวดล้อมพวกนี้ก็คือความสวยงามของเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์สกิล และเอฟเฟกต์อาวุธของตัวละคร เนื่องด้วยอาวุธของตัวละครนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นกระสุนระเบิด แต่ก็มีทั้งรูปแบบระเบิดไพ่ เครื่องยิงระเบิดน้ำ หรือกระทั่งหอกระเบิด ดังนั้นเอฟเฟกต์ต่างๆ ภายในเกมนี้จึงเยอะมาก แต่สำหรับเครื่องคอมระดับกลางๆ ก็ไม่ได้เกิดอาการกระตุกเลยแม้แต่น้อยครับ และเกมนี้มีแผนที่หลายแบบเหมือนกัน ทั้งแบบที่มีอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงหิน นอกจากนี้โมเดลตัวละครก็ถือว่าน่ารักมากเช่นกัน รูปลักษณ์ตัวละครทั้งสิบภายในเกมนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่ถือ อุปกรณ์ที่สวมใส่ หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ อย่างเครื่องไอพ่นที่ติดอยู่บริเวณหลังสำหรับลอยตัวกลางอากาศไปจนถึง Hoverboard ของ Rev ที่เธอสามารถใช้เร่งความเร็วในการเคลื่อนที่หรือใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย เกมเพลย์ ตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง ทั้งการใช้สกิลเพื่อโจมตีหรือหลบหลีก และเกมนี้จะค่อนข้างเป็นเกมที่ตัวละครเคลื่อนที่เร็ว ทั้งพุ่งไปข้างหน้า บินขึ้นฟ้า หรือการหมุนตัวเพื่อหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นสำหรับคนที่เป็น Motion Sickness อาจจะเล่นเกมนี้ไม่ไหวครับ โดยเกมนี้จะมีโหมดให้เล่นทั้งหมด 3 แบบในตอนนี้ ส่วนโหมด Rank มีอยู่ในเกมแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เราได้เล่นกัน ที่สำคัญสำหรับคนที่เคยเห็นหรือเคยเล่นเกมอย่าง Super Smash Bros. หรือ Brawlhalla มาก่อนก็จะคุ้นเคยกับการที่จะต้องโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะ K.O. (Knockout) หรือผลักฝ่ายตรงข้ามออกนอกแผนที่เพื่อที่จะให้ฝ่ายตรงข้าม K.O. กันดีครับ เพราะเกมนี้ก็ใช้ระบบแบบนั้นเช่นกันครับ ส่วนระบบการรอห้องถ้าเป็นเกมแนว Multiplayer แล้วล่ะก็ทุกคนคงต้องกังวลกับการต้องใช้เวลารอห้องอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเกมไม่ได้ทำให้การหาห้องของเกมนี้นานจนเกินไป เพราะเกมนี้สามารถเลือกเปิดให้เล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ ดังนั้นผู้เล่นจะได้เจอผู้เล่นฝั่ง PC กับฝั่งคอนโซลอย่าง PS4 ได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ จำนวนผู้เล่นก็จะมากขึ้นและหาห้องได้ไวขึ้น แต่ด้วยการนำผู้เล่นจากทุกแพลตฟอร์มทั่วโลกมาเล่นรวมกันต้องยอมรับเลยว่าจะต้องมีความเลื่อมล้ำของค่า PING อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้มากเสียจนไม่สามารถเล่นได้ครับ โดยโหมดต่างๆ ของตัวเกมมีดังนี้ Arena Mode จะเป็นโหมดที่เล่นตามเป้าหมายที่เกมจะสุ่มมาให้ เช่นการเก็บเหรียญบนพื้นที่หากทีมใดสามารถครองเงินไว้ในมือได้สูงสุดก็จะชนะไป หรือเป้าหมายสุดเบสิกที่เห็นได้บ่อยๆ ในหลายๆ เกม อย่างการครองพื้นที่ ที่ผู้เล่นจะต้องอยู่ในวงกลมตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อยึดพื้นที่จุดนั้น โดยระหว่างนั้นก็ต้องต่อสู้กับทีมตรงข้ามที่จะมาแย่งเรายึดพื้นที่ไปด้วยเช่นกัน   Knockout Mode เป้าหมายของโหมดนี้ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นวัดฝีมือ และความพริ้วไหวในการยิงจรวดใส่ฝ่ายตรงข้าม การชนะในโหมดนี้นับจากจำนวนที่ K.O. อีกฝ่ายได้ ทีมไหนแต้มเยอะกว่าก็ชนะไป ถ้าหากใครต้องการความตื่นเต้นที่จะมีกระสุนจรวดพุ่งมาได้ทุกทิศทุกทางก็ต้องโหมดนี้เลยครับ!   RocketBot Attack Mode โหมดต่อสู้กับบอทที่เราสามารถร่วมสู้ไปกับเพื่อนๆ ได้ โดยโหมดนี้จะจำกัดการถูก K.O. ของฝั่งผู้เล่นไว้ที่ 9 ครั้ง และฝั่งบอท 30 ครั้ง หากฝั่งไหนถูก K.O. ครบก่อนก็จะแพ้ไป ระบบเติมเงิน เกม Multiplayer ไม่ว่าเกมไหนก็ต้องมีระบบนี้จริงๆ ครับ ถ้าหากจะถามว่าควรจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ทั้งๆ ที่ซื้อตัวเกมมาแล้วก็ตอบตรงนี้ได้เลยครับว่าไม่ได้จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มขนาดนั้น เพราะจากการเล่นเกมใน 1 แมตซ์ หากเป็นฝ่ายชนะจะได้เงินราวๆ สองถึงสามพันเลยทีเดียว แต่หากแพ้ก็จะได้อยู่ที่หนึ่งพันกว่าๆ ซึ่งถ้าจะให้พูดก็คือตัวเกมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นต้องเติมเงินขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นสินค้าในหน้าร้านค้าบางชิ้นก็มีแต่ต้องเติมเงินเพื่อที่ได้จะมันมาครับ แต่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากเฉลี่ยราคาของสกินรวมไปถึงเอฟเฟคต่างๆ ของตัวเกมจะอยู่ที่ 1 หมื่นไปจนถึง 5 หมื่น หากเล่น 5 แมตซ์ ขึ้นไปก็สามารถซื้อของได้โดยไม่ต้องเติมเงินเลย แต่หน้าร้านค้าในเกมตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้เรายอมเสียเงินซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้นอกจากสกินตัวละคร ลายธงที่โชว์ตอนเริ่มแมตซ์ ก็มีเอฟเฟกต์ควันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครอยากสวยงามและเด่นกว่าคนอื่นในเวลาอันรวดเร็วไม่อยากต้องรอคอยแล้วหล่ะก็จะเติมเงินเพื่อซื้อก็ไม่เสียหาย   ตัวละคร ตัวละครในเกมนี้ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นรูปแบบการเล่นของแต่ละตัวนั้นจะต่างกัน ทั้งสกิล เทคนิคการยิง และกระสุนจรวด ทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ นอกจากนี้ตัวละครยังสามารถเปลี่ยนสกินได้มากมาย แน่นอนว่ามันต้องซื้อ และในเกมนี้ยังมีไอเทมพิเศษสำหรับช่วยผู้เล่นอย่าง Artifact ที่สามารถใส่ได้สามชิ้นต่อหนึ่งตัวละคร โดยบางชิ้นอาจเพิ่มความสูงตอนกระโดดเล็กน้อย และบางชิ้นก็อาจเพิ่ม Damage ให้ผู้เล่นเมื่อทำการ K.O. ฝ่ายตรงข้ามได้ ในส่วนของ Artifact นั้นไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นมากนักในช่วงเริ่มต้นแต่เมื่อผู้เล่นอัพเลเวล Artifact โดยการสวมใส่มันแล้วนำไปเล่นในโหมดใดๆ ก็ตาม Artifact จะได้ EXP หลังจบเกม และเมื่อ Artifact เลเวลสูงขึ้นค่าสถานะที่ Artifact ชิ้นนั้นๆ เพิ่มให้กับผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยบางชิ้นอาจจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่บางชิ้นก็บอกเพียงแค่ว่าเพิ่มความสูงของการกระโดดจากพื้นดินเพียงเท่านั้น สรุป เกมนี้หลังจากที่ได้ลองเล่นดูก็นับว่าไม่ได้แย่อะไรครับ เกมเพลย์ค่อนข้างสนุก สามารถเพลิดเพลินไปกับเพื่อนๆ ได้ดีเลย คอนเซ็ปต์ที่มีแต่ปืนยิงจรวดก็น่าสนใจดี ในส่วนของเรื่องกราฟิกโดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบครับ แต่เมื่อเทียบกับเกมใหม่ๆ ที่ออกมาในปีนี้แล้ว กราฟิกของเกมนี้ดูไม่เหมาะกับปี 2020 ไปเลย และในส่วนของราคาเกมนี้อยากที่กล่าวข้างต้นว่าอยู่ที่ 999 บาท ซึ่งในความคิดของผู้เขียน มันถือว่าแพงเกินไปสำหรับคุณภาพของเกมในตอนนี้ ถ้าหากลดมาอยู่ในช่วง 400 - 500 บาท หรือเปิดให้เล่นแบบ Free-to-play ไปเลยมันจะสมเหตุสมผลมากกว่า โดยรวมแล้วถือเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องหามาเล่นก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากหาเกมยิงสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกับเพื่อนๆ เกมนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อย เพียงแต่จะดีกว่าถ้ารอซื้อตอนเกมนี้ลดราคาครับ ข้อดี หนึ่งแมทช์ใช้เวลาไม่นาน ตัวเกมเข้าใจง่าย มีการสอนก่อนเริ่มเล่นจริง เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เพราะไม่มีเลือด หรือภาพตัวละครถูกสังหาร ข้อเสีย เกมมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับระบบของเกมในตอนนี้ ระบบการยิงนั้นปกติ แต่การยิงให้โดนตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่โดดไปมาอยู่นั้นนับว่ายากมากสำหรับผู้เริ่มเล่นแนวนี้
18 Aug 2020
รีวิวเกม Might & Magic: Era of Chaos เกมรบทัพจับศึกสุดแฟนตาซี
ซีรีส์ Might & Magic เป็นซีรีส์เกม RPG สวมบทบาทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป ถือว่าเกมนี้เป็นระดับตำนานเลยก็ว่าได้ โดยตัวเกมตัวแรกสุดของซีรีส์ Might & Magic ปล่อยออกมาในปี 1986 หลังจากนั้นมา ตัวเกมก็มีภาคใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่แพลตฟอร์มมือถือเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเกมแนวใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย Might & Magic เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งเกม ที่ได้ทำการวิวัฒตัวเองไปสู่เกมรูปแบบใหม่เช่นกัน Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG บนแพลตฟอร์ม Android และ iOS เปิดให้บริการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างค่าย Ubisoft โดยตัวเกมแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น Strategy RPG  ก็ตาม แต่เอาจริง ๆ ตัวเกมสามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมแนว RPG สไตล์จัดทีมตัวละคร ที่จะส่งให้ทีมตัวละครของเราและฝั่งศัตรูได้ออกไปสู้กันโดยอัตโนมัตินั่นเอง ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเกม Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG ที่เราจะได้เลือกฮีโร่และจัดทีมกองทัพของตัวเอง ให้ออกไปต่อสู้กับกองทัพของศัตรู ตัวเกมโดดเด่นเป็นอย่างมากในการหยิบเอาตัวละคร ธีมเกม ฉาก รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ มาจากซีรีส์ Might & Magic ซึ่งได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่มีทั้งเผ่า โลก เวทย์มนตร์ และตัวละครสำคัญ ๆ ที่มีเสน่ห์มากมายให้เราได้หลงใหล กราฟฟิก และงานออกแบบ "กราฟิก 2D รายละเอียดดี ภาพประกอบคุณภาพงานแฟนตาซีแท้" กราฟฟิกตัวเกมของ Might & Magic: Era of Chaos จะมาในรูปแบบสไตล์แนวการ์ตูน 2D แต่คงไว้ด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตครบถ้วน โดยเฉพาะภาพประกอบต่าง ๆ ของตัวละครที่ทำออกมาในรูปแบบการ์ด ก็ทำออกมาได้ดูดีมาก ถ้าปริ๊นออกมาเป็นการ์ดจริง ๆ ผมว่าสามารถนำมาขายได้เลยละ จุดหนึ่งที่ตัวกราฟฟิกทำออกมาดี คือฉากการต่อสู้ เพราะในเกมในสไตล์เดียวกันกับ Might & Magic: Era of Chaos ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างและมาก ๆ ดูไม่ออกว่าใครสู้กับใคร ใครทำอะไรบ้าง มันทำให้เราพลาดความเท่ห์ หรือเสน่ห์ของตัวละครที่ทำออกมาอย่างดีไปเสียหมด แต่สำหรับฉากต่อสู้ของ Might & Magic: Era of Chaos ถือว่าทำออกมาดูดีทีเดียว เราสามารถเห็นกลุ่มก้อนของยูนิตแต่ละตนได้เป็นอย่างดี และเห็นว่าตัวละครเหล่านั้นทำอะไรลงไปบ้าง ระบบเกมเพลย์ "จัดทัพตัวละคร วางกลยุทธ์ตำแหน่ง เหมือนเล่นเกมหมากกระดาน แต่ตัวหมากมีชีวิต สกิล และความแข็งแกร่งที่สามารถสอดผสานกันได้" ตัวระบบเกมเพลย์หลักหรือระบบต่อสู้ภายในเกม จะมาในรูปแบบของเกมแนว RPG จัดทีม ที่ปล่อยให้ฮีโร่ของเราออกไปต่อสู้กับทีมฮีโร่ของฝั่งศัตรูโดยอัตโนมัติ แต่แตกต่างนิดหน่อยตรง Might & Magic: Era of Chaos จะให้ความรู้สึกถึงความเป็นกองทัพมากกว่า โดยภายในตัวเกม เราจะสามารถจัดกองทัพของเราได้สูงสุด 8 ยูนิต ซึ่งยูนิตบางประเภทจะไม่ได้ออกมายืนโดดเดี่ยวตนเดียว แต่จะมายืนเป็นกลุ่ม เวลาต่อสู้ จึงเหมือนการเคลื่อนพลของกองทัพ มากกว่าเห็นเป็นตัวละครวิ่งเข้าไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ความพิเศษของ Might & Magic: Era of Chaos คือเรามีพื้นที่ให้วางยูนิตทั้งหมด 4 x 4 ช่องเท่านั้น และจะแบ่งแถวหน้าหลังไว้เท่า ๆ กันที่ 2 x 4 ช่อง โดยยูนิตภายในเกมแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 สาย โดย โจมตี ป้องกัน และจู่โจม จะเป็นยูนิตแถวหน้า ส่วน ระยะไกล กับคาสเตอร์จะถูกล็อคไว้ให้อยู่แถวหลัง โดยการวางตำแหน่งตัวยูนิต ถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ เพราะจะหมายถึงการปะทะ หรือการเจาะเข้าสู่ตำแหน่งยูนิตแถวหลัง ซึ่งมีพลังป้องกันที่น้อยกว่าได้ นอกจากการจัดทัพตัวยูนิตแล้ว ตัวเกมยังมีระบบ "ฮีโร่" หรือคนคุมกองทัพ โดยในปัจจุบันฮีโร่ของ Might & Magic: Era of Chaos มีมากถึง 23 ตน ฮีโร่เป็นตัวละครที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยบัพโบนัสค่าสเตตัสให้ตัวยูนิตในกองทัพของเราเองแล้ว ฮีโร่ยังเป็นตัวแปลในการใช้สกิลในระหว่างการต่อสู้อีกด้วย โหมด & ระบบการเล่น "การันตีเรื่องโหมดการเล่นที่เยอะมาก ตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน" ใน Might & Magic: Era of Chaos การปลดล็อคระบบต่าง ๆ ทำได้ด้วยการเพิ่มระดับเลเวลของตัวเรา ตัวเกมมีระบบให้เราได้เล่นได้ศึกษาเยอะมาก ตั้งแต่ระบบอัปเกรดร้อยแปด ทั้งอัปเกรดยูนิต อัปเกรดฮีโร่ ระบบภารกิจ ระบบแจกของมากมาย โหมดเนื้อเรื่อง โหมด PVP โหมด PVE ระบบ Guild โหมดอีเวนท์รายวันรายสัปดาห์ ระบบค่ายทหาร และอีกมากมายหลายหลากตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน ระบบกาชา "ระบบกาชาแบบเศษยูนิต พร้อมการสุ่ม SSR แบบ 100%" ระบบกาชาของ Might & Magic: Era of Chaos แม้จะมีแจกให้เราได้หมุนฟรีวันละ 1 ครั้ง แต้ตู้กาชาของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะหมุนให้ได้ยูนิตตามที่ต้องการยาก เพราะภายในตู้จะไม่ได้ออกมาแค่ยูนิตเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับเศษของยูนิต ซึ่งการจะได้ตัวละครระดับ SSR มาครองค่อนข้างหวังกับการสุ่มเป็นครั้ง ๆ ได้ยาก เน้นกาชาให้ครบ 100 ครั้งจะดีกว่า เพราะพอครบ 100 ครั้ง ระบบจะสุ่มปล่อยยูนิต SSR มาให้เราได้เชยชม 1 ตัวแบบ 100% อย่างไรก็ตาม เศษยูนิตของฮีโร่ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะมันเอาไว้สำหรับอัปเกรดเพิ่มดาวให้ตัวละคร ซึ่งจะทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวละครระดับ SR ก็เป็นตัวละครที่อัปเกรดได้ง่าย สามารถสอดผสานกันได้ดีไม่แพ้ตัวละครระดับ SSR ดังนั้นต่อให้เกมนี้ยูนิต SSR จะออกยากไปหน่อย แต่ยูนิตระดับ SR ก็เจ๋งไม่แพ้กันเลย สรุป "เกมจัดทัพตัวละครที่ให้อารมณ์วางกลยุทย์ และควบคุมกองทัพใหญ่จริง ๆ แม้ว่าตัวเกมจะเป็นเกม RPG ทั่ว ๆ ไปก็ตาม" ผมชอบสเน่ห์ของ Might & Magic: Era of Chaos ตรงตัวละคร และงานออกแบบต่าง ๆ เรารู้สึกได้เลยว่านี้คือโลกแฟนตาซี การจัดทีมตัวละคร ให้อารมณ์เหมือนการจัดกองทัพมากกว่าจะเรียกว่าเป็นแค่การจัดทีม เราต้องรู้จักวางกลยุทธ์ให้กองทัพของเราได้เปรียบกว่ากองทัพศัตรู การกดใช้สกิลของฮีโร่ระหว่างการต่อสู้มีผลต่อรูปเกมเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นผู้วิเศษของกองทัพ ที่สามารถใช้พลังเวทย์กวาดต้อนกองทัพของศัตรูให้ราบเรียบได้ในครั้งเดียว หากคุณชอบเกมแนว RPG แฟนตาซี ที่ให้อารมณ์การจัดกองทัพ การวางกลยุทธโดยอิงตำแหน่งของตัวละครเป็นหลัก Might & Magic: Era of Chaos สามารถตอบโจทย์ความชอบของคุณได้แน่นอน ดาวน์โหลดเกม Might & Magic ®: Era of Chaos  [penci_review id="63847"]
18 Aug 2020
รีวิว Call of Duty: Warzone เกม Battle Royale สุดโหด ไม่เดือดจริงอยู่ไม่ได้
จุดเริ่มต้นกระแสเกมแนว Battle Royale ต้องย้อนกลับไปในช่วงราวๆ 4 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ PUBG ยลโฉมให้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม Battle Royale เกมนี้ ( เกมแรกที่คนคุ้นเคยจริงๆ คือ ArmA 2: Battle Royale mod ) แต่ก็ทำให้ทั่วโลกต่างสนใจและเกิดเป็นกระแส Fever จนค่ายเกมหลายๆ เจ้าเริ่มทำเกมแนว Battle Royale เป็นของตัวเองกันบ้าง ล่าสุดทาง Infinity Ward ก็ไม่น้อยหน้าเอาเกม Call of Duty: Modern Warfare ภาคล่าสุดที่เป็นกระแสไม่ดีสุดๆ ก็แย่แบบสุดโต่งในแง่การเมืองระหว่างประเทศ เพราะสำหรับชาวตะวันตกถือว่าละเอียดอ่อนมาก จับมาเพิ่มโหมด Battle Royale ภายใต้ชื่อว่า Warzone ซึ่งเป็นโหมดที่แยก Standalone ออกมาจากตัวเกมหลักและเล่นฟรีไม่คิดเงิน แถมคนเข้ามาเล่นกันจนแน่นเซิร์ฟเวอร์ภายในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทาง GameFever TH ก็ได้เห็นความมันและอลังการงานสร้างของโหมดนี้แล้วก็ชักจะพิสูจน์แล้วว่ามันจะสนุกมากน้อยเพียงไหน เอาล่ะคงไม่ต้องสาธยายให้ยาวมาก ไปดูกันเลยดีกว่าว่าความรู้สึกหลังจากได้เล่นโหมด Warzone ร่วมๆ 15 ชั่วโมงแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง ================================================== Call of Duty กับภาพลักษณ์ Battle Royale สุดโหด ตั้งแต่เข้าดู Trailer จนกระทั่งเข้าเกมมา แน่นอนว่าตัวเกมจะบังคับให้เราเล่น Tutorial ซึ่งบอกเลยว่าสำคัญมาก ใครคิดจะ Skip คิดว่าเกมแนว Battle Royale มันก็เหมือนๆ กันหรือออกเข้าเกมใหม่หวังจะเล่นเกมไวๆ ล่ะก็ ตัวเกมไม่อนุญาตจนกว่าเรียนรู้ Tutorial อย่างเข้มข้มให้เรียบร้อย ถือว่าเป็น First Impression ที่ชอบนะ คือคุณอยากเล่น คุณก็ต้องเรียนรู้ ถ้าคุณไม่เรียนรู้ คุณก็จะกลายเป็นไก่ ขนาดตัวเองมีเกม Modern Warfare ตัวเต็มก็ยังไม่ละเว้นที่ต้องเรียนรู้ Tutorial ก่อน ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า Warzone น่ะมีอะไรที่แตกต่าง ถือว่าควรค่าแก่การยอมสละเวลาสักนิดเพื่อศึกษาระบบโลกของ Battle Royale เกมนี้ดีกว่าไปลงสนามแบบไม่รู้อะไรเลย ส่วนหน้า Interface ก็ไม่มีอะไรมาก ด้านซ้ายจะมีโหมดให้เลือกเล่นได้แก่ โหมด Battle Royale: เป็นโหมดที่เรากับผู้เล่นอีกสองคน ร่วมฝ่าฝันและสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ จำนวน 150 คน เข้าลงสมรภูมิ Verdansk ดินแดนสมมุติของประเทศรัสเซีย ( แต่ในเกมจะใช้ชื่อประเทศแบบเลี่ยงๆ กันดราม่านั้นแหละ ) ภารกิจคือ หลบหนีเข้ามายังเซฟโซนที่มีแก๊ซพิษไล่หลังเราเรื่อยๆ และอยู่รอดจนเป็นคนสุดท้ายหรือทีมสุดท้าย เป็นโหมดที่เน้นทักษะการเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุดเพื่ออยู่รอดให้นานที่สุด โหมด Plunder: โหมดนี้จัดได้ว่าค่อนข้างแหวกแนวหน่อยๆ โดยเรากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน โดดร่มลงพื้นที่ Verdansk แล้วทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เงินมาแล้วส่งเงินขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรือบอลลูนฉุกเฉินแย่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ อีก 150 คน โดยเราสามารถตายและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ตลอดเวลา ทีมไหนที่ส่งเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์หรือมีเงินสะสมมากที่สุดในทีมก็จะเป็นผู้ชนะ ถือว่าเป็นโหมดที่เน้นเอาสะใจมากกว่าเอาตัวรอดแบบปกติ โหมด Pratice: เป็นโหมดฝึกซ้อม หากใครผ่าน Tutorial ครั้งแรก็สามารถกลับมาเล่นซ้ำเพื่อทบทวนและฝึกฝนได้ Squad Fill: เราสามารถเลือกที่จะเติมคนนอกเข้ามาร่วมทีมแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่หากใครที่ชอบ Solo หรือแกร่งกล้าพอก็สามารถปิด Squad Fill ได้เช่นกัน ส่วนด้านขวาก็จะเป็นเควสต์ที่เป็นเควสต์ประจำวันและภารกิจที่อยู่ตลอดจนกว่าเราจะทำเสร็จ ซึ่งก็มีการแจกอุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนัก Loadout, อาวุธปืนและ Perk ที่มีความสำคัญกับผู้เล่น อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ ทั้งคนที่มีตัวเกม Call of Duty: Modern Warfare หรือยังไม่มีขอเล่นฟรีก่อน สำหรับ Loadout ผู้เล่นสามารถปรับแต่งปืนแล้วสร้างเป็น Loadout ของตัวเองได้ โดยมันจะถูกใช้ตอนเราเรียก Loadout Package ตอนเล่นและเมื่อเปิดกล่องก็จะเป็นการเรียก Loadout ที่เราเซ็ตไว้แต่แรก ( พูดง่ายๆ ก็คือเรียกกล่องลงมานั้นแหละแล้วจะได้อาวุธที่เราตั้งค่าไว้ ) โดยผู้เล่นที่มีตัวเกมจะได้เปรียบอยู่นิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่เล่นมานาน อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ก็ปลดล็อคเกือบหมดแล้วจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้เล่นฟรีไม่ต้องกังวลเพราะเกมนี้อาวุธทุกกระบอกมีความสำคัญพอๆ กัน และปืนกระบอกเดิมๆ แบบไม่แต่งก็ยังมีความสามารถที่จะหยุดยั้งศัตรูได้มากพอหากมีฝีมือ และสิ่งที่สายฟรีต้องพยายามมากกว่าคนที่มีตัวเกมเต็มก็คือ เกม Call of Duty: Modern Warfare นอกจากมีระบบเลเวลผู้เล่นแล้ว ก็ยังมีระบบเลเวลของปืนด้วย ซึ่งการที่จะเพิ่มเลเวลของปืนใน Warzone ก็คือการเรียก Loadout Package เลือกอาวุธที่เราตั้งค่าไว้แล้วให้ไปไล่ยิงศัตรูหรือทำเควสต์ตามทางให้ได้ ซึ่งทุกเลเวลของปืนจะปลดล็อคอุปกรณ์เสริมเพิ่มความสามารถของตัวปืนให้อีกด้วย คนเล่นเกมแนว Battle Royale เป็นประจำจะเข้าใจจุดนี้ดี อีกทั้ง Perk ต่างๆ ที่เป็นสกิลส่วนตัวช่วยเสริมความสามารถของผู้เล่นจะปลดล็อคตามเลเวลของผู้เล่นเอง  แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้จะปืนเดิมๆ แต่ก็แทบไม่ได้ส่งผลอะไรกับการสู้มากนักหากมีฝีมือมากพอ Operator ไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ผู้เล่นได้เปรียบ หลายคนอาจจะคิดว่า "เฮ้ย คนมีเกมตัวเต็ม ปลดล็อค Operator หลายตัวย่อมได้เปรียบกว่าสายฟรีแน่ๆ" แต่ขอให้คิดใหม่สักนิดเพราะทาง Infinity Ward ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Operator แค่ทำให้ตัวเองดูหล่อเท่ตอนลงบวกกันในสนามเท่านั้น แต่หากสายฟรีอยากปลดล็อค Operator ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อ Skin Operator ตัวนั้นๆ ที่จะวนขายในเมนู Shop หรือจะซื้อตัวเต็มแล้วทำเควสต์ปลดล็อคก็ได้ไม่ผิดกติกาอะไร และตัว Operator ใน Warzone จะไม่สามารถแต่งตัวเลือกเป็นชิ้นๆ เช่นเสื้อผ้า หน้าผมแบบเกมแนว Battle Royale อื่นๆ แต่จะมีเป็นชุดเซ็ต ชุดเสื้อผ้าให้เลือกใส่แทน ถ้านึกภาพไม่ออกก็เหมือนกับ skin ของเกม Rainbow six: Siege อะไรแบบนั้นก็ได้ ซึ่งก็ต้องหาซื้อใน Shop หรือทำเควสต์ถึงจะได้ชุดมาสวมใส่เล่นหากเบื่อรูปลักษณ์ Operator เดิมๆ ล่ะนะ ฉะนั้นผู้เล่นสายฟรีสบายใจได้เลยว่า Operator ไม่ได้ Over Power แต่อย่างใด แถมตัว Operator เดิมๆ ที่สายฟรีมีนั้นมันก็เท่บาดใจอยู่แล้ว แต่ Operator อื่นๆ แค่มันดูหล่อเท่แบบ 300% เฉยๆ การ Cross-Flatform ใช่ว่าผู้เล่นสาย Console จะสู้ไม่ได้ จากนี้ก็จะเริ่มมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า "เฮ้ย แล้วผู้เล่นสาย Console มาเล่นโหมดนี้ร่วมกับผู้เล่นบน PC จะไปรอดเหรอ ?" ขอบอกเลยว่ารอดและพวกเขาเล่นเก่งมากๆ ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างบุคคลที่ 1 ในตารางนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องและถนัดการเล่นเกม CoD บน PlayStation 4 แต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเก่งกว่าคนเขียนรีวิวเสียอีก จึงอุ่นใจมากๆ และมั่นใจว่าทีมจะชนะแน่ๆ เมื่อได้เล่นกับเขาคนนี้ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าคนเล่นสายจอยจะไม่เก่ง เพราะบางทีเขาก็อาจจะยิงแม่นกว่าคุณก็เป็นได้ เราไม่ได้มาแค่ 100 คน แต่เรามาถึง 150 คน! เมื่อเราลองเริ่มเล่น โดยขอประเดิมโหมด Battle Royale กันก่อน ซึ่งระบบ Matmaking นี่ทำออกมาโอเคเลยนะ หาห้องค่อนข้างไวดี ไม่เกิน 1 - 2 นาทีก็พร้อมเล่นได้แล้ว แต่อาจจะเพราะตัวเกมเพิ่งเปิดโหมดนี้ใหม่และให้เล่นฟรี คนอาจจะตามเพราะกระแสก็เป็นไปได้ ช่วงระหว่างเตรียมตัวโดดร่มในภาพนี้ก็มีการให้ยิงเล่นกันก่อน ฝึกมือฝึกความเคยชินสักครู่ก่อนโดดร่มกันจริงๆ จังๆ หากผู้ในแง่คนที่เล่นเกม CoD: MW ก็อาจจะชินกับวิธีกระสุนของเกมนี้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นก็จะขอกบอกก่อนว่า ปืนเกือบทุกกระบอกจะมี Patern Recoil ที่กระสุนจะออกเบี่ยงไปทางขวา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปืนแต่ละกระบอก แต่ก็ไม่ใช่ทุกกระบอกที่จะเบี่ยงขวาฉะนั้นก็ระหว่างที่รอโดดร่มก็ศึกษาปืนที่ละปืนที่สุ่มให้ลองยิงเล่นให้เรียบร้อย โดยยิงใส่ชาวบ้านอีก 150 ชีวิตเนี่ยแหละ ซึ่งถือว่าเยอะมาก มีฉากคัตซีนตอนโดดร่มร่วมกับเพื่อนอีกสองคน "อย่างเท่!" การโดดร่มของที่นี่ ต้องมีศิลปะนิดหนึ่ง Call of Duty: Warzone ในช่วงที่เราเลือกตำแหน่งและโดดร่มลงมา เราสามารถเลือกที่จะสลัดร่มและกางร่มระหว่างที่เราร่วงลงมาได้ตลอดเวลาจนกว่าขาแตะพื้น ซึ่งมันสามารถทำให้เราควบคุมตำแหน่งการลงของเราที่ห่างจากตำแหน่งเครื่องบินตอนโดดร่มลงมาได้ไกลมากขึ้น โดยใช้วิธีกางร่มสลับสลัดร่มออกเพื่อให้ร่อนกลางอากาศได้นานและพุ่งไปหาตำแหน่งที่เราเลือกได้รวดเร็วในเวลาเดียวกัน ร่อนลงมาอย่างหล่อๆ แต่ว่าการร่อนลงมาถึงพื้นนั้นค่อนข้างช้าและไถลไปข้างหน้าค่อนข้างไว้ ฉะนั้นกะตำแหน่งลงล่วงหน้าก่อนขาแตะพื้นสักนิดก็เป็นอันใช้ได้ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนในภาพที่พยายามจะลงไปในสนามหญ้าแต่ดันลงกลางถนน สุ่มเสี่ยงต่อการโดนยิงมากๆ ระบบการเล่นที่ต้อง "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" ตลอดเวลา แน่นอนว่าพอสัมผัสการเข้ามาเล่นครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกมีความเป็น Apex Legend อยู่อย่างมาก ต้องเรียกว่าแทบไม่ได้ฉีกออกจากเกม Apex Legend เลยด้วยซ้ำ ทั้งระบบการ Ping ที่ทำออกมาคล้ายๆ กันแต่ใช้งานง่ายกว่าในปุ่มเดียว, การสไลด์แม้จะไม่ได้ไถยาวแบบ Apex Legend แต่ก็เป็นการสไลด์สั้นๆ ที่เน้นเข้ากำบังให้ไวหรือหลบกระสุนศัตรูให้ยิงโดนเรายากขึ้นเท่านั้น ( ที่จริงในตัวเกมเต็มก็มีการไลด์แบบนี้เหมือนกัน ) และมีกลิ่นอายของ PUBG ผสมอยู่นิดหน่อย แต่กลับมีเอกลักษณ์ความเป็น Call of Duty อยู่เต็มเปี่ยม และสิ่งที่ดูแตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale อื่นๆ เลยก็คือ เราจะมีปืนพกติดตัวทันทีหนึ่งกระบอกซึ่งเกมอื่นๆ อาจจะเป็นแค่ตัวเปล่า ทำให้กลายเป็นว่าใครที่ลงถึงพื้นก่อนย่อมได้เปรียบในการยิงใส่ศัตรูที่ลงพื้นช้าทันที แถมยังมีผู้เล่นร่วมอีก 150 ชีวิตพร้อมโถมบวกใส่คุณทุกเวลา ฉะนั้นเมื่อลงถึงพื้น " รีบยิงศัตรูให้ไวก่อนที่เขาจะยิงใส่คุณ แล้วเอาตัวรอดให้ได้ซะ" ระหว่างนี้เราสามารถเข้าสำรวจพื้นที่ต่างๆ เพื่อรูทของตามกล่องต่างๆ ที่ถูกสุ่มเพื่อค้นหาอาวุธ เสบียงต่างๆ และอุปกรณ์เสริมที่ต้องใช้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องใช้ช่องเก็บของเยอะแยะ เพราะ Warzone เราสามารถเก็บอาวุธได้แค่สองช่องเท่านั้น และจะไม่มีอุปกรณ์แต่งปืนดรอปตามทาง จะมีแต่ปืนที่ถูกแต่งมาเรียบร้อยแล้วดรอปให้เท่านั้น แต่หากรู้สึกไม่ถูกใจกับปืนที่ได้ ก็สามารถเรียก Loadout Package เพื่อใช้ปืนที่เราแต่งไว้ตั้งแต่แรกก็ได้โดยต้องหา Shop Station และใช้เงินแลกซื้อมันมา แม้เลือดจะ Regen เองได้ แต่ตัวละครเราตายง่ายเช่นกัน แม้ความไวในการเล่น Call of Duty: Warzone จะค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ Apex Legend แต่ว่าตัวเกมก็ใช้ระบบพลังชีวิตแบบฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติเหมือนตัวเกมเต็ม คือหากเราไม่ตายแล้วหลบไปหาที่กำบังสักพัก เลือดก็จะกลับมาฟื้นฟูจนเต็ม แต่ตามสไตล์ของเกม CoD คือโดนยิง 3-4 นัดก็ลงไปนอนง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ปืนเกือบทุกกระบอกฆ่าศัตรูได้เพียงไม่กี่นัด แม้ว่าเราจะสวมเกราะจนเต็มหลอดแต่ก็โดยิงร่วงตายง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะปืนซุ่มยิงหากยิงใส่แล้วเราไม่มีเกราะ เรามีสิทธิ์ลงไปนอนภายในนัดเดียว ต่อให้มีเกราะก็ไม่เกินสองนัด หากใครคิดจะปะทะแล้วใช้วิถีวิ่งเข้าไปบวกแบบไวๆ ล่ะก็คิดผิด หากยิงไม่แม่นโดนสวนก็ลงไปนอนง่ายๆ เพียงไม่กี่อึดใจ แม้เกมจะช้า แต่ตัวก็ตายไวจงวางแผนร่วมกับทีมดีๆ ยิงให้แม่นๆ เพื่อชัยชนะของเรา Gulag, Welcome to the Gulag! และสิ่งที่มองว่าเป็นหนึ่งในสอง Signature ของเกมนี้เลยก็คือ หากใครตายโดยเพื่อนเข้าไปช่วยตอนล้มไม่ทันโดนยิงซ้ำตายครั้งแรก เราจะถูกส่งเข้าไปในคุก Gulag ซึ่งเป็นคุกอันมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายในรัสเซียตั้งแต่สมัยยุคสหภาพโซเวียต และเคยปรากฎในเกม Call of Duty: Modern Warfare 2 ในภารกิจช่วย Captain Price ออกมาจากคุกด้วย และทางนี้ชื่นชอบคัตซีนเป็นพิเศษทำให้รู้สึกว่าเกมโหมดนี้โคตรใส่ใจ โดยระหว่างที่เราอยู่ในคุก Gulag เราก็ต้องมานั่งดูผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก ต้องดวลกันแบบ 1 ต่อ 1 ด้วยอาวุธที่ถูกสุ่มมาให้ในห้องน้ำของคุก ( ฉากนี้คุ้นๆ ไหมล่ะ ) โดยเราต้องรอคิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงคิวเรา ระหว่างนี้เราสามารถเกรียนใส่คนดวลกันด้วยการปาก้อนหินเล่นได้ ชั่วร้ายมาก ฮ่าๆๆๆ!! และเมื่อถึงตาเรา เราก็จะถูกวาร์ปลงมาห้องน้ำพร้อมอาวุธที่สุ่มบนมือ เป็นการดวลแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก สิ่งที่เราทำก็คือ "ฆ่ามันซะแล้วเราจะได้รับโอกาสที่สอง" โดยการดวลครั้งนี้เราต้องมีฝีมือและทักษะอย่างมาก อย่าลืมว่าเราโดนยิง 2-3 นัดก็ลงไปนอนตายแล้ว ฉะนั้นหากแม่นพอให้เล็งที่หัวซะ นัดเดียวรู้เรื่อง และหายังฆ่ากันไมไ่ด้ ก็จะมีธงโผล่ออกมากลางห้องน้ำให้เราไปยึดก่อนหมดเวลา หากเราชนะไม่ว่าการฆ่าศัตรูได้ก่อน, ยึดธงได้หรือหมดเวลาการดวลแล้วเรามีเลือดเยอะกว่าอีกฝ่าย เราก็จะถูกส่งกลับไปลงสนาม Battle Royale ต่อ แต่หากเราแพ้การดวล ตัวเกมจะนับว่าเราตายจริงๆ ซึ่งต้องรอเพื่อนใช้พลุส่งสัญญาณชุบชีวิตเราอีกรอบ หลังจากเราได้โอกาสที่สองแล้ว หากเราตายอีก เราจะต้องรอเพื่อนเรียกพลุส่งสัญญาณชุบชีวิตอย่างเดียว ระบบ Shop ที่จะทำให้เราพลิกกลับมาได้เปรียบทันที Signature ของเกมนี้อีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะกล่าวเลยก็คือระบบ Shop โดยตัวเกมจะมี Shop Station กระจายไปตามจุดต่างๆ ในแผนที่ Verdansk โดยเราจะต้องใช้เงินในการซื้อของต่างๆ ภายใน Shop ไม่ว่าจะเป็น Killstreak ที่สามารถเรียก UAV ดูตำแหน่งศัตรู, Precision Airstrike เรียกเครื่องบิน A-10 ให้ใช้ปืนใหญ่ GAU-8 Canon ยิงกราดลงพื้นใส่ศัตรูเป็นแนวยาว หรือใช้ Cluster Strike เรียกระดมระเบิดถล่มในตำแหน่งที่เราระบุไว้ด้วยรัศมีที่กว้างเอาเรื่อง และยังสามารถใช้เงินเพื่อซื้อ Loadout Package เรียกกล่องลงมาเพื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นแบบที่เราเซ็ตไว้ได้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกทั้งหากมีเพื่อนตายรอชุบก็สามารถใช้เงินเพื่อยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกเพื่อนที่ตายกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แล้วเงินที่ว่านี่หาจากไหนกัน ? สำหรับเงินใน Warzone จะสามารถหาได้ด้วยกันสามวิธีคือ หาได้จากตามซอกมุมของสถานที่และจากกล่อง Root ต่างๆ: วิธีนี้หาได้ค่อนข้างง่ายและไว แต่จะได้เงินทีละประมาณ 200 - 500 ดอลล่าห์ในเกมซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย แต่ก็ปลอดภัยและมีโอกาสพบเจออาวุธไว้ป้องกันตัวระหว่างทาง จากการฆ่าศัตรู: เมื่อเราเริ่มเกมมาเราจะมีเงินติดตัวเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งการฆ่าศัตรูก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะ หากฆ่าได้ก็จะได้เงินมา และหา่ศัตรูดองเงินในตัวไว้เยอะแล้วโดนโดนเราฆ่า เราก็จะกลายเป็นคนรวยในทันที จากการรับ Intel Quest แบบสุ่ม: ในแผนที่จะมีสัญลักษณ์เควสต์ขึ้นมาให้เราไปเก็บ Intel ขึ้นมาแล้วเควสต์จะปรากฎว่าให้เราทำอะไร หลักๆ ก็จะมีเควสต์ล่าค่าหัว, ยึดพื้นที่และสำรวจกล่อง Root เมื่อทำสำเร็จเราจะได้เงินจำนวนมาก และยิ่งทำเควสต์ต่อเรื่อง เงินรางวัลก็จะคูณเป็นเปอร์เซ็ต์เข้าไปทำให้เราได้เยอะกว่าเดิม แต่ข้อเสียคือ ทุกครั้งที่เราถึงจุดหมายของเควสตืที่กำหนด จะมีการยิงพลุส่งสัญญาณอัตโนมัติให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของเรา เมื่อเรารู้วิธีแหล่งฟาร์มเงินแล้ว ก็สามารถเอาเงินไปยัง Shop Station เพื่อแลกซื้อของที่เราต้องใช้ในการเอาชนะในศึกครั้งนี้ แล้วโหมด Plunder ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ? ส่วนในโหมด Plunder จากที่ลองเล่นมา นับได้ว่าเป็นโหมด Battle Royale สำหรับคนที่ไม่ชอบเน้นการเอาตัวรอด แต่เน้นเอาสะใจเป็นหลักมากกว่า เพราะภารกิจก็คือ หาเงินให้มากที่สุดไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ทั้งจากการ Root, การฆ่าศัตรูหรือทำเควสต์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และการเริ่มเกมเราไม่จำเป็นต้องไล่หาอาวุธปืน เราจะสวมใส่อาวุธและ Perk ต่างๆ จาก Loadout ที่เราเซ็ตไว้ก่อนเริ่มเกมทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหาอาวุธมากมายนัก จากนั้นเราก็ลงมาทำมาหากิน สะสมเงินได้เลย แต่ข้อควรระวังไว้บางอย่างก็คือ หากเราดองเงินไว้กับตัวมากจนเกินไป เราจะถูกระบุตำแหน่งให้ศัตรูไล่ล่าเราทันที เมื่อศัตรูไล่ล่าเรา ฉะนั้นจงต้องระวังตัวไว้เป็นพิเศษ เพราะหาเราตาย เงินก็จะตกทันที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากเราตาย เราก็จะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ โดยการโดดร่มลงมา เมื่อเรามีเงินมากพอแล้ว เราสามารถหาบอลลูเพื่อเอาเงินที่เราสะสมปล่อยขึ้นฟ้าแต่เราจะฝากเงินได้ไม่เยอะนัก หรือเราจะเรียกเฮลิคอปเตอร์เพื่อเอาเงินที่เราได้ทั้งหมดส่งให้ทีเดียวแต่ก็จะเป็นจุดเด่นให้ศัตรูเห็นและไล่ฆ่าเราด้วยเช่นกัน เกมนี้จบค่อนข้างไว ใครที่สะสมเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์ก่อนหรือจบเกมมีเงินสะสมรวมมากที่สุดก็เป็นผู้ชนะทันที มันจึงเป็นโหมดที่สำหรับเน้นเอาฆ่าเอาสะใจ ไม่เครียดแบบ Battle Royale ปกติ ================================================== โดยสรุปแล้ว Call of Duty: Warzone หากพูดได้เต็มปากว่าก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจาก Battle Royale ทั่วไป แถมออกไปทาง Apex Legend เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ได้มีสกิลประจำตัวต่างๆ มีเพียงแค่ฝีมือกับเงินไปแลกของเพื่อพลิกเกมเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นแต่กลับมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ Call of Duty อย่างเต็มเปี่ยมทั้งระบบ Shop และระบบโอกาสที่สองที่เราต้องเข้าไปติดคุกใน Gulag กับระบบการเล่นที่ตายง่าย ทำให้เราตระหนักถึงทรัพยากรทุกๆ อย่างที่เราต้องเสียไปว่าควรใช้อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยเราต้องรอด และสิ่งที่ทำให้ประทับใจสุดๆ คือ ฉากคัตซีนตอนเราชนะหรือขึ้นที่หนึ่ง "เป็นอะไรที่โคตรน่าจดจำและรู้สึกเราคือผู้ชนะจากก้นลึกของหัวใจจริงๆ" คืออินเนอร์มาเต็ม มีขึ้นรายชื่อผู้เล่นที่เสียชีวิตจากโหมด Battle Royale ทั้งหมดเหมือนกำลังดูฉากจบหล่อๆ ของหนังแอคชั่นระดับคุณภาพสักเรื่อง รู้สึกว่าเราได้ถึงจุดที่ลำบากที่สุดแล้วรอดมาเป็นคนสุดท้าย มันอินมากกว่าเกมอื่นๆ อีกนะ มันทำให้รู้ว่า Infinity Ward ทุ่มเทกับโหมดนี้แบบจริงจังมากเลยล่ะ บอกเลยว่าหากมีโอกาสแล้วล่ะก็ "ต้องเล่น Call of Duty: Warzone" ให้ได้อย่างน้อยสักครั้ง แล้วคุณจะได้สัมผัสว่า เวลาชนะโหมด Battle Royale แบบโคตรเท่ที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร [penci_review id="45429"]
13 Mar 2020
Arknights รีวิว Operator ที่โลกลืม น้องแมงป่องสุดจืดจาง Manticore
ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น Arknights ทางฝั่ง South East Asia หรือแถวบ้านเราด้วย หลังจากวันที่ 5 เป็นต้นไปก็สามารถโหลดผ่าน Play Store และ App Store ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องมุดแต่อย่างใด อีกทั้งมีการแจกเม็ดแดง Orundum ให้ฟรีๆ กันอีก เรียกได้ว่าเอาใจพวกเราไปได้เลยสำหรับเกมนี้ หลังจากที่เคยพูดกันไปแล้วว่า Operator ทุกตัวมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประเภทอะไรหรือระดับต่ำหรือสูง พวกเขาสามารถช่วยให้เราเอาชนะศัตรูได้ตามสถานะการณ์ แต่ก็มี Operator อีกหนึ่งตัวที่นับว่าเป็น Operator ที่โลกลืมอีกตัวนั้นก็คือน้องแมงป่อง Manticore นั้นเอง! โดยทางเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวความจืดจางของน้องแบบหมดไส้หมดพุงว่าทำไมน้องจืดจางไม่พอ แถมยังน่าสงสารอีก แต่ Skill กลับมีประโยชน์อย่างที่คาดไม่ถึงเลยเชียว ================================================== รู้จักกับ Manticore แล้วคุณจะรู้ว่าเธอน่าสงสาร Manticore เป็นรหัสเรียกขานของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าชื่อจริง ๆ ของเธอเป็นอย่างไร แต่นับว่าเป็น Operator ที่ผ่านศึกมาหนึ่งปีก็นับว่ามีประสบการณ์พอตัว เห็นโหดแบบนี้แต่เธอค่อนข้างขี้อาย เข้าหาคนไม่เป็น และมีหางแมงป่องที่ใหญ่ ค่อนข้างน่ากลัว ทำให้เธอเป็นพวกไร้เพื่อน เพื่อนไม่คบจนกระทั่งผู้เล่นได้เข้ามาในชีวิตเธอ Operator Manticore ให้เสียงพากย์โดยคุณ Suwa Ayaka แม้จะไม่ได้ค่อยพากย์เสียงตัวละครหลักบ่อยนัก แต่ก็มีผลงานการพากย์มาอย่างมากมายเกือบสิบปี ( งานพากย์ที่รู้จักกันได้แก่ Augus Mikazaki ในวัยเด็กจากเรื่อง Mobile Suit Gundam: Iron-Blooded Orphans, Chris และ Eris จากเรื่อง KonoSuba, YoRHa Type A No.2 จากเกม Nier: Automata ) ดีไซน์ถูกออกแบบโดยนามปากกา 竜崎いち ( ริวซากิอิชิ ) โดยข้อมูลส่วนตัวของเธอมีดังนี้ ข้อมูลทั่วไป Code Name : Manticore เพศ: หญิง เวลาที่เข้ามาประจำการ: 1 ปี สถานที่เกิด: Sargon วันเกิด: ไม่ทราบ ส่วนสูง: 155 เซ็นติเมตร ความยาวหางของเธอ: 140 เซ็นติเมตร สถานะ : ยืนยันว่าเธอมีการติดเชื้อ Oripathy, มีการเฝ้าสังเกตุการณ์ในช่วงการทดสอบเพื่อการรักษา ผลการทดสอบร่างกาย พละกำลังทางร่างกาย : มีพละกำลังที่สุดยอดด้วยหางอันใหญ่ยักษ์ของเธอ การเคลื่อนที่: มีความว่องไวที่ยอดเยี่ยม ความทนทานของร่างกาย : ความทนทานร่างกายอยู่ในระดับปกติ การวางแผนยุทธวิธี : สามารถทำได้อย่างปกติ ไม่บกพร่อง ความสามารถด้านการต่อสู้ : มีทักษะการต่อสู้ที่โด่ดเด่นและยอดเยี่ยมอย่างมาก การซึมซับพลัง Originium Art : เธอสามารถดูดซับ Originium และแปรเปลี่ยนเป็นพลัง Art ได้อย่างยอดเยี่ยม ประวัติส่วนตัว ไม่มีใครทราบชื่อที่แท้จริงของเธอ และอดีตของเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ รู้เพียงแค่ว่าเธอมีรหัสเรียกขานที่รู้จักกันทั่วไปว่า Manticore ( เป็นสัตว์ตามตำนานของชาวเปอร์เซียที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Martikhora โดยจะเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ มีหัวเป็นมนุษย์ ลำตัวเป็นสิงโต หูจะยาวใหญ่กว่ามนุษย์และมีหางเป็นแมงป่อง ) และก่อนที่เธอจะมาประจำการในเกาะโรห์ด เธอก็เคยทำงานให้กับที่อื่นมาก่อนแต่ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เหมือนกันว่าเคยทำงานให้ที่ไหนมากันแน่ ในปัจจุบันเธอเป็นถึงเจ้าหน้าที่พิเศษที่ยังคงทำงานให้กับเกาะโรห์ดต่อไป ความคิดเห็นของแพทย์ ผลการทดสอบทางการแพทย์ระบุว่า Manticore เธอมีอวัยวะบางอย่างภายนอกที่มีส่งผลต่อเงาสะท้อนของตัวเธอ ( และนี่คือเหตุผลว่าทำไม เธอถึงจืดจางมีความสามารถในการพรางตัว และจืดจางในเวลาเดียวกัน ) และมีอนุภาค Originium ไหวเวียนอยู่ในทั่วร่างกาย เธอจึงถูกระบุยืนยันแล้วว่าเธอมีภาวะติดเชื้อ Oripathy [ความเข้ากันของเซลล์และ อนุภาค Originium ในร่างกาย: 12%] จากการตรวจสภาพทางร่างกายก็ยังไม่พบแผลที่เกิดจาก Oripathy อย่างไรก็ตามการตรวจสภาพร่างกายภายในก็พบว่ามีการก่อตัวของผลึกเป็นผลมาจาก Oripathy จากภายใน จึงต้องมีการสังเกตุการณ์ต่อไป [ความหนาแน่นของผลึกในเลือด: 0.32u/L] ผลการตรวจเลือดพบว่า ผลึกในร่างกายของ Manticore มีความเข้มข้นสูง และเป็นไปได้ว่าจะมีความเข้มข้นของผลึกฝังตามอวัยวะภายในร่างกายสูงตามไปด้วย อื่นๆ เมื่อเรานำ Maticore ตั้งเป็นเลขาส่วนตัว จะได้รู้ว่าทั้งคำพูดของเธอที่จะสื่อถึงผู้เล่นนั้นมันช่างน่าสงสาร เธอไม่เคยมีเพื่อนเพราะผลจากรูปลักษณ์ที่น่ากลัวโดยเฉพาะหางที่ใหญ่มากๆ และเธอเกลียดการถูกทอดทิ้งหรือการถูกเมินเพราะเธอมีอวัยวะที่ทำให้ตัวเองจืดจางได้ อีกทั้งนิสัยที่ขี้เกียจ พูดไม่เก่งแถมเข้าหาใครไม่เป็นอีก ซึ่งมีแต่ Doctor ( ผู้เล่น ) พยายามทำให้เธอมีเพื่อน มีตัวตนขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าสำหรับ Manticore นับว่าเป็นเพื่อนคนแรกๆ ที่เธอกล้าเข้าหา และพอได้รู้จักสักพักจะรู้เลยว่า เธอเป็นเด็กดีมากๆ เลยล่ะ แต่ก็มีอีกทฤษฎีส่วนตัวเลยก็คือ ก่อนที่เธอทำงานให้กับเกาะโรห์ด เธอเคยสูญเสียเพื่อนมากมายในการต่อสู้เพราะสังเกตุจากป้าย Dogtag ที่เธอห้อยคอไว้สามอัน นั้นหมายความว่าในอดีตเธออาจจะต้องพบเรื่องร้ายๆ จนจิตตก ไม่อยากเข้าหาใครจนผู้เล่นมาเปิดใจเธอนั้นเอง ( ซึ่งอันนี้เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีถูก ไม่มีผิด ) ค่า Status และ Skill ของ Manticore Manticore เป็น Operator สาย Specialist, DPS Survival ที่ค่อนข้างโจมตีได้อย่างเชื่องช้า แต่การโจมตีแต่ละครั้ง จะเป็นการโจมตีแบบ Area of Effiect ( AoE ) และมีความรุนแรงค่อนข้างสูง แถมมี Talent ที่คิดเป็นทั้งแอบขำและแอบน่าสงสารในเวลาเดียวกัน เพราะเธอจะมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีพูดง่ายๆ ก็คือศัตรูจะเมินเธอไปเลย และ Talent ที่เมื่อเข้าสู่สถานะล่องหนจะเพิ่มพลังการโจมตีครั้งแรกให้มากขึ้น ทำให้กลายเป็นตัวที่ปล่อยให้ทำดาเมจ, ตัวซื้อเวลา, ตัวบั่นทอน HP ศัตรูก่อนเข้าปะทะกับ Operator หลักของเราได้ ค่า Status Max Level: Level 50 ในระดับ Non – Elite/ Level 70  ในระดับ Elite 1/ Level 80 ในระดับ Elite 2 Health point: 777 หน่วยเมื่อ Lv.1/ 1080 เมื่อ Lv.50/ 1385 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 1630 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Attack  : 378 หน่วยเมื่อ Lv.1/ 511 เมื่อ Lv.50/ 656 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 811 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Defend : 141หน่วยเมื่อ Lv.1/ 218 เมื่อ Lv.50/ 284 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 343 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Resistant : 10หน่วยเมื่อ Lv.1/ 10 เมื่อ Lv.50/ 20 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 30 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Redeploy : ใช้ค่า Deploy Point 70 หน่วยทุกเลเวล Cost : 16 หน่วยในระดับ Non-Elite / 18 หน่วยในระดับ Elite 1-2 Block : ไม่สามารถป้องกันศัตรูได้ ( น้องโดนเมิน ) แต่ก็แลกกับที่จะไม่ตกเป็นเป้าหมายหรือตกเป็นเป้าหมายต่ำเช่นกัน Attack Speed : 1.00 หน่วยทุกเลเวล ระยะโจมตี : 2 ช่องรอบตัวแบบ AoE โดยข้างหน้าสุดของตัว Manticore จะโจมตีได้ ไกลพิเศษเป็น 3 ช่อง ค่า Potential ระดับ 1 Deployment Cost -1 ระดับ 2 Redeployment Cooldown -4 ระดับ 3 Attack Power +30 ระดับ 4 Talent Effect Up ระดับ 5 Deployment Cost -1 Trust extra status ค่าโบนัสจากความเชื่อใจ เพิ่มค่า Attack + 25 เมื่อมีค่าความเชื่อใจ 25%/ +50 เมื่อถึง 50%/ +75 เมื่อถึง 75%/ +100 เมื่อถึง 100% Traits Manticore สามารถโจมตีแบบ AoE รอบตัว 2 ช่องได้ โดยข้างหน้าของเธอจะเป็นการโจมตี 3 ช่อง, มีโอกาส 50% ที่เธอสามารถหลบการโจมตีของศัตรูทั้งประเภทกายภาพและแบบ Art Attack ได้, เธอจะไม่สามารถ Block ศัตรูได้และจะถูกศัตรูเมินทันที แต่มีโอกาสเล็กน้อยมากๆ ที่จะถูกโจมตีใส่ ( ซึ่งส่วนมากจะเป็นศัตรูประเภท Art ) Talent: Hidden Killer เมื่อยังไม่ได้อยู่ในสถานะการต่อสู้ Manticore จะเข้าสู่โหมดพรางตัวและเมื่อศัตรูย่างกรายมา การโจมตีครั้งแรกจะเพิ่มพลังโจมตี 25% ทันที และจะกลับเข้าสู่โหมดพรางตัวได้อีกครั้งเมื่อเธอยังไม่มีการโจมตีเป็นเวล 6 วินาที แต่หากเป็น Elite 2 เลเวลเต็มแล้ว ความสามารถนี้จะเพิ่มพลังโจมตีสูงถึง 54% เลยทีเดียว และลดเวลาการพรางตัวเป็น 5 วินาที ทิศทางการช่องการโจมตี, Talent และ Skill ที่สำคัญ น้องโดนเมินจากศัตรูเกือบทั้งหมด ; _ ; Skill Skill ที่ 1: Scorpion Venon ประเภท: Passive ลักษณะ SP Charge: ไม่มีการชาร์จ SP SP Cost: 0 ระยะเวลาบัฟ: 0 Skill Effect: ทุกครั้งที่ Manticore โจมตี ศัตรูจะโดนลดความเร็วในการเคลื่อนที่ 20% เป็นเวลา 3.5 วินาที เมื่ออัพเกรดสกิลจนสูงสุด จะเป็นการลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของศัตรูได้มากถึง 50% เป็นเวลา 5 วินาที   Skill ที่ 2 : Toxic Overlord ประเภท : Manual Trigger, Auto Recovery ลักษณะ SP Charge : Per Secound SP Cost : 20 ระยะเวลาบัฟ : 31 วินาทีเมื่อสกิลเลเวล 1/ 40 วินาทีเมื่อสกิลเลเวลเต็ม Skill Effect : เมื่อกดใช้งาน เธอจะโจมตีแรงขึ้น 30% และทำการหยุดเป้าหมายหรือ Stunt เป็นเวลา 0.5 วินาที เมื่ออัพเกรดสกิลจนสูงสุด จะสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองได้มากถึง 90% และ Stunt เป้าหมายได้ 1 วินาที แต่ว่าเมื่อกดใช้แล้ว จะทำให้ Manticore โจมตีช้าลงเล็กน้อย รูปแบบการใช้งานของ Manticore น้องแมงป่อง Manticore ถูกจะเป็น Operator Specialist ที่เหมือนจะแทบไม่ได้ช่วยอะไรในการยื้อทีม แต่จริงๆแล้วเธอเป็นตัวยื้อทีมและเป็นตัวบั่นทอนกำลังศัตรูที่ดีมากๆ เพราะนอกจากการโจมตีที่เป็นแบบ AoE แล้ว พลังการโจมตีก็สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ แม้ว่าการโจมตีจะช้าไปเสียหน่อย แต่รับรองอร่อยแน่นอน ฉะนั้นการวางตำแหน่งของ Manticore ก็คือการวางดักหน้าทางหรือจุดที่ศัตรูรวมตัวกันเข้ามาเยอะๆ เช่นแบบในภาพ เมื่อศัตรูวิ่งจากหลายทางมารวมกัน เธอจะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่มากๆ โจมตีทีเดียวลดเลือดศัตรูเป็นหมู่ และที่สำคัญคือไม่ต้องห่วงว่าเธอจะตกเป็นเป้าหมาย เพราะศัตรูเมินน้องได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นกัน ทำให้หมดกังวลว่าเอาไปวางไกลๆ แล้วจะตายก่อน ลดภาระ Medic เราได้ไปในตัวด้วย แต่การที่น้อง Manticore โดนเมินก็นับเป็นข้อดีและก็ถือเป็นข้อเสียเช่นกัน เนื่องจากเธอไม่สามารถ Block ศัตรูได้ และการโจมตีแต่ละครั้งเชื่องช้า หากไม่อัพเลเวลหรือสกิลเพื่อเพิ่มพลังการโจมีและการหวังผลสกิลมากพอ มันจะกลายเป็นภาระของ Operator แนวหลังที่ทำหน้าที่ป้องกันแทน และเธอจะตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูสาย Art ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเธอจะมีโอกาสหลบได้แต่เธอก็ไม่ได้หนานัก ================================================== สรุปแล้ว น้อง Manticore เธอเป็นเด็กดีมากๆ ขี้อาย เข้าหาใครไม่เป็น ในสนามน้องเลยโดนเมินบ่อยมาก แต่เพราะการโดนเมินในสนามรบทำให้เธอโจมตีได้ฟรีๆ เช่นกัน แต่ก็ต้องวางในตำแหน่งที่หวังผลการโจมตีศัตรูให้มากที่สุดเช่นกัน ไม่งั้นจะกลายเป็นภาระ Operator คนอื่นแทน แถมโจมตีค่อนข้างช้า ซึ่งหากคิดจะใช้งานเธอ แนะนำให้อัพเลเวลและสกิลให้สูงก่อน เพื่อดึงประสิทธิภาพการใช้งานได้มากที่สุด ทำให้ Manticore ไม่เหมาะเป็นตัวที่ใช้งานเริ่มต้น เหมาะกับตัวใช้งานระยะยาวและใช้บั่นทอนศัตรูที่มากันเป็นจำนวนมาก... Doctor เอ๋ย ทีหลังอย่าเมินน้องเลย น่าสงสารออก เธอไม่มีเพื่อนอยู่แล้วก็ช่วยอยู่เล่นกับน้องเยอะๆ เธอน่ารักมากๆ เลยล่ะ Source Ark Work By 友にゃん สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
06 Feb 2020
รีวิวเกมมือถือ Arknights เมื่อเราสูญเสียความจำ ถูกเลือกเป็นผู้นำของเหล่ามวลมนุษย์
หากวันหนึ่ง คุณฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้งหลังหัวใจคุณหยุดเต้น แต่ทว่ากลับสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พร้อมกับภัยอันตรายรายล้อมตัวคุณไปหมด มีเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอไม่ใช่มนุษย์แต่บอกว่าเราคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...คุณจะเชื่อหรือไม่ ? และนี่คือคำเกริ่นทั้งหมดจากเกมที่เรียกว่า Arknights ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีนได้หนึ่งปี ผลที่ได้คือชาวจีน Hype กับการมาของเกมนี้อย่างมากจนกระทั่งได้เปิดตัวขยายฐานเซิร์ฟเวอร์พร้อมกันสามที่ได้แก่ ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้และโซนอเมริกาหรือที่เรียกติดปากว่าเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์นั้นแหละ แล้วเกมนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะเล่นง่าย แต่แฝงด้วยการใช้ความคิด การจัดวางตำแหน่งให้ถูกที่เพื่อให้ผ่านด่าน แถมเนื้อเรื่องก็โดดเด่น แน่นอนว่าทางเรา GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกมนี้มารีวิวแบบจัดเต็มบนเวอร์ชั่นเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์ให้อ่านกัน ================================================== เราสูญเสียความทรงจำ แต่กำชะตามนุษย์เอาไว้ Arknights เป็นเกมแนว Defend Tower วางหมากป้องกันตำแหน่ง จากทีมพัฒนา Hypergryph และ Studio Montagne เปิดให้บริการโดย Yostar เจ้าของเดียวกับสาวเรือ Azur Lane แต่เกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทว่าเนื้อเรื่องกลับมีความโดดเด่น จนน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จุดเริ่มต้นของทั้งหมดภายในเกม มาจากวัตถุที่มีชื่อว่า Originium ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มาว่าได้เข้ามาหรือถูกค้นพบบนพื้นที่โลกใบนี้จากไหนกันแน่ ( ล่าสุดเนื้อเรื่องยังไม่มีการเฉลย ) แน่นอนว่ามันก็ได้แพร่อนุภาคเสมือนเป็นไวรัสกระจายไปเกือบทั่วโลก จึงถูกเรียกโรคนี้ว่า Oripathy ในเวลาต่อมา ส่งผลกระทบต่อมนุษย์สองอย่างนั้นก็คือ มนุษย์ที่ได้รับอนุภาคนี้เข้าไปก็จะกัดกินร่างกายและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่หากต่อสู้กับมันได้ ก็จะทำให้มนุษย์คนนั้นได้รับพลังจาก Originium มาด้วย หากผู้ใดรอดจากการติดเชื้อครั้งนี้จะได้รับพลังทั้งได้พลังจากกายภาพหรือได้รับพลังจิตที่เรียกว่า Art ใช้โจมตีศัตรูระยะไกลได้ นอกจากนี้ภายในจักรวาล Arknights จะมีมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะคือหูกับหางเป็นสัตว์ต่างๆ โดยพวกเขาอยู่ร่วมกับมนุษย์ดั้งเดิมมานานแล้ว โดยเราจะได้สวมบทบาทเป็น "ดอคเตอร์" ซึ่งนัยยะของเกมเราจะเสมือนเป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่หมอนะซึ่งเราก็ติดเชื้อ Origidium เหมือนกันแต่เรากลับไม่แสดงอาการทรมานแถมยังอยู่ดีมีสุข ซึ่งตัวเรานั้นมีองค์ความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ในทางที่ดีขึ้นได้ วันหนึ่งเราได้เดินทางมายังเมือง Chernobog ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่กลุ่มล่าพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Reunion เข้าโจมตีเมืองนี้แล้วบังเอิญไปทำลายอาคารที่เราอยู่พอดีและทำให้ซากตึกตกใส่เราบาดเจ็บสาหัส หัวใจหยุดเต้น โชคดีที่ Amiya เด็กสาวมนุษย์สายพันธุ์์ใหม่ที่มีหูคล้ายกระต่าย ( แต่จริงๆ เธอเป็นคิเมร่า ) กับพรรคพวกของเกาะโรดส์ ( Rhodes Island ) ได้เข้ามาช่วยชีวิตเราและทำการกู้ชีพฟื้นจากความตายได้สำเร็จ แต่เราก็สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด จำได้แค่เพียงความสามารถในการบัญชาการและการวางแผนการรบเท่านั้น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องในเกม เอาจริงๆ พล็อตเนื้อเรื่องในเกมมันไม่ค่อยต่างจาก X-men หรือ JoJo ภาค 5 เท่าไหร่นัก เพราะมีการเล่นประเด็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ถูกเหยียดหยามจากโลกใบนี้หรือรอดจากโรคแล้วได้รับพลังพิเศษมาเพราะพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นติดเชื้อ Oripathy ได้ง่ายกว่ามนุษย์ดั้งเดิมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ดูแตกต่างและน่าสนใจคือ พลังที่ได้จาก Originium ของจักรวาลเกม Arknights ในสายตาของทุกคนได้มองมาเป็นโรคร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ทำให้เห็นการพัฒนาของตัวละครแต่ละตัวและมีความมุ่นมั่นอย่างชัดเจนอย่าง Amiya ที่เธอเป็นผู้นำของเกาะโรดส์ เกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ติดเชื้อ เธอมีความตั้งใจว่าจะเป็นที่ที่มนุษย์ได้ต่อสู้กับการติดเชื้อและเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ทำให้รู้สึกว่าเธอดูอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนต่อโลก เป็นตัวละครเอกที่มีด้านเทา ไม่ขาวไม่ดำ ทำให้มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ Arknights เป็นเกมใจป๋า ขนนักพากย์ญี่ปุ่นมาเพียบ สิ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจเกมนี้เลยก็คือ การขนนักพากย์จากญี่ปุ่นชื่อดังหลายท่านมาร่วมภาพย์ตัวละครในเกม Arknights ชนิดที่เรียกว่าครบทุกตัว ไม่ต้องกังวลว่าตัวละครใหม่ๆ จะไม่มีเสียงพากย์แต่อย่างใด แถมแต่ละคนก็มีประวัติการภาคไม่ธรรมดาเสียด้วย ยกตัวอย่างคุณ Nana Mizuki นักพากย์และนักร้องชื่อดังระดับเอเชียและอเมริกา ได้พากย์ตัวละครในเกมที่ชื่อว่า Mostima แสดงให้เห็นว่าเกมนี้มีทุนหนาขนาดไหนถึงจ้างนักพากย์ดังๆ ได้หลายคนมาก หากใครเป็นผู้ที่ชื่อชอบเหล่าเซย์ยูหรือติดตามนักพากย์ดังๆ บอกเลยว่าเกมนี้จะทำให้ใครหลายคนได้ฟินอย่างแน่นอน อีกสองความประทับใจเลย อย่างแรกคือการแปลภาษาจากภาษาจีนมาเป็นภาษาอังกฤษออกมาอ่านได้อย่างลื่นไหล เข้าใจง่าย ถือว่าทาง Yostar ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังหรืออ่านแล้วสะดุด และอย่างที่สองคือภาพอาตหรือฉากคัตซีนทำออกมาสื่อออารมณ์ได้ชวนหดหู่ เห็นภาพความโหดร้ายของการถูกเหยียดเผ่าพันธุ์, สงครามและฉากเท่ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกข้อที่น่าชมเชยสำหรับสายเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก เมนูใช้งานง่าย แถมกาชาก็ไม่เกลืออย่างที่คิด สำหรับหน้า Iobby เมนูต่างๆ ออกแบบมาได้อย่างเรียบง่าย ตัวอักษรใหญ่ชัดเจนโดยเฉพาะค่า Sanity นี่เด่นมากซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าสภาวะทางจิต สื่อเป็นกิมมิคสำคัญขำๆ ที่ว่าหากเราเล่นจน Sanity หมดแสดงว่าคุณจิตไม่ปกติแล้วนะ อย่าลืมหาหมอด้วยล่ะ ( 555+ ) ที่สำคัญ มีเวลากับระดับแบตเตอร์รี่มือถือบอกไว้ด้วย ทำให้เรารู้ตลอดเวลาว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เสียดายที่เวลานั้นถูกเซ็ตให้เป็นเวลาโซนท้องถิ่นของอเมริกา ไม่สามารถเซ็ตเวลาเป็นบ้านเราได้ ในด้านระบบภารกิจนั้นเขียนออกมาได้ชัดเจนดีกว่าให้ทำอะไร มีภารกิจให้ทำเยอะแยะมาก ทำได้ทุกวัน ได้ประโยชน์ทุกวัน โดยเมื่อทำสำเร็จเราก็จะได้ตัวหมากรุกมา ซึ่งตัวหมากรุกสามารถเอาไปแลกของทางด้านซ้ายมือได้ทันที มีทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนภารกิจเนื้อเรื่องนั้นจะได้แบบทันทีเมื่อผ่านตามเงื่อนไขไม่ต้องเก็บสะสมตัวหมากรุกแต่อย่างใด ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อแต่เห็นจำนวนของที่แจกแล้วไม่ทำคงไม่ได้ ให้เยอะจริงๆ และอีกหนึ่งระบบเด่นที่ชอบมากๆ เลยก็คือฐานบัญชาการของเรา พอกดเข้าไปแล้ว...."นี่มัน Fallxxx Shelter นี่หว่า" ซึ่งทั้งหน้าตาและระบบก็คล้ายคลึงกันจริงๆ นั้นแหละ โดยการสร้างฐานอะไรแต่อย่าง ทุกฐานจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่น ฐานบัญชาการจะดูแลเรื่องโดรนขนส่งซึ่งมีความจำเป็นต่อทุกฐาน, โรงผลิตไฟฟ้าซึ่งผลิตไฟฟ้าและใช้เป็นพลังงานในการต่อเติมหรือสร้างฐานอื่นๆ ในอนาคต, โรงแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนทองให้กลายเป็นเงินหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ หรือแม้กระทั่งโรงเครื่องพิมพ์สามมิติที่สามารถผลิตใบเร่ง EXP หรือผลิตทองไว้แลกเงินได้อีก ฉะนั้นทุกฐานจะสร้างให้ทุกไปเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ต้องสร้างและอัพเกรดไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกฐานสำคัญหมด อัพอันไหนก่อนหลังก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าอยากใช้ทรัพยากรส่วนไหนก่อนมากกว่า ส่วนเรื่องระบบ Recruit หรือระบบหา Operator ใหม่ๆ มาเสริมทัพนั้นจะหาได้สองรูปแบบ แบบแรกคือการใช้งานแบบเกณฑ์คน ซึ่งพูดง่ายๆ คือการต่อหาบุคลากรนั้นเองซึ่งสูงสุดจะมีโอกาสลุ้นได้ 5 ดาวแบบสุ่ม แต่ส่วนใหญ่ได้ 4 ดาวกับ 3 ดาว ก็ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ และแบบที่สองที่จะหาบุคลากรมาเสริมทัพได้ก็คือ "การเปิดตู้กาชา" นั้นเอง โดยจะใช้แร่ Originium สะสมให้ครบ 6000 เม็ดเปิดกาชา 10 ครั้งหรือใช้ตั๋วเหลือง Headhunt เปิดลุ้นตัวละครระดับ 6 ดาวซึ่งสำหรับคนที่มาเล่นครั้งแรกจะมีตู้การันตี 6 ดาวหนึ่งตัวด้วย ซึ่งมันดีสำหรับผู้เล่นใหม่มากเลยล่ะ ส่วนเปอร์เซ็นต์ในการออก 6 ดาวก็ไม่ถือว่าเกลือนักแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดวงผู้เล่นอยู่ดี ระบบการเล่นแสนง่าย ตัวละครดาวน้อยก็สำคัญ ขอบอกก่อนเลยว่าระบบการเล่นของเกมนี้จะดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนนัก เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้คือ การวางตัวละครป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามายังจุดหมายได้ เอาตัวละครทั้งหลายที่เตรียมไว้มาวางแนวป้องกันในจุดที่ต้องการ แต่ใช่ว่าถึงมาก็หยิบตัวที่ชอบมาวางใส่ได้ทันทีเพราะเกมนี้จะถูกกำหนดด้วย Deploy Point โดยค่านี้จะมันจะค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ และจะถูกใช้เมื่อเราหยิบตัวละครลงไปในสนาม บางตัวละครก็ใช้ Cost เยอะมาก ฉะนั้นการใช้งานตัวละครแต่ละตัวจะต้องคิดหน้าคิดว่าว่าควรวางตัวไหนก่อน ตัวไหนวางทีหลัง พวกที่ใช้ Cost น้อยๆ ก็จะวางได้ก่อน ป้องกันศัตรูฝูงแรกๆ เพื่อสะสม ที่สำคัญในแต่ละด่านจะมีการกำหนดจำนวนตัวละครที่เราลงได้ด้วย ยิ่งต้องบริหารให้ดีเลยล่ะ ฉะนั้นตัวละครทุกตัวมีความสำคัญหมด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน, การรับมือศัตรูประเภทต่างๆ, การใช้ตัวละครแต่แบบให้เหมาะสมกับด่าน ซึ่งโดยรวมแล้ว การเล่นนั้นง่าย แต่การผ่านแต่ละด่านก็หินเอาเรื่อง เหมือนได้ฝึกสมองไปในตัว และอีกข้อที่เกม Arknights แตกต่างจากเกมแนว Defend Tower ทั่วไปก็คือการใช้ Skill ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีสกิลที่แตกต่างกันทั้งสามารถใช้แบบ Auto หรือต้องกดใช้ด้วยตัวเอง บอกเลยว่าหากเจอด่านยากๆ เราไม่สามารถกดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือกดใช้ๆ ทิ้งไปไม่ได้ เพราะมันจะช่วยพลิกสถานะการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยหากใช้งานได้ถูกจังหวะ แต่หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์ มันจะนำพาความซวยมาให้อย่างแน่นอน มันทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเบื่อและชวนลุ้นตัวโก่งได้เสมอ ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการรีวิวเกม Arknights ถือว่าเป็นเกมแนว Defend Tower ที่มีความน่าสนใจทั้งระบบการเล่นและเนื้อเรื่อง ส่วนข้อตำหนิของเกมนี้มีเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นความยากของเกมที่ใครไม่ค่อยอดทนก็หัวร้อนกับเกมแนวนี้ค่อนข้างง่ายเลยล่ะ หรือไม่ก็การฟาร์มหาของมาอัพเกรดตัวละครหรือฐานซึ่งของบางอย่างจะเปิดให้หากันในโหมดพิเศษเฉพาะวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องแบ่ง Sanity มาวนหาของพวกนีั แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เกมเสียอรรถรสแต่อย่างใด และที่สำคัญ เกมนี้ไม่กินสเปคจ้า มือถือระดับราคาย่อมเยาว์ถึงระดับกลางก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ฉะนั้นหากใครอยากลองบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
22 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Magia Record สานตำนานสาวน้อยเวทมนตร์ Madoka
หากย้อนไปเมื่อสักราวๆ 8 ปีที่แล้ว อนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Mahō Shōjo Madoka Magika หรือสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะ ที่ทำให้ใครหลายคนได้ดูรู้สึกตับได้รับการตีบวกจนแข็งแกร่ง มีความใสๆ แฝงไว้ด้วยความมืดมน จนหลายคนขนานนามให้เป็นอนิเมะที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น และปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงกันอยู่แต่ก็เริ่มเบาบางไปตามกาลเวลา จนกระทั่งได้มีการเปิดตัวเกมมือถือแนว Turn-based RPG ในชื่อ Magia Record ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่คึกคักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีอนิเมะเป็นของตัวเองก็ทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักอย่างมาก แถมออกอากาศไปแล้วสามตอนด้วยกัน รับประกันเลยว่าตับได้รับความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และทาง GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกม Magia Record มารีวิวกันว่ามันสนุกแค่ไหน ================================================== เกม Magia Record เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นบนไทม์ไลน์คู่ขนาน เกม Magia Record จะเป็นเนื้อเรื่องไทม์ไลน์คู่ขนานผ่านตัวละครที่ชื่อ ทามากิ อิโรฮะ ซึ่งเธอเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ที่จำไม่ได้ว่าเป็นได้อย่างไร และได้ฝันเห็นถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้องพยาบาล เธอพยายามพูดกับอิโรฮะแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงให้ได้ยินราวกับอยู่คนละมิติกัน ทำให้อิโรฮะตัดสินใจมายังเมือง "คามิฮามะ" เพื่อตามหาคำตอบและต้องการตามหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คิวเบย์" ซึ่งเธอคิดว่าอาจจะได้คำตอบจากมัน แต่ทว่าการเพิ่มจำนวนของพวก Witch ในเมืองนี้มีมากจนผิดปกติและแข็งแกร่งเอามากๆ ทำให้เธอได้เจอกับสิ่งที่ยากจะรับมือได้ซึ่งจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในเกมและในอนิเมะตอนแรก แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องในเกมกับในเมะจนคล้ายคลึงกันช่วงแรก และก็จะแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ราวกับคนละเรื่องไปเลย ซึ่งหลังจากเล่นไปได้สักพักใหญ่ๆ เนื้อเรื่องและปริศนาก็เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกงง ตรงกันข้ามกลับให้ชวนติดตามมากกว่าตามสไตล์ซีรี่ส์สาวน้อยเวทมนตร์สายมืดมน และหากใครไม่เคยดูอนิเมะเรื่องสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเล่นเกมนี้ไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นไทม์ไลน์คู่ขนาน ไม่เคยดูก็เล่นรู้เรื่อง จึงถือว่าบทที่วางไว้ต่างๆ ในเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ประทับใจแรกที่เห็น มันคือ First Love โดยแท้จริง ส่วนความประทับแรกที่ได้เข้ามาเล่นเกมนี้คือตัวละครทุกตัวที่คุณมี จะเป็น Live 2D ทั้งหมด ทั้งหน้า Lobby หรือใน Dialog ตอนตัวละครคุยกันตามบทบาทเนื้อเรื่อง พวกเธอขยับโต้ตอบได้แบบ Live 2D ทำให้รู้สึกว่าเราได้เห็นตัวละครที่ชื่นชอบโต้ตอบกับเรามากขึ้น...โดยเฉพาะตอนหนูเรน ( ในภาพ ) ยิ้มให้ เอาซะคนรีวิวฟินตายคาที่ ณ ตรงนั้นไปเลย นางน่ารักจริงๆ นะ ขยับได้ด้วย มันกลายเป็น First Love หรือรักแรกพบเลยล่ะ ส่วนของเรื่อง Interface ในหน้า Lobby ออกแบบมาค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อนนัก พอลองเข้าไปสำรวจเมนูต่างๆ ก็พูดได้เต็มปากว่า เกมนี้ได้ใช้ระบบการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดเลเวล, อัพเกรดอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีแรงบัลดาลใจจากเกม Fate/Grand Order แต่ใช่ว่าจะก๊อปปี้มาเสียทั้งหมด เพราะส่วนเมนูการจัดรูปแบบทีมจะมีความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในระบบการจัดทีมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะมีการเพิ่มระบบ "ขบวนทีม" ซึ่งตำแหน่งที่สาวน้อยเวทมนตร์ยืนอยู่จะมอบค่าสเตตัสเสริมแตกต่างกันไป เช่นหากเอาเรมอไปยืนข้างหน้าก็จะได้ค่า Defend เพิ่ม และเอาอิโรฮะไปยืนข้างหลังก็จะได้ Attack เพิ่ม ซึ่งขบวนทีมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สาวน้อยเวทมนตร์จะมีรูปแบบและความถนัดที่แตกต่างกัน สาวน้อยเวทมนตร์ในเกม Magia Record จะมีธาตุประจำตัว, อาวุธ และรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไปโดยเริ่มแรกจะให้เลือกสาวน้อยเวทมนตร์ระดับสี่ดาวได้ทันที ซึ่งต้องศึกษาดีๆ ว่าอยากได้ตัวแทงก์, ตัวสายโจมตีหรือสายสนับสนุน เพราะเลือกได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องใช้งานคุณเธอยาวๆ หรือหากอยากได้เพิ่มก็ต้องซื้อเพชรมาหมุนกาชาลุ้นเกลือยาวไป โดยสามารถเช็คค่าสถานะต่างๆ และประวัติของพวกเธอด้วยการกดปุ่ม Profile ยกตัวอย่างน้องอิซุสุ เรน ที่เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ธาตุมืดสายโจมตี ท่าโจมตีที่เน้นเพิ่มเกจท่าไม้ตายกับการโจมตีหมู่เป็นหลัก และท่าไม้ตายจะเป็นการโจมตีศัตรูตัวเดียวและจะเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองอีกหนึ่งเทิร์นอีกด้วย ซึ่งเอาจริงๆตัวละครเริ่มต้นพวกนี้ดีหมดทุกตัว ขึ้นอยู่กับความชอบและแนวทางการใช้งานเสียมากกว่า แต่หากใครแฟนมาโดกะก็อาจจะเลือกหนึ่งในแกงค์ของพวกเธอก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน และในด้านกาชา จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เลยคือ การตามหา Fate Weave หรือผู้สานโชคชะตา ซึ่งก็คือการเปิดกาชาหาสาวน้อยเวทมนตร์ โอกาสที่จะได้สี่ดาวมีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ออกแนวเกลือหนักมากบุญไม่ถึงก็อาจจะได้แค่หนึ่งหรือสาวดาว ขนาดสามดาวยังเปิดได้ยากเอาเรื่องเลย และตู้กาชาอีกประเภทคือพวกการ์ด Memoria หรือการ์ดความทรงจำซึ่งเสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่าสาวๆ โดยเอาไปติดตั้งในตัวได้ทันที โดยใช้ค่าดาวเขียวซึ่งหาได้จากในเกมเป็นตัวแลกเปลี่ยน โดยรวมแล้วเกมนี้คิดจะเติมเพื่อหาสาวๆ ที่เราอยากได้แล้วล่ะก็ ต้องทำใจว่าหากอาจจะได้เกลือเค็มๆ ไปกินย้อมใจแทน ระบบการเล่นแนว Turn-based ที่ต่อยอดมาจาก FGO ส่วนในรูปแบบการเล่นจะเป็นแนว Turn-based ที่ดูเผินๆ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเกม Fate/Grand Order เพราะมีการโจมตีแต่ละเทิร์น สามารถทำได้สามครั้ง ให้เลือกสามรูปแบบได้แก่ Accele: เป็นการโจมตีเพิ่มเสริมเกจ Magia หรือท่าไม้ตาย Charge: เป็นการโจมตีที่เพิ่มค่าเม็ด Connect และเสริมพลังโจมตีในการโจมตีครั้งถัดไปภายในเทิร์น Blast: เป็นการโจมตีแบบหมู่ ซึ่งจะมีการโจมตีทั้งรูปแบบทั้งหน้ากระดานและแถวตอนลึก ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หากตัวละครเดียวกันโจมตีสามครั้งจะเป็นการเสริมดาเมจแบบมหาศาล ซึ่งต่างจาก FGO ที่จะเป็นการโจมตีแบบพิเศษเป็นสี่รอบ หรือหากใช้งานรูปแบบการโจมตีประเภทเดียวกันทั้งหมด จะช่วยเสริมคุณสมบัติบางอย่างเข้าไปแทน และระบบ Magia หรือท่าไม้ตายจะรองรับสกิลเสริมซึ่งจะช่วยเพิ่มเสริมพลังท่าไม้ตายได้อีก แต่สิ่งที่เกม FGO มีไม่เหมือนกับเกม Magia Record เลยก็คือ ระบบ Connect โดยระบบ Connect จะใช้งานได้เมื่อเกจ Connect เต็มจากการใช้รูปแบบการโจมตีประเภท Charge เมื่อเราใช้งาน ตัวละครที่ใช้ระบบ Connect จะมอบพลังเวทให้กับตัวละครที่ต้องการโจมตี เป็นการเสริมพลังแบบมหาศาล สามารถเสริมให้กับท่าไม้ตายหรือใช้เสริมคอมโบการโจมตี โดยการใช้ Connect จะขึ้นกับรูปแบบการโจมตี หากใช้แบบ Charge การโจมตีที่เสริมด้วย Connect รอบนั้นจะเป็นการโจมตีแบบ Charge เป็นต้น ================================================== โดยสรุปแล้ว เกม Magic Record มีความคล้ายคลึงกับ Fate/Grand Order โดยเฉพาะระบบการเล่น แม้ว่าตัวเกมจะพยายามสร้างความแตกต่างออกไปก็ตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก มันยังคงความสนุกตามสไตล์สาวน้อยเวทมนตร์ แต่สิ่งที่ชูโรงตัวเกมนี้ก็คือ เนื้อเรื่องอันแสนหนักหน่วงชวนน่าติดตามนั้นแหละ และยิ่งมีกระแสอนิเมะเรื่องนี้ก็ยิ่งปังเข้าไปใหญ่ แต่ข้อเสียสำหรับเกมนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เป็นเกมแนว Grinding หรือต้องมีความอดทนในการฟาร์มของ แม้ว่าเราจะมีตัวละครดาวสูงๆ แต่ใช่ว่าจะเก่งตั้งแต่แรก ต้องออกไปฟาร์มของ ฟาร์มไอเท็มมาเสริมพลัง มาปลดล็อคสกิลต่างๆ มากมายอีก หากใครไม่ใช่สายอดทนก็อาจจะเบื่อไปเลย แต่หากใครสายเสพเนื้อเรื่อง สายฟาร์มไม่หวั่นแม้วันมามาก เกม Magia Record ก็ถือเป็นอีกเกมที่น่าเล่น สาวๆ ทุกคนเป็น Live 2D และกินสเปคไม่หนักด้วย แนะนำให้ลองเลย! [penci_review id="38980"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Punishing: Grey Raven กับไซไฟสุดล้ำดำดิ่งสู่ความสิ้นหวังของมนุษย์
หากจะพูดว่าเกม Honkai Impact 3rd ที่เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเลยคือบทเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากๆ แรกๆ ก็ดูสดใสคล้ายแนวฮีโร่วัลคีรี่ย์สาวออกไปปกป้องโลก หลังๆ ชักไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เพราะว่ามันขั้นออกไปทางดาร์คและปวดตับกันเลยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่ามันก็ยังมีอีกเกม เกมหนึ่งที่มีแนวการเล่นคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd แต่ทำเนื้อเรื่องออกมาเข้มข้นไม่แพ้กัน บทความนี้ทางเรา GameFever TH ได้ไปเจอเกมดีๆ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งเกม โดยมีชื่อเกมว่า Punishing: Grey Raven ซึ่งพัฒนาโดย Kuro Games เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash เหมือนกัน แต่กลับมีสิ่งที่แตกต่างออกไปแถมมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย และตัวเองก็เพิ่งเปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีน Bili Bili ได้ไม่นาน จึงต้องมาพิสูจน์กันว่าทำไมคนที่เล่นเกมจีนถึงได้พูดถึงเกมนี้กันมากนัก ================================================== แค่เปิดตัวก็อย่างอลัง แฝงมนต์ขลังความไร้ที่ติ หลังจากที่โหลดเกม Punishing: Grey Raven ผ่าน BiliBili ด้วยความยากลำบากเสียเล็กน้อย ซึ่งโชคดีที่เคยสมัครไอดีมานานมากแล้วก็ยังสามารถใช้ได้อยู่เลยไม่เสียเวลาสมัครมากนัก แถมตัวเกมใช้เวลาในการโหลดนานมากเพราะใช้เนื้อที่ราวๆ 2.5 GB ยังดีที่มือถือมีเนื้อทีเหลือๆ อยู่ พอเปิดเกมเท่านั้นแหละก็รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับการรอคอย นี่คือสิ่งแรกที่ได้เห็น เพราะแทบไม่เคยเจอเกมมือถือที่สื่อถือโทนมืดตัดกับแสงแบบนี้ จากคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับภาพวาดมาก่อน ตัวละคร Liv ( ในภาพ ) หลับตา ไม่มองมายังผู้เล่นบนพื้นที่เต็มไปด้วยความมืดแต่ก็ยังมีแสงเล็ดลอดออกมา มันสื่อถึงตัวเกมที่พยายามจะบอกเราว่า "เกมนี้มีเนื้อหาดาร์คมากๆ จะเล่นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?" หลายคนอาจจะมองว่าภาพเปิดเกมไม่สวยเลย มีแต่โทนดำๆ มืดๆ แทบไม่มีแสงสี แต่หากมองจากองค์ประกอบเหล่านี้ที่เราได้บอกมา ถือว่าเป็นการแฝงความขลัง แฝงความไร้ที่ติของตัวมันเอง จุดนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้จะถูกห้ามเราก็ต้องเข้าไป หลังจากกดเข้าเกมแล้ว ก็จะตัดมาที่โหมดฝึกสอนพร้อมเนื้อเรื่องที่จะเริ่มเล่าเกี่ยวกับจักรวาลของเกมนี้...ถึงมาก็มีคนตายต่อหน้าเราเลยซึ่งเธอมีชื่อว่า Lucia ซึ่งแบบถึงมาก็ใส่ความจัดหนักจัดเต็มเลย แต่ว่ามันยังไม่พีคเท่าจู่ๆ Lucia ก็ลุกขึ้นมาทำร้ายเราจนเกือบจะฆ่าเรา โชคดีที่ Liv มาช่วยทันเวลาและต้องฆ่านางให้ตายเป็นรอบที่สอง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่งงเป็นไก่ตาแตก แถมเป็นภาษาจีนอีก อ่านไม่ออกยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอ่านไม่ออก มันก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนรู้สึกว่า แค่ Prologue เนื้อเรื่องเป็นภาษาจีนอ่านไม่ออกยังชวนให้ติดตามนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว เนื้อเรื่องที่ฉีกแนวเดิมๆ เพิ่มเติมคือภาพอาร์ตอันสวยงาม เนื้อเรื่องของเกม Punishing: Grey Raven จะอยู่ในช่วงยุคปี ค.ศ. 2079 หรออนาคตจากเราไปอีกห้าสิบปีข้างหน้า เมื่อยุคหนึ่งที่มนุษย์เคยรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด มีการพัฒนาโลกเสมือนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ ด้วยการฝังชิป ทำให้เกิดช่องทางการติดต่อรูปแบบใหม่แทนระบบอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ แต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นหายนะเพราะได้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า Punishing Virus เป็นไวรัสประเภท Cybernatic ที่เป็นอันตรายต่อเครื่องจักรและมนุษย์ที่ได้รับการฝังชิป ส่งผลทำให้เครื่องจักรเกิดการคุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ส่วนมนุษย์ก็จะตายภายในเวลาอันรวดเร็วและก็กลับมามีชีวิตไล่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง นำไปสู่หายนะจนเกือบทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ในปี ค.ศ 2140 เจ้า Punishing Virus ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถอาศัยอยู่บนทวีปในปัจจุบันได้ ต้องอพยพมาทางตอนเหนือของรัสเซียไม่ก็สร้างประเทศใหม่บนทวีปแอนตาร์คติกเพราะไวรัสเข้าถึงได้ยาก มนุษย์เริ่มดัดแปลงเหล่าผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกเลือกให้กลายเป็นไซบอร์กเพื่อต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรและมนุษย์ที่ติดไวรัสโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เรียกว่า Structured โดยมนุษย์ไซบอร์กนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังจะตายในการต่อสู้ก็ยังสามารถแบคอัพจิตสำนึกและข้อมูลต่างๆ ไปยังส่วนกลางที่เรียกว่า Sea of Consciousness (SOC) เสมือนเป็นเซิร์ฟเวอร์กลางของฐานทัพฝ่ายมนุษย์ และรอการคืนชีพพร้อมนำจิตสำนึกเดิมเข้าสู่ร่างกายไซบอร์กอันใหม่อักครั้ง เหล่า Structured แม้จะมีขีดความสามารถในการสู้รบสู้มากๆ เสมือนเป็นทหารรูปแบบใหม่ในเกมนี้ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสระหว่างการต่อสู้เหมือนกัน ทางแก้ก็คือ เหล่า Structured จะต้องมีผู้บัญชาการที่เป็นมนุษย์แท้ๆ ไว้สนับสนุนหรือออกคำสั่ง วางแผนการรบให้กับคนเหล่านี้ ( ตัวผู้เล่นเอง ) โดยตัวเราจะเชื่อมกับ Module ส่งจิตสำนึกไปเชื่อมต่อกับ Structured เพื่อบล็อคการทำงานของไวรัส เหมือนเป็นวัคซีนรักษาโรค แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนไม่มีวันตาย ร่างพังก็รอกลับไปคืนร่างใหม่ แต่หาก Structured คนไหนส่งจิตสำนึกเข้าสู่ส่วนกลางไม่ทันก่อนตาย ก็จะตายอย่างถาวรไม่กลับมาคืนชีพได้อีก โดยส่วนตัวจากที่ได้แปลเนื้อเรื่องออกมา บอกเลยว่าค่อนข้างแหวกแนวและนำเสนอได้แปลกใหม่มาก ตัวละครหลักอย่าง Lucia สาวผมแดงมาดเท่ ที่เปิดตัวมาก็ตายให้เราเห็นแต่ก็คืนชีพใหม่ได้อีกรอบ, Liv อดีตแพทย์สนามสาวที่เคยตายมารอบหนึ่ง และกลับมาในฐานะ Structured แสนน่ารัก หรือ Lee หนุ่มมาดเงียบขรึมหล่อกระชากใจ ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าจดจำ ลายเส้นภาพอาร์ตต่างๆ ยอมรับเลยว่าสวยคมบาดตาบาดใจมาก เสียดายที่เป็นภาษาจีน บางตัวก็แปลไม่ออกเหมือนกัน ถ้ามีเซิร์ฟเวอร์อังกฤษเมื่อไหร่บอกเลยว่าน่าจะได้อารมณ์ในการเล่นมากกว่านี้ Interface ไม่ซับซ้อน อ่านไม่ออกก็ใช้งานง่าย ในด้าน Interface ต้องขอชมเชยว่าออกแบบมาดี ให้ความคล้ายคลึงกับ Arknights หรือ Girls Frontline คือมันเรียบง่ายแต่สวย ใช้งานง่าย แยกออกว่าอะไรเป็นอะไรแม้ว่าจะอ่านภาษาจีนไม่ออกก็ตาม ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เมนูต่างๆ สักพักแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานแต่อย่างใด แถมตัวละครก็เป็นแบบ 3D ด้วย จิ้มๆ ก็มีการโต้ตอบกับเราพอให้ฟินได้บ้าง ในส่วนของเรื่องการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดตัวละคร, สกิล, อาวุธหรือระบบการ์ด บอกเลยว่ามีความคล้ายคลึงกับ Honkai Impact 3rd เป็นอย่างมาก หากใครเคยเล่นเกมนี้ก็จะเรียนรู้ได้ไวในส่วนนี้ โดยเฉพาะระบบการ์ดซึ่งหากนำใบการ์ดซ้ำมาใส่ ก็จะเป็นการเพิ่มคุณลักษณะ ค่าสถานะต่างๆ แบบเป็น Set ส่งผลต่อการเล่นทั้งโหมดปกติหรือการลงอิเวนท์ ในส่วนระบบกาชาบอกเลยว่า ใช้ตั๋วเยอะมาก ต้องใช้ถึง 2500 ในการเปิดกล่องกาชาสิบกล่องเพื่อการันตีได้ตัวละคร นอกนั้นก็จะเป็นอาวุธและไอเท็มต่างๆ สำหรับพัฒนาตัวละคร แต่เปอร์เซ็นต์ในการออกตัวละครหายากก็ไม่ค่อยเกลือจนน่าเกลียดนัก แม้พกดวงมาน้อยแต่ก็ยังสามารถรอคอยตัวเทพๆ ได้เพียงแค่ใช้ตั๋วเยอะไปหน่อย การอดทนฟาร์มหาของหาตั๋วจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคิดจะเปย์ก็ไม่ผิดกติกาอะไร ยังไงก็ศึกษาการเติมเงินของเกมจีนก่อนนะ กราฟิคสวย แม้เครื่องไม่แรงก็ยังเล่นได้ คราวนี้ก็มาถึงส่วนของระบบการเล่นกันบ้าง หากดูจากหน้า HUD แล้วก็มีความคล้าย Honkai Impact 3rd โดยจะมีปุ่มบังคับทิศทาง, ปุ่มโจมตีที่กดย้ำๆ ตัวละครก็โชว์ท่าทาง, ปุ่มหลบเมื่อหลบถูกจังหวะ ศัตรูจะถูกหยุดเวลาไว้และปุ่มตัวละครสนับสนุนอีกสองตัวสามารถเรียกหรือใช้ต่อยอดคอมโบแบบ Quick Time Event ได้ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ปุ่มท่าโจมตีพิเศษเพิ่มเติมสามท่า เมื่อเราโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ท่าโจมตีพิเศษจะขึ้นเรียงเป็นแถวแบบสุ่มทั้งหมดสามท่า แต่ละท่าจะมีการบอกสีอย่างชัดเจน ซึ่งท่าโจมตีพิเศษมีดังนี้ สีแดงคือท่าโจมตีที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้างเป็นหลักหรือใช้การโจมตีแบบรุนแรงในทีเดียว สีเหลืองคือท่าที่ใช้โจมตีเพื่อทำการจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือ Crown Control เช่นทำให้ลอยหรือสตั้น สีฟ้าจะเป็นการโจมตีแบบลดค่าสถานะต่างๆ ของศัตรูหรือจะเป็นการเพิ่มสถานะการต่อสู้ให้กับตัวเราเอง และหากเมื่อกดใช้ท่าโจมตีพิเศษ มันก็จะหายไป ท่าโจมตีพิเศษใหม่ๆ ก็จะต่อแถวและสุ่มไปเรื่อยๆ หากเราทำการ Stack ต่อท่าโจมตีพิเศษเป็นสีเดียวกันสองตัวหรือสามตัว เมื่อกดใช้ก็จะเป็นท่าโจมตีพิเศษของตัวละครโผล่ขึ้นมาให้เห็นด้วย ส่วนด้านกราฟิค ซึ่งรีวิวนี้ได้ใช้มือถือ Samsung Galaxy A50 ซึ่งเป็นมือถือสเปคกลางๆ ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่นไหลไม่กระตุกแม้คุณภาพของโมเดลตัวละครอาจจะดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หากใครที่มีมือถือสเปคแรงกว่านี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่สุดยอดก็เป็นไปได้ ส่วนระยะเวลาในการเล่นแต่ละด่านค่อนข้างสั้น เล่นหน่อยเดียวก็จบด่านแล้วซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ชอบ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่หากใครเคยเล่นเกมแนวๆ นี้ก็อาจจะชินพอยอมรับทำใจได้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ================================================== โดยรวมแล้ว Punishing: Grey Raven ถือเป็นเกมคุณภาพอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิคสวย แม้มือถือสเปคกลางๆ ก็ยังเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่อัพกราฟิคโหดๆ จนกลายเป็น Mobile Destroyer อย่างที่หลายๆ เกมเป็นในปัจจุบัน เสียดายที่โมเดลตัวละครในเกมอาจจะยังดูแข็งๆ ไปนิด เคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก แต่ปั้นโมเดลได้สวยและน่ารักเลยพอรับได้ และเกมนี้นับว่าต้องเล่นแบบ Grinding หรือใช้ความอดทนในการฟาร์มของให้ตัวละครได้เก่งขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่ขี้เบื่อง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเล่นในปี 2020 นี้เลยล่ะ! [penci_review id="39016"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิว Battlefield V เจ้าแห่งเกมสงคราม ที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่
แนวเกม: FPS ผู้พัฒนา: DICE จัดจำหน่าย: EA แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (Origin) Battlefield V เกมแนว FPS ภาคต่อจากซีรีส์แนวสงครามของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง EA ที่คุณรู้จักกันดี โดยในภาคนี้ตัวเกมจะพาให้คุณเข้าไปสัมผัสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่ามหาอำนาจอย่างฝ่ายสัมพันธมิตร และ ฝ่ายอักษะ เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง โดยตัวเกมได้พัฒนาระบบต่างๆ ให้แตกต่างจากภาค Battlefield 1 อยู่มากพอสมควรเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวผู้เล่น และถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากสำหรับเกมนี้ที่ต้องบอกว่าพวกเขากล้า !! และอาจจะเป็นมิติใหม่ของเกมที่เราจะได้เห็นไปอีกซักพักสำหรับซีรีส์ Battlefield ภาคถัดๆ ไป ถึงแม้ว่าในช่วงเปิดตัวนั้น ตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบอยู่มากพอสมควร จนทำให้บัลลังค์ชื่อเสียงคำว่าเฟรนไชส์เกมยอดเยี่ยมนั้นสั่นคลอนลงมาเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไปปรับแก้ระบบต่างๆ จนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ตัวเกมนั้นก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยในบทความนี้พวกเราชาว GamefeverTH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดีหรือไม่ดีตรงไหนจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน พร้อมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างภาคนี้กับ Battlefield 1 ที่มันแตกต่างกันยังไง และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีอย่าง NGIN ที่ส่งแผ่น PS4 เกมนี้มาให้เรารีวิวครับ เอาล่ะเราไปชมกันเลย กราฟิก ถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมภาคนี้จะใช้เอ็นจิ้น Frostbite 3 เหมือนในภาคที่แล้ว แอนิเมชั่นต่างๆ ก็จะคล้ายกันในหลายๆ อย่าง แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของภาคนี้กลับทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แสง เสียง เงาต่างๆ ก็ดูสมจริงมากขึ้น เพราะใน Battlefield 1 ที่เราคิดว่าภาพสวยแล้วนั้น แต่มันก็ยังมีความเรียบของดีเทลเล็กน้อยในเรื่องของ แสง เงา ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันยังไม่สมจริงเท่าที่ควร แต่ต่างจากในภาคนี้ เรื่องแสง เงา คือจัดเต็ม !! จัดเต็มมาก !! กะเอาให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด เหมือนต้องการให้เราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจรืงๆ รวมถึงสำหรับสาวก PC ที่คอมแรงก็จะโชคดีกว่าคนอื่น เพราะตัวเกมนี้ก็จะมีระบบ Ray Tracing ที่จะเป็นการสะท้อนเงาฉากในเกมให้เกมสมจริงขึ้นอีกไปอีก แต่ถ้าหากใครที่ต้องการจะใช้ระบบนี้ คุณก็อาจจะต้องใช้การ์ดจอระดับ High End ของค่ายเขียวซีรีส์ 2000 ขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าว่าคอมคุณทำได้ ต้องบอกเลยว่านี่คือเกมที่ภาพสวยที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_13824" align="aligncenter" width="1280"] ในภาค Battlefield V จะมีรายละเอียดเรื่องแสง และเงาที่สวยกว่า[/caption] Single Player ในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงคอนเซ็บที่จะเล่าเนื้อเรื่องในหลายๆ มุมของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดั่งที่เคยทำมาในเกม Battlefield 1 โดยการนำเสนอของภาคนี้จะเน้นเนื้อเรื่องในอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทุกคนไม่เคยเห็นในแต่ละประเทศ โดยจะมีเนื้อเรื่องอยู่ทั้งหมด 4 บทนั่นคือ Nordlys - สาวน้อยนักฆ่าความสามารถสูงที่จะต้องปลดแอกประเทศ Norway ของตัวเอกจากฝ่ายนาซี พร้อมทั้งต้องช่วยเหลือครอบครัวที่โดนจับตัวไป Under No Flag - เล่าถึงเรื่องโอกาศที่สองของอาชญากรนามว่า Billy Bridger ที่จะต้องเข้าร่วมกองกำลังรบอังกฤษ เพื่อมารับใช้ชาติแทนที่จะเข้าคุก Tirailleur - การต่อสู้ของกองกำลังเซเนกัลประเทศฝรั่งเศษที่จะต้องปกป้อง Homeland พื้นที่ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน The Last Tiger - จะเล่าเรื่องของทหารฝ่ายนาซี กับลูกเรือบนรถถัง The Tiger คนหนึ่งที่เริ่มสงสัยและตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของประเทศตัวเอง (แต่ในเนื้อเรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่น เพราะว่าผู้พัฒนาบอกว่ามันจะตามมาทีหลังนั่นเอง) โดยตัวเกมเพลย์ในภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบการเล่นนั้นจะกลายเป็นรูปแบบ Openworld เต็มตัว มีแนวทางการเล่นหลากหลายมากกว่าก่อน มีอิสระในการผ่านด่านต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างเช่นการบุกประจันหน้าเข้าไป หรือจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปก็ได้ อาวุธภายในเกมก็มีหลากหลายเพียงแต่เราอาจจะต้องไปไล่เก็บตามแคมป์ศัตรูต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เราต้องสำรวจมากขึ้นนั่นเอง มีการส่อง Mark ตำแหน่งของศัตรูเพื่อให้เล่นได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นการคอยๆ เก็บทีละตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรู Alert และไปกดเสาสัญญานขอความช่วยเหลือให้เพื่อนมาช่วยเป็นต้น [caption id="attachment_13827" align="aligncenter" width="1280"] โหมดเนื้อเรื่องกลายเป็นแนว Openworld เต็มตัว[/caption] [caption id="attachment_13853" align="aligncenter" width="1280"] มีการส่องกล้องหาศํตรูหรือจุดดรอปปืนเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเรา[/caption] [caption id="attachment_13829" align="aligncenter" width="1280"] สามารถรอบเร้นเข้าไปเก็บทีละคนได้[/caption] แต่เนื่องจากที่ระบบการเล่นแบบนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ Battlefield เคยทำ มันเลยทำให้การดีไซน์ต่างๆ ของแผนที่นั้นออกมาไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นภายในเนื้อเรื่องที่เราจะต้องแอบเข้าไปในดงศัตรูเพื่อทำภารกิจ ซึ่งในเนื้อเรื่องของมันก็บังคับแบบกลายๆ แล้วว่าเราจะต้องลอบเร้นเข้าไป แต่ตัวศัตรูนั้นนอกจากที่จะหูไวตาไวแล้ว ข้อจำกัดในการเล่นหรืออาวุธที่เราใช้มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้เราผ่านด่านได้แบบ Perfect เพราะบางครั้งศัตรูเองก็จะไม่เดินไปเดินมาเหมือนเกมอื่น อาวุธเริ่มต้นก็จะไม่มีปืนเก็บเสียงนอกจากมีดลับที่สามารถปาให้เข้าหัวเท่านั้น แต่มันก็จะมีพวกปืนเก็บเสียงบ้างตามแคมป์ ซึ่งมันก็แลกกับการที่เราจะต้องไปควานหามันก่อนที่จะทำภารกิจ โดยถ้าใครชอบระบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนถ้าใครไม่ชอบระบบนี้ก็คงจะน่ารำคาญเล็กน้อย และอย่างที่แย่เลยก็คือใครบางครั้ง ศัตรูนั้นหันหน้าไปทางเดียวกันหมดทุกคน มันเลยทำให้การลอบเร้นยากกว่าเดิมเลยทำให้ความสนุกมันลดทอนลงไป ถ้าให้เปรียบเทียบระบบการลอบเร้นของเกมนี้ มันก็ดูเหมือนเกม Metal Gear Solid V: The Phanton pain เล็กน้อย เพียงแต่เกมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกลไกของเกมที่ทำให้เราลอบเร้นสนุกมากกว่าเกมนี้หลายเท่า [caption id="attachment_13832" align="aligncenter" width="1280"] บางพื้นที่ศัตรูหันหน้าทางเดียวกัน ซึ่งมันทำให้การรอบเร้นฆ่าทีละตัวยากกว่าเดิม[/caption] ส่วนตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ เนื่องจากที่แต่ละบทจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่าเรื่องในซีนสำคัญๆ มันเลยทำให้เราไม่อินเท่าที่ควร เพราะเราเองก็พึ่งจะรู้จักตัวละครพวกนี้ได้ไม่นาน เราเลยยังไม่ผูกพันธ์พวกเขาเท่าที่ควร แต่ก็ต้องชมเลยว่าในเรื่องของซีนที่จะสื่อถึงความรักชาติ หรือทำให้เรารู้สึกหึกเหิม ตัวเกมจะสื่อออกมาได้ดีมากๆ ซึ่งส่วนตัวของผมนั้นจะชอบในบท Under No Flag มากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันจะทำให้เราเอาใจช่วยเจ้าหนูคนนี้ตลอดเวลา   Multiplayer ในเกม Battlefield V ระบบมัลติเพลยเยอร์นั้นก็จะมีโหมดการเล่นอยู่ด้วยกัน โหมดนั่นคือ Conquest - โหมดคลาสสิค ที่มีมาตั้งแต่ภาคเก่าๆ เป็นการต่อสู้ในสเกลใหญ่ที่เราจะต้องยึดพื้นที่ต่างๆ โดยในภาคนี้ระบบจะไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าตรงที่การนับคะแนนคือการตาย ซึ่งถ้าหากว่าเราถูกยึดจุดมากกว่าครึ่งจะทำให้คะแนนลดมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันทำให้การ Comeback ของฝ่ายเสียเปรียบทำได้ง่ายขึ้น Domination - การต่อสู้ภาคพื้นดินที่จะสเกลเล็กลงมากว่าโหมด Conqest เราจะพบเจอศัตรูได้ง่ายกว่า Team Deathmatch - โหมดยิงประจันหน้าที่มีอยู่ทุกเกม โดยตัวเราและศัตรูจะสุ่มเกิดในพื้นที่ขนาดเล็กอยู่เรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเข้าไปฝึกยิงให้คล่อง Frontlines - โหมดภารกิจยึดจุด ในธีมที่เหมือนกับการเล่นชักกะเย่อ ถ้าหากว่าฝ่ายเรายึดจุดมากกว่าอีกฝ่ายเราก็จะชนะไป Breakthrough - โหมด Capture the flags ที่เรารู้จักกันดีฝ่ายบุกต้องเข้ายึด ส่วนฝ่ายกันก็จะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายบุกเข้ามาได้ Grand Oparation - โหมดสเกลใหญ่ที่รวมหลายๆ โหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งตัวโหมดนี้เองก็มีตั้งแต่ภาคก่อนหน้า ตัวเกมใช้เวลาในการเล่นนาน และเนื้อเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้แพ้ชนะของแมทนั้นๆ โดยเกมนี้จะเน้นการเล่นเป็นทีมไม่ต่างจากในเกมภาคที่แล้ว เพียงแต่วิธีการเล่นเป็นทีมจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และระบบต่างๆ จะปรับเปลี่ยนใหม่อย่างเช่น ในเกม Battlefield 1 ตัวละครของเราถ้าหากไม่ใช่คลาส Medic เราก็จะไม่มียาให้เพิ่มเลย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าหากว่าเรารอเวลาซักนิดตัวละครก็จะค่อยๆ ฟืนเลือดมาเรื่อยๆ จนเต็มแต่มันจะเสียเวลา ซึ่งการมี Medic ในทีมนั้นสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะคลาสนี้จะคอยเติมเลือดให้เราได้ไว ส่วนในเกมภาคใหม่ทุกคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะมียาเพิ่มเลือดให้คนละ 1 อัน  แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราไม่มียาเลือดของเรานั้นก็จะเพิ่มไม่เต็มหลอดทำให้เสียเปรียบนั่นเอง ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างอย่างหนึ่ง และการชุบเพื่อนเราไม่จำเป็นต้องรอ Medic อย่างเดียวเหมือนภาคที่แล้ว เพราะในภาคนี้ไม่ว่าคุณจะเล่นคลาสไหน ก็สามารถที่จะชุบเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะใช้เวลาชุบที่นานมากกว่านั่นเอง และในภาคนี้ก็จะตัดระบบการวิ่งชาร์จที่มีข้อดีในการเข้ายึดจุดไว หรือ Take Down ศัตรูในทีเดียวออกไป พร้อมทั้งยังตัดระบบชุดเกราะพิเศษในภาค 1 ที่จะทำให้เราถึกขึ้นปืนโหดขึ้น มันเลยทำให้ความแฟนตาซีลดลงไป และให้ความสมจริงมากขึ้น เจาะจงการเล่นเป็นทีมมากขึ้น เกาะกันเป็นกลุ่มมากกว่าแต่เก่านั่นเอง [caption id="attachment_13839" align="aligncenter" width="1280"] เป็นคลาส Assault แต่มียามาให้ 1 ชิ้น[/caption] [caption id="attachment_13840" align="aligncenter" width="1280"] ทุกอาชีพสามารถชุบเพื่อนได้ เพียงแค่ Medic จะสามารถชุบได้เร็วกว่าคลาสอื่นนั่นเอง[/caption] ระบบการต่อสู้แบบเดินเท้าก็จะสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะว่าตัวเกมได้ตัดทอนความสามารถของยานพาหนะให้เก่งน้อยลงกว่าภาคก่อนๆ เยอะ ซึ่งตัวผมเองเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 และเห็นรถถังเดินบู๊ฆ่าแหลกน้อยมาก เพราะตัวรถถังมันโดนทำลายง่ายพอสมควร เนื่องจากที่ฝ่าย Assault นั้นมีปืนระเบิดไว้ทำลายรถถังหลายลูกต่อหนึ่งคน มันเลยทำให้การสู้ด้วยยานพาหนะจะต้องใช้แบบแผนมากยิ่งขึ้นกว่าในภาค Battlefield 1 ที่ก่อนจะปรับสมดุล ตัวรถถังมัน OP มากๆ สามารถบู๊แหลกเก็บทั้งทีมได้สบายๆ พร้อมทั้งระบบ Behemoth ที่มีในเกม Battlefield 1 ก็ได้ตัดออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยระบบนี้จะเป็นการนำยานพาหนะขนาดใหญ่เข้ามาร่วมรบสำหรับฝ่ายที่มีคะแนนน้อยและใกล้แพ้ แต่เอาตามตรงมันก็ไม่ค่อยจะช่วยให้เราชนะซักเท่าไร เพราะตัว Behemoth นั้นมีพื้นที่จำกัดในการเคลื่อนที่ รวมถึงถ้าหากคนที่ใช้ปืนเล่นไม่เก่งและสามารถเก็บฝ่ายศัตรูให้เรียบได้ มันก็แทบจะไร้ประโยชน์เลยทีเดียว แถมมันยังทำให้ผู้เล่นมัวแต่ไปขี่ตัว Behemoth จนไม่มาช่วยกันยึดจุดด้วยซ้ำ ซึ่งในภาคนี้ได้ใส่ระบบแต้มคะแนนของ Squard เข้ามาแทนที่ถ้าหากว่าเราและเพื่อนร่วมทีมสามารถเก็บคะแนนได้เยอะๆ หัวหน้าทีมสามารถเรียกคำสั่งนี้เพื่อที่จะใช้ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ใส่ศัตรู หรือเรียก Supply มาให้ก็ได้ รวมถึงภาคนี้ยังได้ใส่ระบบการก่อสร้างเพื่อเราจะได้สร้างที่กำบังให้สามารถเพิ่มความได้เปรียบกับตัวเราได้ อย่างเช่นการเอาถุงทรายมาเป็นป้อม สร้างถุงทรายให้กลายเป็นกำแพง หรือการซ่อมหน้าต่างที่กำบังในบ้านเพื่อทำที่หลบภัยให้กับสไนเปอร์ รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Peek Over เล็กๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาตัวไปหลบในที่กำบังแล้วกดเล็ง ตัวเราจะชโงกหน้าออกมาเล็งอัตโนมัติ ซึ่งมันเหมาะทั้งในทีมบุกและทีมรับ เพราะตัวทีมบุกเองก็สามารถบุกหลบในหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แล้วสร้างที่กำบังเพื่อหลบภัยชั่วครู่แล้วจึงค่อยบุกต่อก็ได้ ส่วนทีมกันก็สามารถสร้างที่หลบภัยเพิ่มเติมถ้าหากว่าตัวสิ่งก่อสร้างมันโดนพังเป็นต้น แต่ข้อเสียของระบบนี้คือตำแหน่งในการสร้างบนภาคพื้นดินจะมีอยู่จำกัดและสร้างที่กำบังไม่ได้ทุกพื้นที่ รวมถึงมันต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ถ้าหากจะให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเราจะได้ช่วยกันสร้างป้อมทุกมุมได้ไวขึ้น หรือถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูยิงก็จะสามารถช่วยกันชุบได้ หรือช่วยกันแจกกระสุน ยาเป็นต้น และพอใช้งานจริงระบบนี้กลับไม่ค่อยจะมีคนนิยมเท่าไร เพราะมันทำให้รูปเกมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด คนในเซิร์ฟเลยเลือกที่จะเล่นในแบบเดิมๆ มากกว่า แต่จะมักนิยมสำหรับคนที่เล่น Sniper ที่สามารถยิงปืนได้ในระยะไกลนั่นเอง รวมถึงการ Peek Over ส่วนตัวมันรู้สึกเอ๋อๆ กดได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง ทำไมบางจังหวะมันผิดพลาดไปหมด ระบบคลาสของเกมนี้ในแต่ละคลาสก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปอีก โดยฟังชั่นนี้จะเรียกว่า Combat Role ในการเล่นได้ ซึ่งมันก็จะไปเพิ่ม Passive ให้เราเก่งในสายนั้นๆ อย่างเช่น Role ของฝ่าย Assault ก็จะมี Role ที่จะเน้นระเบิดรถถัง หรือ Role ที่เน้นการยิงเป็นต้น พร้อมทั้งในเกมภาคนี้ได้ตัดระบบ Season Pass ออกไปไม่ต้องเทพทรูอีกแล้ว การได้ของใหม่ๆ ก็จะสามารถเก็บเลเวล รวมถึงแต่ละเลเวลก็จะมีของที่บอกชัดเจนว่าจะปลดล็อคอะไร พร้อมทั้งสกีนต่างๆ ซึ่งเราสามารถทำเควสหรือซื้อด้วยเงินเครดิตในเกมได้เช่นกัน และก่อนหน้านี้ที่ทางผู้พัฒนาโดนโจมตีเรื่องสกีนของตัวละครที่คาดว่าจะมีระบบ Lootbox เข้ามาให้เราเปิดสกีน ซึ่งดูเหมือนว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ตัดระบบนี้ออกไปเลยทำให้สกีนหรือชุดสวมใส่ต่างๆ ก็จะดูไม่แฟนตาซีมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่าระบบสกีนจะมีมาเพิ่มในอนาคตหรือไม่เราต้องรอดูกัน [caption id="attachment_13847" align="aligncenter" width="1280"] ระบบ Combat Role ที่จะเป็นคลาสย่อยของแต่ละคลาสหลักที่จะมีความสามารถแตกต่างกัน[/caption] [caption id="attachment_13848" align="aligncenter" width="1280"] ชุดไม่แฟนตาซี เพราะตัวเกมไม่มีระบบ Lootbox อย่างที่คนกลัวกัน (แต่อนาคตไม่แน่ใจว่าจะมีเข้ามาไหม)[/caption] สรุป ต้องบอกเลยว่าระบบ Singleplayer ของเกมนี้ทำออกมาได้แปลกใหม่ และถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้ดีมากๆ เพราะระบบ Openworld ที่เราสามารถเลือกวิธีเล่นได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต้องยอมรับว่ามันยังดีไซน์ออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะตัวเกมมีความยากในการเล่น แต่ข้อจำกัดอาวุธที่ใช้ต่างๆ มันทำให้ความสนุกถูกบั่นทอนลงมา แต่ถ้าหากใครที่ชอบแบบนี้มันอาจจะเป็นเรืองดีก็ได้ ส่วนระบบ Multiplayer เกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ระบบเดินเท้าทำออกมาได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราเล่นคนเดียวประสบการณ์ที่เราจะได้รับมันอาจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าหากคุณมาคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่สนุก เพราะถ้าหากคุณเล่นเป็นงานคุณก็คอยช่วยเหลือเพื่อน หรือช่วยเหลือทีม Squard อื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบได้เช่นกัน และเนื่องจากที่มันเน้นความสมจริง สปีดการเล่น หรือเข้าทำก็จะช้าลงกว่าภาคก่อนหน้า เพราะระบบต่างๆ มันเอื้อต่อการเล่นเป็นทีม ซึ่งถ้าหากคุณวิ่งมั่วๆ คุณอาจจะโดนสอยตายได้ง่ายๆ แต่ก็บอกว่านี่แหละมันคือเสน่ห์หลักของภาคนี้เลยทีเดียว เพราะไอ้ความสมจริงนี่แหะมันเลยทำให้เราอินกับคำว่าสงครามโลกมากยิ่งขึ้น นี่อาจจะเป็นเกม Battlefield ภาคที่เปิดตัวออกมาโดนด่ามากที่สุด แต่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขจุดต่างๆ เอาใจความคิดเห็นของผู้เล่นมากขึ้น จนทำให้มาตรฐานของมันก็ยังดีเยี่ยมเหมือนอย่างเคย [penci_review id="13607"]
29 Nov 2018
รีวิว PUBG Project Thai ระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปกับพับจีเพื่อคนไทย
ถ้าถามแฟนเกมออนไลน์ว่าตอนนี้กำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ เชื่อว่า PlayerUnknown’s Battlegrounds หรือ PUBG เกมแนว Battle Royale ต้องติดหนึ่งในเกมที่กำลังเป็นที่นิยมในไทยอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะใน PC หรือมือถือก็มีคนเล่นอยู่จำนวนมาก และล่าสุดก็ถือเป็นข่าวดีที่เราจะมี PUBG Project Thai ออกมาให้ได้เล่นกัน แม้จะมีแฟนเกมเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นการฉุดไม่ให้ PUBG มียอดผู้เล่นสูงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ก็คือ การที่เกมมีไฟล์ขนาดค่อนข้างใหญ่ (ประมาณ 30 GB) ใช้แรมที่ค่อนข้างสูง (ขั้นต่ำ 8 GB) แถมยังต้องมีการ์ดจอที่แรงถึงจะสามารถพอเล่นเกมได้ การ์ดจอของผู้เขียนคือ GTX 1050 ยังต้องปรับภาพเป็น Very Low เพราะเกรงใจคอมที่บ้าน ด้านผู้พัฒนาและเผยแพร่เกมอย่าง PUBG Corp. เลยจัดโครงการพิเศษ เอาใจแฟนๆ ชาวไทยด้วยการเปิดตัว PUBG เวอร์ชันใหม่ที่ชื่อว่า PUBG Project Thai ลดสเปคทำให้เปลืองทรัพยากรน้อยลง เปิดโอกาสให้คนที่มีคอมและอยากเล่น PUBG บน PC ได้ร่วมเอาชีวิตรอด โดดร่ม เก็บปืน และกินไก่ได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญคือจัดที่ประเทศไทยเป็นที่แรกและประเทศเดียว แถมยังไม่ต้องเข้าผ่าน Steam ด้วย แม้เกมยังไม่ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ ยังเป็นเวอร์ชัน CBT ให้ลองเล่นเท่านั้น แต่ GameFever คิดว่าเกมมีความน่าสนใจ และยังมีโอกาสได้ลองเล่นช่วงทดลองกับเขาด้วย เราเลยอยากแชร์ข้อมูลและความคิดเห็นให้เพื่อนๆ ทราบกันว่า PUBG Project Thai จะรอดหรือจะร่วง เหมาะกับแฟนเกมแบบไหน และแตกต่างจากเวอร์ชันที่เคยมีมาก่อนหน้าอย่างไร   คอมไม่แรงก็เล่นได้แบบสบายๆ ความต้องการของระบบ "ขั้นต่ำ" ความต้องการของระบบที่ "แนะนำ" PUBG Project Thai ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i3 2.4GHz หน่วยความจำ: แรม 4 GB กราฟิก: Intel HD Graphics 4000 หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 4 GB PUBG (Steam) ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5-4430 หน่วยความจำ: แรม 8 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 960 2GB หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 30 GB PUBG Project Thai ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5 2.8GHz หน่วยความจำ: แรม 8 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 660 หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 4 GB PUBG (Steam) ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5-6600K หน่วยความจำ: แรม 16 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 1060 3GB หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 30 GB   ตอนแรกที่เห็นสเปคของ PUBG Project Thai ก็ต้องยอมรับว่าอึ้งอยู่เหมือนกัน เพราะจากประสบการณ์การเล่น PUBG เวอร์ชัน Steam ที่คิดว่า PC ของตัวเองก็พอไปวัดไปวาได้ ยังแทบเข่าทรุดเมื่อต้องเจอกับสภาพความเป็นจริงที่บ้านเป็นดินน้ำมัน เก็บปืนไม่ขึ้น หรือบางทีก็โดดร่มไม่ทันเพื่อนเสียด้วยซ้ำ ด้วยสเปคแนะนำขึ้นต่ำของ PUBG Project Thai ที่แรมใช้แค่ 4 GB สามารถเล่นการ์ดจอแบบ On board ได้ แถมเกมยังกินพื้นที่แค่ 4 GB จาก 30 GB ก็ต้องถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่ไม่เลว และทำให้อยากลองเล่นเกมเวอร์ชันนี้ขึ้นมาจริงๆ   https://www.youtube.com/watch?v=bOwCBDJtaaM&feature=youtu.be กราฟิกและภาพ  พอได้ลองเข้าเกมก็สังเกตได้ว่า PUBG Project Thai มีข้อแตกต่างจากเวอร์ชันตัวเต็มหลายอย่าง สิ่งที่เห็นได้ง่ายที่สุดตั้งแต่เข้าไปรอใน Lobby ก็คือภาพที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งหน้าตาตัวละครที่ก็เป็นตัวเดียวกันยังดูแตกต่าง ให้ว่ากันตามจริง ภาพของเวอร์ชันพิเศษสำหรับประเทศไทยนี้ออกแนวเหมือนภาพใน PUBG MOBILE เสียมากกว่า แม้จะปรับภาพให้เป็นระดับ Ultra แต่ส่วนตัวก็ยังคิดว่าภาพระดับต่ำในเกมตัวเต็มยังสวยกว่าอยู่ดี ทั้งในแง่ของรายละเอียด สีของภาพ แสง และเงา ทว่าก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าสาเหตุที่ภาพของ PUBG Project Thai เป็นแบบนี้เพราะต้องการลดการใช้ทรัพยากรของเครื่อง เลยทอนลักษณะพื้นผิวและรายละเอียดของแผนที่ออกไปจนแทบจะดูเกลี้ยงๆ โล่งๆ นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงสภาพภายในของห้อง บ้าน หรือตึก ตัดเฟอร์นิเจอร์ออกไปอีกเยอะ แต่ทั้งนี้ภาพก็ยังสวยกว่าเกมเวอร์ชันมือถือ สำหรับใครที่ใช้โปรแกรมอย่าง BlueStacks ที่ช่วยให้เล่นเกมมือถือใน PC ก็น่าจะรู้สึกชอบภาพของเวอร์ชันนี้อยู่ไม่น้อย เกมเพลย์ ด้านระบบการเล่นก็เป็นสเต็ปแบบเดิมตามสไตล์เกมแนว Battle Royale แบบ PUBG ที่ต้องเล็งหาเมืองที่อยากไปฟาร์ม มาร์กจุด กระโดดร่ม บังคับพาราชูต แล้ววิ่งลงไปเสี่ยงดวงเลือกบ้าน ภาวนาขอให้มีปืนหรืออาวุธให้เก็บ ที่แตกต่างจากเวอร์ชัน Steam คือตั้งแต่การมาร์กตำแหน่งว่าเราจะลงตรงไหน ตัวเกมเวอร์ชัน Project Thai ก็ได้คำนวณระยะทางเอาไว้ให้เราเสร็จสรรพ แถมยังขึ้นจุดเส้นปะบอกทิศทางให้อีก แม้แต่ระยะห่างของเรากับเพื่อนร่วมทีมก็ยังมีบอก สำหรับคนที่ดวงกุดเหมือนผู้เขียนก็ไม่ต้องกังวลใจว่าจะวิ่งเข้าบ้านแล้วจะออกมาตัวเปล่า บอกเลยว่าเกมเวอร์ชันนี้มีอัตราการดรอปอาวุธที่สูงกว่าเวอร์ชันตัวเต็ม เจอปืนได้ไม่ยาก แถมยังสามารถหยิบปืนได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการหยิบปืนไม่ขึ้นจนโดนยิงให้เจ็บใจอีกต่อไป สามารถกด F ได้รัวๆ เรียกได้ว่าถ้าลงพร้อมกันแล้วใครไปถึงปืนก่อนก็มีสิทธิ์เก็บคิลไปได้ไม่ยาก และอาจจะด้วยเพราะเหตุนี้ทำให้เกมดำเนินไปได้เร็วกว่าเวอร์ชันใน Steam ค่อนข้างมาก ผ่านไปไม่กี่นาที จำนวนผู้รอดชีวิตก็ลดลงอย่างฮวบฮาบแล้ว นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบช่วยเล่น อย่าง เกมจะแต่งปืนให้เราอัตโนมัติหากเราฟาร์มของแล้วเจออุปกรณ์เสริม หรือหน้า TAB รวมของในตัวที่มีบอกอีกว่า ของอะไรที่เราเก็บมาแล้วไร้ประโยชน์ ไม่สามารถใส่ปืนอะไรได้เลย โดยที่รูปของอุปกรณ์ชนิดนั้นๆ จะมีเครื่องหมายสีแดงกำกับอยู่ข้างบนมุมซ้าย สำหรับใครที่ไม่ได้เกิดมายิงปืนแม่นเหมือนจับวาง PUBG Project Thai อาจเป็นเกมที่ช่วยปลอบใจได้เล็กน้อย เพราะถ้าเทียบกับเกมเวอร์ชันเต็มแล้ว เวอร์ชันนี้ยิงโดนเป้าหมายได้ง่ายกว่า ทั้งนี้เพราะปืนดีดไม่แรงเท่ากับเวอร์ชัน Steam แถมกระสุนก็ยังย้อยน้อยกว่าอีกด้วย ส่วนตัวแล้วคิดว่าเวอร์ชันนี้ถูกปรับมาให้อยู่กึ่งกลางระหว่าง PUBG Mobile กับ PUBG (Steam) หากคนที่เคยเล่นในมือถือมาอาจจะต้องปรับตัวกันหน่อย แต่ไม่ได้ยากเกินความสามารถของแฟนเกมแน่นอน แม้จะมีการควบคุมที่เหมือนกับเวอร์ชันเต็มทุกอย่าง ทว่าพอเข้ามาในเกม คนที่เคยเล่นเวอร์ชันเต็มอาจรู้สึกว่าการควบคุมทิศทางของการโดดร่ม การวิ่ง หรือหันกล้องอาจแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการเล่นขนาดนั้น แค่อาจจะใช้เวลาหน่อยในการปรับตัวให้ชิน ที่รู้สึกว่าส่งผลจริงๆ คือการบังคับร่มชูชีพ ต้องระวังในเรื่องการกะระยะ เพราะร่มไม่ได้เคลื่อนที่ได้ไกลเหมือนกับเกมเวอร์ชันเต็ม นอกจากนี้การบังคับทิศทางก็ยังเหมือนจะเปลี่ยนไป อาจทำให้คลาดจุดที่ตั้งใจจะลงไว้ แล้วทำให้เก็บปืนช้ากว่าคนอื่น จนโดนคิลได้เหมือนกัน   ระบบเสียง ปัญหาอย่างใหญ่หลวงสำหรับ PUBG Project Thai คือระบบเสียงที่ไม่สมจริงแบบสุดๆ เพราะเสียงที่ใช้เป็นระบบเสียงแบบเดียวกับ PUBG Mobile เสียงฝีเท้าในเกมของคู่ต่อสู้ดังมากจนทำให้สับสน แยกแทบไม่ออกว่าศัตรูมาจากทิศทางไหน อยู่ใกล้หรือไกลมากเท่าไหร่ เข้าใจได้ว่าการที่เวอร์ชันมือถือใช้ระบบแบบนี้เพราะหน้าจอเล็ก อาจเป็นการยากเกินไปถ้าเสียงมีหลายมิติและสมจริงเหมือนเวอร์ชัน Steam เพราะจะทำให้หาศัตรูแทบไม่เจอจนคิลใครไม่ได้ แถมการเล่นในมือถือก็มักจะไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ที่มีความเงียบและสงบพอให้สามารถเงี่ยหูฟังจับทิศทางศัตรูได้ ทว่าพอมาเป็นการเล่นบนหน้าจอ PC ที่ผู้เล่นมีเวลาเล่นอย่างจริงจัง มีพื้นที่เป็นของตัวเองพอให้นั่งเล่นแบบมีสมาธิได้แล้ว การใช้ระบบเสียงแบบในมือถือก็ไม่เหมาะสมในทุกมิติ เพราะสำหรับเกมแนว Battle Royale เสียง เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำคัญจนถึงขั้นที่ผู้เล่นระดับโปรเพลเยอร์ต้องใช้หูฟังระบบเสียง 7.1 เพื่อให้จับทิศทางได้อย่างละเอียดมากขึ้น ส่วนผู้เล่นระดับทั่วไปก็แทบไม่มีใครเล่นโดยไม่ใส่หูฟังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการที่เราได้ยินเสียงมันทำให้เราหาตัวศัตรูได้ ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะบุก ไม่บุก ศัตรูอยู่ใกล้หรือไกล โดนยิงมาจากทางไหน หรือว่าเรากำลังจะโดนชาร์จจนถึงแก่ความตายหรือเปล่า ทั้งนี้การใช้ระบบเสียงที่ขาดมิติแบบนี้ถือเป็นการฆ่าเกมทางอ้อมเลยก็ว่าได้   ตกลงว่า PUBG Project Thai น่าเล่นหรือไม่น่าเล่น? สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยเล่น PUBG หรือเคยเล่น PUBG Mobile มาก่อน ก็น่าประทับใจกับ PUBG Project Thai นี้ได้ไม่ยาก เพราะทาง PUBG Corp. ก็ทำเกมออกมาได้ตรงตามจุดประสงค์ที่อยากให้แฟนเกมเข้าถึงเกมกันได้ง่ายขึ้น ภาพสวยพอสมควร เลือกปรับกราฟิกได้หลายระดับ เก็บปืนเร็ว เกมมีความสมจริงมากขึ้นกว่าเวอร์ชันมือถือ ทั้งแรงดีดและความย้อยของกระสุน ถือว่าได้ประสบการณ์และอารมณ์ร่วมมากขึ้นก็คงจะไม่ผิดนัก ที่สำคัญดีไม่ดี พอตัวเกมถูกปล่อยออกมาจริงๆ ก็แทบจะไม่ต้องรอห้อง Match Making นานเลยก็เป็นได้ เพราะ PUBG Project Thai น่าจะมีคนเล่นเยอะแน่นอน ทว่าหากใครที่เคยเล่น PUBG (Steam) มาก่อนแล้ว PUBG Project Thai จะไม่ถูกใจแฟนเกมขาเก่าที่เคยเล่นตัวเกมเวอร์ชันเต็มมาแล้วอย่างแน่นอน จริงอยู่ที่เกมลื่นกว่าสำหรับคนที่คอมมีสเปคไม่ได้แรงมาก แต่เพื่อนๆ จะรู้สึกขัดใจกับระบบของเกมจนรู้สึกไม่คุ้มค่ากัน ต่อให้เล่นได้แค่ภาพกราฟิกระดับ Very Low อย่างผู้เขียนก็ยังรู้สึกเลยว่าไม่อยากแลก ทั้งนี้ก็เพราะ PUBG Project Thai ขาดความสมจริงที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมไป ทั้งภาพที่ทำออกมาได้ครึ่งๆ กลางๆ เสียงที่ไร้มิติ หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่าง ท่าทางการเก็บอาวุธที่จะทำให้เราหยิบปืนขึ้นไม่ได้ทันทีเพราะต้องก้มเก็บ เรียกได้ว่าไม่ค่อยเหลือความรู้สึกลุ้นระทึกที่เสมือนว่าเป็นตัวเราเองจริงๆ ที่เป็นคนกระโดดร่ม ต้องเสี่ยงดวงลุ้นเอาว่าจะโชคดีเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาที่ลงแล้วเจอปืนเลยหรือเปล่า คอยสะดุ้งทุกครั้งที่โดนชาร์จแบบไม่รู้ตัว คำนวณความย้อยของกระสุนแบบกะแล้วกะอีกกว่าจะโดนศัตรูซักตัว ความยากเหล่านี้มันล้วนทำให้เราเชื่อในตัวเกม และได้ความรู้สึกอินไปกับการเล่น ซึ่งจุดนี้ PUBG Project Thai ทำไม่ได้แบบเวอร์ชันตัวเต็ม ทั้งนี้นอกจากการลองเล่นช่วง CBT ที่ทางผู้พัฒนาได้เปิดให้แฟนเกมไปลองเล่นแล้ว เราก็แทบไม่รู้ข้อมูลอื่นๆ ต้องมารอลุ้นกันว่าพอ PUBG Project Thai เวอร์ชันจริงถูกปล่อยออกมาแล้วจะเปิดให้เล่นฟรี หรือต้องเสียตังค์ซื้อเหมือนใน Steam ที่พอจะเดาได้คือหากจะต้องซื้อจริงๆ ราคาน่าจะถูกกว่า PUBG (Steam) อยู่พอสมควร   สเปคคอมที่ใช้รีวิว ระบบปฎิบัติการ: Window 10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i7-7700HQ CPU 2.80GHz หน่วยความจำ: แรม 12 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 1050  
10 Oct 2018
พรีวิว Jump Force จากงาน Tokyo Game Show 2018
https://www.youtube.com/watch?v=tm_-1DnNcXQ&feature=youtu.be ถ้าพูดเกมแนวต่อสู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในอนาคตก็คงไม่หนีไม่พ้น Jump Force เกมแนวต่อสู้ที่รวบรวมตัวละครจากทั้งอนิเมะและมังกะของ Weekly Shonen Jump มาลงสังเวียน ต่อสู้เพื่อหาความเป็นหนึ่ง โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนา Spike Chunsoft และผู้จัดจำหน่ายเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น Bandai Namco ทาง Game Fever ก็ได้เล่น Demo Jump Force ในงานTokyo Game Show 2018 มาเหมือนกัน เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ต้องเกริ่นก่อนว่าเกมนี้มีรูปแบบเกมเป็นการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 3 ซึ่งล่าสุดตัวเกมมีตัวละครให้เลือกกว่า 20 ตัว มาจาก 7 ซีรีส์ด้วยกัน ได้แก่ Bleach, Dragon Ball, Hunter x Hunter, Naruto, One Piece, Yu-Gi-Oh! และ Yu Yu Hakusho (มีตัวละครจาก Death Note ด้วย ทว่าจะปรากฎตัวในโหมดเนื้อเรื่องแทน) ด้านภาพ ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะได้ลองเล่น ก็เคยดู Trailer ของ Jump Force มาแล้วหลายตัว รวมถึงไปส่อง Screen Shot มาก็หลายครั้ง พอไปเล่นเองก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทำภาพออกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งรายละเอียดหน้าตารูปลักษณ์ตัวละคร ความสวยงามของฉาก ที่เด็ดที่สุดคือเอฟเฟ็กต์การใช้ท่าของตัวละคร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังได้ดูภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องหนึ่งพร้อมกับเล่นเกมต่อสู้อยู่ ทว่าเกมก็ยังมีปัญหาด้านการให้น้ำหนักกับภาพมากเกินไป อย่างเอฟเฟ็กต์ของตัวละครบางตัวก็ใหญ่เกินไป จนบดบังมุมมอง ทำให้เล่นเกมได้ไม่ค่อยลื่นและทำให้รู้สึกรำคาญในบางครั้งอยู่เหมือนกัน ระบบการต่อสู้ แต่เกมก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนั้น แม้ภาพจะสวย แต่การต่อสู้กลับไม่ได้บู๊มันเท่าที่ควร เหมือนกับแค่กดปุ่มไปแล้วรอตัวละครระเบิดพลังออกมาใส่ศัตรูมากกว่า แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคการเล่นอะไรมากมายเหมือนกับต่อสู้แบบ Tekken ทำให้เกมถูกลดเสน่ห์ลงไปพอสมควร ถ้าให้นึกถึง Jump Force ในแง่ของการจัดแข่งขันเกมแนวต่อสู้แล้ว แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในภาพรวมแล้วเกมทำออกมาได้ในระดับโอเค หากเป็นเกมเมอร์ที่เป็นคอการ์ตูน อยากเล่นเกมไฟต์ติ้งสนุกๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เกมนี้ก็อาจเหมาะ ทว่าหากเป็นแฟนเกมที่ชอบบู๊แบบจัดหนักจัดเต็ม เน้นการเล่นแบบใช้เทคนิคแล้วก็อาจจะต้องตัดสินใจดีๆ สิ่งที่เราอาจพอคาดหวังได้ก็คือ Jump Force คล้ายกับเกม J-Stars Victory VS ของ Bandai Namco ที่ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของนิตยสาร Weekly Shonen Jump เมื่อปี 2014 แล้ว จะเรียกว่าเป็นเวอร์ชันใหม่ของ J-Stars Victory VS ที่ผ่านการปรับปรุงภาพมาแล้วก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะเป็นการรวม All Star เหมือนกัน ระบบการเล่นส่วนใหญ่เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็คล้ายกันมาก อาจคาดหวังได้ในอนาคตว่า Jump Force อาจเจริญรอยตาม J-Stars Victory VS ด้วยการนำตัวละครในเครือที่มีสเกลพลังต่างกัน หรือไม่น่ามีความสามารถในการต่อสู้ และเป็นตัวละครที่ไม่ได้มาจากอนิเมะต่อสู้ อย่าง Ryotsu คุณตำรวจป้อมยาม, Lucky Man หรือแม้กระทั่งไซคิ มางัดกับตัวละครพลังยิ่งใหญ่แบบโงกุน นารูโตะ หรือลูฟี่ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงคงทำให้เกมมีมิติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากเกมแนว Fighting อื่นๆ ของค่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีโหมด story เพิ่มเข้ามาอีกก็น่าลุ้นว่าตอนเกมออกมาจริงๆ จะสนุกสมกับที่แฟนๆ รอคอยกันหรือเปล่า ทั้งนี้ทาง Bandai Namco ยังประกาศเปิดตัว 4 ตัวละครใหม่ประจำ Jump Force ที่ดีไซน์โดยคุณ Akira Toriyama โดยตัวละครที่ชื่อ Glover และ Navigator จะเป็นฝ่ายพันธมิตร ส่วน Galena และ Kane จะอยู่ฝั่งศัตรู ทว่ายังไม่มีข้อมูลออกมาแน่ชัดว่าเราจะสามารถเล่นตัวละคร 4 ตัวนี้ได้หรือไม่ หากใครสนใจก็สามารถติดตามข่าวสารกันได้ โดย Jump Force จะจัดจำหน่ายผ่าน PS4, Xbox One และ PC ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019
21 Sep 2018
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "รีวิว"
[Review] Blue Archive สวมบทบาทอาจารย์กอบกู้โรงเรียนที่รัก
ช่วงเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่เราจะหมดสตินั้น ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กล่าวกับเราว่า เราอาจจะเป็นความหวังที่จะกอบกู้ระบบของสหพันธ์นักเรียนได้ เราคือผู้กอบกู้ที่จะทำทุกอย่างที่เคยพังทลายกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงและตื่นขึ้นมาบนตึกแห่งหนึ่ง...ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง Kivotos อันสวยงามจากกลางเมือง แต่เขนชนบทกลับดูทรุดโทรมและพังทลายจากภัยพิบัติต่างๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นในฐานะ อาจารย์ ของเราเอง ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเรื่องราวบทนำของเกมมือถือที่กำลังเป็นกระแสสุดๆ ณ ตอนนี้ และเป็นเกมที่ไต่อันดับความนิยมติด Top 10 ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันของ Store ญี่ปุ่น นั้นก็คือเกมที่ชื่อว่า Blue Archive นั้นเอง และแน่นอนว่าทางเราก็ไม่พลาดที่ต้องลองเกมนี้แล้วมารีวิวเล่าสู่กันฟังสำหรับใครที่ยังลังเลว่าเกมนี้จะสนุกเหมือนคนญ๊่ปุ่นได้กล่าวถึงมากไหม ลองมาอ่านบทความนี้ดูได้เลย ================================================== แค่เข้าหน้าเกม ก็หลงรักโดยไร้เหตุผล สิ่งแรกที่ทำให้เกม Blue Archive ประสบความสำเร็จเลยก็คือ การสร้าง Impression หรือภาษาชาวบ้านว่า สร้างบรรยากาศ "รักแรกพบ" ได้ดีมากๆ ทั้งภาพและเสียง รวมถึงช่วงก่อนที่ตัวเกมจะเปิดก็ได้มีการโปรโมตเกี่ยวกับเพลงเปิดหรือเพลง OP ของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Clear Morning ขับร้องโดยคุณ Yui Ogura ซึ่งเป็นคนพากย์เสียงตัวละคร "Shiroko" ตัวละครเอกในเกมอีกด้วย เมื่อทุกอย่างได้ถูกถ่ายทอดออกมา มันทำให้ทุกอย่างรู้สึกกล่มกล่อมอย่างบอกไม่ถูก และช่วงแรกที่มองว่า เกมแนว Character Collect, Tactical RPG, Turn-Base มีธีมเป็นสาวปืน มันทำให้คิดว่าเกมนี้ต้องมีความดาร์คประดุจจักรวาล DC แน่ๆ...แต่ตรงกันข้าม เกมนี้กลับค่อนข้างสดใสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร แต่ความใสนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องจะเบาสมอง แต่มันกลับมีความหนักแน่น เนื้อเรื่องชวนติดตามและลำดับการเล่าเรื่องที่มีทั้งความสนุก, ความกาว, ความหนักของเนื้อเรื่องที่กำลังพอดีและปริศนาชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่าถึงบรรยากาศของเมือง Kivotos ที่กลางเมืองนั้นดูสวยงามสดใส แต่พอห่างจากตัวเมืองก็ได้เห็นตึกอาคารที่เสียหาย ทำให้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าความสดใส่ที่อยู่เห็นตรงหน้า ภาพประกอบ CG ต่างๆ ถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ หนึ่งจุดเด่นหลักของเกม Blue Archive ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง CG ภาพต่างๆ ที่ทีมงาน Yostar ลงทุนลงแรงมากๆ จากครั้งแรกที่เล่นเลยคืออย่างชอบและหลงกับภาพสวยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะฉากการปรากฎตัวครั้งแรกของน้อง Alona หรือ AI สาวน้อยที่ปรากฎครั้งแรกบน Tablet ที่ส่งต่อมาจาก Rin ผู้แทนสหพันธ์นักเรียนให้กับเราไว้ใช้งาน ทำให้รู้ว่าภาพงาน CG แต่ละภาพ แทบไม่มีร่องรอยการเผา ( ลองทำงานเผาสิคนด่ายับแน่ ) และคงจะไม่พูดถึงน้อง Shiroko ก็คงไม่ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวละครเอกของ Blue Archive ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งจากนี้และอนาคต โดยปกติเกมอื่นๆ แล้วหากมีตัวเอก ส่วนใหญ่มักจะดูจืดจางไปบ้าง แต่ไม่ใช่กับ Shiroko ที่ปรากฎตัวครั้งแรกในเกมก็แทบได้รับความนิยมสูงจนมี Fanart มากมาย มันทำให้เห็นว่าทีมงานผู้พัฒนากำลังเดินมาถูกทางแล้ว เนื้อเรื่องสดใส แต่หนักแน่น เข้ากันอย่างกลมกลืน ในเนื้อเรื่องเกม Blue Archive เราจะรับบทเป็น "คนนอก" ที่ถูกรัฐบาลส่งตัวมายัง สหพันธ์นักเรียนของเมือง Kivotos ในฐานะ "อาจารย์" ซึ่งเมือง Kivotos นั้นปกครองด้วยระบอบสภานักเรียน เราจะตื่นขึ้นและพบว่าเราได้อยู่กับ Rin สาวหูเอลฟ์ซึ่งเป็นผู้รักษาการประธานสหพันธ์นักเรียนและแนะนำเมือง Kivotos ให้เราเห็นว่าสภาพบ้านเมืองที่มีทั้งด้านสวยงามและทรุดโทรม โดยเราจะถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูจากภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเมืองนี้ พร้อมทั้งช่วยกันออกตามหาประธานนักเรียนของสหพันธ์ที่หายตัวไปด้วย แต่ด้วยที่ว่าเราคือ "คนนอก" ทำให้เราต้องมีชมรมเพื่อที่จะมีอำนาจในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทำให้อาจารย์ต้องเข้ายึดอาคาร S.C.H.A.L.E ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของอาจารย์คนเก่าก่อนหายสาปสูญและถูกยึดโดยผู้ก่อการร้ายแกงค์หมวกกันน็อค ( ชื่อเท่ซะไม่มีเลย ) ซึ่งเราก็ทำการยึดมาได้และตั้งชมรม S.C.H.A.L.E ขึ้นมา โดยรินได้มอบ Tablet ให้กับเราซึ่งภายในบรรจุ A.I. สาวน้อยที่ชื่อ อโลน่า เอาไว้ซึ่งเราถูกสหพันธ์นักเรียนฝากฝังและใช้อำนาจได้เต็มที่ และจุดเริ่มต้นของอาจารย์ที่จะเป็นความหวังในการดูและรอบอบสภานักเรียนและฟื้นฟูเมือง Kivotos ก็ได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นแค่การเล่าเรื่องย่อเท่านั้นเนื้อหาอาจจะไม่ครบเท่าไหร่ ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีเยอะมาก และบอกได้เลยว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ขั้นกับดาร์คหนักๆ เหมือน Arknights, Azur Lane หรือ Girls Frontline แต่ว่ามันก็เข้ากับ Blue Archive และหลายๆ คนที่อยากจะเสพเนื้อเรื่องที่ไม่ดาร์คแต่เนื้อเรื่องเข้มๆ บ้าง ทำให้เราอินกับมันได้โดยไม่ต้องรู้สึกเครียดแต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นชวนติดตามเช่นกัน การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนคือลูกเล่นที่ดีงาม ลูกเล่นที่ดีงามสำหรับ Blue Archive คือระบบแชทกับนักเรียน ซึ่งจริงๆ มันคือการเล่าเรื่อง Story ของนักเรียนแต่ละคนผ่านทางการแชทมือถือ มันทำให้รู้สึกเป็นอะไรที่ใหม่และสมเหตุสมผลมากๆ สำหรับเด็กวันรุ่นสมัยนี้มีอะไรก็แชทส่งกัน โดยนักเรียนแต่ละคนจะแชทมาหาเราก็ขึ้นอยู่กับการสร้างค่าความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์แต่ละระดับนอกจากจะทำให้นักเรียนสนิทสนมกับเรา แชทเข้าหาเราให้อบอุ่นหัวใจ ก็ยังจะมอบเพชรและค่า Status พิเศษที่จะเสริมพลังตอนต่อสู้อีกด้วย และที่สำคัญคือ หากเราปลดล็อคค่าความสัมพันธ์จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นการปลดล็อคภาค CG แบบ Live 2D ของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย โดยในภาพ Live 2D นั้นจะมีการเล่าเรื่องของนักเรียนแฝงอยู่ ยกตัวอย่างกรณีของ "Takahashi Hoshino" นักเรียนชั้นปีสามของโรงเรียน Abydos ที่ทางนี้ได้ปั่นค่าความสัมพันธ์จนปลด Live 2D ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก็แค่การที่ผู้เล่นพาเธอมาเดทไปเที่ยวอคาเรียม แต่ประโยคคำพูดของเธอเชิงตัดเพ้อทำให้รู้ว่า เธอเป็นหนึ่งในห้าคนของโรงเรียน Abydos ที่ยังเหลืออยู่และต้องแบกรับอะไรหนักหนามากกว่าเด็กอายุ 17 จะรับได้ แต่เธอก็ไม่อาจละทิ้งในฐานะผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียนนี้เช่นกัน ( และมันทำให้คนเขียนหลงรักโฮชิโนะจนหมดหัวใจเช่นกัน ฮ่าๆ ) ระบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Blue Archive ระบบการต่อสู้ต่างๆ นั้น ไม่ว่างจะเป็นการต่อสู้ผ่านเนื้อเรื่อง, PvP หรือแม้กระทั่ง Raid Boss ก็ตาม ระบบการต่อสู้จะเหมือนๆ กันนั้นก็คือ เราจะเลือกนักเรียนลงสนามต่อสู้ได้ทั้งหมด 6 คนต่อหนึ่งทีม โดยแบ่งเป็น Striker หรือชุดจู่โจม 4 คน จะทำหน้าที่วิ่งเข้าต่อสู้และกวาดล้างศัตรูเป็นหลัก และ Special หรือทีมสนับสนุน 2 คน จะเน้นการสร้าง Buff ต่างๆ, สร้างเกราะ, Heal เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งช่วยการโจมตีได้ แต่จะอยู่แนวหลังไม่ได้ลงภาคสนามเหมือนชุดจู่โจม และนักเรียนทุกคนจะมีสกิลและค่าการใช้ Cost มากน้อยต่างกัน และเมื่อกดใช้ จะมีการเข้าคัตซีนการใช้ท่าเล็กน้อยให้ชม ซึ่งโยชิโนะนั้นท่าการใช้สกิลเท่บาดใจมากๆ เพราะเธอกางโล่แล้วเอาปืนลูกซองตั้งพาดไว้แล้วเดินทำลายแนวหน้าศัตรู ( เหมือนสกิลตั้งโล่อาวุธในเกม Division 2 เลย ) ที่สำคัญเลยเลยคือ ฉากภายในเกมมีความสำคัญมากๆ ที่กำบังและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างสามารถถูกเราและศัตรูทำลายได้ ( คงได้แรงบัลดาลใจมาจากซีรี่ส์ Battlefield มาแน่ๆ ) ซึ่งดูเหมือนจะดีนะ แต่ใครที่มีมือถือสเปคไม่สูงก็อาจจะเจอปัญหากระตุกบ้าง อาจจะต้องปรับตั้งค่าลดกราฟิคลงเสียหน่อย และระบบการเล่นจะดูไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทุกอย่างเป็นอนิเมชั่น 3D แบบ Chibi ดูไม่น่าเบื่อ แต่เราก็ไม่สามารถบังคับตัวละครให้หลบเข้าที่กำบังตามใจต้องการไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แย่แท้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก และอีกข้อที่ทำให้ระบบการเล่นนั้นดูน่าสนใจคือ นักเรียนทุกคนมีความสามารถทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัว 1 ดาว หรือ 3 ดาวก็ตาม เพราะทุกตัวนั้นจะมีความชำนาญพื้นที่และประเภทการโจมตีไม่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวละครหนึ่งดาวชำนาญการสู้รบตัวเมืองและโจมตีเป็นประเภทสายสีแดง และเล่นอยู่บนพื้นที่ในตัวเมือง ก็ทำให้เธอโจมตีได้รุนแรงกว่าตัวนักเรียน 3 ดาวที่ไม่ได้ชำนาญการสู้รบในเมือง ทำให้อาจารย์ตั้งปั้นเหล่านักเรียนให้หลากหลาย ไม่มีปั้นตัวอวยเพื่อแบกทีมทั้งเกมอย่างแน่นอน ซึ่งมันดีที่ว่าทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่น แต่อาจจะไม่ดีสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าลำบากยุ่งยากเกินไป ================================================== โดยสรุปแล้ว Blue Archive นั้นเล่นสนุกและเนื้อเรื่องครบรส กราฟิคสวยงาม แม้ตอนต่อสู้จะเป็นแบบร่าง Chibi แต่ก็เป็น Chibi แบบสามมิติ ทำให้เราไม่อยากจะ Skip การต่อสู้ของเหล่านักเรียนเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่จุดข้อสังเกตุก็มีให้เห็นบ้างเช่นบัคประปรายหรือบัคตลกๆ ก็โผล่ให้เห็นบ้าง แม้จะไม่มีผลต่อตัวเกม แต่มันก็เป็นอะไรที่ไม่ดีนักซึ่งก็คาดหวังว่าจะแก้ให้เร็ววัน อีกทั้งตัวเกมกินสเปคค่อนข้างสูง หากใครมือถือไม่แรงก็แนะนำปรับกราฟฟิคระดับกลางๆ ต่ำๆ ก็เล่นสนุกได้เช่นกัน แต่ทางผู้เขียนเองใช้ Poco X3 ปรับสุด 60FPS ได้แต่เครื่องก็ร้อนเอาเรื่องหากไม่ใส่เคส...หากใครอยากลองเกมแนววางแผนที่มีเนื้อเรื่องครบเครื่องแต่ไม่เน้นเครียดหรือดาร์ค เกม Blue Archive เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องลองให้ได้สักครั้งเลยล่ะ! และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า "ลุงโฮชิโนะน่ารักที่สุดในสามโลก" [penci_review id="79269"]
22 Feb 2021
[Unbox & Review] Digivice 2020 เปิดจักรวาลใหม่ อุปกรณ์ของเด็กที่ถูกเลือก
เครื่องเล่นพกพาแบบ Pixel ในตัวก็มีทำอยู่แค่สองซีรี่ส์หลักๆ ที่รู้จักกันคือ Tamagotchi และ Digimon ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องเล่นประเภท Vitual Pet หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า V-Pet มันยังคงได้รับความนิยมที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มในสมัยก่อน เพราะยังไงซะมันก็อาจจะสู้เครื่องเล่นพกพายุคใหม่ๆ ที่เป็นจอสีหรือมือถือที่มีเกมมากมายให้เล่น แต่ทว่าทางบริษัท Bandai ผู้พัฒนาของเล่นและสร้างซีรื่ย์ Digimon ได้ดำเนินรุกการตลาดให้เข้าถึงเด็กรุ่นใหม่และรุ่นเดอะอย่างคนเขียนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเครื่องเล่นที่ผสมผสานแสงสีเสียงที่เรียกว่า Digivice รุ่นปี 2020 พร้อมกับทำอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 ควบคู่กัน ทำให้กระแสคนรักดิจิมอนกลับมาอย่างคึกคักและดึงดูดผู้สนใจดิจิมอนหน้าใหม่มาเพียบ และในอนาคต ก็จะมี V-pet รุ่นใหม่อย่าง Pendulum Z และ Vital Bracelet ที่จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Smart band แบบจอสีและการเลี้ยง Digimon เข้าด้วยกัน และบทความนี้เราไม่ได้มารีวิวเกม แต่มารีวิวตอบรับกระแสด้วยการ Unboxing และรีวิวเครื่องเล่นเกม Digivice รุ่น 2020 ให้คุณผู้ชมได้รับชมกันว่า เครื่องเล่นพกพานี้มันมีความน่าเล่นในยุคปัจจุบันมากขนาดไหนกัน ================================================== เริ่มแกะกล่องและทำความรู้จักกับ Digivice เสียก่อน ซึ่งขออธิบายในส่วนนี้ก่อนว่าเครื่องเล่นพกพาซีรี่ย์ Digimon จะมีสองประเภทนั้นก็คือ V-Pet ซึ่งเน้นพักไข่, เลี้ยงดูและเอาไปต่อสู้ ซึ่งรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบเควสต์หรือโคลอสเซี่ยมให้ต่อสู้เพื่อเอาชนะ, เก็บ Level และปลดล็อคเงื่อนไขลับภายในเครื่อง ส่วนอีกประเภทจะเรียกว่า Digivice ซึ่งดีไซน์จะมาจาก Digivice ภายในอนิเมะชั่น Digimon ภาคนั้นๆ โดยจะมีลูกเล่นที่เน้นการผจญภัยตามเนื้อเรื่องอนิเมะ และ Easter Egg ให้ไขความลับภายในเครื่อง ไม่เน้นการเลี้ยงดูและไม่มีวันหมดอายุขัยหรือตายแบบ V-Pet และส่วนที่รีวิวอันนี้คือ Digivice รุ่นปี 2020 ที่มีลูกเล่นเน้นการผจญภัยตะลุยด่านตามเนื้อเรื่องของอนิเมะ Digimon Adventure ภาค Reboot 2020 อันนี้คือตัว Package ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นมาเลย แบบห่อกระดาษไขป้องกันรอยและสิ่งสกปรก ซึ่งพอแกะกระดาษสาออกไปก็จะเป็นกล่องสีขาวกันกระแทกอีกที ไม่ใช่ตัวกล่องของ Digivice จริงๆ หรือพูดง่ายๆ นี่แค่เป็นกล่องชั้นนอกสำหรับกันกระแทกเท่านั้น แต่พอแกะกระดาษสาและเปิด Package ชั้นนอกเท่านั้นแหละถึงกับอุทานว่า "ลุง Bandai จะห่อเยอะไปไหน" เพราะคุณจะได้เห็นตัวกล่องใส่ Digivice รุ่น 2020 จริงๆ ที่มีกระดาษสาห่ออีกชั้นข้างใน นับถือตัวลุงแกเลยว่าใส่ใจเรื่องการป้องกันการเป็นรอยระหว่างขนส่งจริงๆ พอแกะกระดาษสารอบที่สองออก คุณก็จะได้พบกับความ Premium ของตัว Package อย่างแท้จริง ลายบนกล่องเป็นเจ้าตัว Agumon ซึ่งเป็นมาสคอตของซีรี่ย์ Digimon ไม่ว่าจะภาคอนิเมะหรือในเกมก็ตาม ถอดมาก็เป็นตัวอักษรสีเงินสะท้อนแสงเขียนว่า "DIGIMON ADVENTURE" ดูเรียบหรูสุดๆ ส่วนข้างล่างก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "DIGIVICE" ภายในกล่องที่เห็นก็มีตัว Digivice ที่เป็นสีขาว ดูเหมือนไม่มีปุ่มอะไรให้กดเลย และฝ่าหลังที่โชว์ให้เห็น ดูจากสายตาแล้วมันมีขนาดใหญ่น่าจะทำออกมาในอัตราส่วน 1 : 1 แน่ๆ ใหญ๋กว่า Digivce รุ่น D-2 เสียอีก ด้านตัวกล่องทั้งสองข้างก็เขียนคำว่า "DIGIMON ADVENTURE" และคำว่า "DIGIVICE" เป็นสีเงินสะท้อนแสงสวยงาม และใต้ฝากล่องก็พบกับ Easter Egg อย่างแรกของตัว Package เลยนั้นก็คือ ภาพเหล่า Digimon คู่หูของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนเป็นลวดลาย Pixel สีขาว ทำให้เรานึกถึงวัยเด็กที่ได้เล่น Digivice รุ่น D-2 เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ก่อนจะดูตัวเครื่อง Digivice เราก็ขอยกตัวพลาสติคกันกระแทกของตัวเครื่องออกเสียก่อน ใต้กล่องก็จะพบกับคู่มือการเปิดเครื่องเบื้องตน ซึ่งคราวนี้มาแปลกเพราะว่ามันเป็นคู่มือแบบย่อเท่านั้น ให้รู้ว่าตัวเครื่องใส่ถ่าน AAA จำนวนสามก้อน และสัญญาณแบตเตอร์รี่อ่อนว่าเป็นอย่างไร และควรเปลี่ยนตอนไหน ส่วนคู่มือวืธีเล่นตัวเต็มต้องใชมือถือ Scan QR Code อีกทีหนึ่ง ซึ่งเอาจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปดูก็ได้ ใช้วิธีงมโข่งเล่นเอาหลังเปิดเครื่องไปเลย ด้านข้างของใต้กล่องก็มี Easter Egg อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือ ตราสัญลักษณ์ประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคน เห็นแล้วทำให้เราคิดถึงอนิเมะชั่นภาคแรกที่เคยดูมากันเลย คราวนี้ก็ถือคอร์สหลักสักทีก็คือ ตัวเครื่องนั้นเอง หลักๆ จะมีสองส่วนด้วยกันคือ ตัวเครื่อง Digivice สีขาว มีรอบวงแหวนสีน้ำเงิน เขียนอักษรภาษา Digital World สีทองบนตัววงสีน้ำเงิน พร้อมจอแบบ Pixel ที่คุ้นเคยและฝ่าหลังปิดถ่านโดยใช้น็อตหัวสี่แฉกเป็นตัวยึด ส่วนแบตเตอร์รี่ที่ใช้ จะใช้ถ่านขนาด AAA ทั้งหมดสามก้อน หลังจากใส่ครั้งแรกให้กดปุ่ม Reset อยู่ตรงรูเล็กๆ เยื้องทางขวาของหลังเครื่อง ที่ต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มเข้าไปรูตรงนั้น ลองได้สัมผัสตัวเครื่องครั้งแรกก็เป็นอย่างที่คิด ตัว Digivice ใหญ่เต็มไม้เต็มมือมากเหมือนขนาด 1 : 1 จากในอนิเมะเลย และพอลองได้เปิดเครื่อง ก็มีไฟ LED แปดสี ซึ่งเป็นสีประจำตัวของเด็กที่ถูกเลือกทั้งแปดคนสว่างรอบตัวเครื่องพร้อมตรา BANDAI เด่นขึ้นมากลางจอ Pixel ส่วนปุ่มกดนั้นดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วมีปุ่มให้กดสี่ปุ่ม ด้านซ้ายและขวามีอย่างละสองปุ่ม ตำแหน่งแถวเยื้องข้างบนและข้างล่าง ทั้งสองข้าง โดยเมื่อเรากดปุ่มใดก็ได้ เริ่มต้นจะมี Digimon ให้เลือกเล่นสองตัวระหว่าง Agumon และ Gabumon ซึ่งไม่ว่าเลือกตัวไหนก่อน เราก็จะได้เล่นทั้งสองตัวตั้งแต่แรก ไม่มีผลต่อการเล่นช่วงต้นเกมแต่อย่างใด คำสั่งปุ่มทั่วไปและเมนูต่างๆ Digivice รุ่น 2020 นี้อย่างที่บอกข้างต้นว่าดูเหมือนจะไม่มีปุ่ม แต่จริงๆ แล้วปุ่มกดจะมีทั้งหมดสี่ตำแหน่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ ซึ่งปุ่มสัมผัมเป็นพลาสติคแข็งๆ และเมื่อกดลงไปมันมีเสียงคลิ๊กเด้งมือมากๆ ราวกับกดปุ่ม Machanical Keyboard แบบจังหวะเดียว ให้ความรู้สึกแตกต่างจากปุ่มยางที่เคยใช้ใน Digivice หรือ V-Pet รุ่นอื่นๆ โดยคำสั่งปุ่มต่างๆ มีฟังก์ชั่นการใช้งานดังนี้ ปุ่มที่ 1: ปุ่มเลื่อนขึ้นบนคำสั่งทั่วไปและย้อนหลังในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 2: ปุ่มเลื่อนลงบนคำสั่งทั่วไปและหน้าถัดไปในเมนูบางอย่าง ปุ่มที่ 3: เป็นปุ่มสำหรับกดตกลงและเข้าหน้าเมนู ( จริงๆ ปุ่ม 1 2 และ 3 สามารถกดเข้าเมนูได้หมดบนหน้าหลัก ) ปุ่มที่ 4: เป็นปุ่มสำหรับยกเลิกเมนูและกดดู Emotion เล็กๆ ของ Digimon ทั้งสองตัวเมื่ออยู่หน้าหลักแบบสุ่มอารมณ์ เมื่อเข้าหน้าเมนู เมนูแรกที่จะเจอนั้นก็คือเมนู Status ซึ่งเป็นเมนูที่สามารถเข้าไปเช็คสถานะข้อมูลของ Digimon คู่หูของเราว่าเป็น Digimon ประเภทอะไร ลักษณะของสายเป็นแบบไหน ซึ่งปกติมีสามสายคือ Data, Virus และ Vaccine ซึ่งมีการแพ้ทางกันและกัน รวมไปถึงเช็คสถานะจำนวนที่ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ว่าชนะไปกี่ครั้ง ไปถึงระดับไหนแล้วซึ่งมีผลต่อการปลดระดับพัฒนาร่างในเมนู Quest ด้วย ถัดมาเป็นเมนู Quest ซึ่งมันคือโหมดตะลุยด่านอ้างอิงจากอนิเมะเรื่อง Digimon Adventure: Reboot 2020 เลย โดยจะมีด่านให้เล่นทั้งหมด 11 Stage และมี Stage ลับขอปลดล็อคอยู่อีก เมื่อเข้าไปในแต่ละ Stage จะมีด่านย่อยๆ ให้เล่นสิบด่านซึ่งด่านย่อนที่สิบจะเป็น Boss ประจำ Stage นั้นๆ หากเอาชนะได้ก็จะสามารถไป Stage ต่อไปได้นั้นเอง ส่วนวิธีการต่อสู้นั้น จะใช้วิธีการต่อสู้แบบ Roulette หรือหมุนวงล้อให้เกจพลังขึ้นสูงที่สุด ซึ่งหากทำได้ก็มีโอกาสชนะศัตรูได้มาก และมีโอกาสได้เจอ Cutscene ที่ Digimon คู่หูจะใช้ท่า Burst โจมตีศัตรูตายภายในครั้งเดียวและต้องกดปุ่มที่ 3 รัวๆ ให้เกจเต็มก่อนหมดเวลา ส่วนรายละเอียดการเล่นนั้น หากมีโอกาสได้ทำ Guide จะได้พูดถึงระบบนี้แบบละเอียดอย่างแน่นอน เมนูสุดท้ายของเครื่องนั้นก็คือ Setting ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากให้เราสามารถเลือกปิดหรือเปิดลูกเล่นไฟ LED และเสียงของตัวเครื่องสามารถปรับให้ปิดหรือเปิดได้เช่นกัน เหมาะกับกรณีไม่ชอบไฟที่แสบตาเกินไปหรือเสียงดังจนรบกวนคนอื่น Feature ต่างๆ ที่เป็นหัวใจของเครื่องนี้ Digivice รุ่น 2020 นี้ได้ตัดระบบการเขย่านับก้าวเดินที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของ Digivice ออกไป ซึ่งฟังแล้วน่าเสียดายมากๆ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยระบบเมนู Quest ที่มีด่านให้เล่นเยอะมากๆ ฉะนั้นเมื่อเราปล่อยจอเข้าสู่หน้าหลัก Digimon คู่หูของเราจะทำการขยับและเดินเล่นไปมาแบบนั้นพร้อมแสดงท่าทางดีใจให้เราเห็นด้วย เมื่อเรากดปุ่มที่ 4 หรือปุ่มยกเลิกเมื่ออยู่หน้าจอหลัก จะเป็นการแสดง Animation เล็กๆ ระหว่าง Digimon คู่หูทั้งสองตัวแบบสุ่ม จะเป็นทั้งดีใจด้วยกัน โกรธกัน หรือหลับด้วยกันซึ่งไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากให้เรากดดูเพลินๆ และ Digivice รุ่น 2020 นี้ไม่มีปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง ดังนั้นจึงใช้ระบบปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่ได้เล่นช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยสังเกตจากการปล่อยเครื่องสักพัก Digimon คู่หูเราจะนอนหลับ และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องจะปิดหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอร์รี่ และนี่คือทีเด็ดของ Digivice รุ่นนี้เลยก็คือ เมื่อเราทำการวิวัฒนาการตอนต่อสู้ จะมีไฟ LED สว่างขึ้นมาโดยการพัฒนาแต่ละร่างจะมีการไล่ไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และ Digimon คู่หูแต่ละตัวเมื่อพัฒนาร่างก็จะมีสีไฟที่ไม่เหมือนกันอีก โดยสีไฟจะแสดงเป็นสีต่างๆ ตามสีประจำตัวของ Digimon คู่หูตัวนั้นๆ ที่สำคัญเลยก็คือ หากพัฒนาร่างสุดยอดด้วยการ Jogress ระหว่าง WarGreymon และ MetalGarurumon จะเป็นไฟ LED วิ่งวนสองสีที่ดูสวยงามสุดๆ แต่แอบใช้เวลาแปลงร่างนานไปหน่อยนะ ยังไงก็ตามแลกกับความสวยงามของไฟถือว่ายินดีเลย หากไม่รู้สึกแสบตาไปเสียก่อนเพราะไฟมันสว่างมาก และอีก Feature หนึ่งที่เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเลยก็คือ ระบบ Emergency Enemy หรือระบบสุ่มเจอศัตรู โดยมีโอกาสสุ่มเจอเมื่อเราเอาชนะ Boss ประจำ Stage นั้นๆ ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ตื่นเต้นมากๆ และจะได้เจอศัตรูที่เราเห็นแล้วจะต้องร้องพระเจ้าซึ่งหากชนะศัตรูพวกนี้ เราจะได้พวกเขามาเป็นพวก แต่หากแพ้ก็ต้องรอสุ่มกันต่อไป ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับคนที่อยู่ๆ มาเจออะไรแบบนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาจจะทำให้หงุดหงิดได้เช่นกัน ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการ Unboxing และ Review ของเครื่องเล่น Digivice รุ่น 2020 ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ดีต่อใจมากๆ สำหรับคนรักและสะสม Digimon หรือถึงแฟนบอยของ Digimon ที่ควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง ทำไฟ LED ที่มีลูกเล่นไล่ไฟตอนพัฒนาร่าง รวมถึงระบบ Quest ที่เข้ามาแทนที่การเขย่านับก้าวเดิน ก็เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยเหมือนกัน อีกทั้งด้วยสัดส่วนขนาดแบบ 1 : 1 และมีไฟตามแบบฉบับอนิเมะ ถ้าหากในแง่สะสมถือว่าคุ้มค่าอย่างมากหรือหากเอามาเล่นจริงจังให้เคลียร์เกมก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มกับเงินที่จ่ายไปราวๆ 3,XXX บาทเช่นกัน เพราะระดับความยากถือว่าทำเอาคนเขียนบทความหัวอุ่นใช้ได้เหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ การที่เอาระบบเขย่าออก มันทำให้เสน่ห์ของมันหายไปเยอะพอสมควร และไฟที่สว่างมากๆ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะแสบตาหรือไวต่อแสง และราคาค่อนข้างสูง หากเป็นคนที่ไม่ใช่แฟนบอยอาจจะมองว่าแพงก็ได้ หากใครชอบบทความนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้เยอะๆ เลยนะ และหากมีโอกาสได้ทำบทความ Digivice 2020 อีก ก็จะทำ Guide ระบบการเล่นระบบ Quest ให้อ่านกันนะ
06 Jan 2021
[รีวิว] Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact จะรอดหรือจะร่วง?
หลังจาก Poco X3 NFC ออกสู่วางตลาดไปได้ไม่นาน ก็นับว่าเป็น Smartphone ที่แทบจะตบหลายยี่ห้อกันเลยทีเดียวทั้งสเปคต่อความคุ้มค่าคุ้มราคาและตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดีสมกับค่าตัวของมัน และคนเขียนเองก็ได้เป็นหนึ่งในเจ้าของเครื่องนี้ด้วยเช่นกัน บทความนี้เราจะไม่ได้มาเน้นรีวิว Smartphone เครื่องนี้เป็นหลักเพราะคงจะทราบถึงสเปคและประสิทธิภาพเครื่องนี้กันมาพอสมควรแล้ว แต่เราจะมารีวิวเฉพาะทางด้วยการนำ Poco X3 NFC เอามาทรมานบนเกม Genshin Impact ที่เป็นเกมแนว Action RPG Openworld เพื่อทดลองว่าโทรศัพท์ยี่ห้อนี้เหมาะหรือคุ้มค่ากับการเอามาเล่นเกม Genshin Impact หรือไม่ เราไปดูกัน ================================================== มาทำความรู้จักสเปคคร่าวๆ และตัวแพคเกจกันก่อน ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อเรื่องหลัก ก็ขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวแพคเกจและสเปคโดยรวมของมันเสียหน่อย ซึ่งทางเราได้ซื้อตัวรุ่น Ram 6GB / Rom 128GB สีน้ำเงิน หรือตัวบนสุดของ Poco X3 NFC ในราคาเจ็ดพันต้นๆ โดยลักษณะกล่องจะเป็นสีดำด้านตัดกับตัวอักษรสีเหลือง พอเปิดฝากล่องก็จะมีแพคเกจเป็นกล่องสีเหลืองคร่อมอีกชั้นทำให้ตัวแพคเกจดูแข็งแรง ปลอดภัยเรื่องแรงกระแทกอย่างแน่นอน ในตัวแพคเกจที่มีมาให้หลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย ตัวโทรศัพท์ Poco X3 NFC หนึ่งเครื่อง เคสพลาสติคใส ตรงมุมจะแข็งกว่าปกติ หัวชาร์จแบบ Fast Charge 33W สาย USB Type-C to Type A หนึ่งเส้น ( สายชาร์จนั้นแหละ ) เข็มถาดจิ้มช่อง SIM คู่มือและใบรับประกันต่างๆ แพคเกจที่แถมมาให้ก็นับว่าเยอะพอสมควร ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปตามมาตรฐาน ส่วนการจับรู้สึกว่ากระชับมือ แต่ทว่าน้ำหนักตัวของมันดูหนักไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้มากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะตัวแบตเตอร์รี่ที่ให้มาเยอะมากๆ ก็ถือว่าหักล้างขอเสียเรื่องน้ำหนักไปได้ ส่วนในด้านสเปคเครื่องโดยคร่าวๆ ก็มีรายการดังนี้ สเปคข้อมูลสำคัญ (สำหรับการทดลองเล่นเกม Genshin Impact) CPU: Qualcomm Snapdragon 732G แกน 8 หัว 2.3Ghz GPU: Adreno 618 มีซิงค์ระบายความร้อนด้วยเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus หน้าจอใหญ่ 6.67 นิ้ว ความละเอียดจอเป็น FHD+ แบบ IPS ค่า Refresh Rate 120Hz Touch Sampling 240Hz Ram ขนาด 6GB แบบ LPDDRX4 ความจุ 64GB/128GB แบบ UFS 2.1 (ทางเราซื้อตัว 128GB มา) แบตเตอรี่ 5160mAh, รองรับการชาร์ตด่วนที่ 33W สเปคข้อมูลส่วนอื่นๆ (ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล่นเกมแต่เขียนไว้สำหรับผู้สนใจ) รองรับเทคโนโลยี 4G LTE ถาด SIM รองรับ 2 ถาด และรองรับ Micro SD Card สูงสุด 256GB ลำโพงคู่ รองรับ Hi-Res Audio ( ออกตรงลำโพงด้านทายเครื่องและตำแหน่งลำโพงรับสาย ) ช่องหูฟังแบบ 3.5 mm รองรับ USB Type-C รองรับสแกนลายนิ้วมือตรงปุ่ม Power มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP53 กล้องหลังหลัก 64MP, อัลตร้าไวล์ 13MP, เลนส์มาโคร 2MP, เลนส์ Depth 2MP รวมทั้งหมด 4 ตัว กล้องหน้า 20MP ระบบปฏิบัติการณ์ Android 10 ครอบด้วย MIUI 12 for POCO รองรับเซนเซอร์ต่างๆ 8 อย่าง รองรับ NFC ซึ่งหากพูดด้วยสเปคแล้วขอบอกเลยว่า โห...สเปคจัดเต็มมากกับราคาที่จ่ายไป แต่ก็มีจุดที่แอบกังวลใจบางอย่างนั้นก็คือ เทคโนโลยี ROM ที่ยังคงใช้ UFS 2.1 อยู่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งถ่ายข้อมูลแบบเก่าอยู่ แต่จะขอพูดถึงรายละเอียดส่วนนี้ในหัวข้อต่อๆ ไป และหลังจากนี้จะเป็นการรีวิวเจ้า POCO X3 NFC เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม Genshin Impact เท่านั้น ================================================== การเปิดเกมครั้งแรกที่ทั้งชอบและไม่ชอบใจ โดยทางนี้จะใช้แอพ Game Turbo ของตัว Poco X3 เพื่อรีดประสิทธิภาพและบูสขุมพลัง CPU ภายในตัวเครื่องให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากนี้ยังสามารถตั้งค่าไม่ให้ใครมารบกวนเช่นปิดการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการบล็อคการโทรเข้าชั่วคราวเพื่อไม่ให้ใครหงุดหงิดใจ แต่เราเลือกที่จะไม่บล็อคเพราะอยากรู้ว่าเวลาแจ้งเตือนหรือ Headchat จาก Facebook จะส่งผลต่อเครื่องหรือไม่ และเราจะเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่ 100% หรือ 5160 mAh เต็ม ส่วนที่ชอบสิ่งแรกที่ได้เจอเลยคือ ตัว Game Turbo สามารถปรับแสงและสีของตัวหน้าจอให้เข้ากับสายตาเพื่อถนอมสายตาของเราหรือปรับให้เหมาะกับสภาพแสงโดยรอบตอนเล่นเกมให้มากที่สุด โดยจะมีโหมดเพิ่มความสว่างโดยจะทำให้ภาพดูสว่างนวลขึ้นไม่แสบตา, ภาพแบบอิ่มสีก็คือจะทำให้ภาพดูสีสดใสมากขึ้น หรือจะปรับภาพให้แสดงผลทั้งสองอย่างด้วยกันซึ่งมันก็จะกินแบตเตอรี่ด้วย...แน่นอนว่าไหนๆ มาทรมานเครื่องแล้วก็ต้องเปิดการแสดงภาพแบบสว่างและอิ่มสีอยู่แล้ว และจุดนี้ก็ถือเป็นจุดที่เป็นข้อติจุดใหญ่ๆ จุดแรกเลยก็คือหลัง Log in เข้าไปแล้วมันโหลดเข้าเกมช้ามากๆ ราวๆ 40 วินาทีถึง 1 นาทีโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าเล่นครั้งล่าสุดเราอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง โดยมันจะคาไว้ที่ไอคอนธาตุน้ำแข็งสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเข้าหน้าเกมได้ ซึ่งเหตุผลตรงนี้มีข้อเดียวคือ ตัวอ่านหน่วยความจำภายในเครื่องยังคงใช้ UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า การอ่านเขียนข้อมูลดึงข้อมูลจากในเกมจะทำได้ช้ากว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่เริ่มมาใช้ UFS 3.0 ขึ้นไปแล้ว แต่หากเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าพอรับได้ เว้นแต่ว่าเป็นเกมเมอร์สายใจร้อนก็อาจจะนั่งเซ็งกันสักหน่อย กราฟิคเปิดสุดไม่ต้องยั้ง พังหรือไม่เดี๋ยวรู้กัน เมื่อเข้ามาหน้าตั้งค่าการแสดงผลแล้ว ค่าเดิมๆ ของมันถูกปรับให้เป็นคุณภาพต่ำ อันนี้เราจะแสดงกันให้เห็นชัดๆ เลยว่าเราเปลี่ยนมาเปิดสุดจริงๆนะ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงกราฟิคเล็กน้อยในส่วนของหัวข้อ FPS ที่เดิมๆ มันตั้งไว้ 30 FPS เราเปลี่ยนให้มันเป็น 60 FPS แล้วมาดูกันว่าเล่นไป 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดกี่เปอเซ็นต์และเครื่องจะรีดประสิทธิภาพไหวไหม ภาพนี้จะเป็นหลักฐานยืนยันชัดๆ อีกทีว่าเราเริ่มเล่นช่วงแบตเตอรี่ 100% เต็มและจะเล่นต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงเพื่อทำการทดลองโดยมีน้อง Sucrose ที่แสนน่ารักและนุ่มนิ่มมากจะมาเป็นผู้ช่วยในครั้งนี้ แต่ว่าพอหลังตั้งค่าเสร็จ ภาพก็ดีเนียนดูสวยนะ แต่ก็อาจจะยังไม่เนียนไม่สวยเท่ากับโทรศัพท์ระดับสูงๆ เสียเท่าไหร่ หืมมมม....หลังจากนี้จะเป็นการทดลองภาคสนามกันแล้ว ช่วงเวลาการถ่ายทำจะไม่ตรงกันในแต่ละภาพที่จะได้เห็นก็จริงแต่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าสถานะการณ์ต่างๆ และผลทดลองที่ได้ยังคงอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงการทดลองจ้า ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Monstadt ตอนนี้เราได้ทำการออกเดทกับน้อง Sucrose เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตที่ทำออกมาได้โดยปรับการตั้งค่าให้สูงสุด โดยพาไปเดินเล่นช่วงนอกเมือง Monstadt ก็ได้เห็น CPU ใช้ไปโดยเฉลี่ย 55% แต่ GPU แทบจะวิ่งเต็ม 100% เกือบตลอดเวลา เพราะว่าเราได้ดึงประสิทธิภาพของตัว Snapdragon 732G อย่างเต็มที่ของมันแล้ว ซึ่งโดยรวมค่าเฟรมเรตที่ทำได้จะอยู่ในช่วง 45 ถึง 55 เฟรมเรต ถือว่าเคลื่อนไหวได้ราบเรียบมากๆ จากนั้นก็ได้พาน้อง Sucrose ทำการทดลองด้วยการลงภาคสนามกับเหล่า Slime หินผู้โชคร้ายว่าเวลาต่อสู้เฟรมเรตจะเป็นอย่างไร ผลที่ออกมาก็ตามคาดคือ FPS ร่วงลงมา โดยต่ำสุดอยู่ที่ 30 FPS ไม่ต่ำกว่านั้น มีแกว่งๆ ขึ้นไป 40 FPS บ้าง โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 35 FPS ทีนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมายังตัวเมือง Monstadt กันบ้างซึ่งหากเราเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเลย จะแทบกระตุกช่วงพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเป็นเพราะระบบการถ่ายโอนข้อมูลยังคงเป็น UFS 2.1 ซึ่งเป็นรุ่นเก่านั้นเอง ราวกับว่าต้องใช้เวลาโหลดฉากนิดหนึ่งอะไรประมาณนั้น ตอนนี้น้อง Qiqi ก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) เราเลยใจอ่อนยอมเปลี่ยนตัวให้ Sucrose ไปพักเหนื่อยบ้าง ต้องขอบอกก่อนว่าพอเราอยู่ในเมืองค่าเฟรมเรตที่ได้จะตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ค่า GPU กลับใช้พลังงานน้อยลงเป็นนัยยะสำคัญเช่นกัน โดยค่าเฟรมเรตที่ทำได้ ไม่ต่ำกว่า 25 FPS และสูงสุดไม่เกิน 40 FPS มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 FPS ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหงุดหงิดใจนัก ยังคงพอรับได้ บังคับได้ลื่นไหลพอสมควร หลังจากนี้เราก็เอาทีมคณะผู้ช่วยไปบวกกับ Boss หมาป่า Adrius ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่มันมาก เพราะการต่อสู้ลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้กวนใจแต่อย่างใดเลย FPS เฉลี่ยที่ทำได้คือ 40 FPS ถือว่าทำออกมาได้ดีมากสำหรับ Poco X3 แม้จะต้องเจอกับเอฟเฟคเยอะๆ ก็ตามที ที่สำคัญ การควบคุมตอบสนองดีมาก ไม่มีอาการหลุดการควบคุมหรือหลอนเลยเพราะตัว Touch Sampling ที่มีมากถึง 240Hz ทำให้การตอบสนองต่อการกดนั้นไวมากๆ และแม่นยำมากๆ แม้ว่าเราจะติดฟิลม์กระจกอย่างหนาก็ตาม ผลทดสอบการใช้ CPU, GPU และ FPS เขต Liyue ทีนี้เราพาน้อง Sucrose มาเปลี่ยนบรรยากาศมาที่เขต Liyue กันบ้างโดยเริ่มจากเขตนอกท่าเรือ Liyue ที่เต็มไปด้วยผาน้อยใหญ่ บรรยากาศให้ความรู้สึกอยู่ในพื้นที่แฟนตาซีหนังจีนกำลังภายใน ผลการทดสอบของ CPU ก็ใช้พลังงานมากขึ้นนิดหน่อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 55% และ GPU ก็ยังเต็มเกือบ 100% มีบ้างบางช่วงที่ตกลงมาที่ 85% โดยเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้จะอยู่ประมาณ 45 FPS เหมือนกัน ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเขตนอกเมือง Monstadt เท่าไหร่นัก ส่วนในฉากต่อสู้ทั่วๆ ไปนั้นก็ยังลื่นไหลไม่ต่างเขตนอกเมือง Monstadt เช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 FPS ไม่ต่ำกว่า 30 FPS อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่าช่วงที่ถ่ายทำนั้นมีผลเท่ากันจึงเลยไม่ได้ตัดสินใจถ่ายช่วงต่อสู้เพื่อความกระชับของเนื้อหา จากนั้นก็ลองพาเข้ามายังท่าเรือ Liyue ด้วยการเทเลพอร์ตดูบ้าง โดยงานนี้น้อง Klee โลลิที่น่ารักของผองเราก็อยากถ่ายรูปด้วย(?) พอเทเลพอร์ตเข้ามาในเมืองเท่านั้นแหละ กระตุกหนักกว่าอยู่ในเมือง Monstadt อีก แต่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับมาลื่นเป็นปกติ เหตุผลก็เพราะว่าระบบถ่ายโอนข้อมูล UFS 2.1 เช่นเดิม และด้วยเมือง Liyue มี Object ที่เยอะมากอยู่แล้วไม่แปลกใจที่โหลดฉากไม่ทันและกระตุก แต่อย่างน้อยก็กลับมาลื่นปกติโดยปล่อยไว้สักพัก ส่วนเฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้อยู่ที่ 30FPS ต่ำสุดคือ 25FPS ซึ่งอยู่ในเขตเมืองก็ยังพอโอเคไม่มีปัญหาอะไรขนาดนั้น คราวนี้ก็มาถึงช่วงทีเด็ดของเรานั้นคือลุยภาคสนามไปตบตีกับ Tatarglia "Childe" แห่ง Fatui กัน ซึ่งบอกเลยว่าถึงจะเจอฉากอลังการงานสร้างตั้งแต่ Phase แรกของการต่อสู้เฟรมเรตที่ทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 45FPS ต่ำสุดอยู่ที่ 30FPS จัดว่าดีงามมากๆ เลยนะ ช่วง Phase ที่สองของการต่อสู้ ลูกเล่นของเจ้า Childe ก็เยอะขึ้นแต่ด้วยตัว Touch Sampling 240Hz ทำให้ตอบสนองได้ไว การใช้ Beidou ในการต่อสู้หรือกดสกิลสวนกลับต่างๆ รวมถึงการกดสับตัวเพื่อใช้สกิลก็ทำได้รวดเร็ว คล่องมือมากๆ เฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้ยังคงได้ดีอยู่ที่ 40FPS ไม่กระตุกหรือแลคแต่อย่างใด พอเข้าสู่ช่วง Phase ที่สามของการต่อสู้ ชากคัตซีนดูเนียนตาและลื่นมากๆ ทำเฟรมเรตแตะไปที่ 55FPS พร้อมกับเสียงลำโพงคู่ที่กระหึ่มได้ใจในช่วงที่ Childe ได้ใช้พลังขั้นสุดยอด เอาซะเราขนลุกเลยทีเดียว พอตัดฉากมาช่วงต่อสู้ค่าเฟรมเรตที่ทำได้ยังคงอยู่ที่ 40FPS โดยเฉลี่ย แน่นอนว่าการตอบสนองการทำอะไรต่างๆ ยังคงลื่นๆ สบายๆ หลบสกิลหรือต่อสู้กับ Childe ได้สบายหายห่วง...แน่นอนว่ามีน้อง Klee ซะอย่าง สายโลลิระเบิดเขา เผากระท่อมนั้นกลัวผู้ใหญ่ของ Fatui ซะทีไหน...ดู Damage นั้นสิ! สรุปผลจากการเล่นครบหนึ่งชั่วโมงและขอสังเกตุต่างๆ เมื่อเราทำการเล่นครบหนึ่งชั่วโมง จากแบตเตอรี่ 100% ตั้งค่าสเปคในเกมปรับสุด ผลก็คือแบตเตอรี่เหลือ 78% เท่ากับว่าหนึ่งชั่วโมงเราใช้แบตเตอรี่ไปราวๆ 22% โดยเฉลี่ย ถือว่าสูบพลังงานเอาเรื่องจากแบตเตอรี่ที่จุดมากถึง 5160mAh แต่เพราะทั้งนี้ก็มาจาก Engine ที่ใช้พัฒนา Genshin Impact เป็น Unity Engine เวอร์ชั่นเก่า ( เวอร์ชี่นเดียวกับ Honkai Impact ) ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกมนี้กินสเปคเยอะและใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะในเวลาเดียวกัน และก่อนหน้านั้นก็ได้ทำการทดลองเปิดแจ้งเตือนแบบลอยและเปิด Head Chat ของ Facebook Messenger เพื่อดูว่าหากใครทักมาจะเป็นอย่างไร ผลก็คือมีคนทัก Head Chat ปรากฎขึ้น เกมจะกระตุกทันที และกระตุกนานหลายวินาทีก่อนจะกลับมาลื่นอีกครั้ง ส่วนการแจ้งเตือนแบบลอยไม่มีผล ถ้ากำลังตบตีกับศัตรูอยู่แล้วมีใครทักมาก็อาจจะทำให้หงุดหงิดได้บ้างเป็นบางเวลา เหตุผลก็เพราะว่าเกม Genshin Impact บนมือถือก็กิน RAM ไปมากกว่า 3.5GB แล้วซึ่งตัว Poco X3 มี RAM อยู่ที่ 6GB หากเปิดการทำงานส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีการดึงทรัพยากรของ RAM กันเกิดขึ้น และอีกข้อสังเกตุเลยก็คือเรื่องความร้อน พอเราปรับสุดในเกม Genshin Impact พอผ่านไปได้ห้านาที ฝาหลังร้อนเลยจ้า แต่ไม่ได้ลวกมือหรือร้อนจี๋อะไรแบบนั้น เนื่องจากตัวเครื่องมีฮีตซิงค์ที่เรียกว่า LiquidCool Technology 1.0 Plus ซึ่งมันเป็นระบบระบายความร้อนรูปแบบเดียวกันที่ใช้กับ CPU ของตัวคอมพิวเตอร์ โดยการทำงานของมันคือจะมีแท่งเหล็กทองแดงแปะพาดตัว CPU ข้างในแท่งทองแดงจะมีของเหลวนำความร้อนอยู่ ทำให้การนำความร้อนออกจากเครื่องได้รวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเล่นแป๊บเดียวก็เริ่มร้อนมือ แต่ว่ามันก็ไม่ทำให้เครื่องร้อนเกินไป และพอหยุดเล่นเครื่องก็หายร้อนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ================================================== โดยสรุปแล้ว Poco X3 NFC สามารถเล่น Genshin Impact ได้อย่างสบายๆ ถึงจะปรับสุดก็ไม่เคยหวั่น แม้ว่าภาพหรือกราฟิคต่างๆ รวมถึงความลื่นไหลของเฟรมเรตอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับมือถือระดับสูง แต่หากเทียบกับความคุ้มค่าในราคาหลักเจ็ดพันกว่าๆ แล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นมือถือที่สามารถเล่นเกมหนักๆ ได้อย่างดี แม้ว่าเครื่องจะร้อนเร็วไปหน่อยก็ตาม มันก็ไม่ถึงกับลวกมือขนาดนั้น เพราะเทคโนโลยี LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่ระบายความร้อนได้รวดเร็วนั้นเอง หากใครอยากหาซื้อมือถืองบไม่สูงเพื่อเล่น Genshin Impact โดยเฉพาะ Poco X3 NFC ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ และหากอยากให้เล่นลื่นๆ ฟินๆ ก็ปรับแค่ระดับกลางๆ ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์จากเกมนี้มากเกินพอแล้ว และสุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า Sucrose นั้นเราจองแล้ว หวงนะ! ( ล้อเล่นจ้า )
17 Nov 2020
Princess Connect! Re:Dive ตามหาความทรงจำไปกับเหล่าเจ้าหญิงสุดน่ารัก
Princess Connect! Re:Dive เป็นเกม RPG สไตล์อนิเมะจากค่าย Cygames ที่เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มมือถือในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2015 จากนั้นทาง Ini3 Games ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาเปิดให้บริการในบ้านเราเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับเกมกาชาที่มีตัวละครสุดน่ารักกันในตอนนี้ครับ จุดเด่นของเกมนี้คือการที่เราได้นั่งดูฉากคัทซีนของเกมที่มีภาพ และเสียงสไตล์อนิเมะ แถมเรายังสามารถตอบโต้กับตัวละครที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยได้จากการเลือกตอบตามตัวเลือกที่มีให้ และสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าคุณภาพของคัทซีนแต่ละฉาก เนื้อเรื่องแต่ละตอนของเกมนี้มันมีคุณภาพสูงมากจริงๆ ครับ เจ้าเกมนี้จะดียังไง มีจุดเด่นอย่างไร กาชาเกลือแค่ไหน วันนี้ผมจะมาบอกเล่าทุกอย่างที่ผมได้สัมผัสจากเกมนี้ครับ ถ้าพร้อมกันแล้วไปอ่านกันเลย! เนื้อเรื่อง ฉากแรกของเกมเริ่มด้วยกลุ่มของเราซึ่งเป็นปาร์ตี้ของผู้กล้าที่ถูกเรียกว่า Princess Knight กำลังต่อสู้กับปีศาจจิ้งจอกขาวนามว่า ไคเซอร์อินไซท์ แต่ดูเหมือนว่าพลังของเธอจะมีมากจนเราไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย ยิ่งเวลาผ่านไปพวกพ้องของเราก็เริ่มล้มลงไปที่ละคน และในการโจมตีครั้งสุดท้ายของปีศาจจิ้งจอกขาวที่คิดจะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เราที่ถูกเรียกว่า อัศวินผู้พิทักษ์ ก็ได้เอาร่างกายของตัวเองเข้าไปบังเพื่อรับการโจมตีนั้นให้กับเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนสุดท้าย แล้วจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้พบกับเด็กสาวที่สภาพดูไม่สมบูรณ์มากนัก เธอดูเหมือนกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างจนไม่ค่อยมีเวลามาเป็นคู่สนทนาของเรา ที่น่าสงสัยก็คือเธอดูเหมือนจะรู้จักเราดี ทั้งๆ ที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย เด็กสาวตรงหน้าแนะนำตัวว่า เธอชื่อ อาเมส โดยบอกเสริมว่า พักหลังมีแต่คนเรียกเธอแบบนี้ และเธอก็บอกต่อว่า เราไม่จำเป็นต้องไปฝืนจำชื่อเธอหรอก ยังไงอีกเดี๋ยวเราก็จะลืมแล้ว เพราะสถานที่เราอยู่คุยกับเธอตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับความฝัน อาเมสบ่นว่าเธอถูกเล่นงานจนพังยับ ขยับไปไหนก็ไม่ได้จนกว่าจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกความจริงก็ไม่ได้ด้วย แถมยังบอกอีกด้วยว่าเธอจะส่งเรากลับไปเกิดใหม่ และเพื่อให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น เธอจะส่ง ผู้นำทาง มาช่วยเหลือเราด้วย โดย เธอ คนนั้นจะเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา จากนั้นอาเมสก็กล่าวว่า ตอนนี้ได้เวลาจากกันแล้ว แม้จะยังมีเรื่องที่อยากคุยด้วยอีกมาก แต่จะอยู่นานกว่านี้ก็ไม่ได้ ถึงแม้โลกความจริงจะโหดร้าย แต่จะอยู่ในความฝันไปตลอดก็ไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวและภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ระหว่างที่เรากำลังหลับอยู่นั้น ได้มีเสียงเพลงดังลอดเข้ามาในหู เมื่อเราลืมตาตื่นสิ่งแรกที่เห็นคือสาวน้อยผมขาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีใบหน้าแสนอ่อนโยนกำลังมองลงมาที่เรา เธอแนะนำตัวว่าเป็น ผู้นำทาง ที่ท่านอาเมสผู้ยิ่งใหญ่ส่งมา มีนามว่า คกโคโระ เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า เธอมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองและดูแลเรานับแต่อรุณยันราตรี ตั้งแต่นอนเปลยันนอนโลง หลังจากที่เธอพูดคุยกับเราไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้รู้สภาพตนเองจากปากของเธอว่า เรา สูญเสียความทรงจำเกือบทั้งหมด ไปนั่นเอง และเพราะการพบกันที่ถูกลิขิตเอาไว้นี้ เรื่องราวการเดินทางตามหาความทรงจำที่ทำให้เราได้พบเจอกับหญิงสาวมากมายพร้อมกับการลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เกมเพลย์ รูปแบบการเล่นของ Princess Connect! Re:Dive จะเป็นการจัดทีม 5 คนไปตะลุยด่าน โดยผู้เล่นจะไม่สามารถควบคุมตัวละครเองได้ เปรียบเสมือนว่าเราคืออัศวินผู้พิทักษ์ที่กำลังความจำเสื่อม เหล่าหญิงสาวจึงคอยต่อสู้เพื่อปกป้องเรา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้ตัวละครใช้ท่าไม้ตายตอนไหนก็ได้ตามใจ เมื่อหลอดท่าไม้ตายเต็ม โดยตัวละครภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ แนวหน้า, แนวกลาง, และแนวหลัง ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อย่างแนวหน้ามักจะมีเลือดเยอะใช้อาวุธระยะประชิดเป็นหลัก เหมาะแก่การเป็นตัวชนให้กับปาร์ตี้ ส่วนแนวกลางมักจะเป็นตัวที่โจมตีได้อย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นตัวบัฟคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้อง พวกเธอจะใช้อาวุธระยะกลางอย่างดาบยาว หรือหอก เป็นต้น สุดท้ายคือตัวละครแนวหลัง พวกเธอมักจะเป็นสายตีไกลอย่างนักธนูหรือจอมเวทย์ ซึ่งแนวหลังนี้จะมีจอมเวทย์ที่มีความสามารถในการรักษาเป็นหลักอยู่ด้วยครับ และแน่นอนว่าตัวละครในเกมนี้มีเยอะมาก ดังนั้นการจัดทีมจึงสามารถทำได้อย่างหลากหลายแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นเอง การต่อสู้ของเกมนี้จะเป็นภาพ 2D น่ารักๆ มุมมองแบบด้านข้างที่จะมีฉากคัทซีนและอนิเมชั่นมาแทรกบ้างตามจังหวะของเกม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกมกาชามือถือจะมีกันแทบทุกเกมอยู่แล้วครับ นอกจากการจัดทีมออกไปสู้กับเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ตัวเกมยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นนำอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้มาจากการทำภารกิจ หรือ กาชามาให้ตัวละครของเราสวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถด้วย อีกทั้งยังมีระบบอัพเกรดตัวละคร และของสวมใส่อีกต่างหาก อย่างที่บอกไปว่าของสวมใสในเกมนี้จะดรอปจากภารกิจต่างๆ ที่เราทำ ดังนั้นการจะหาของสวมใส่ให้เพียงพอกับตัวละครทั้งหมดของเรา ก็จำเป็นต้องฟาร์มเยอะพอสมควร ซึ่งก็สมกับเป็นเกมประเภทนี้ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเปิดเกมบนมือถือมาเพื่อลงด่านฟาร์มของเพียงอย่างเดียว ก็คงจะเบื่อไม่น้อยครับ อีกทั้งเกมนี้ยังมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถ ตกแต่งกิลด์เฮ้าส์ ได้ด้วย ซึ่งของที่เราเอามาตกแต่งบ้านกิลด์นั้น นอกจากจะมีเพื่อความสวยงามแล้ว ของเหล่านั้นยังมอบของจำเป็นต่างๆ ในการเล่นให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็น ขวดอัพเลเวล, ขวดสตามิน่า หรือ มานาที่เอาไว้อัพสกิลตัวละคร แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็คือการทำบ้านกิลด์ของเราสวยนั่นแหล่ะครับ อย่าลืมมาตกแต่ง เรือนเลิศรส ของเราให้สวยงามกันนะครับ สำหรับการออกผจญภัยกับเพื่อนๆ ก็ไม่แปลกเลยที่ความสัมพันธ์ของเราจะแน่นแฟ้นขึ้น และภายในเกมนี้เองก็มีระบบที่ชื่อว่า "ระบบความสัมพันธ์” ที่เมื่อค่าความสัมพันธ์ของแต่ละคนเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนด ตัวละครนั้นจะมีบทพูดพิเศษขึ้นมาให้เราอ่าน นอกจากนี้ค่าความสัมพันธ์จะปลดล็อคเรื่องราว Side Story ของตัวละครนั้นๆ ด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้เราได้รู้เรื่องราวของตัวละครเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ต้องบอกก่อนว่าเกม Princess Connect! Re:Dive นั้นไม่ได้เน้นที่ระบบเกมเพลย์ครับ ผู้พัฒนาตั้งใจเน้นไปที่เนื้อเรื่องและความสวยงามของอนิเมชั่นต่างหาก แต่ในระบบของเกมนี้ก็มีเรื่องน่าตลกเล็กๆ อยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือตอนที่เราอัพระดับของตัวละคร ของสวมใส่ที่อยู่บนตัวพวกเธอจะถูกย่อยเพื่อเพิ่มระดับให้กับตัวละครดังกล่าว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องย่อยของสวมใส่ไปด้วย หรือพวกเธอจะกินของสวมใส่เป็นการเพิ่มพลังกันแน่นะ? กราฟิก กราฟิกของ Princess Connect! Re:Dive เป็นภาพสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่สวยงามสมกับที่มีอนิเมะเป็นของตัวเอง ตัวละครสาวๆ ในเกมแต่ละคนก็มีเสน่ห์กับเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูและเพลิดเพลินไปกับการอ่านเนื้อเรื่องไม่น้อยเลยครับ ปกติต้องยอมรับว่าในบางเกมผมจะกดข้ามฉากคัทซีนอย่างรวดเร็วเลยครับ แต่กับเกมนี้ตัวละครมันมีความดึงดูดให้เราอยากอ่านเนื้อเรื่องและติดตามเรื่องราวของพวกเธอมากจริงๆ เหมือนกับเรากำลังติดตามดูอนิเมะไปทีละตอนอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ ในส่วนของเอฟเฟกต์การโจมตีต่างๆ นั้นก็สวยงามดีครับ แต่การโจมตีโดยใช้ท่าไม้ตายจะกลายเป็นอนิเมชั่น ดังนั้นไม่ต้องห่วงถึงเรื่องนี้เลย มันสวยแน่นอนอยู่แล้ว นับว่านี่เป็นเกมที่มีคุณภาพกราฟิกที่ดีมากจริงๆ และสำหรับคนที่เคยเล่นเกมของค่าย Cygames กันมาก่อนก็คงจะรู้กันดีว่าเกมของค่ายนี้กราฟิกดีทุกเกมครับ และเกมนี้ Cygames เองก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ภาษาและเสียงพากย์ Princess Connect! Re:Dive เป็นอีกหนึ่งเกมมือถือที่มีการแปลเป็นภาษาไทย และต้องขอยอมรับว่าการแปลของเกมนี้ดีกว่าที่ผมคาดหวังไว้มากทีเดียว เกมมือถือบางเกมเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแค่อ่านเข้าใจได้ก็ดีมากแล้ว แต่ในเกมนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นภาษาไทยที่สละสลวยมาก ทำให้เวลาที่เราอ่านเนื้อเรื่องจะรู้สึกเพลิดเพลินและเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าหลายๆ เกม นอกจากนี้ด้วยความที่เกม Princess Connect! Re:Dive เน้นไปที่อนิเมชั่น และเนื้อเรื่องมากกว่าเกมเพลย์ ดังนั้นเสียงพากย์ของตัวละครจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ Cygames ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นกัน เสียงพากย์ของตัวละครแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์เหมาะสมกับคาแรคเตอร์ของพวกเธอมากครับ มันจึงทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับการดูพวกเธอสนทนากันมากๆ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเกมนี้เลยทีเดียว สรุป Princess Connect! Re:Dive คืออีกหนึ่งเกมที่ควรหยิบมาเล่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเกมมือถือแนวกาชา ฟาร์มของ สไตล์อนิเมะครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานภาพ เนื้อเรื่อง หรือการแปลภาษา เกมนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าเกมมือถือหลายๆ เกมมากทีเดียว แต่ในส่วนของกาชา เกมนี้ค่อนข้างใจร้ายไม่น้อย ตัวละคร 4 ดาวออกมาให้เราเชยชมค่อนข้างยากครับ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติของเกมกาชาฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ชินก็คงรู้สึกไม่ดีกันนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้ว เกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่เหมาะแก่การหยิบมาเล่นยามว่างมากจริงๆ ครับ [penci_review id="68262"]
01 Oct 2020
รีวิว Spellbreak: Battle Royale สไตล์ใหม่กินไก่ด้วยเวทมนตร์!!
ถึงแม้เกมแนว Battle Royale จะมีออกมาให้เราเล่นเรื่อยๆ แต่เกมที่ฮิตและติดกระแสจริงๆ นั้นก็ยังคงเป็นเกมเดิมๆ อยู่เสมอ ทว่า Proletariat Inc. ก็ไม่ได้เกรงกลัวและผลักดันเกมของพวกเขาเข้ามาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale อย่างกล้าหาญ ซึ่งเกมที่ว่าก็คือ Spellbreak เกมที่จะเปลี่ยนจากการจับปืนถือระเบิดมาเป็นสวมถุงมือเวทมนตร์ยิงลูกไฟใส่กันแทน ตัวเกมมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะเรา แทบ จะไม่เคยเห็นเกม Battle Royale เกมไหนที่ไม่ต้องจับปืนเลย อีกทั้งกราฟิกของเกมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนเป็นภาพการ์ตูนซึ่งมันคล้ายกับเกม Battle Royale ยอดนิยมอย่าง Fortnite อีกด้วย แต่ถ้าหากพูดถึงความง่ายของเกมเพลย์ และความสามารถในการพลิกแพลกสถานการณ์ เจ้าเกมนี้มีความหลากหลายกว่ามากเลยทีเดียวครับ ถึงแม้ Spellbreak จะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนเกม Battle Royale ยอดนิยมเกมอื่นๆ แต่ก็เพราะเช่นนั้นจึงทำให้ตัวเกมน่าสนใจอย่างมาก แล้วเจ้าเกมนี้จะสนุกหรือไม่ ความสามารถในการพลิกแพลกที่ว่าหมายถึงอะไร และทำไมเกมนี้ถึงไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย บทความนี้ผมจะบอกเล่าทุกอย่างที่ได้ลองสัมผัสในเกม Spellbreak หากอยากรู้จักเกมนี้ให้มากขึ้นก็ไปอ่านกันเลยครับ เกมเพลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเกมเพลย์นั้นง่ายและเป็นมิตรต่อผู้เล่นค่อนข้างมาก เนื่องจากต่อให้คุณยิงไม่แม่นหรือคุมปืนไม่เป็นในเกม Battle Royale เกมอื่นๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใน Spellbreak เลยครับ เพราะการยิงเวทมนตร์ในเกมนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทโจมตีวงกว้าง ดังนั้นต่อให้ยิงใส่พื้นอย่างเดียวก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อยู่ดี อีกทั้งเกมนี้ต้องให้บริการในหลายแพลตฟอร์มดังนั้นจึงต้องมีระบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเรียนรู้ได้เร็วเพื่อรองรับผู้เล่นหลากหลายแบบ เพราะผู้เล่นบางคนก็อาจไม่คุ้นเคยกับเกมแนว Battle Royale มากนัก ในส่วนของรูปแบบการเล่นส่วนใหญ่เราก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วครับ ก็คือ เลือกจุดที่ต้องการจะลง แล้วทำการค้นหาอาวุธ จากนั้นก็หนีวงที่ค่อยๆ บีบเข้าหาเรา และทำการสังหารศัตรูเพื่อกลายเป็นผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว (หรือทีมเดียว) แต่การเลือกจุดที่ต้องการลงของเกมนี้ไม่เหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่นๆ เพราะปกติเราจะต้องนั่งยานอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วเลือกกระโดดร่มลงตรงจุดที่ต้องการ แต่ในเกมนี้ที่ใช้เวทมนตร์ในการโจมตี ดังนั้นการจะลงในจุดที่เราต้องการก็ต้องใช้เวทมนตร์เช่นกัน เพียงแค่เรากดเลือกจุดที่ต้องการลงในแผนที่เวทมนตร์ จากนั้นเราก็จะวาร์ปไปอยู่บนน่านฟ้าบริเวณนั้นๆ แล้วแลนดิงแบบฮีโร่ลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ในหนึ่งแมตช์ของเกมนี้สามารถรองรับจอมเวทได้สูงสุด 42 คน ถึงจะดูน้อยกว่าหลายๆ เกม แต่เอาเข้าจริงตอนอยู่ในวงท้ายๆ ก็มักจะมีคนเหลือมากกว่า 10 คนแทบตลอด เพราะว่าเกมนี้มันหนีง่ายกว่าสู้นั่นเอง เนื่องจากเกมดังกล่าวนอกจากจะมีถุงมือเวทมนตร์ทั้งหมดหกธาตุ ให้เราเลือกใช้เพื่อผสมผสานคอมโบและสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดแล้ว (เฉพาะข้างขวา ส่วนข้างซ้ายจะให้เราเลือกตั้งแต่เริ่มแมตช์) มันยังมี Rune หลากหลายประเภท เช่น บิน พุ่งตัว วาร์ป และหายตัว เป็นต้น   ซึ่ง Rune เหล่านี้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้หนึ่งอย่าง และเจ้า Rune นี้เองที่ทำให้ผู้เล่นมีวิธีหนีเอาตัวรอดจากการถูกซุ่มโจมตีได้หลากหลายวิธี และยังสามารถพลิกแพลงการเล่นได้อีกมาก อย่างเช่น การเอารูน พุ่งตัว มาใช้ทิ้งระยะจากศัตรูแล้วโจมตีอีกฝ่ายด้วยสกิลโจมตีพื้นที่แบบวงกว้าง หรือจะหายตัววิ่งไปด้านหลังแล้วยิงเวทมนตร์ใส่แบบหมดสต็อก ก็ยังได้ ในส่วนของเวทมนตร์ทั้งหกธาตุนั้น ได้แก่ Frostborn, Conduit, Pyromancer, Toxicologist, Stoneshaper และ Tempest หรือก็คือธาตุ น้ำแข็ง สายฟ้า ไฟ พิษ หิน และ ลม ตามลำดับ ซึ่งเจ้าธาตุแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น Tempest (ลม) ที่โจมตีได้รวดเร็วและมีพลังในการเคลื่อนไหวในอากาศ แต่ข้อเสียของธาตุนี้ก็คือโจมตีได้เบา กับ Pyromancer (ไฟ) ที่โจมตีแรงมีสกิลกำแพงไฟในการบดบังวิสัยทัศน์ศัตรู หรือจะเอามาโจมตีศัตรูก็ได้เช่นกัน แต่ข้อเสียคือหลบได้ง่ายเพราะกว่าเปลวไฟจะตกลงพื้นก็มีระยะเวลาพอให้พุ่งหนี เป็นต้น นอกจากนี้เวทมนตร์ที่ผู้เล่นสวมใส่ได้ในมือทั้งสองข้าง เราสามารถผสมผสานเวทมนตร์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเสียหายหรือระยะการโจมตีได้ด้วย อย่างเช่น Pyromancer ผสมกับ Tempest จะได้เป็นพายุเปลวไฟสุดร้อนแรง หรือ Frostborn ผสมกับ Conduit ที่เมื่อคุณใช้สกิลพิเศษ Flash Freeze ของธาตุน้ำแข็ง เมื่อมันละลายกลายเป็นน้ำแล้วคุณทำการโจมตีด้วยเวทมนตร์สายฟ้าลงไป น้ำทั้งหมดบนพื้นจะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านอยู่ ซึ่งจากวิธีการผสมผสานธาตุได้หลากหลายรูปแบบนี้เองที่ทำให้เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้มากกว่าเกมอื่นๆ หลายๆ เกม แล้วถ้าคุณเสียเลือดหรือเกราะในระหว่างการต่อสู้ การที่จะฟื้นมันได้นั้นก็ต้องใช้เวลา ไม่มีการใช้ยาปุ๊บเลือดพุ่งขึ้นปั๊บ และขนาดของยาเองก็มีการแบ่งเป็นเลเวลไว้อย่างชัดเจน เลเวลยิ่งสูงยิ่งเพิ่มได้เยอะ แต่ถ้าคุณพลาดท่าถูกอีกฝ่ายจัดการ หากเล่นเป็นทีมคุณจะยังคงมีโอกาสได้ไปต่อ แต่มีข้อแม้ว่าเพื่อนร่วมทีมของคุณจะต้องวิ่งมาชุบคุณที่เป็นลูกบอลแสงได้ทันนะ เพราะหากไม่ทันหรือคุณโดนอีกฝ่ายจัดการซ้ำเสียก่อน ก็ถือว่าจบเกมทันที ตามสไตล์ Battle Royale ทั่วไป แผนที่ในเกมนี้ก็นับว่าดีไม่น้อย เพราะไม่กว้างจนหากันไม่เจอ และไม่เล็กจนจบไวเกินไป แต่ถึงจะบอกว่าแผนที่มันไม่กว้างมาก ในบางแมตช์คนส่วนใหญ่ก็ยังจะพร้อมใจกันไปลงในเมืองๆ หนึ่ง จนเราที่ไปลงเมืองเล็กๆ ก็เลยต้องแอบเหงาอยู่คนเดียว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ครับ คือต่อให้คุณอยู่สุดขอบแผนที่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงมากนัก เพราะความเสียหายจากวงนั้นค่อนข้างเบา ยังมีเวลาให้คุณวิ่งเข้าวงอยู่มากครับ กราฟิก กราฟิกของ Spellbreak อย่างสภาพแวดล้อมกับเอฟเฟกต์นั้นนับว่าสวยงามในสไตล์ภาพของการ์ตูนครับ มีความสดใส และสีสันสูงมาก แต่มันก็ไม่ได้แสบตาอะไร แถมยังเป็นสเน่ห์ของมันเองอีกต่างหาก แน่นอนว่าในเมื่อเป็นภาพสไตล์การ์ตูน ดังนั้นเอฟเฟต์ต่างๆ ของเวทมนตร์ไม่ว่าจะเป็นระเบิด หรือสายฟ้า ต่างก็มีเสน่ห์ในตัวเองทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นในเรื่องของโมเดลตัวละครแม้จะบอกว่าเป็นภาพสไตล์การ์ตูน แต่มันก็ไม่ได้ดูสวยงามเท่ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบของเกมเลยด้วยซ้ำ ต้นไม้ยังดูมีความชัดของลายเส้นมากกว่าตัวละครเสียอีก นอกจากนี้ยังมองตัวละครศัตรูจากระยะไกลค่อนข้างยากอีกด้วย แต่มันก็แฟร์กับผู้เล่นอยู่เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายก็มองหาเรายากเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวสิ่งก่อสร้างในเกมต้องบอกว่ามันดูน่าเบื่อเล็กน้อย เพราะมันค่อนข้างซ้ำซาก ถ้าไม่เป็นปราสาทเก่าๆ ก็ต้องเป็นเศษซากปรักหักพัง อาจเพราะผู้พัฒนาต้องการให้เข้ากับธีมสงครามก็ได้ แต่บางทีก็น่าจะมีสิ่งปลูกสร้างสวยๆ ที่ยังคงมีสภาพแบบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ดูบ้างนะ ส่วนโมเดลของถุงมือก็ออกแบบมาได้ค่อนข้างเท่ไม่น้อยเลยครับ แต่ช่วงแรกๆ อาจจะแยกถุงมือเวทมนตร์ธาตุสายฟ้ากับน้ำแข็งจากกันยากหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาครับเพราะยังไงก็มีชื่อบอกอยู่ดี และถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเกม รวมถึงโมเดลตัวละครจะไม่ได้สวยมากมาย แต่มันก็ทดแทนได้ด้วยเอฟเฟกต์เวทมนตร์กับสภาพแวดล้อมอย่างต้นไม้ ผืนหญ้า เนินเขาเล็กๆ มาทดแทนได้ อาจเป็นเพราะเกมนี้ต้องลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch ด้วย ทำให้กราฟิกของเกมจะต้องไม่หนักเครื่องจนเกินไปก็เป็นได้ครับ ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้ Spec เครื่อง PC ของคุณไม่เร็วมาก ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบเติมเงิน แน่นอนว่าเมื่อเป็นเกม Free to Play ระบบหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือ Shop ที่จะนำชุดแฟชั่นต่างๆ รวมถึงแสงตอนบินลงเมื่อเริ่มเกม นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ มาวางขายแบบจำกัดเวลาเรียกกิเลสของเราอีกต่างหาก ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าโมเดลตัวละครนั้นมันสวยสู้สภาพแวดล้อมในเกมยังไม่ได้ แต่ว่าสกินต่างๆ ที่ตัวเกมนำมาวางขายใน Shop นั้นบางสกินมีโมเดลที่สวยมากจริงๆ ครับ เหมือนกับว่าผู้พัฒนาจะสื่ออ้อมๆ ว่า หากอยากมีตัวละครสวยก็จ่ายเงินมาเสียสิ! แต่เกมนี้ก็ยังใจดีแจกเงินให้กับเราอยู่บ้าง โดยเราจะได้เงิน 50 Gold ทุกครั้งที่อัพเลเวลได้ ดังนั้นผู้เล่นก็สามารถเล่นไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเลเวลแล้วนำเงินไปซื้อสกินที่ต้องการได้ครับ แต่ว่าสกินสวยๆ นั้นส่วนใหญ่จะมีราคามากกว่า 1,000 Gold ดังนั้นมันก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะเก็บเงินได้ครบครับ โดยรวมแล้ว Shop ในเกมไม่ได้มีความดึงดูดให้เราต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้น อีกทั้งเรายังสามารถใช้เงินในเกมซื้อได้อยู่แล้ว ถึงจะต้องเก็บนานนิดหน่อยก็ตาม แต่ถ้าหากใครอยากดูโดดเด่นกว่าเพื่อนมันก็ไม่ได้แย่ที่จะยอมเสียเงินนิดๆ หน่อยๆ ครับ สรุป โดยรวมแล้วเกมนี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราสามารถพลิกแพลงการเล่นได้หลากหลาย ผสมผสานเวทมนตร์ได้มากมาย มีกราฟิกสไตล์ภาพการ์ตูนที่ดูสดใสและน่ารัก ยิ่งถ้าพูดถึงความง่ายในการเข้าถึงอย่างมีให้บริการบนหลายแพลตฟอร์มแถมยังสามารถเล่นร่วมกันได้อีกต่างหาก มันจึงนับเป็นเกม Battle Royale เกมใหม่ที่มาแรงในหลายๆ ประเทศมากครับ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเกมที่จำเป็นต้องหยิบมาเล่นมากขนาดนั้นเพราะถ้าหากอยากเล่นเกม Battle Royale สไตล์ภาพการ์ตูนเราก็มี Fortnite กันอยู่แล้ว หรือถ้าหาเกม Battle Royale ที่มีสกิลให้ใช้งานก็มีเกมที่ดีกว่าอย่าง Apex Legends อยู่เช่นกันครับ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เกมนี้ไม่ถูกพูดถึงมากนักในประเทศไทย เพราะคู่แข่งของเกมนี้แข็งแกร่งมากนั่นเอง ถึงแม้ในหลายๆ ประเทศเ Spellbreak จะดูมีกระแสอยู่บ้าง แต่สำหรับประเทศไทยเกมนี้ยังไม่ดีพอที่จะมาแย่งชิงตลาดเกม Battle Royale จากเกมอย่าง PUBG หรือ Fortnite ครับ [penci_review id="67337"]
24 Sep 2020
[รีวิว] Tom and Jerry: Chase เมื่อหนู 4 ตัวรุมแมว 1 ตัว ความฮาจึงบังเกิด
สมัยเด็กๆ คุณผู้อ่านอาจจะต้องเคยรับชมการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่อง Tom & Jerry อย่างแน่นอน เรื่องราวเกี่ยวกับ Tom เจ้าแมวสีน้ำเงินกับ Jerry หนูซ่าหาเรื่องป่วนไปทั่ว เป็นการ์ตูนอนิเมชั่นจบในตอน ฉายครั้งแรกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1940 ผ่านไปกว่า 80 ปี การ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ถูกผลิตออกมาหลายตอน หลายเวอร์ชั่นมากมาย เพราะมันสนุกและตลกโปกฮาโดยแทบไม่ต้องมีเสียงพากย์อะไรมากมายนั้นเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นเกม Tom and Jerry: Chase เกมแนว Survival เหมือนกับ Day by Daylight ให้เล่นกันบนมือถือเรียบร้อยแล้ว แต่มีความแตกต่างอยู่ที่เกมนี้มันคือให้หนู 4 ตัว รุมแมว 1 ตัว ( ใช่แล้ว 4 รุม 1 จริงๆ นะ ) ก็อยากจะรู้ว่าพอมันเป็นเจ้าหนูซ่าหาเรื่องแมวในเวอร์ชั่นนี้จะทำให้เราหวนถึงคืนวันเก่าๆ สมัยเราเป็นเด็กเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์ได้อยู่หรือเปล่านะ บทความนี้จะมารีวิวเกมนี้กันว่ามันจะสนุกแค่ไหน ================================================== ไม่มีสาระจากเนื้อเรื่องก็สัมผัสความเกรียนได้ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกและประทับใจมากๆ เลยก็ว่าได้พอเปิดเกมมาก็ได้เห็นคัตซีนฉากเจ้า Tom ไล่ตะปบ Jerry ด้วยความโหดมันฮา ตามสไตล์พร้อมอุปกรณ์สารพัดพอดูแล้วอยากหาดูเล่นสักตอนเลยล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องของเกมนี้เหรอ ? สั้นๆ เลยก็คือ "เนื้อเรื่องไม่มีหรอก" แต่สิ่งที่ได้รับชมเลยก็คือ บ้านคุณนายที่เลี้ยงเจ้า Tom ไว้คงได้วินาศสันตะโรในเกมแน่ๆ ส่วนในหน้า Log in นั้นไม่มีอะไรมาก สามารถเข้าระบบผ่าน Google Play, Facebook หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเกมจะสนุกไหม ? สามารถเข้าแบบ Guest หรือนักท่องเที่ยวได้ตามสะดวกเลย Tutorial ที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกมแนว Survival ผู้ถูกล่าต้องหนีรอดจากผู้ล่าแบบ Dead by Daylight แต่การบังคับใช่ว่าจะเหมือนกันฉะนั้น Tutorial เกมนี้จึงสำคัญมากและไม่ควรมองข้าม โดยเราสามารถเลือกฝึกฝนว่าจะเล่นเป็น Tom ก่อนหรือเหล่า Jerry ก่อนก็ได้ โดยเราจะเลือกฝึกและสอนการทำภารกิจต่างๆ รวมถึงทริคเบื้องต้นและขั้นสูงอย่าง Jerry ที่ต้องทำหน้าทีเอาชีสยัดลงรูให้หมดพร้อมกับหลบหนี ส่วน Tom ก็มีหน้าที่กำจัดหนูด้วยการจับพวกเขาผูกกับประทัดแล้วส่งขึ้นฟ้าไปเลย และข้อดีของ Tutorial ที่ไม่อยากให้พลาดคือทุกการฝึกแจกของฟรีทั้ง EXP, น้ำยาความรู้และไอเท็มต่างๆ มากมาย กราฟิคดูเก่าๆ ชวนคิดถึงแต่ Interface ดูกดลำบาก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจเลยก็คือภาพกราฟิคที่ทีมพัฒนาพยายามทำเลียนแบบให้ดูเหมือนการ์ตูน Tom & Jerry มากที่สุดทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้ลายเส้นให้ดูเก่าๆ มันอาจจะถูกใจคนที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่องนี้แต่อาจจะขัดใจใครหลายคนที่ดูแล้วรู้สึกไม่ลื่นไหลขัดหูขัดตาเสียมากกว่า และในหน้า Interface นั้นอาจจะต้องขอติเสียหน่อยเพราะกดเมนูต่างๆ ที่อยู่แถมมุมๆ นั้นกดค่อนข้างลำบาก หากเล่นบน Tablet อาจจะไม่เป็นปัญหานัก แต่สำหรับในมือถือบอกเลยว่าจิ้มยากอยู่ ระบบ Perk เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบกาชา ในด้านระบบ Perk นั้นการที่ตัวละครเราเลเวลอัพก็อัพแค่เพดานการรองรับ Cost ของ Perk หรือในเกมที่เรียกว่าบัตรความรู้ ส่วน Perk จริงๆ จะต้องเก็บสิ่งที่เรียกว่า น้ำยาความรู้ ที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ และการเล่นเกมแต่ละรอบมาเปิดกาชาสุ่มหา Perk ซึ่งการทำแบบนี้ก็นับว่าเป็นดาบสองคมเช่นกัน มันดีที่ว่าทำให้เราต้องเจอกับความท้าทายและต้องปรับตัวกับ Perk ที่ได้มา แต่มันก็ทำให้หลายคนหงุดหงิดใจว่าทำไมไม่ให้อัพแบบปกติเหมือนชาวบ้านชาวช่องกัน ส่วน Perk สามารถอัพเกรดได้ด้วยการสุ่ม Perk ซ้ำๆ หรือหาจิ๊กซอว์ของ Perk นั้นมาอัพเกรดอีกที การบังคับที่ต้องเรียนรู้และสามารถปรับได้ตามใจชอบ การบังคับเดินของเกมนี้จะมีแค่เดินซ้ายขวาเท่านั้น แต่สามารถเลือกรูปแบบการบังคับได้สองแบบคือแบบปุ่มซ้ายขวาหรือแบบคันโยก ซึ่งส่วนตัวถนัดแบบคันโยกมากกว่า และในปุ่มฝั่งขวาจะเป็นปุ่มการ Interact ต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ตามความถนัดส่วนทางนี้เลือกแบบโต้ตอบอิสระเพราะกดถนัดกว่า นับว่าเป็นข้อดีที่ว่าผู้เล่นถนัดการบังคับแบบไหนก็มีให้เลือกสรรหรือหากยังไม่ถูกใจอีกก็มีการตั้งค่าปุ่มแบบละเอียดซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในเมนู Setting ได้เช่นกัน ระบบการเล่นที่ดูเรียบง่ายแต่ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเกมนี้มันคือการต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าแบบ 1 ต่อ 4 ซึ่งจริงๆ ควรเรียกว่า หนู 4 ตัวรุมแมวตัวเดียวมากกว่าเพราะ Jerry สามารถโจมตีใส่ Tom ได้หากมีของให้เก็บพร้อมหวดตามฉากหรือไอเท็มติดตัวหรือสกิลเฉพาะ ทำให้งานของ Tom นั้นโคตรลำบาก แต่มันดีที่ทั้งฝ่าย Tom และ Jerry สามารถเลือก Costume ได้ซึ่งชุดแต่งเหล่านี้จะมีสกิลเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีเทคนิคการเล่นจะหลากหลายมากแค่หน้าตาจะซ้ำๆ กันเฉยๆ อย่างเช่น Tom ชุดปกติก็มีแค่สกิลยิงปืนจับ Jerry แต่พอเป็น Tom ชุดคาวบอยก็จะเปลี่ยนสกิลเป็นเอาแส้ไล่หวดสร้าง Debuff พร้อมกับสกิลเรียกกระทิงไล่ชน และที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายสามารถใช้บัตรความรู้เป็นเหมือน Perk ใช้ตัวไหนก็ได้เพื่อความหลากหลายและชิงความได้เปรียบ ทีเด็ดของเกมนี้เลยคือระบบการเล่นและการบังคับต่างๆ ซึ่งสภาพบรรยากาศภายในเกมจะเป็นการไล่จับภายในบ้าน แบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่าง Tom และ Jerry และตัวเกมก็จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ Prepare Phase และ Action Phase โดยช่วงเตรียมตัวหรือ Prepare Phase เจ้าแมวสีน้ำเงินของเราก็ต้องดักตบหุ่นยนต์หนูสอดแนม ขัดขวางไม่ให้เอาเค้กเข้ารูหนู การตบหนูหุ่นยนต์ได้จะเป็นการเพิ่ม EXP ใว้อัพสกิล ส่วน Jerry ก็เอาพวกหนูสอดแนมไปค้นหาตำแหน่งชีสและชิงชิ้นเค้กพร้อมกับเอาไว้กับตัวจนกว่าจะหมดเวลาช่วง Prepare Phase ให้ได้เพื่อทำแต้มและเพิ่ม EXP ในการอัพสกิลเช่นกัน พอเข้าสู่ช่วง Action Phase งานของเจ้าแมว Tom ไม่ต้องคิดอะไรมาก จับพวกหนูมัดเข้าประทัดรอนับเวลาถอยหลังปล่อยขึ้นฟ้าไปเลย หาก Tom สามารถจับเจ้าพวกหนูมัดกับประทัดส่งขึ้นฟ้าได้มากกว่าสามตัวจะถือว่าเป็นฝ่ายชนะไปเลย แม้ว่าจะมีหนูรอดไปเพียงตัวเดียวก็ตาม แต่หากจับมัดประทัดได้ทั้งหมดพร้อมส่งขึ้นฟ้าจะเป็นการจบเกมและชนะทันที แต่ก็ต้องระวังที่ว่า Jerry สามารถดิ้นให้หลุดจากประทัดได้และ Tom เองก็มี HP สามารถโดนโจมตีได้จากสิ่งต่างๆ หาก HP หมดเจ้าแมวจะหายซ่าและลงไปนั่งมึนกับพื้นรอฟื้นฟู HP ทำให้เสียเวลาการตามล่าอีก ส่วนงานของ Jerry ไม่มีอะไรมาก หาก้อนชีสยัดเข้ารูให้ครบ พร้อมกับขัดขวางไม่ให้ Tom มาจับเราผูกกับประทัดได้ ซึ่งตัวเจ้าหนู Jerry นั้นบอบบางมาก โดย Tom โจมตีไม่กี่ครั้ง HP ก็หมดหลอดลงไปนอนมึนกับพื้น แต่มีข้อได้เปรียบคือตัวเล็กและมีความพริ้วมากกว่า อาศัยการหลบหลีก, ก่อกวน Tom และหาชีสยัดเข้ารูให้ครบ สุดท้ายประตูทางออกจะเปิดโดยให้เรารวมพลังการทำลายประตูให้พังก็สามารถหลบหนีออกไปได้ หากฝ่ายหนูรอดมากกว่าสองตัวถือว่าชนะไป อุปสรรค์ต่างๆ และของทุกชิ้นบนพื้นคืออาวุธ นี่คือไฮไลต์เด็ดของเกมนี้ที่ขาดมันไปก็เหมือนขาดสีสันนั้นก็คือระบบอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งทางลื่นของน้ำที่เดินเข้ามาแล้วตัวจะสไลด์หรือแม้ถ้วย แก้ม จาน ชาม หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตกบนพื้นหรือในห้องสามารถใช้เป็นอาวุธตอบโต้กันไปมาได้ทั้งฝ่าย Tom และฝ่าย Jerry ลองนึกภาพว่าฝ่ายหนูมีอาวุธครบมือแทนที่จะคิดหนีแต่กลับไล่หวดแมวซะเอง นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นเกม 4 รุม 1 เสียมากกว่า ================================================== นี่คือทั้งหมดของเกม Tom & Jerry: Chase ที่ได้ลองเล่นมาสักพัก บอกเลยว่าติดใจแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นติดงอมแงม พอเล่นฆ่าเวลาหรือเล่นให้หายคิดถึงวันวานสมัยเด็กที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะให้กลิ่นอายครบ แต่การบังคับหรือการกดเข้าเมนูต่างๆ ยังกดยากและเข้าได้ช้า ไม่ค่อยลื่นไหลนัก โดยรวมแล้วสนุกไม่แพ้เกมแนว Survivor 1 ต่อ 4 แบบเกมอื่นๆ เลยซึ่งมันก็ไม่มีความเลือดสาดนอกจากความตลกโปกฮาตามแบบฉบับของ Tom & Jerry หากในอนาคตมีการอัพแผนที่ใหม่ๆ หรือโหมดใหม่ๆ เข้ามาพร้อมกับปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งกว่านี้ก็อาจจะกลายเป็นเกมที่สนุกไปอีกขั้นก็ได้ [penci_review id="66291"]
10 Sep 2020
รีวิว Date A Live: Spirit Pledge เมื่อเราต้องเดทกู้โลกพิชิตรัก เพื่อพิทักษ์หัวใจเหล่าสาวๆ
เมื่อวันหนึ่ง โลกใบนี้ได้พบกับปรากฎการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Spacequake พร้อมกับกลืนกินทุกอย่างจากจุดศูนย์กลางของพื้นที่นั้น ต้นตอของความเสียหายนี้เกิดจากสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่เราเรียกกันว่า Seirei ที่แปลว่าเหล่าภูติ ทำให้ต้องมีการส่งกองกำลังเพื่อสังหารเธอเสียก่อนที่โลกจะวุ่นวายมากกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วเหล่าภูติก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ควบคุมพลังนั้นไม่ได้ แค่ต้องการใครสักคนช่วยเหลือเธอเท่านั้น และมีแต่คุณเท่านั้นที่จะผนึกพลังของเธอโดยไม่ให้เกิดการสูญเสียนี้ได้ คุณจะกล้าตัดสินใจเผชิญกับอันตรายนั้นหรือไม่ ? คุณคือผู้ตัดสินชะตาโลกและชะตารักในครั้งนี้... จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นแค่เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ Light Novel และอนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Date A Live หรือมีชื่อไทยคือ พิชิตรัก พิทักษ์โลก ซึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในปี 2013 และปัจจุบันกระแสของเรื่องนี้ก็ยังไม่จางหายจนกระทั่งได้ทาง Kadokawa มาพัฒนาเกมลงมือถือแนว Action RPG, Hackn Slash ผสมผสานกับแนว Visual Novel ภายใต้ชื่อ Date A Live: Spirit Pledge ซึ่งตัวเกมจะสนุกขนาดไหน ทาง GameFever TH จะขอรีวิวให้รบชมกัน ================================================== เนื้อเรื่องยังคงเคารพต้นฉบับเดิมๆ ได้น่าประทับใจ พอได้เข้าไปสัมผัสตัวเกมนี้ครั้งแรก เราจะรับบทบาทเป็นผู้เล่นที่มีพลังแฝงในการผนึกพลังของ Seirei ที่มาจากต่างมิติ ต้นเหตุของการเกิด Spacequake ซึ่งแม้ในฉากคัตซีนจะไม่โชว์หน้าตัวละครของเรา แต่สำหรับคนที่เคยติดตามเรื่อง Date A Live ก็จะรู้เลยว่า เราได้รับบทบาทเป็น อิสึกะ ชิโดว เสียมากกว่า แต่เข้าใจทางทีมพัฒนาแหละว่าจะให้เราจินตนาการเป็นตัวเราเองพร้อมสามารถตั้งชื่อเราเองว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ คิดซะว่าเป็นเนื้อเรื่อง Date A Live โลกคู่ขนานที่มีตัวเราเป็นพระเอกของเรื่องแล้วกัน ส่วนเนื้อเรื่องจะอิงจาก Date A Live Season 1 เลยเพราะเปิดตัวมาก็ได้เห็น Yatogami Tohka ในร่าง Seirei กำลังหวดกับ Tobiichi Origami ที่เป็นคนของหน่วย AST อย่างดุเดือดโดย Origami มีเป้าหมายคือการกำจัดภัยคุกคามอย่าง Seirei ทำให้พวกเธอต่อสู้กันในครั้งแรก หลังจากการดำเนินเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ ก็แทบจะตรงตามเส้นทางของเนื้อเรื่องในอนิเมะ Date A Live แทบจะทุกอย่าง หากใครเคยดูอยู่แล้วมาเล่นเกมนี้ก็อาจจะทำให้อินกับมันมากขึ้น แต่หากใครไม่เคยดูก็อาจจะงงกับบทในเกมนิดหน่อยเพราะบทพูดในเกมรวมถึงการดำเนินเนื้อเรื่องช่วงต้นอาจจะเร็วเกินไป บทการดำเนินเรื่องอาจจะดูดขัดๆ ไปเสียหน่อยซึ่งมันทำให้งงได้ แนะนำว่าหามีเวลาแนะนำลองหาอนิเมะ Date A Live มานั่งดูกันเพื่อเพิ่มความอินเนอร์เข้าไปนั้นเอง Interface ที่ดูสบายตา มี Achievement ให้ทำเยอะมาก กล่าวในส่วนของ Interface กันเสียหน่อย ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามันรกก็ไม่ใช่เพราะการจัดองค์ประกอบเมนูต่างๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ต้องเรียกว่า มันมีเมนูต่างๆ และฟังก์ชั่นให้เล่นเยอะแยะถึงจะถูกต้อง แต่บางครั้งก็อาจจะมีการงงกับเมนูบ้าง โชคดีที่ตัวเกมเป็นเวอร์ชั่น Global ภาษาอังกฤษเข้าใจง่าย นอกจากนี้เราสามารถเลือก Seirei ที่เราต้องการโดยจะขอหยิบยก Tohka ออกมาเป็นตัวอย่างซึ่งเราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ด้วยการเอานิ้วแตะตัวตามส่วนต่างๆ ซึ่งคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd ในรูปแบบ Live 3D โดยจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลาเพื่อปลดล็อคความสนิทสนมและบทคำพูดที่มากขึ้น แต่หากแตะเยอะเกินไปหรือไปลวมลามเธอระวังจะโกรธเอานะ แน่นแนว่าการแตะไปที่คุณน้อง Tohka ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามก็สามารถเรียกหน้าต่างเมนูเปลี่ยนชุด Costumeได้ด้วย ( แต่อย่าไปแตะบริเวณหน้าอกบ่อยล่ะ แล้วหาว่าจะไม่เตือน เราโดนเธอโกรธหนักมากมาแล้ว ) ในส่วนของการปรับแต่ง Costume ตัวละครหรือการปรับแต่งฉากหลังก็มีให้เลือกได้หลากหลายมากเลยตั้งเปลี่ยนเวลาฉากหลังช่วงกลางวัน-กลางคืนได้แบบ Real-time มีการเพิ่ม BGM ประกอบหน้า Lobby ได้ด้วย โดยทั้งหมดนี้สามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยการทำ Archievment ต่างๆ ภายในเกม และจุดสำคัญของหน้าเมนูต่างๆ ภายใน Lobby เลยก็คือเมนู Achievment ที่จะบอกสถิติเราว่าเราได้ผ่านจุดไหนมาบ้าง เก็บอะไรมาแล้ว ซึ่งทำให้เรารู้ได้ด้วยว่าเราขาดเหลืออะไร ไปเดทกับใครมาบ้าง นั้นหมายความว่าทำให้เรามีเป้าหมายกับเกมนี้และไม่รู้สึกว่าเกมมันน่าเบื่อง่ายๆ แน่นอน กาชาเกมนี้ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ ในส่วนระบบกาชาที่ต้องพูดด้วยเพราะว่ามีให้เลือกสุ่มหลายตู้มาก ทั้งตู้สุ่มชุด Costume สวยๆ หรือสุ่มหาสาวๆ Seirei ที่ชอบ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ในการออกก็ไม่ถึงกับว่าเกลือจนเค็มปี๋ และ Fate Badge ที่ใช้แลกเปิดกาชานั้นสามารถหาได้จากการทำเควสต์, เก็บ Archievement และเอาเพชรไปแลกซื้อได้ซึ่งเพชรมีให้แจกทุกวันจนเยอะมากเลยล่ะ ระบบการออกเดทที่มีความน่าสนใจและไม่ยากจนเกินไป แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็น Date A Live ก็ต้องมีเรื่องระบบการออกเดทกับสาวๆ อยู่แล้วซึ่งทางทีมพัฒนาได้นำจุดแข็งของเกม Date A Live เวอร์ชั่น Console ภาคก่อนหน้าที่เน้นขายระบบแนวจีบสาวก็ถูกใส่ลงมาในนี้ด้วย โดยพยายามลงในเวอร์ชั่นมือถือให้ดูลงตัวที่สุด หลังเข้ามาในระบบการออกเดทแล้วเราสามารถเช็คได้ว่าเรานัดสาวคนไหนไปเดทด้วยรวมถึงเช็คค่าความสัมพันธ์, ติดตามสถานที่รวมถึงเช็คสิ่งที่พวกเธอชื่นชอบด้วย แน่นอนว่าการออกเดทจะเป็นการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ที่รวดเร็วที่สุด เพื่อการปลดล็อคสิ่งต่างๆ เช่นบทคำพูดเพิ่มเติมหรือ CG สวยๆ กับฉากน่ารักๆ ให้เราได้ฟินกัน และเมื่อเราเริ่มเลือกสาวที่ต้องการไปออกเดทแล้ว เราจะไม่สามารถข้ามคัตซีนได้เลย ฉะนั้นใครที่ชอบเร่งๆ กดๆ ให้เกมดำเนินเนื้อเรื่องไวขึ้นก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ไม่อยากให้ข้ามเช่นกัน โดยเมื่อเนื้อเรื่องการออกเดทของเราดำเนินไปได้สักพัก จะมีคำตอบให้เราเลือกตอบ โดยบางครั้งจะมีเวลาจำกัดในเราเลือกตอบ หากเลือกไม่ดีก็ส่งผลต่อเนื้อเรื่องรวมถึงการความสัมพันธ์ที่จะได้มากหรือน้อยหลังจบการเดทด้วย แต่ไม่ต้องห่วงในเกมก็ไม่ได้ใจร้ายเพราะมีโอกาสให้แก้ตัวภายในการเดทของสาวเหล่านั้นถึงสามครั้งต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้นเราควรที่จะมีความเข้าใจในภาษาเสียหน่อยแล้วบอกเลยว่าเนื้อเรื่องชวนฟินให้จิกหมอนมากเลยล่ะ จุดที่ทำให้รู้สึกว่าระบบการจีบสาวของเกมนี้มีมิติมากขึ้นคือเราสามารถเลือกไปทำงาน Part-time ภายในเมืองได้โดยของตอบแทนจะเป็นไอเท็มสำหรับพัฒนาเลเวลและสกิลของ Seirei ที่เราเลือกไว้ใช้ในระบบต่อสู้ รวมถึงไอเท็มที่สาวๆ ชอบไว้มอบเป็นของขวัญได้ด้วย โดยไม่ว่าระบบการออกเดทหรือทำงาน Part-time ต่างต้องใช้ Energy รูปดอกไม้สีชมพูทั้งสิ้น ฉะนั้นหากวันไหนต้องนัดเดทกับสาวๆ หลายคนก็บริหาร Energy ดีๆ ล่ะ การปรับแต่งและเสริมพลังตัวละครต้องพึ่งพาการฟาร์ม ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบการต่อสู้ ก็ต้องพูดถึงส่วนนี้ก่อนนั้นคือในส่วนของสเตตัสต่างๆ ของเหล่า Seirei ที่มีนั้น สามารถอัพเพิ่มตามเลเวลของผู้เล่น เช่นหากผู้เล่นมีเลเวล 13 เพดานเลเวลของ Seirei ก็จะเพิ่มขึ้นตามเรา รวมถึงระบบ Crytal ที่ไว้เพิ่ม Status, ระบบ Sephira ที่เหมือนระบบ สติกม่าของเกม Honkai Impact 3rd มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความหลากหลาย, ระบบ Angel ที่เป็นระบบเพิ่มขีดความสามารถของ Skill ในรูปแบบ Skill Tree, ระบบ Astral Dress ก็จะเป็นการเปลี่ยนชุดของ Seirei ตอนออกไปสู้รบได้ ขอโฟกัสในส่วนของระบบ Angel อีกสักนิดซึ่งระบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่มีความสำคัญ โดยเราสามารถอัพเกรดให้กับความสามารถต่างๆ ของเธอได้ด้วยการใช้ขนนกซึ่งจะได้จากการทำเควสต์และการเลเวลอัพของสาวๆ คนนั้น ซึ่งการอัพเกรดสกิลจะใช้จำนวนขนนกต่างหาก และหากสกิลไหนอัพเต็ม ก็จะปลดล็อคสกิลต่อไปเรื่อยๆ จนสุดทางและสามารถเลือกอัพส่วนไหนก่อนก็ได้เพื่อสร้างความแตกต่างและให้เข้ากับสไตล์ของเรา โดยสามารถสร้าง Profile เลือกสายการอัพเกรดได้ถึงสี่ Profile สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานะการณ์เช่น Profile แรกไว้เน้นต่อสู้ด้วยการใช้สกิล อีก Profile อาจจะใช้เพื่อการคอมโบการโจมตีเป็นหลักก็ได้ ระบบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นต้องอลังการก็สนุกกับมันได้ กล่าวถึงส่วนในระบบการต่อสู้กัน จะต้องใช้ข้าวปั้นเสมือน Energy อีกรูปแบบหนึ่งที่เราต้องจ่าย และเราจะต้องตะลุยด่านตามโหมดเนื้อเรื่องที่ปูให้ไว้ โดยตัวละครตามเนื้อเรื่องบางครั้งจะถูกล็อคและไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ตัวอื่นแทนเป็นตัวหลักได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาไว้ค่อยสับเปลี่ยนเป็นตัวที่เราชอบระหว่างการเล่นก็ได้ จึงไม่ค่อยมีผลอะไรมากเว้นเสียว่าอยากอินกับเนื้อเรื่องก็ให้ใช้ตัวละครตามระบบเกมที่ล็อคไว้ให้ดีกว่า การควบคุมภายในเกมจะเป็นแนว Hackn Slash แบบ Side-Scrolling หรือแบบตะลุยด่านด้านข้าง การบังคับไม่มีอะไรซับซ้อน มันก็เหมือนกับเกมบุกตะลุยทั่วไป ปุ่มซ้ายคือคันบังคับขึ้นลง หน้าหลัง ปุ่มทางขวาจะเป็นปุ่มโจมตีและสกิลต่างๆ ไว้ทำคอมโบกัน โดยใช้เวลาการเล่นในแต่ละด่านบอกเลยว่าสั้นเอามากๆ แต่เข้าใจได้เพราะมีด่านอื่นๆ อีกหลังจากนี้เพียบ และการทำสามดาวในแต่ละด่านก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถนัก ถ้าเป็นสายเสพเนื้อเรื่องก็อาจจะโอเค แต่หากสายชอบความท้าทายอาจจะน่าเบื่อ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะแต่ละด่านจะมี Hard Mode และ Hell Mode ให้เล่นกันอีกหลังเคลียร์ด่านนี้ไปได้และเลเวลเราสูงพอก็จะปลดล็อคระดับความยากขึ้นไปอีก และในบางด่านอาจจะเป็นด่านพิเศษที่เปลี่ยนแนวทางการเล่นจาก Hackn Slash เป็น Bullet-Hell เสียอย่างนั้น แต่ก็ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างโดยเราแค่บังคับทางด้านซ้ายให้ตัวละครเคลื่อนที่หลบกระสุนเท่านั้นก็พอเพราะตัวเราจะยิงกระสุนแบบ Auto ให้ แค่เอาตัวรอดจนกว่าจะผ่านด่านเป็นอันใช้ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่ ต้องเรียกว่าออกไปทางแนวเฉยๆ กับระบบการต่อสู้มากกว่า กราฟิคสไตล์ Visual Novel คือจุดเด่นของเกมนี้ หลายๆ เกมที่สนุกได้ไม่จำเป็นต้องมีเอฟเฟคหรือกราฟิคอลังการก็ทำให้เราอินไปกับมันได้อย่างดี เมื่อพูดถึงเกมในจักรวาล Date A Live ก็ต้องพูดถึงงานภาพและกราฟิคแบบอนิเมะที่งานดีสุด ซึ่ง Kadokawa ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตัวละคร Seirei ทุกตัวเคลื่อนไหวแบบ Live 2D ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เสียงพากย์ตัวละครแต่ละคนก็คัดคนที่มีประวัติการทำงานมากมายเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากที่สุด ทำให้เราหลงรักเหล่าสาวๆ ได้อย่างหมดใจ และในระหว่างกำดำเนินโหมดเนื้อเรื่องแล้ว นอกจากการต่อสู้ก็ยังมีเนื้อเรื่องในการออกเดทแทรกในเนื้อเรื่องหลักด้วย ทำให้ตัวเกมก็จะสลับไปมาระหว่างการต่อสู้และการออกเดท ซึ่งในส่วนการออกเดทก็จะมีฉาก CG สวยๆ ให้เราได้เสพซึ่งเราชอบช็อตไหนก็สามารถเข้าโหมดถ่ายรูปเพื่อลบหน้าข้อความการสนทนาออกเหลือแต่ภาพสวยๆ ให้เราได้แคปเก็บไว้กัน และในส่วนฉากอนิเมชั่นคัตซีนที่แทรกระหว่างตัวเกมทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคเลยล่ะ งานสวย ไม่มีการเผาแต่อย่างใด แต่บางคนอาจจะขัดใจที่มีซับภาษาจีนด้วย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเกมนี้ได้เข้าตีตลาดในจีนเป็นที่แรกๆ อาจจะมีบางจังหวะที่ดูทื่อๆ ไปนิดซึ่งคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ไม่งั้นแล้วอาจจะกลายเป็นเกมที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในตัวเลยก็ว่าได้ แต่รวมๆ แล้วดีงามมากๆ เลยล่ะ ================================================== สรุปแล้วเกม Date A Live: Spirit Pledge เป็นเกมที่ดีอีกเกมสำหรับแฟนๆ ซีรี่ส์ Date A Live ที่หายไปนานแล้วกลับมาทำให้แฟนๆ ได้สัมผัสจนหายคิดถึง เนื้อเรื่องเคารพต้นฉบับมากๆ ระบบ Visual Novel ทำได้ดีเกินคาด และฉากต่างๆ ทำออกมาได้สวยงามตามท้องเรื่อง เสียดายที่ระบบการต่อสู้ดูค่อนข้างน่าเบื่อไปเสียหน่อย แต่อาจจะมีอิเวนท์สนุกๆ เพิ่มเข้ามาในอนาคตก็ได้ แม้ช่วงนี้จะมีแต่อิเวนท์ให้ฟาร์มของก็ตาม แต่โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุก เนื้อเรื่องดีมากๆ และจะดีกว่านี้หากได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ด้วย และสุดท้าย...โทคิซากิ คุรุมิคือนางเอก ไม่ใช่โทวกะหรอกนะ! ( ล้อเล่นน่า แค่ชอบคุรุมิมากที่สุดในเรื่องเอง ) [penci_review id="65301"]
31 Aug 2020
รีวิว Hyper Scape เกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ของคนจริง วิ่งสู้ฟัด
จะว่าไปแล้ว เกมแนว Battle Royale ถึงหลายคนจะบ่นว่าเริ่มเยอะ ไม่ค่อยมีเป้าหมายนอกจากการเอาตัวรอด หรือแม้กระทั่งคนเขียนที่ไม่ค่อยชอบแนวนี้ก็ตามเพราะไม่ถนัดการเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ยอมรับโดยดีว่าเป็นแนวเกมที่ยังอยู่กับเราอีกนานด้วยความสนุกและรูปแบบการปะทะนั้นจะไม่มีวันซ้ำซากน่าเบื่อ แถมยังเล่นได้เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งล่าสุดท้าย Ubisoft ก็ได้เปิดตัวเกมแนว Battle Royale สไตล์ Free Running ภายใต้ชื่อว่า Hyper Scape นั้นเอง โดยเกม Hyper Scape นี้ได้ทีมพัฒนาของ Assassins Creed และ Rainbow Six: Siege มาร่วมกันพัฒนาเกมนี้ขึ้นมา เลยทำให้มีกลิ่นอายทั้งสองเกมผสมกันอยู่ แถมทำออกมาได้น่าประทับใจด้วย แต่ประทับใจขนาดไหนกันนั้น ทาง GameFever TH จะข้อเล่าประสบการณ์ที่ได้เล่นเกมนี้ให้รับชมกัน ================================================== เปิดตัวเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนแต่รู้สึกถึงความกระหายได้ การเข้าเกมครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก เปิดตัวด้วยการปูเนื้อเรื่องว่าในจักรวาลของ Hyper Scape มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรแบบคร่าวๆ สรุปเลยก็คือ ในยุคปี 2054 ทางบริษัท Prisma Dimension ได้สร้างเกมแนว Battle Royale ที่เรียกว่า Hyper Scape โดยจำลองเมือง Neo Arcadia ทั้งเมืองให้ผู้เล่นที่สนใจ สวมอุปกรณ์จำลองเสมือน, สร้างอวตารและดวลฝีมือกันด้วยอาวุธและทุกอย่างที่มี ผู้อยู่รอดเพียงหนึ่งจะมีโอกาสได้คว้าสิ่งที่เรียกว่า มงกุฎ ซึ่งผู้ที่ได้มันมา ว่ากันว่ามันคือรางวัลที่จะเปลี่ยนชีวิตของคน คนนั้นไปตลอดกาลเช่น หากผู้ชนะเป็นคนยาจก จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนหรือหากมีอะไรที่อยากได้ ก็จะได้ตามปราถนา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่ทว่ากลับมีการมาของพวก Hacker ที่เข้ามาแทรกแซงเกม Battle Royale นี้ พร้อมเข้าทำร้ายผู้เล่นจนเเกิดการบาดเจ็บจริงๆ ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเข้าแทรกแซงได้ด้วยวิธีไหน แต่รู้เพียงแค่ว่าพวกนั้นก็ต้องการ มงกุฎ เช่นเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องหลังจากนี้ ผู้เล่นจะต้องสืบหาเรื่องราวผ่านการเก็บ Memory Shard ซึ่งจะกล่าวในภายหลัง สำหรับคนที่ไม่ชอบแนว Battle Royale อย่างคนเขียนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนชวนปวดหัวแต่กลับมีความลึกลับในเวลาเดียวกัน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ขึ้นมา และในส่วนที่รู้สึกให้ความสนใจส่วนตัวคือ บริษัท Prisma Dimension ภายในเกมนี้มีความลับชวนอยากรู้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเกมปูให้ผู้เล่นได้เตรียมตัวเป็นนักสืบระหว่างการเล่นเพื่อขยายเนื้อเรื่องที่ถูกซ่อนไว้ ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้ต้องมีให้ทำมากกว่าการเอาตัวรอดจนเหลือคนสุดท้าย อย่ากดข้าม Tutorial ไม่งั้นคุณจะเล่นไม่รู้เรื่อง มีหลายๆ เกมที่เราข้ามโหมดการฝึกสอนก็ได้ไม่ส่งผลต่อการเล่นหรือบางคนมีพื้นฐานอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมดนี้แต่สำหรับเกม Hyper Scape ขอให้โยนพื้นฐานรูปแบบการเล่นเดิมๆ ทิ้งออกไปเลย เพราะคุณจะได้เรียนรู้การอัพเกรดอาวุธหรือ Fuze ด้วยการเก็บอาวุธตัวเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสียหาย, การฝึกการเคลื่อนไหวแบบ Free Running, การใช้ Gadget ที่เรียกว่า Arsenal ทำให้โหมดการฝึกสอนนี้มีความสำคัญจริงๆ นอกจากนี้เราสามารถเลือก Avatar ได้มากถึงแปดตัวละครด้วยกันซึ่งแต่ละตัวละครนั้นอาจจะยังไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าหน้าตา, รูปร่างและประวัติแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วประวัติตัวละครต่างๆ ที่ถูกซ่อนไว้จะอยู่ภายในเกมโดยต้องตามหาสิ่งที่เรียกว่า Memory Shard เช่นกันแต่จะกล่าวถึงส่วนนี้ภายหลังเช่นกันเพราะมันค่อนข้างสำคัญ โหมดการเล่นที่มีให้เลือกถึงสามแบบ โหมดการเล่นภายในเกมจะมีให้เล่นถึงสามแบบมีดังนี้ Squad: จะเป็นโหมดที่เล่นร่วมกับทีม 3 คน พร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คน โดยเราและเพื่อนร่วมทีมจะต้องเอาตัวรอดและเหลือเป็นทีมสุดท้ายให้ได้ Solo: จะเหมือนกับโหมด Squad แต่เราจะลุยเดี่ยวพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ อีก 99 คนด้วยเช่นกัน ขอให้เราเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายก็ถือว่าชนะ Faction War: จะเป็นการเล่นแบบแบ่งทีมออกไปทั้งหมด 4 ทีม ทีมละ 24 คนแล้วถล่มกัน ทีมไหนรอดเป็นทีมสุดท้ายไม่ว่าจะกี่คนก็ตามถือว่าชนะไปเลย การควบคุมและ Interface ไม่ซับซ้อนแต่ต้องเชี่ยวชาญ การควบคุมจะเป็นมุมมองแบบ First Person Shooting ที่ต้องใช้ปุ่มวิ่ง, ก้ม, สไลด์, การปีนป่ายแบบ Free Running และการกระโดดที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก ควบคุมง่ายรวมถึง Interface ที่ดูไม่รกเกินไป ถึงว่าออกแบบมาได้ดีเลยทีเดียว ในระหว่างรอคนใน Lobby นี้ อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยเฉพาะผู้เล่นใหม่ เพราะทุกสิ่งสามารถฝึกเราในการวิ่ง สไลด์หรือกระโดดข้ามสิ่งต่างๆ เพราะเกมนี้เป็นเกมค่อนข้างเร็ว ถือว่าออกแบบห้อง Lobby ได้ค่อนข้างอย่างชาญฉลาด ทำให้รู้สึกว่าผู้เล่นใหม่ได้มีเวลาวอร์มอัพกับการฝึกการเคลื่อนไหว การ Landing ลงพื้นก่อนใช่ว่าจะได้เปรียบ โดยปกติของเกมแนว Battle Royale แล้ว การลงพื้นก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบในการค้นหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเกม Hyper Scape เพราะคนที่ลงทีหลังเขาอาจจะเห็นกล่องอาวุธซุกซ่อนอยู่ชั้นบนหรือตามซอกตึกต่างๆ ซึ่งกล่องพวกนี้จะให้อาวุธคุณภาพที่ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ สร้างความได้เปรียบได้มากกว่านั้นเอง Free Running คือหัวใจหลักของสนามแห่งนี้ ในแผนที่ Neo Arcadia จะเป็นลักษณะตัวเมืองที่มีตึกสูงเสียส่วนใหญ่ และระบบการเคลื่อนไหวที่สามารถกระโดดได้สองสเต็ป, สามารถสไลด์ระหว่างวิ่งได้ และมีระบบที่ช่วยปีนป่ายเมื่อใกล้ขอบมุมต่างๆ ทำให้เกิดการวิ่งแบบ Free Running ภายในเกม เคลื่อนที่ข้ามตึกต่างๆ ได้อย่างไม่มีสะดุด สำหรับเกมนี้การอยู่บนพื้นจะเป็นอะไรที่เสียเปรียบมากๆ ตรงกันข้ามหากอยู่ที่สูงกลับได้เปรียบ ฉีกกฎเกณฑ์จากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง Hacks Arsenal นี่คือสิ่งที่จะช่วยพลิกสถานะการณ์ ระบบนี้ที่ทำให้ Hyper Scape มีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale เกมอื่นๆ เลยก็คือระบบ Hack Arsenal ซึ่งพูดง่ายๆ เลยก็คือระบบสกิลที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 9 แบบด้วยกัน โดยล่าสุดได้เพิ่มสกิล Magnet ที่สามารถดูดคู่แข่งให้รวมอยู่จุดที่ใช้สกิลได้ ซึ่งสกิลทั้งหมดเราสามารถเลือกใช้งานได้สองสกิลเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะพลิกสถานะการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือได้เลยล่ะ อาวุธในเกมมีให้เล่นมากถึง 11 ชิ้น อาวุธภายในเกมที่มีตั้งแต่ตัวเกมเปิดตัวมาก็มีให้เยอะมากถึง 11 ชิ้นด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ปืนกล, ปืนพก, ไรเฟิล(รวมลูกซองด้วย) และ Launcher โดยตัวผู้เล่นสามารถแบกอาวุธติดตัวได้สองชิ้นให้เหมาะกับสถานะการณ์ได้ แต่ทว่าอาวุธในเกมกับมีพลังการทำลายที่ค่อนข้างเบามากๆ ยิงกันตายยากเสียเหลือเกินถ้าหากไมไ่ด้ทำการ Fuze หรืออัพเกรดตัวปืน ก็อาจจะรู้สึกหงุดหงิดในช่วงแรกๆ แต่เล่นไปสักพัก เดี๋ยวก็ชินเอง ระบบ Fuze อัพเกรดปืนให้เทพ แรงและดุดัน หากคุณประสบกับปัญหาอาวุธในเกม Hyper Scape ยิงใครไม่ค่อยตายล่ะก็ ขอทำความรู้จักกับระบบ Fuze หรือระบบอัพเกรดอาวุธภายในเกม ง่ายๆ เพียงคุณหยิบอาวุธตัวเดียวกันมาเพิ่ม ก็จะทำการอัพเกรดประสิทธิภาพทันที โดยเก็บซ้ำได้สูงสุดสี่กระบอก (รวมเก็บใช้ครั้งแรกก็เท่ากับต้องเก็บปืนเดียวกันห้ากระบอก) นอกจากนี้ยังสามารถทำการ Fuze พวก Arsenal เพื่อลดคูลดาวน์ได้ด้วย Memory Shard เนื้อเรื่องลับที่ถูกซ่อนไว้ในเกม สำหรับใครที่เป็นสายเสพเนื้อเรื่องแล้วชอบเล่นเกมแนว Battle Royale ในเวลาเดียวกันอาจจะถูกใจกับเกม Hyper Scape ก็เป็นไปได้เพราะตอนแรกเนื้อเรื่องอาจจะพูดถึงกันผิวเผิน แต่จริงๆ เนื้อเรื่องส่วนต่างๆ ถูกกระจัดกระจายและซุกซ่อนไว้ใน Memory Shard โดยสามารถตามหาพวกมันได้ตามจุดต่างๆ ภายในเกม โดยภายในจะมีการกล่าวถึงด้านลับๆ ของบริษัท Prisma Dimension รวมถึงประวัติตัวละครต่างๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกด้วย มันทำให้รู้สึกว่า มันไม่ใช่การเล่นเกมนี้เพื่อเอาชนะอย่างเดียว แต่หากใครรู้สึกยุ่งยากก็สามารถเมินเฉยกับมันได้เช่นกัน เลือกที่จะ ฆ่า หรือเลือกที่จะเป็น ผู้ถือมงกุฎ สำหรับวิธีการเอาชนะคู่แข่งในโหมด Solo และ Squad นอกจากการสังหารคนอื่นๆ ให้หมดจนเหลือรอดเพียงแค่หนึ่งเดียว ก็มีอีกวิธีที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเอาชนะได้เช่นกันโดยเรียกมันว่า Showdown Time โดยไอ้ Showdown Time มันคือการมาของ มงกุฎ ซึ่งจะปรากฎให้เห็นในช่วงท้ายเกม โดยผู้เล่นจะต้องทำการชิงมันแล้วถือครองไว้ให้ได้ภายใน 45 วินาทีโดยผู้ที่ถือครองจะถูกแสดงตัวตนพร้อมกับผู้เล่นอื่นๆ จะทำการไล่ล่าเรา ฟังดูเหมือนใช้เวลานิดเดียว แต่สำหรับเกมนี้ 45 วินาทีถือว่ายาวนานมากๆ เพราะด้วยระบบเกมที่ว่องไว ฉะนั้นจึงต้องงัดทักษะและอาวุธทุกอย่างที่มีเพื่อมงกุฎอันล้ำค่านี้ บอกเลยว่า โค-ตะ-ระ มันมากๆ แต่มันก็อาจจะไม่มันเท่าไหร่สำหรับมือใหม่นัก เพราะมันคือการชิงไหวชิงพริบสกิลเพลย์ของผู้เล่นระดับสูงนั้นเอง หากคุณตาย อย่าเพิ่งออกเกมเพราะเราชุบได้ ในช่วงเวลาที่เราตายสำหรับโหมด Squad และ Faction War เราจะได้รับโอกาสในการชุบชีวิตโดยมีเงื่อนไขว่า เราจะต้องไปยังจุดที่คู่แข่งตาย จะปรากฎจุด Restore ทรงสามเหลี่ยมขึ้น ให้เรายืนรอในนั้นแล้วรอเพื่อนมากดชุบชีวิตอีกที แน่นอนว่าเราไม่สามารถยืนบนจุด Restore ของตัวเองได้ ทำให้ระบบการชุบชีวิตเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ไปเลย และยังสามารถชุบได้เรื่อยๆ ตราบใดที่มีจุด Restore จากการสังหารศัตรูให้เราเข้าไปรอเพื่อนชุบชีวิต โหมด Faction War ยกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกม คงอาจจะไม่พูดถึงโหมด Solo หรือ Squad มากนักเพราะมันก็แทบไม่แตกต่างอะไรนัก แต่สำหรับโหมด Faction War คงไม่พูดไม่ได้ เรายกให้เป็นโหมดดีเด่นของเกมนี้ เพราะมันคือการนำทีม 24 คน มาตะลุมบอนกับทีมที่เหลืออีกสามทีม บอกเลยว่าสู้กันดุเดือดมากๆ และเหมาะกับผู้เล่นใหม่ที่สุดเพราะว่าไม่ต้องกังวลว่าเราอาจจะสู้ใครไม่ได้ เพราะเรามาเยอะ แน่นอนว่าสามัคคีคือพลังแม้ว่าเราจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็ตาม เพียงแค่อยู่แนวหลังค่อยๆ ช่วยยิงก็พอแล้ว ที่เหลือคือเรียนรู้พัฒนาฝีมือจนแกร่งกล้าก็ค่อยเล่นโหมดอื่นก็ยังไม่สาย ทำให้รู้สึกได้เลยว่าโหมดนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่และยิ่งคนเยอะ ทำให้เกมเพลย์ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดจึงพอสามารถยิงต่อสู้ได้บ้าง เจอรถเหลือง อย่าไปเหยียบหรือใกล้มัน ระบบนี้ถึงจะเป็นระบบเล็กๆ แต่ก็ไม่ควรจะละเลยมันคือรถสีเหลืองพวกนี้ หากเราเข้าใกล้หรือตกจากที่สูงไปเหยียบหลังคารถเมื่อไหร่ มันจะส่งเสียงดังพร้อมเผยตำแหน่งของเรา มันจะแย่มากหากเล่นในโหมด Solo หรือ Squad แต่มันก็จะแทบไม่มีผลอะไรกับโหมด Faction War นักเพราะพวกเยอะ ใครจะกล้ามายิงเรา Event Time สิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนการเล่นของเราชั่วพริบตา ระหว่างการเล่นนั้นเราอาจจะได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า Event Time โดยจะมีปรากฎการณ์แบบสุ่มขึ้นมาในรูปแบบจำกัดเวลาเช่น เลือดฟื้นฟูไวขึ้น, กระโดดได้ถึงสี่สเต็ป, กระโดดสูง หรือแม้กระทั่งกระสุนไม่จำกัด นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ อีกมากมายที่จะรอเซอไพร์สเราอีก มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นและบางครั้งมันอาจจะเปลี่ยนหรือพลิกสถานะการณ์ได้เลยล่ะ กราฟิคและ Performance ในเกมอาจจะยังขัดใจ สำหรับกราฟิกในเกม Hyper Scape ก็สวยใช้ได้ในแบบของมัน แต่ถามว่ามันดูลื่นไหลหรือดีขนาดนั้นไหม ก็ตอบได้เลยว่าอาจจะไม่โดยเฉพาะโหมด Faction War ที่บางครั้งหากตะลุมบอนกันจำนวนมากในจุดเดียวอาจจะเกิดการ Lag หรือกระตุกได้ รวมถึงบัคเสียงหายที่ยังแก้ไม่หายในช่วง Closed Beta Test จากที่เล่นเกมฟังเสียงระทึกมันๆ จู่ๆ เสียงก็หายไปดื้อๆ อาจจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันเสียหน่อย ================================================== โดยสรุปแล้ว Hyper Scape เป็นเกมแนว Battle Royale ที่แปลกใหม่ แต่ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นกัน (ยกเว้น Faction War) ด้วยระบบเกมที่ไว ยิงไว เคลื่อนที่ไว แต่ยิงตายกันยากหากไม่แม่นพอ แต่ใช่ว่ามือใหม่จะเล่นไม่ได้เลยต้องอาศัยเวลาการปรับตัวระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วสนุก ใช้เวลาจบเกมไม่นานและที่สำคัญเลยคือหากใครชอบแนวเกมไว Hyper Scape อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้เล่นที่ชื่นชอบความท้าทายและตอบโจทย์ได้อย่างดีแน่นอน [penci_review id="65106"]
24 Aug 2020
เล่าประสบการณ์ หลังสัมผัส Rocket Arena "ทำไมถึงไม่เป็นเกม F2P?!"
Rocket Arena เกม Hero Shooter แบบ 3v3 ที่ผู้เล่นทุกคนจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจรวดในการเผชิญหน้ากัน เกมดังกล่าวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Overwatch เล็กน้อย แต่จุดเด่นของเกมนี้คือการที่ผู้เล่นจะได้ใช้ปืนยิงจรวดในการปะทะกันพร้อมกับทำเป้าหมายต่างๆ ที่เกมสุ่มมาให้ในแต่ละแมตซ์ให้สำเร็จ แต่ตัวเกมนี้ถึงแม้จะมีหลากหลายโหมดและหลายเป้าหมายให้ผู้เล่นได้เล่นกันก็ตาม แต่มันยังไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความคุ้มค่ามากนักหากต้องซื้อเกมนี้มาเล่นในราคาเต็ม 999 บาท เพราะอะไรผู้เขียนจึงคิดเช่นนี้ ก็สามารถอ่านได้จากข้างล่างนี้เลยครับ! กราฟิก กราฟิกของเกม Rocket Arena นั้นโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันค่อนข้างสวยทีเดียวครับ สีสันสดใสแต่ไม่ได้ระคายตาแต่อย่างใด โมเดลตัวละคร 3D ก็นับว่าน่ารักใช้ได้ ส่วนวัตถุแวดล้อมต่างๆ ในแผนที่ อย่างก้อนหิน ต้นเสา ต้นไม้ นั้นไม่ได้สวยเท่าไหร่นัก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะไม่ได้เน้นตกแต่งรายละเอียดสภาพแวดล้อมมากนัก แต่ก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ครับ เนื่องจากเกมนี้เป็นเกมที่ตัวละครของผู้เล่นจะเคลื่อนไหวแทบตลอดเวลา แถมแต่ละแมตซ์ในเกมก็จบค่อนข้างเร็ว อีกทั้งการเคลื่อนไหวของตัวละครก็เร็วพอสมควร ดังนั้นผู้พัฒนาจึงละทิ้งรายละเอียดของพวกก้อนหิน หรือกำแพงไป เพื่อเน้นในเรื่องอื่นแทน แต่สิ่งที่มาทดแทนความสวยงามของสภาพแวดล้อมพวกนี้ก็คือความสวยงามของเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์สกิล และเอฟเฟกต์อาวุธของตัวละคร เนื่องด้วยอาวุธของตัวละครนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นกระสุนระเบิด แต่ก็มีทั้งรูปแบบระเบิดไพ่ เครื่องยิงระเบิดน้ำ หรือกระทั่งหอกระเบิด ดังนั้นเอฟเฟกต์ต่างๆ ภายในเกมนี้จึงเยอะมาก แต่สำหรับเครื่องคอมระดับกลางๆ ก็ไม่ได้เกิดอาการกระตุกเลยแม้แต่น้อยครับ และเกมนี้มีแผนที่หลายแบบเหมือนกัน ทั้งแบบที่มีอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงหิน นอกจากนี้โมเดลตัวละครก็ถือว่าน่ารักมากเช่นกัน รูปลักษณ์ตัวละครทั้งสิบภายในเกมนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่ถือ อุปกรณ์ที่สวมใส่ หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ อย่างเครื่องไอพ่นที่ติดอยู่บริเวณหลังสำหรับลอยตัวกลางอากาศไปจนถึง Hoverboard ของ Rev ที่เธอสามารถใช้เร่งความเร็วในการเคลื่อนที่หรือใช้โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย เกมเพลย์ ตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง ทั้งการใช้สกิลเพื่อโจมตีหรือหลบหลีก และเกมนี้จะค่อนข้างเป็นเกมที่ตัวละครเคลื่อนที่เร็ว ทั้งพุ่งไปข้างหน้า บินขึ้นฟ้า หรือการหมุนตัวเพื่อหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นสำหรับคนที่เป็น Motion Sickness อาจจะเล่นเกมนี้ไม่ไหวครับ โดยเกมนี้จะมีโหมดให้เล่นทั้งหมด 3 แบบในตอนนี้ ส่วนโหมด Rank มีอยู่ในเกมแล้วแต่ยังไม่เปิดให้เราได้เล่นกัน ที่สำคัญสำหรับคนที่เคยเห็นหรือเคยเล่นเกมอย่าง Super Smash Bros. หรือ Brawlhalla มาก่อนก็จะคุ้นเคยกับการที่จะต้องโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะ K.O. (Knockout) หรือผลักฝ่ายตรงข้ามออกนอกแผนที่เพื่อที่จะให้ฝ่ายตรงข้าม K.O. กันดีครับ เพราะเกมนี้ก็ใช้ระบบแบบนั้นเช่นกันครับ ส่วนระบบการรอห้องถ้าเป็นเกมแนว Multiplayer แล้วล่ะก็ทุกคนคงต้องกังวลกับการต้องใช้เวลารอห้องอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเกมไม่ได้ทำให้การหาห้องของเกมนี้นานจนเกินไป เพราะเกมนี้สามารถเลือกเปิดให้เล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ ดังนั้นผู้เล่นจะได้เจอผู้เล่นฝั่ง PC กับฝั่งคอนโซลอย่าง PS4 ได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ จำนวนผู้เล่นก็จะมากขึ้นและหาห้องได้ไวขึ้น แต่ด้วยการนำผู้เล่นจากทุกแพลตฟอร์มทั่วโลกมาเล่นรวมกันต้องยอมรับเลยว่าจะต้องมีความเลื่อมล้ำของค่า PING อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้มากเสียจนไม่สามารถเล่นได้ครับ โดยโหมดต่างๆ ของตัวเกมมีดังนี้ Arena Mode จะเป็นโหมดที่เล่นตามเป้าหมายที่เกมจะสุ่มมาให้ เช่นการเก็บเหรียญบนพื้นที่หากทีมใดสามารถครองเงินไว้ในมือได้สูงสุดก็จะชนะไป หรือเป้าหมายสุดเบสิกที่เห็นได้บ่อยๆ ในหลายๆ เกม อย่างการครองพื้นที่ ที่ผู้เล่นจะต้องอยู่ในวงกลมตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อยึดพื้นที่จุดนั้น โดยระหว่างนั้นก็ต้องต่อสู้กับทีมตรงข้ามที่จะมาแย่งเรายึดพื้นที่ไปด้วยเช่นกัน   Knockout Mode เป้าหมายของโหมดนี้ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นโหมดที่ให้ผู้เล่นวัดฝีมือ และความพริ้วไหวในการยิงจรวดใส่ฝ่ายตรงข้าม การชนะในโหมดนี้นับจากจำนวนที่ K.O. อีกฝ่ายได้ ทีมไหนแต้มเยอะกว่าก็ชนะไป ถ้าหากใครต้องการความตื่นเต้นที่จะมีกระสุนจรวดพุ่งมาได้ทุกทิศทุกทางก็ต้องโหมดนี้เลยครับ!   RocketBot Attack Mode โหมดต่อสู้กับบอทที่เราสามารถร่วมสู้ไปกับเพื่อนๆ ได้ โดยโหมดนี้จะจำกัดการถูก K.O. ของฝั่งผู้เล่นไว้ที่ 9 ครั้ง และฝั่งบอท 30 ครั้ง หากฝั่งไหนถูก K.O. ครบก่อนก็จะแพ้ไป ระบบเติมเงิน เกม Multiplayer ไม่ว่าเกมไหนก็ต้องมีระบบนี้จริงๆ ครับ ถ้าหากจะถามว่าควรจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ทั้งๆ ที่ซื้อตัวเกมมาแล้วก็ตอบตรงนี้ได้เลยครับว่าไม่ได้จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มขนาดนั้น เพราะจากการเล่นเกมใน 1 แมตซ์ หากเป็นฝ่ายชนะจะได้เงินราวๆ สองถึงสามพันเลยทีเดียว แต่หากแพ้ก็จะได้อยู่ที่หนึ่งพันกว่าๆ ซึ่งถ้าจะให้พูดก็คือตัวเกมไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นต้องเติมเงินขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นสินค้าในหน้าร้านค้าบางชิ้นก็มีแต่ต้องเติมเงินเพื่อที่ได้จะมันมาครับ แต่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หากเฉลี่ยราคาของสกินรวมไปถึงเอฟเฟคต่างๆ ของตัวเกมจะอยู่ที่ 1 หมื่นไปจนถึง 5 หมื่น หากเล่น 5 แมตซ์ ขึ้นไปก็สามารถซื้อของได้โดยไม่ต้องเติมเงินเลย แต่หน้าร้านค้าในเกมตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้เรายอมเสียเงินซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้นอกจากสกินตัวละคร ลายธงที่โชว์ตอนเริ่มแมตซ์ ก็มีเอฟเฟกต์ควันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครอยากสวยงามและเด่นกว่าคนอื่นในเวลาอันรวดเร็วไม่อยากต้องรอคอยแล้วหล่ะก็จะเติมเงินเพื่อซื้อก็ไม่เสียหาย   ตัวละคร ตัวละครในเกมนี้ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นรูปแบบการเล่นของแต่ละตัวนั้นจะต่างกัน ทั้งสกิล เทคนิคการยิง และกระสุนจรวด ทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ นอกจากนี้ตัวละครยังสามารถเปลี่ยนสกินได้มากมาย แน่นอนว่ามันต้องซื้อ และในเกมนี้ยังมีไอเทมพิเศษสำหรับช่วยผู้เล่นอย่าง Artifact ที่สามารถใส่ได้สามชิ้นต่อหนึ่งตัวละคร โดยบางชิ้นอาจเพิ่มความสูงตอนกระโดดเล็กน้อย และบางชิ้นก็อาจเพิ่ม Damage ให้ผู้เล่นเมื่อทำการ K.O. ฝ่ายตรงข้ามได้ ในส่วนของ Artifact นั้นไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นมากนักในช่วงเริ่มต้นแต่เมื่อผู้เล่นอัพเลเวล Artifact โดยการสวมใส่มันแล้วนำไปเล่นในโหมดใดๆ ก็ตาม Artifact จะได้ EXP หลังจบเกม และเมื่อ Artifact เลเวลสูงขึ้นค่าสถานะที่ Artifact ชิ้นนั้นๆ เพิ่มให้กับผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยบางชิ้นอาจจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่บางชิ้นก็บอกเพียงแค่ว่าเพิ่มความสูงของการกระโดดจากพื้นดินเพียงเท่านั้น สรุป เกมนี้หลังจากที่ได้ลองเล่นดูก็นับว่าไม่ได้แย่อะไรครับ เกมเพลย์ค่อนข้างสนุก สามารถเพลิดเพลินไปกับเพื่อนๆ ได้ดีเลย คอนเซ็ปต์ที่มีแต่ปืนยิงจรวดก็น่าสนใจดี ในส่วนของเรื่องกราฟิกโดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบครับ แต่เมื่อเทียบกับเกมใหม่ๆ ที่ออกมาในปีนี้แล้ว กราฟิกของเกมนี้ดูไม่เหมาะกับปี 2020 ไปเลย และในส่วนของราคาเกมนี้อยากที่กล่าวข้างต้นว่าอยู่ที่ 999 บาท ซึ่งในความคิดของผู้เขียน มันถือว่าแพงเกินไปสำหรับคุณภาพของเกมในตอนนี้ ถ้าหากลดมาอยู่ในช่วง 400 - 500 บาท หรือเปิดให้เล่นแบบ Free-to-play ไปเลยมันจะสมเหตุสมผลมากกว่า โดยรวมแล้วถือเป็นเกมที่ไม่จำเป็นต้องหามาเล่นก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากหาเกมยิงสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกับเพื่อนๆ เกมนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อย เพียงแต่จะดีกว่าถ้ารอซื้อตอนเกมนี้ลดราคาครับ ข้อดี หนึ่งแมทช์ใช้เวลาไม่นาน ตัวเกมเข้าใจง่าย มีการสอนก่อนเริ่มเล่นจริง เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เพราะไม่มีเลือด หรือภาพตัวละครถูกสังหาร ข้อเสีย เกมมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับระบบของเกมในตอนนี้ ระบบการยิงนั้นปกติ แต่การยิงให้โดนตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่โดดไปมาอยู่นั้นนับว่ายากมากสำหรับผู้เริ่มเล่นแนวนี้
18 Aug 2020
รีวิวเกม Might & Magic: Era of Chaos เกมรบทัพจับศึกสุดแฟนตาซี
ซีรีส์ Might & Magic เป็นซีรีส์เกม RPG สวมบทบาทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป ถือว่าเกมนี้เป็นระดับตำนานเลยก็ว่าได้ โดยตัวเกมตัวแรกสุดของซีรีส์ Might & Magic ปล่อยออกมาในปี 1986 หลังจากนั้นมา ตัวเกมก็มีภาคใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่แพลตฟอร์มมือถือเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเกมแนวใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย Might & Magic เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งเกม ที่ได้ทำการวิวัฒตัวเองไปสู่เกมรูปแบบใหม่เช่นกัน Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG บนแพลตฟอร์ม Android และ iOS เปิดให้บริการโดยค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างค่าย Ubisoft โดยตัวเกมแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น Strategy RPG  ก็ตาม แต่เอาจริง ๆ ตัวเกมสามารถเรียกได้ว่าเป็นเกมแนว RPG สไตล์จัดทีมตัวละคร ที่จะส่งให้ทีมตัวละครของเราและฝั่งศัตรูได้ออกไปสู้กันโดยอัตโนมัตินั่นเอง ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเกม Might & Magic: Era of Chaos เป็นเกมแนว Strategy RPG ที่เราจะได้เลือกฮีโร่และจัดทีมกองทัพของตัวเอง ให้ออกไปต่อสู้กับกองทัพของศัตรู ตัวเกมโดดเด่นเป็นอย่างมากในการหยิบเอาตัวละคร ธีมเกม ฉาก รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ มาจากซีรีส์ Might & Magic ซึ่งได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่มีทั้งเผ่า โลก เวทย์มนตร์ และตัวละครสำคัญ ๆ ที่มีเสน่ห์มากมายให้เราได้หลงใหล กราฟฟิก และงานออกแบบ "กราฟิก 2D รายละเอียดดี ภาพประกอบคุณภาพงานแฟนตาซีแท้" กราฟฟิกตัวเกมของ Might & Magic: Era of Chaos จะมาในรูปแบบสไตล์แนวการ์ตูน 2D แต่คงไว้ด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้อย่างปราณีตครบถ้วน โดยเฉพาะภาพประกอบต่าง ๆ ของตัวละครที่ทำออกมาในรูปแบบการ์ด ก็ทำออกมาได้ดูดีมาก ถ้าปริ๊นออกมาเป็นการ์ดจริง ๆ ผมว่าสามารถนำมาขายได้เลยละ จุดหนึ่งที่ตัวกราฟฟิกทำออกมาดี คือฉากการต่อสู้ เพราะในเกมในสไตล์เดียวกันกับ Might & Magic: Era of Chaos ฉากต่อสู้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างและมาก ๆ ดูไม่ออกว่าใครสู้กับใคร ใครทำอะไรบ้าง มันทำให้เราพลาดความเท่ห์ หรือเสน่ห์ของตัวละครที่ทำออกมาอย่างดีไปเสียหมด แต่สำหรับฉากต่อสู้ของ Might & Magic: Era of Chaos ถือว่าทำออกมาดูดีทีเดียว เราสามารถเห็นกลุ่มก้อนของยูนิตแต่ละตนได้เป็นอย่างดี และเห็นว่าตัวละครเหล่านั้นทำอะไรลงไปบ้าง ระบบเกมเพลย์ "จัดทัพตัวละคร วางกลยุทธ์ตำแหน่ง เหมือนเล่นเกมหมากกระดาน แต่ตัวหมากมีชีวิต สกิล และความแข็งแกร่งที่สามารถสอดผสานกันได้" ตัวระบบเกมเพลย์หลักหรือระบบต่อสู้ภายในเกม จะมาในรูปแบบของเกมแนว RPG จัดทีม ที่ปล่อยให้ฮีโร่ของเราออกไปต่อสู้กับทีมฮีโร่ของฝั่งศัตรูโดยอัตโนมัติ แต่แตกต่างนิดหน่อยตรง Might & Magic: Era of Chaos จะให้ความรู้สึกถึงความเป็นกองทัพมากกว่า โดยภายในตัวเกม เราจะสามารถจัดกองทัพของเราได้สูงสุด 8 ยูนิต ซึ่งยูนิตบางประเภทจะไม่ได้ออกมายืนโดดเดี่ยวตนเดียว แต่จะมายืนเป็นกลุ่ม เวลาต่อสู้ จึงเหมือนการเคลื่อนพลของกองทัพ มากกว่าเห็นเป็นตัวละครวิ่งเข้าไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม ความพิเศษของ Might & Magic: Era of Chaos คือเรามีพื้นที่ให้วางยูนิตทั้งหมด 4 x 4 ช่องเท่านั้น และจะแบ่งแถวหน้าหลังไว้เท่า ๆ กันที่ 2 x 4 ช่อง โดยยูนิตภายในเกมแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 สาย โดย โจมตี ป้องกัน และจู่โจม จะเป็นยูนิตแถวหน้า ส่วน ระยะไกล กับคาสเตอร์จะถูกล็อคไว้ให้อยู่แถวหลัง โดยการวางตำแหน่งตัวยูนิต ถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ เพราะจะหมายถึงการปะทะ หรือการเจาะเข้าสู่ตำแหน่งยูนิตแถวหลัง ซึ่งมีพลังป้องกันที่น้อยกว่าได้ นอกจากการจัดทัพตัวยูนิตแล้ว ตัวเกมยังมีระบบ "ฮีโร่" หรือคนคุมกองทัพ โดยในปัจจุบันฮีโร่ของ Might & Magic: Era of Chaos มีมากถึง 23 ตน ฮีโร่เป็นตัวละครที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะช่วยบัพโบนัสค่าสเตตัสให้ตัวยูนิตในกองทัพของเราเองแล้ว ฮีโร่ยังเป็นตัวแปลในการใช้สกิลในระหว่างการต่อสู้อีกด้วย โหมด & ระบบการเล่น "การันตีเรื่องโหมดการเล่นที่เยอะมาก ตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน" ใน Might & Magic: Era of Chaos การปลดล็อคระบบต่าง ๆ ทำได้ด้วยการเพิ่มระดับเลเวลของตัวเรา ตัวเกมมีระบบให้เราได้เล่นได้ศึกษาเยอะมาก ตั้งแต่ระบบอัปเกรดร้อยแปด ทั้งอัปเกรดยูนิต อัปเกรดฮีโร่ ระบบภารกิจ ระบบแจกของมากมาย โหมดเนื้อเรื่อง โหมด PVP โหมด PVE ระบบ Guild โหมดอีเวนท์รายวันรายสัปดาห์ ระบบค่ายทหาร และอีกมากมายหลายหลากตามสไตล์เกม RPG บนมือถือยุคปัจจุบัน ระบบกาชา "ระบบกาชาแบบเศษยูนิต พร้อมการสุ่ม SSR แบบ 100%" ระบบกาชาของ Might & Magic: Era of Chaos แม้จะมีแจกให้เราได้หมุนฟรีวันละ 1 ครั้ง แต้ตู้กาชาของตัวเกมก็ค่อนข้างที่จะหมุนให้ได้ยูนิตตามที่ต้องการยาก เพราะภายในตู้จะไม่ได้ออกมาแค่ยูนิตเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับเศษของยูนิต ซึ่งการจะได้ตัวละครระดับ SSR มาครองค่อนข้างหวังกับการสุ่มเป็นครั้ง ๆ ได้ยาก เน้นกาชาให้ครบ 100 ครั้งจะดีกว่า เพราะพอครบ 100 ครั้ง ระบบจะสุ่มปล่อยยูนิต SSR มาให้เราได้เชยชม 1 ตัวแบบ 100% อย่างไรก็ตาม เศษยูนิตของฮีโร่ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะมันเอาไว้สำหรับอัปเกรดเพิ่มดาวให้ตัวละคร ซึ่งจะทำให้ตัวละครแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้นั่นเอง นอกจากนี้ตัวละครระดับ SR ก็เป็นตัวละครที่อัปเกรดได้ง่าย สามารถสอดผสานกันได้ดีไม่แพ้ตัวละครระดับ SSR ดังนั้นต่อให้เกมนี้ยูนิต SSR จะออกยากไปหน่อย แต่ยูนิตระดับ SR ก็เจ๋งไม่แพ้กันเลย สรุป "เกมจัดทัพตัวละครที่ให้อารมณ์วางกลยุทย์ และควบคุมกองทัพใหญ่จริง ๆ แม้ว่าตัวเกมจะเป็นเกม RPG ทั่ว ๆ ไปก็ตาม" ผมชอบสเน่ห์ของ Might & Magic: Era of Chaos ตรงตัวละคร และงานออกแบบต่าง ๆ เรารู้สึกได้เลยว่านี้คือโลกแฟนตาซี การจัดทีมตัวละคร ให้อารมณ์เหมือนการจัดกองทัพมากกว่าจะเรียกว่าเป็นแค่การจัดทีม เราต้องรู้จักวางกลยุทธ์ให้กองทัพของเราได้เปรียบกว่ากองทัพศัตรู การกดใช้สกิลของฮีโร่ระหว่างการต่อสู้มีผลต่อรูปเกมเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นผู้วิเศษของกองทัพ ที่สามารถใช้พลังเวทย์กวาดต้อนกองทัพของศัตรูให้ราบเรียบได้ในครั้งเดียว หากคุณชอบเกมแนว RPG แฟนตาซี ที่ให้อารมณ์การจัดกองทัพ การวางกลยุทธโดยอิงตำแหน่งของตัวละครเป็นหลัก Might & Magic: Era of Chaos สามารถตอบโจทย์ความชอบของคุณได้แน่นอน ดาวน์โหลดเกม Might & Magic ®: Era of Chaos  [penci_review id="63847"]
18 Aug 2020
รีวิว Call of Duty: Warzone เกม Battle Royale สุดโหด ไม่เดือดจริงอยู่ไม่ได้
จุดเริ่มต้นกระแสเกมแนว Battle Royale ต้องย้อนกลับไปในช่วงราวๆ 4 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ PUBG ยลโฉมให้เล่นกัน แม้จะไม่ใช่เกม Battle Royale เกมนี้ ( เกมแรกที่คนคุ้นเคยจริงๆ คือ ArmA 2: Battle Royale mod ) แต่ก็ทำให้ทั่วโลกต่างสนใจและเกิดเป็นกระแส Fever จนค่ายเกมหลายๆ เจ้าเริ่มทำเกมแนว Battle Royale เป็นของตัวเองกันบ้าง ล่าสุดทาง Infinity Ward ก็ไม่น้อยหน้าเอาเกม Call of Duty: Modern Warfare ภาคล่าสุดที่เป็นกระแสไม่ดีสุดๆ ก็แย่แบบสุดโต่งในแง่การเมืองระหว่างประเทศ เพราะสำหรับชาวตะวันตกถือว่าละเอียดอ่อนมาก จับมาเพิ่มโหมด Battle Royale ภายใต้ชื่อว่า Warzone ซึ่งเป็นโหมดที่แยก Standalone ออกมาจากตัวเกมหลักและเล่นฟรีไม่คิดเงิน แถมคนเข้ามาเล่นกันจนแน่นเซิร์ฟเวอร์ภายในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทาง GameFever TH ก็ได้เห็นความมันและอลังการงานสร้างของโหมดนี้แล้วก็ชักจะพิสูจน์แล้วว่ามันจะสนุกมากน้อยเพียงไหน เอาล่ะคงไม่ต้องสาธยายให้ยาวมาก ไปดูกันเลยดีกว่าว่าความรู้สึกหลังจากได้เล่นโหมด Warzone ร่วมๆ 15 ชั่วโมงแล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง ================================================== Call of Duty กับภาพลักษณ์ Battle Royale สุดโหด ตั้งแต่เข้าดู Trailer จนกระทั่งเข้าเกมมา แน่นอนว่าตัวเกมจะบังคับให้เราเล่น Tutorial ซึ่งบอกเลยว่าสำคัญมาก ใครคิดจะ Skip คิดว่าเกมแนว Battle Royale มันก็เหมือนๆ กันหรือออกเข้าเกมใหม่หวังจะเล่นเกมไวๆ ล่ะก็ ตัวเกมไม่อนุญาตจนกว่าเรียนรู้ Tutorial อย่างเข้มข้มให้เรียบร้อย ถือว่าเป็น First Impression ที่ชอบนะ คือคุณอยากเล่น คุณก็ต้องเรียนรู้ ถ้าคุณไม่เรียนรู้ คุณก็จะกลายเป็นไก่ ขนาดตัวเองมีเกม Modern Warfare ตัวเต็มก็ยังไม่ละเว้นที่ต้องเรียนรู้ Tutorial ก่อน ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่า Warzone น่ะมีอะไรที่แตกต่าง ถือว่าควรค่าแก่การยอมสละเวลาสักนิดเพื่อศึกษาระบบโลกของ Battle Royale เกมนี้ดีกว่าไปลงสนามแบบไม่รู้อะไรเลย ส่วนหน้า Interface ก็ไม่มีอะไรมาก ด้านซ้ายจะมีโหมดให้เลือกเล่นได้แก่ โหมด Battle Royale: เป็นโหมดที่เรากับผู้เล่นอีกสองคน ร่วมฝ่าฝันและสังหารผู้เล่นคนอื่นๆ จำนวน 150 คน เข้าลงสมรภูมิ Verdansk ดินแดนสมมุติของประเทศรัสเซีย ( แต่ในเกมจะใช้ชื่อประเทศแบบเลี่ยงๆ กันดราม่านั้นแหละ ) ภารกิจคือ หลบหนีเข้ามายังเซฟโซนที่มีแก๊ซพิษไล่หลังเราเรื่อยๆ และอยู่รอดจนเป็นคนสุดท้ายหรือทีมสุดท้าย เป็นโหมดที่เน้นทักษะการเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุดเพื่ออยู่รอดให้นานที่สุด โหมด Plunder: โหมดนี้จัดได้ว่าค่อนข้างแหวกแนวหน่อยๆ โดยเรากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน โดดร่มลงพื้นที่ Verdansk แล้วทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เงินมาแล้วส่งเงินขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรือบอลลูนฉุกเฉินแย่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ อีก 150 คน โดยเราสามารถตายและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ตลอดเวลา ทีมไหนที่ส่งเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์หรือมีเงินสะสมมากที่สุดในทีมก็จะเป็นผู้ชนะ ถือว่าเป็นโหมดที่เน้นเอาสะใจมากกว่าเอาตัวรอดแบบปกติ โหมด Pratice: เป็นโหมดฝึกซ้อม หากใครผ่าน Tutorial ครั้งแรก็สามารถกลับมาเล่นซ้ำเพื่อทบทวนและฝึกฝนได้ Squad Fill: เราสามารถเลือกที่จะเติมคนนอกเข้ามาร่วมทีมแบบอัตโนมัติหรือไม่ แต่หากใครที่ชอบ Solo หรือแกร่งกล้าพอก็สามารถปิด Squad Fill ได้เช่นกัน ส่วนด้านขวาก็จะเป็นเควสต์ที่เป็นเควสต์ประจำวันและภารกิจที่อยู่ตลอดจนกว่าเราจะทำเสร็จ ซึ่งก็มีการแจกอุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนัก Loadout, อาวุธปืนและ Perk ที่มีความสำคัญกับผู้เล่น อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ ทั้งคนที่มีตัวเกม Call of Duty: Modern Warfare หรือยังไม่มีขอเล่นฟรีก่อน สำหรับ Loadout ผู้เล่นสามารถปรับแต่งปืนแล้วสร้างเป็น Loadout ของตัวเองได้ โดยมันจะถูกใช้ตอนเราเรียก Loadout Package ตอนเล่นและเมื่อเปิดกล่องก็จะเป็นการเรียก Loadout ที่เราเซ็ตไว้แต่แรก ( พูดง่ายๆ ก็คือเรียกกล่องลงมานั้นแหละแล้วจะได้อาวุธที่เราตั้งค่าไว้ ) โดยผู้เล่นที่มีตัวเกมจะได้เปรียบอยู่นิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่เล่นมานาน อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ก็ปลดล็อคเกือบหมดแล้วจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้เล่นฟรีไม่ต้องกังวลเพราะเกมนี้อาวุธทุกกระบอกมีความสำคัญพอๆ กัน และปืนกระบอกเดิมๆ แบบไม่แต่งก็ยังมีความสามารถที่จะหยุดยั้งศัตรูได้มากพอหากมีฝีมือ และสิ่งที่สายฟรีต้องพยายามมากกว่าคนที่มีตัวเกมเต็มก็คือ เกม Call of Duty: Modern Warfare นอกจากมีระบบเลเวลผู้เล่นแล้ว ก็ยังมีระบบเลเวลของปืนด้วย ซึ่งการที่จะเพิ่มเลเวลของปืนใน Warzone ก็คือการเรียก Loadout Package เลือกอาวุธที่เราตั้งค่าไว้แล้วให้ไปไล่ยิงศัตรูหรือทำเควสต์ตามทางให้ได้ ซึ่งทุกเลเวลของปืนจะปลดล็อคอุปกรณ์เสริมเพิ่มความสามารถของตัวปืนให้อีกด้วย คนเล่นเกมแนว Battle Royale เป็นประจำจะเข้าใจจุดนี้ดี อีกทั้ง Perk ต่างๆ ที่เป็นสกิลส่วนตัวช่วยเสริมความสามารถของผู้เล่นจะปลดล็อคตามเลเวลของผู้เล่นเอง  แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้จะปืนเดิมๆ แต่ก็แทบไม่ได้ส่งผลอะไรกับการสู้มากนักหากมีฝีมือมากพอ Operator ไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ผู้เล่นได้เปรียบ หลายคนอาจจะคิดว่า "เฮ้ย คนมีเกมตัวเต็ม ปลดล็อค Operator หลายตัวย่อมได้เปรียบกว่าสายฟรีแน่ๆ" แต่ขอให้คิดใหม่สักนิดเพราะทาง Infinity Ward ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Operator แค่ทำให้ตัวเองดูหล่อเท่ตอนลงบวกกันในสนามเท่านั้น แต่หากสายฟรีอยากปลดล็อค Operator ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อ Skin Operator ตัวนั้นๆ ที่จะวนขายในเมนู Shop หรือจะซื้อตัวเต็มแล้วทำเควสต์ปลดล็อคก็ได้ไม่ผิดกติกาอะไร และตัว Operator ใน Warzone จะไม่สามารถแต่งตัวเลือกเป็นชิ้นๆ เช่นเสื้อผ้า หน้าผมแบบเกมแนว Battle Royale อื่นๆ แต่จะมีเป็นชุดเซ็ต ชุดเสื้อผ้าให้เลือกใส่แทน ถ้านึกภาพไม่ออกก็เหมือนกับ skin ของเกม Rainbow six: Siege อะไรแบบนั้นก็ได้ ซึ่งก็ต้องหาซื้อใน Shop หรือทำเควสต์ถึงจะได้ชุดมาสวมใส่เล่นหากเบื่อรูปลักษณ์ Operator เดิมๆ ล่ะนะ ฉะนั้นผู้เล่นสายฟรีสบายใจได้เลยว่า Operator ไม่ได้ Over Power แต่อย่างใด แถมตัว Operator เดิมๆ ที่สายฟรีมีนั้นมันก็เท่บาดใจอยู่แล้ว แต่ Operator อื่นๆ แค่มันดูหล่อเท่แบบ 300% เฉยๆ การ Cross-Flatform ใช่ว่าผู้เล่นสาย Console จะสู้ไม่ได้ จากนี้ก็จะเริ่มมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า "เฮ้ย แล้วผู้เล่นสาย Console มาเล่นโหมดนี้ร่วมกับผู้เล่นบน PC จะไปรอดเหรอ ?" ขอบอกเลยว่ารอดและพวกเขาเล่นเก่งมากๆ ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างบุคคลที่ 1 ในตารางนี้ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องและถนัดการเล่นเกม CoD บน PlayStation 4 แต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเก่งกว่าคนเขียนรีวิวเสียอีก จึงอุ่นใจมากๆ และมั่นใจว่าทีมจะชนะแน่ๆ เมื่อได้เล่นกับเขาคนนี้ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าคนเล่นสายจอยจะไม่เก่ง เพราะบางทีเขาก็อาจจะยิงแม่นกว่าคุณก็เป็นได้ เราไม่ได้มาแค่ 100 คน แต่เรามาถึง 150 คน! เมื่อเราลองเริ่มเล่น โดยขอประเดิมโหมด Battle Royale กันก่อน ซึ่งระบบ Matmaking นี่ทำออกมาโอเคเลยนะ หาห้องค่อนข้างไวดี ไม่เกิน 1 - 2 นาทีก็พร้อมเล่นได้แล้ว แต่อาจจะเพราะตัวเกมเพิ่งเปิดโหมดนี้ใหม่และให้เล่นฟรี คนอาจจะตามเพราะกระแสก็เป็นไปได้ ช่วงระหว่างเตรียมตัวโดดร่มในภาพนี้ก็มีการให้ยิงเล่นกันก่อน ฝึกมือฝึกความเคยชินสักครู่ก่อนโดดร่มกันจริงๆ จังๆ หากผู้ในแง่คนที่เล่นเกม CoD: MW ก็อาจจะชินกับวิธีกระสุนของเกมนี้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นก็จะขอกบอกก่อนว่า ปืนเกือบทุกกระบอกจะมี Patern Recoil ที่กระสุนจะออกเบี่ยงไปทางขวา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปืนแต่ละกระบอก แต่ก็ไม่ใช่ทุกกระบอกที่จะเบี่ยงขวาฉะนั้นก็ระหว่างที่รอโดดร่มก็ศึกษาปืนที่ละปืนที่สุ่มให้ลองยิงเล่นให้เรียบร้อย โดยยิงใส่ชาวบ้านอีก 150 ชีวิตเนี่ยแหละ ซึ่งถือว่าเยอะมาก มีฉากคัตซีนตอนโดดร่มร่วมกับเพื่อนอีกสองคน "อย่างเท่!" การโดดร่มของที่นี่ ต้องมีศิลปะนิดหนึ่ง Call of Duty: Warzone ในช่วงที่เราเลือกตำแหน่งและโดดร่มลงมา เราสามารถเลือกที่จะสลัดร่มและกางร่มระหว่างที่เราร่วงลงมาได้ตลอดเวลาจนกว่าขาแตะพื้น ซึ่งมันสามารถทำให้เราควบคุมตำแหน่งการลงของเราที่ห่างจากตำแหน่งเครื่องบินตอนโดดร่มลงมาได้ไกลมากขึ้น โดยใช้วิธีกางร่มสลับสลัดร่มออกเพื่อให้ร่อนกลางอากาศได้นานและพุ่งไปหาตำแหน่งที่เราเลือกได้รวดเร็วในเวลาเดียวกัน ร่อนลงมาอย่างหล่อๆ แต่ว่าการร่อนลงมาถึงพื้นนั้นค่อนข้างช้าและไถลไปข้างหน้าค่อนข้างไว้ ฉะนั้นกะตำแหน่งลงล่วงหน้าก่อนขาแตะพื้นสักนิดก็เป็นอันใช้ได้ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนในภาพที่พยายามจะลงไปในสนามหญ้าแต่ดันลงกลางถนน สุ่มเสี่ยงต่อการโดนยิงมากๆ ระบบการเล่นที่ต้อง "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" ตลอดเวลา แน่นอนว่าพอสัมผัสการเข้ามาเล่นครั้งแรกก็ให้ความรู้สึกมีความเป็น Apex Legend อยู่อย่างมาก ต้องเรียกว่าแทบไม่ได้ฉีกออกจากเกม Apex Legend เลยด้วยซ้ำ ทั้งระบบการ Ping ที่ทำออกมาคล้ายๆ กันแต่ใช้งานง่ายกว่าในปุ่มเดียว, การสไลด์แม้จะไม่ได้ไถยาวแบบ Apex Legend แต่ก็เป็นการสไลด์สั้นๆ ที่เน้นเข้ากำบังให้ไวหรือหลบกระสุนศัตรูให้ยิงโดนเรายากขึ้นเท่านั้น ( ที่จริงในตัวเกมเต็มก็มีการไลด์แบบนี้เหมือนกัน ) และมีกลิ่นอายของ PUBG ผสมอยู่นิดหน่อย แต่กลับมีเอกลักษณ์ความเป็น Call of Duty อยู่เต็มเปี่ยม และสิ่งที่ดูแตกต่างไปจากเกมแนว Battle Royale อื่นๆ เลยก็คือ เราจะมีปืนพกติดตัวทันทีหนึ่งกระบอกซึ่งเกมอื่นๆ อาจจะเป็นแค่ตัวเปล่า ทำให้กลายเป็นว่าใครที่ลงถึงพื้นก่อนย่อมได้เปรียบในการยิงใส่ศัตรูที่ลงพื้นช้าทันที แถมยังมีผู้เล่นร่วมอีก 150 ชีวิตพร้อมโถมบวกใส่คุณทุกเวลา ฉะนั้นเมื่อลงถึงพื้น " รีบยิงศัตรูให้ไวก่อนที่เขาจะยิงใส่คุณ แล้วเอาตัวรอดให้ได้ซะ" ระหว่างนี้เราสามารถเข้าสำรวจพื้นที่ต่างๆ เพื่อรูทของตามกล่องต่างๆ ที่ถูกสุ่มเพื่อค้นหาอาวุธ เสบียงต่างๆ และอุปกรณ์เสริมที่ต้องใช้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะต้องใช้ช่องเก็บของเยอะแยะ เพราะ Warzone เราสามารถเก็บอาวุธได้แค่สองช่องเท่านั้น และจะไม่มีอุปกรณ์แต่งปืนดรอปตามทาง จะมีแต่ปืนที่ถูกแต่งมาเรียบร้อยแล้วดรอปให้เท่านั้น แต่หากรู้สึกไม่ถูกใจกับปืนที่ได้ ก็สามารถเรียก Loadout Package เพื่อใช้ปืนที่เราแต่งไว้ตั้งแต่แรกก็ได้โดยต้องหา Shop Station และใช้เงินแลกซื้อมันมา แม้เลือดจะ Regen เองได้ แต่ตัวละครเราตายง่ายเช่นกัน แม้ความไวในการเล่น Call of Duty: Warzone จะค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับ Apex Legend แต่ว่าตัวเกมก็ใช้ระบบพลังชีวิตแบบฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติเหมือนตัวเกมเต็ม คือหากเราไม่ตายแล้วหลบไปหาที่กำบังสักพัก เลือดก็จะกลับมาฟื้นฟูจนเต็ม แต่ตามสไตล์ของเกม CoD คือโดนยิง 3-4 นัดก็ลงไปนอนง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ปืนเกือบทุกกระบอกฆ่าศัตรูได้เพียงไม่กี่นัด แม้ว่าเราจะสวมเกราะจนเต็มหลอดแต่ก็โดยิงร่วงตายง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะปืนซุ่มยิงหากยิงใส่แล้วเราไม่มีเกราะ เรามีสิทธิ์ลงไปนอนภายในนัดเดียว ต่อให้มีเกราะก็ไม่เกินสองนัด หากใครคิดจะปะทะแล้วใช้วิถีวิ่งเข้าไปบวกแบบไวๆ ล่ะก็คิดผิด หากยิงไม่แม่นโดนสวนก็ลงไปนอนง่ายๆ เพียงไม่กี่อึดใจ แม้เกมจะช้า แต่ตัวก็ตายไวจงวางแผนร่วมกับทีมดีๆ ยิงให้แม่นๆ เพื่อชัยชนะของเรา Gulag, Welcome to the Gulag! และสิ่งที่มองว่าเป็นหนึ่งในสอง Signature ของเกมนี้เลยก็คือ หากใครตายโดยเพื่อนเข้าไปช่วยตอนล้มไม่ทันโดนยิงซ้ำตายครั้งแรก เราจะถูกส่งเข้าไปในคุก Gulag ซึ่งเป็นคุกอันมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายในรัสเซียตั้งแต่สมัยยุคสหภาพโซเวียต และเคยปรากฎในเกม Call of Duty: Modern Warfare 2 ในภารกิจช่วย Captain Price ออกมาจากคุกด้วย และทางนี้ชื่นชอบคัตซีนเป็นพิเศษทำให้รู้สึกว่าเกมโหมดนี้โคตรใส่ใจ โดยระหว่างที่เราอยู่ในคุก Gulag เราก็ต้องมานั่งดูผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก ต้องดวลกันแบบ 1 ต่อ 1 ด้วยอาวุธที่ถูกสุ่มมาให้ในห้องน้ำของคุก ( ฉากนี้คุ้นๆ ไหมล่ะ ) โดยเราต้องรอคิวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงคิวเรา ระหว่างนี้เราสามารถเกรียนใส่คนดวลกันด้วยการปาก้อนหินเล่นได้ ชั่วร้ายมาก ฮ่าๆๆๆ!! และเมื่อถึงตาเรา เราก็จะถูกวาร์ปลงมาห้องน้ำพร้อมอาวุธที่สุ่มบนมือ เป็นการดวลแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้เล่นที่โดนฆ่าตายรอบแรก สิ่งที่เราทำก็คือ "ฆ่ามันซะแล้วเราจะได้รับโอกาสที่สอง" โดยการดวลครั้งนี้เราต้องมีฝีมือและทักษะอย่างมาก อย่าลืมว่าเราโดนยิง 2-3 นัดก็ลงไปนอนตายแล้ว ฉะนั้นหากแม่นพอให้เล็งที่หัวซะ นัดเดียวรู้เรื่อง และหายังฆ่ากันไมไ่ด้ ก็จะมีธงโผล่ออกมากลางห้องน้ำให้เราไปยึดก่อนหมดเวลา หากเราชนะไม่ว่าการฆ่าศัตรูได้ก่อน, ยึดธงได้หรือหมดเวลาการดวลแล้วเรามีเลือดเยอะกว่าอีกฝ่าย เราก็จะถูกส่งกลับไปลงสนาม Battle Royale ต่อ แต่หากเราแพ้การดวล ตัวเกมจะนับว่าเราตายจริงๆ ซึ่งต้องรอเพื่อนใช้พลุส่งสัญญาณชุบชีวิตเราอีกรอบ หลังจากเราได้โอกาสที่สองแล้ว หากเราตายอีก เราจะต้องรอเพื่อนเรียกพลุส่งสัญญาณชุบชีวิตอย่างเดียว ระบบ Shop ที่จะทำให้เราพลิกกลับมาได้เปรียบทันที Signature ของเกมนี้อีกอย่างหนึ่งที่กำลังจะกล่าวเลยก็คือระบบ Shop โดยตัวเกมจะมี Shop Station กระจายไปตามจุดต่างๆ ในแผนที่ Verdansk โดยเราจะต้องใช้เงินในการซื้อของต่างๆ ภายใน Shop ไม่ว่าจะเป็น Killstreak ที่สามารถเรียก UAV ดูตำแหน่งศัตรู, Precision Airstrike เรียกเครื่องบิน A-10 ให้ใช้ปืนใหญ่ GAU-8 Canon ยิงกราดลงพื้นใส่ศัตรูเป็นแนวยาว หรือใช้ Cluster Strike เรียกระดมระเบิดถล่มในตำแหน่งที่เราระบุไว้ด้วยรัศมีที่กว้างเอาเรื่อง และยังสามารถใช้เงินเพื่อซื้อ Loadout Package เรียกกล่องลงมาเพื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นแบบที่เราเซ็ตไว้ได้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกทั้งหากมีเพื่อนตายรอชุบก็สามารถใช้เงินเพื่อยิงพลุส่งสัญญาณ เรียกเพื่อนที่ตายกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แล้วเงินที่ว่านี่หาจากไหนกัน ? สำหรับเงินใน Warzone จะสามารถหาได้ด้วยกันสามวิธีคือ หาได้จากตามซอกมุมของสถานที่และจากกล่อง Root ต่างๆ: วิธีนี้หาได้ค่อนข้างง่ายและไว แต่จะได้เงินทีละประมาณ 200 - 500 ดอลล่าห์ในเกมซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย แต่ก็ปลอดภัยและมีโอกาสพบเจออาวุธไว้ป้องกันตัวระหว่างทาง จากการฆ่าศัตรู: เมื่อเราเริ่มเกมมาเราจะมีเงินติดตัวเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งการฆ่าศัตรูก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะ หากฆ่าได้ก็จะได้เงินมา และหา่ศัตรูดองเงินในตัวไว้เยอะแล้วโดนโดนเราฆ่า เราก็จะกลายเป็นคนรวยในทันที จากการรับ Intel Quest แบบสุ่ม: ในแผนที่จะมีสัญลักษณ์เควสต์ขึ้นมาให้เราไปเก็บ Intel ขึ้นมาแล้วเควสต์จะปรากฎว่าให้เราทำอะไร หลักๆ ก็จะมีเควสต์ล่าค่าหัว, ยึดพื้นที่และสำรวจกล่อง Root เมื่อทำสำเร็จเราจะได้เงินจำนวนมาก และยิ่งทำเควสต์ต่อเรื่อง เงินรางวัลก็จะคูณเป็นเปอร์เซ็ต์เข้าไปทำให้เราได้เยอะกว่าเดิม แต่ข้อเสียคือ ทุกครั้งที่เราถึงจุดหมายของเควสตืที่กำหนด จะมีการยิงพลุส่งสัญญาณอัตโนมัติให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของเรา เมื่อเรารู้วิธีแหล่งฟาร์มเงินแล้ว ก็สามารถเอาเงินไปยัง Shop Station เพื่อแลกซื้อของที่เราต้องใช้ในการเอาชนะในศึกครั้งนี้ แล้วโหมด Plunder ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ? ส่วนในโหมด Plunder จากที่ลองเล่นมา นับได้ว่าเป็นโหมด Battle Royale สำหรับคนที่ไม่ชอบเน้นการเอาตัวรอด แต่เน้นเอาสะใจเป็นหลักมากกว่า เพราะภารกิจก็คือ หาเงินให้มากที่สุดไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ทั้งจากการ Root, การฆ่าศัตรูหรือทำเควสต์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และการเริ่มเกมเราไม่จำเป็นต้องไล่หาอาวุธปืน เราจะสวมใส่อาวุธและ Perk ต่างๆ จาก Loadout ที่เราเซ็ตไว้ก่อนเริ่มเกมทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหาอาวุธมากมายนัก จากนั้นเราก็ลงมาทำมาหากิน สะสมเงินได้เลย แต่ข้อควรระวังไว้บางอย่างก็คือ หากเราดองเงินไว้กับตัวมากจนเกินไป เราจะถูกระบุตำแหน่งให้ศัตรูไล่ล่าเราทันที เมื่อศัตรูไล่ล่าเรา ฉะนั้นจงต้องระวังตัวไว้เป็นพิเศษ เพราะหาเราตาย เงินก็จะตกทันที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากเราตาย เราก็จะเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ โดยการโดดร่มลงมา เมื่อเรามีเงินมากพอแล้ว เราสามารถหาบอลลูเพื่อเอาเงินที่เราสะสมปล่อยขึ้นฟ้าแต่เราจะฝากเงินได้ไม่เยอะนัก หรือเราจะเรียกเฮลิคอปเตอร์เพื่อเอาเงินที่เราได้ทั้งหมดส่งให้ทีเดียวแต่ก็จะเป็นจุดเด่นให้ศัตรูเห็นและไล่ฆ่าเราด้วยเช่นกัน เกมนี้จบค่อนข้างไว ใครที่สะสมเงินได้ครบหนึ่งล้านดอลล่าห์ก่อนหรือจบเกมมีเงินสะสมรวมมากที่สุดก็เป็นผู้ชนะทันที มันจึงเป็นโหมดที่สำหรับเน้นเอาฆ่าเอาสะใจ ไม่เครียดแบบ Battle Royale ปกติ ================================================== โดยสรุปแล้ว Call of Duty: Warzone หากพูดได้เต็มปากว่าก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจาก Battle Royale ทั่วไป แถมออกไปทาง Apex Legend เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ได้มีสกิลประจำตัวต่างๆ มีเพียงแค่ฝีมือกับเงินไปแลกของเพื่อพลิกเกมเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นแต่กลับมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ Call of Duty อย่างเต็มเปี่ยมทั้งระบบ Shop และระบบโอกาสที่สองที่เราต้องเข้าไปติดคุกใน Gulag กับระบบการเล่นที่ตายง่าย ทำให้เราตระหนักถึงทรัพยากรทุกๆ อย่างที่เราต้องเสียไปว่าควรใช้อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยเราต้องรอด และสิ่งที่ทำให้ประทับใจสุดๆ คือ ฉากคัตซีนตอนเราชนะหรือขึ้นที่หนึ่ง "เป็นอะไรที่โคตรน่าจดจำและรู้สึกเราคือผู้ชนะจากก้นลึกของหัวใจจริงๆ" คืออินเนอร์มาเต็ม มีขึ้นรายชื่อผู้เล่นที่เสียชีวิตจากโหมด Battle Royale ทั้งหมดเหมือนกำลังดูฉากจบหล่อๆ ของหนังแอคชั่นระดับคุณภาพสักเรื่อง รู้สึกว่าเราได้ถึงจุดที่ลำบากที่สุดแล้วรอดมาเป็นคนสุดท้าย มันอินมากกว่าเกมอื่นๆ อีกนะ มันทำให้รู้ว่า Infinity Ward ทุ่มเทกับโหมดนี้แบบจริงจังมากเลยล่ะ บอกเลยว่าหากมีโอกาสแล้วล่ะก็ "ต้องเล่น Call of Duty: Warzone" ให้ได้อย่างน้อยสักครั้ง แล้วคุณจะได้สัมผัสว่า เวลาชนะโหมด Battle Royale แบบโคตรเท่ที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร [penci_review id="45429"]
13 Mar 2020
Arknights รีวิว Operator ที่โลกลืม น้องแมงป่องสุดจืดจาง Manticore
ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น Arknights ทางฝั่ง South East Asia หรือแถวบ้านเราด้วย หลังจากวันที่ 5 เป็นต้นไปก็สามารถโหลดผ่าน Play Store และ App Store ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องมุดแต่อย่างใด อีกทั้งมีการแจกเม็ดแดง Orundum ให้ฟรีๆ กันอีก เรียกได้ว่าเอาใจพวกเราไปได้เลยสำหรับเกมนี้ หลังจากที่เคยพูดกันไปแล้วว่า Operator ทุกตัวมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประเภทอะไรหรือระดับต่ำหรือสูง พวกเขาสามารถช่วยให้เราเอาชนะศัตรูได้ตามสถานะการณ์ แต่ก็มี Operator อีกหนึ่งตัวที่นับว่าเป็น Operator ที่โลกลืมอีกตัวนั้นก็คือน้องแมงป่อง Manticore นั้นเอง! โดยทางเรา GameFever TH ก็จะมารีวิวความจืดจางของน้องแบบหมดไส้หมดพุงว่าทำไมน้องจืดจางไม่พอ แถมยังน่าสงสารอีก แต่ Skill กลับมีประโยชน์อย่างที่คาดไม่ถึงเลยเชียว ================================================== รู้จักกับ Manticore แล้วคุณจะรู้ว่าเธอน่าสงสาร Manticore เป็นรหัสเรียกขานของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าชื่อจริง ๆ ของเธอเป็นอย่างไร แต่นับว่าเป็น Operator ที่ผ่านศึกมาหนึ่งปีก็นับว่ามีประสบการณ์พอตัว เห็นโหดแบบนี้แต่เธอค่อนข้างขี้อาย เข้าหาคนไม่เป็น และมีหางแมงป่องที่ใหญ่ ค่อนข้างน่ากลัว ทำให้เธอเป็นพวกไร้เพื่อน เพื่อนไม่คบจนกระทั่งผู้เล่นได้เข้ามาในชีวิตเธอ Operator Manticore ให้เสียงพากย์โดยคุณ Suwa Ayaka แม้จะไม่ได้ค่อยพากย์เสียงตัวละครหลักบ่อยนัก แต่ก็มีผลงานการพากย์มาอย่างมากมายเกือบสิบปี ( งานพากย์ที่รู้จักกันได้แก่ Augus Mikazaki ในวัยเด็กจากเรื่อง Mobile Suit Gundam: Iron-Blooded Orphans, Chris และ Eris จากเรื่อง KonoSuba, YoRHa Type A No.2 จากเกม Nier: Automata ) ดีไซน์ถูกออกแบบโดยนามปากกา 竜崎いち ( ริวซากิอิชิ ) โดยข้อมูลส่วนตัวของเธอมีดังนี้ ข้อมูลทั่วไป Code Name : Manticore เพศ: หญิง เวลาที่เข้ามาประจำการ: 1 ปี สถานที่เกิด: Sargon วันเกิด: ไม่ทราบ ส่วนสูง: 155 เซ็นติเมตร ความยาวหางของเธอ: 140 เซ็นติเมตร สถานะ : ยืนยันว่าเธอมีการติดเชื้อ Oripathy, มีการเฝ้าสังเกตุการณ์ในช่วงการทดสอบเพื่อการรักษา ผลการทดสอบร่างกาย พละกำลังทางร่างกาย : มีพละกำลังที่สุดยอดด้วยหางอันใหญ่ยักษ์ของเธอ การเคลื่อนที่: มีความว่องไวที่ยอดเยี่ยม ความทนทานของร่างกาย : ความทนทานร่างกายอยู่ในระดับปกติ การวางแผนยุทธวิธี : สามารถทำได้อย่างปกติ ไม่บกพร่อง ความสามารถด้านการต่อสู้ : มีทักษะการต่อสู้ที่โด่ดเด่นและยอดเยี่ยมอย่างมาก การซึมซับพลัง Originium Art : เธอสามารถดูดซับ Originium และแปรเปลี่ยนเป็นพลัง Art ได้อย่างยอดเยี่ยม ประวัติส่วนตัว ไม่มีใครทราบชื่อที่แท้จริงของเธอ และอดีตของเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ รู้เพียงแค่ว่าเธอมีรหัสเรียกขานที่รู้จักกันทั่วไปว่า Manticore ( เป็นสัตว์ตามตำนานของชาวเปอร์เซียที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า Martikhora โดยจะเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ มีหัวเป็นมนุษย์ ลำตัวเป็นสิงโต หูจะยาวใหญ่กว่ามนุษย์และมีหางเป็นแมงป่อง ) และก่อนที่เธอจะมาประจำการในเกาะโรห์ด เธอก็เคยทำงานให้กับที่อื่นมาก่อนแต่ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เหมือนกันว่าเคยทำงานให้ที่ไหนมากันแน่ ในปัจจุบันเธอเป็นถึงเจ้าหน้าที่พิเศษที่ยังคงทำงานให้กับเกาะโรห์ดต่อไป ความคิดเห็นของแพทย์ ผลการทดสอบทางการแพทย์ระบุว่า Manticore เธอมีอวัยวะบางอย่างภายนอกที่มีส่งผลต่อเงาสะท้อนของตัวเธอ ( และนี่คือเหตุผลว่าทำไม เธอถึงจืดจางมีความสามารถในการพรางตัว และจืดจางในเวลาเดียวกัน ) และมีอนุภาค Originium ไหวเวียนอยู่ในทั่วร่างกาย เธอจึงถูกระบุยืนยันแล้วว่าเธอมีภาวะติดเชื้อ Oripathy [ความเข้ากันของเซลล์และ อนุภาค Originium ในร่างกาย: 12%] จากการตรวจสภาพทางร่างกายก็ยังไม่พบแผลที่เกิดจาก Oripathy อย่างไรก็ตามการตรวจสภาพร่างกายภายในก็พบว่ามีการก่อตัวของผลึกเป็นผลมาจาก Oripathy จากภายใน จึงต้องมีการสังเกตุการณ์ต่อไป [ความหนาแน่นของผลึกในเลือด: 0.32u/L] ผลการตรวจเลือดพบว่า ผลึกในร่างกายของ Manticore มีความเข้มข้นสูง และเป็นไปได้ว่าจะมีความเข้มข้นของผลึกฝังตามอวัยวะภายในร่างกายสูงตามไปด้วย อื่นๆ เมื่อเรานำ Maticore ตั้งเป็นเลขาส่วนตัว จะได้รู้ว่าทั้งคำพูดของเธอที่จะสื่อถึงผู้เล่นนั้นมันช่างน่าสงสาร เธอไม่เคยมีเพื่อนเพราะผลจากรูปลักษณ์ที่น่ากลัวโดยเฉพาะหางที่ใหญ่มากๆ และเธอเกลียดการถูกทอดทิ้งหรือการถูกเมินเพราะเธอมีอวัยวะที่ทำให้ตัวเองจืดจางได้ อีกทั้งนิสัยที่ขี้เกียจ พูดไม่เก่งแถมเข้าหาใครไม่เป็นอีก ซึ่งมีแต่ Doctor ( ผู้เล่น ) พยายามทำให้เธอมีเพื่อน มีตัวตนขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าสำหรับ Manticore นับว่าเป็นเพื่อนคนแรกๆ ที่เธอกล้าเข้าหา และพอได้รู้จักสักพักจะรู้เลยว่า เธอเป็นเด็กดีมากๆ เลยล่ะ แต่ก็มีอีกทฤษฎีส่วนตัวเลยก็คือ ก่อนที่เธอทำงานให้กับเกาะโรห์ด เธอเคยสูญเสียเพื่อนมากมายในการต่อสู้เพราะสังเกตุจากป้าย Dogtag ที่เธอห้อยคอไว้สามอัน นั้นหมายความว่าในอดีตเธออาจจะต้องพบเรื่องร้ายๆ จนจิตตก ไม่อยากเข้าหาใครจนผู้เล่นมาเปิดใจเธอนั้นเอง ( ซึ่งอันนี้เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีถูก ไม่มีผิด ) ค่า Status และ Skill ของ Manticore Manticore เป็น Operator สาย Specialist, DPS Survival ที่ค่อนข้างโจมตีได้อย่างเชื่องช้า แต่การโจมตีแต่ละครั้ง จะเป็นการโจมตีแบบ Area of Effiect ( AoE ) และมีความรุนแรงค่อนข้างสูง แถมมี Talent ที่คิดเป็นทั้งแอบขำและแอบน่าสงสารในเวลาเดียวกัน เพราะเธอจะมีโอกาสน้อยมากที่จะถูกตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีพูดง่ายๆ ก็คือศัตรูจะเมินเธอไปเลย และ Talent ที่เมื่อเข้าสู่สถานะล่องหนจะเพิ่มพลังการโจมตีครั้งแรกให้มากขึ้น ทำให้กลายเป็นตัวที่ปล่อยให้ทำดาเมจ, ตัวซื้อเวลา, ตัวบั่นทอน HP ศัตรูก่อนเข้าปะทะกับ Operator หลักของเราได้ ค่า Status Max Level: Level 50 ในระดับ Non – Elite/ Level 70  ในระดับ Elite 1/ Level 80 ในระดับ Elite 2 Health point: 777 หน่วยเมื่อ Lv.1/ 1080 เมื่อ Lv.50/ 1385 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 1630 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Attack  : 378 หน่วยเมื่อ Lv.1/ 511 เมื่อ Lv.50/ 656 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 811 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Defend : 141หน่วยเมื่อ Lv.1/ 218 เมื่อ Lv.50/ 284 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 343 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Resistant : 10หน่วยเมื่อ Lv.1/ 10 เมื่อ Lv.50/ 20 เมื่อขึ้น Elite 1 Max Lv./ 30 เมื่อขึ้น Elite 2 Max Lv. Redeploy : ใช้ค่า Deploy Point 70 หน่วยทุกเลเวล Cost : 16 หน่วยในระดับ Non-Elite / 18 หน่วยในระดับ Elite 1-2 Block : ไม่สามารถป้องกันศัตรูได้ ( น้องโดนเมิน ) แต่ก็แลกกับที่จะไม่ตกเป็นเป้าหมายหรือตกเป็นเป้าหมายต่ำเช่นกัน Attack Speed : 1.00 หน่วยทุกเลเวล ระยะโจมตี : 2 ช่องรอบตัวแบบ AoE โดยข้างหน้าสุดของตัว Manticore จะโจมตีได้ ไกลพิเศษเป็น 3 ช่อง ค่า Potential ระดับ 1 Deployment Cost -1 ระดับ 2 Redeployment Cooldown -4 ระดับ 3 Attack Power +30 ระดับ 4 Talent Effect Up ระดับ 5 Deployment Cost -1 Trust extra status ค่าโบนัสจากความเชื่อใจ เพิ่มค่า Attack + 25 เมื่อมีค่าความเชื่อใจ 25%/ +50 เมื่อถึง 50%/ +75 เมื่อถึง 75%/ +100 เมื่อถึง 100% Traits Manticore สามารถโจมตีแบบ AoE รอบตัว 2 ช่องได้ โดยข้างหน้าของเธอจะเป็นการโจมตี 3 ช่อง, มีโอกาส 50% ที่เธอสามารถหลบการโจมตีของศัตรูทั้งประเภทกายภาพและแบบ Art Attack ได้, เธอจะไม่สามารถ Block ศัตรูได้และจะถูกศัตรูเมินทันที แต่มีโอกาสเล็กน้อยมากๆ ที่จะถูกโจมตีใส่ ( ซึ่งส่วนมากจะเป็นศัตรูประเภท Art ) Talent: Hidden Killer เมื่อยังไม่ได้อยู่ในสถานะการต่อสู้ Manticore จะเข้าสู่โหมดพรางตัวและเมื่อศัตรูย่างกรายมา การโจมตีครั้งแรกจะเพิ่มพลังโจมตี 25% ทันที และจะกลับเข้าสู่โหมดพรางตัวได้อีกครั้งเมื่อเธอยังไม่มีการโจมตีเป็นเวล 6 วินาที แต่หากเป็น Elite 2 เลเวลเต็มแล้ว ความสามารถนี้จะเพิ่มพลังโจมตีสูงถึง 54% เลยทีเดียว และลดเวลาการพรางตัวเป็น 5 วินาที ทิศทางการช่องการโจมตี, Talent และ Skill ที่สำคัญ น้องโดนเมินจากศัตรูเกือบทั้งหมด ; _ ; Skill Skill ที่ 1: Scorpion Venon ประเภท: Passive ลักษณะ SP Charge: ไม่มีการชาร์จ SP SP Cost: 0 ระยะเวลาบัฟ: 0 Skill Effect: ทุกครั้งที่ Manticore โจมตี ศัตรูจะโดนลดความเร็วในการเคลื่อนที่ 20% เป็นเวลา 3.5 วินาที เมื่ออัพเกรดสกิลจนสูงสุด จะเป็นการลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของศัตรูได้มากถึง 50% เป็นเวลา 5 วินาที   Skill ที่ 2 : Toxic Overlord ประเภท : Manual Trigger, Auto Recovery ลักษณะ SP Charge : Per Secound SP Cost : 20 ระยะเวลาบัฟ : 31 วินาทีเมื่อสกิลเลเวล 1/ 40 วินาทีเมื่อสกิลเลเวลเต็ม Skill Effect : เมื่อกดใช้งาน เธอจะโจมตีแรงขึ้น 30% และทำการหยุดเป้าหมายหรือ Stunt เป็นเวลา 0.5 วินาที เมื่ออัพเกรดสกิลจนสูงสุด จะสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองได้มากถึง 90% และ Stunt เป้าหมายได้ 1 วินาที แต่ว่าเมื่อกดใช้แล้ว จะทำให้ Manticore โจมตีช้าลงเล็กน้อย รูปแบบการใช้งานของ Manticore น้องแมงป่อง Manticore ถูกจะเป็น Operator Specialist ที่เหมือนจะแทบไม่ได้ช่วยอะไรในการยื้อทีม แต่จริงๆแล้วเธอเป็นตัวยื้อทีมและเป็นตัวบั่นทอนกำลังศัตรูที่ดีมากๆ เพราะนอกจากการโจมตีที่เป็นแบบ AoE แล้ว พลังการโจมตีก็สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเกมเลยก็ว่าได้ แม้ว่าการโจมตีจะช้าไปเสียหน่อย แต่รับรองอร่อยแน่นอน ฉะนั้นการวางตำแหน่งของ Manticore ก็คือการวางดักหน้าทางหรือจุดที่ศัตรูรวมตัวกันเข้ามาเยอะๆ เช่นแบบในภาพ เมื่อศัตรูวิ่งจากหลายทางมารวมกัน เธอจะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่มากๆ โจมตีทีเดียวลดเลือดศัตรูเป็นหมู่ และที่สำคัญคือไม่ต้องห่วงว่าเธอจะตกเป็นเป้าหมาย เพราะศัตรูเมินน้องได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นกัน ทำให้หมดกังวลว่าเอาไปวางไกลๆ แล้วจะตายก่อน ลดภาระ Medic เราได้ไปในตัวด้วย แต่การที่น้อง Manticore โดนเมินก็นับเป็นข้อดีและก็ถือเป็นข้อเสียเช่นกัน เนื่องจากเธอไม่สามารถ Block ศัตรูได้ และการโจมตีแต่ละครั้งเชื่องช้า หากไม่อัพเลเวลหรือสกิลเพื่อเพิ่มพลังการโจมีและการหวังผลสกิลมากพอ มันจะกลายเป็นภาระของ Operator แนวหลังที่ทำหน้าที่ป้องกันแทน และเธอจะตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูสาย Art ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเธอจะมีโอกาสหลบได้แต่เธอก็ไม่ได้หนานัก ================================================== สรุปแล้ว น้อง Manticore เธอเป็นเด็กดีมากๆ ขี้อาย เข้าหาใครไม่เป็น ในสนามน้องเลยโดนเมินบ่อยมาก แต่เพราะการโดนเมินในสนามรบทำให้เธอโจมตีได้ฟรีๆ เช่นกัน แต่ก็ต้องวางในตำแหน่งที่หวังผลการโจมตีศัตรูให้มากที่สุดเช่นกัน ไม่งั้นจะกลายเป็นภาระ Operator คนอื่นแทน แถมโจมตีค่อนข้างช้า ซึ่งหากคิดจะใช้งานเธอ แนะนำให้อัพเลเวลและสกิลให้สูงก่อน เพื่อดึงประสิทธิภาพการใช้งานได้มากที่สุด ทำให้ Manticore ไม่เหมาะเป็นตัวที่ใช้งานเริ่มต้น เหมาะกับตัวใช้งานระยะยาวและใช้บั่นทอนศัตรูที่มากันเป็นจำนวนมาก... Doctor เอ๋ย ทีหลังอย่าเมินน้องเลย น่าสงสารออก เธอไม่มีเพื่อนอยู่แล้วก็ช่วยอยู่เล่นกับน้องเยอะๆ เธอน่ารักมากๆ เลยล่ะ Source Ark Work By 友にゃん สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
06 Feb 2020
รีวิวเกมมือถือ Arknights เมื่อเราสูญเสียความจำ ถูกเลือกเป็นผู้นำของเหล่ามวลมนุษย์
หากวันหนึ่ง คุณฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้งหลังหัวใจคุณหยุดเต้น แต่ทว่ากลับสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พร้อมกับภัยอันตรายรายล้อมตัวคุณไปหมด มีเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอไม่ใช่มนุษย์แต่บอกว่าเราคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...คุณจะเชื่อหรือไม่ ? และนี่คือคำเกริ่นทั้งหมดจากเกมที่เรียกว่า Arknights ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีนได้หนึ่งปี ผลที่ได้คือชาวจีน Hype กับการมาของเกมนี้อย่างมากจนกระทั่งได้เปิดตัวขยายฐานเซิร์ฟเวอร์พร้อมกันสามที่ได้แก่ ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้และโซนอเมริกาหรือที่เรียกติดปากว่าเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์นั้นแหละ แล้วเกมนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเพราะเล่นง่าย แต่แฝงด้วยการใช้ความคิด การจัดวางตำแหน่งให้ถูกที่เพื่อให้ผ่านด่าน แถมเนื้อเรื่องก็โดดเด่น แน่นอนว่าทางเรา GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกมนี้มารีวิวแบบจัดเต็มบนเวอร์ชั่นเซิร์ฟเวอร์อินเตอร์ให้อ่านกัน ================================================== เราสูญเสียความทรงจำ แต่กำชะตามนุษย์เอาไว้ Arknights เป็นเกมแนว Defend Tower วางหมากป้องกันตำแหน่ง จากทีมพัฒนา Hypergryph และ Studio Montagne เปิดให้บริการโดย Yostar เจ้าของเดียวกับสาวเรือ Azur Lane แต่เกมนี้เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทว่าเนื้อเรื่องกลับมีความโดดเด่น จนน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จุดเริ่มต้นของทั้งหมดภายในเกม มาจากวัตถุที่มีชื่อว่า Originium ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มาว่าได้เข้ามาหรือถูกค้นพบบนพื้นที่โลกใบนี้จากไหนกันแน่ ( ล่าสุดเนื้อเรื่องยังไม่มีการเฉลย ) แน่นอนว่ามันก็ได้แพร่อนุภาคเสมือนเป็นไวรัสกระจายไปเกือบทั่วโลก จึงถูกเรียกโรคนี้ว่า Oripathy ในเวลาต่อมา ส่งผลกระทบต่อมนุษย์สองอย่างนั้นก็คือ มนุษย์ที่ได้รับอนุภาคนี้เข้าไปก็จะกัดกินร่างกายและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่หากต่อสู้กับมันได้ ก็จะทำให้มนุษย์คนนั้นได้รับพลังจาก Originium มาด้วย หากผู้ใดรอดจากการติดเชื้อครั้งนี้จะได้รับพลังทั้งได้พลังจากกายภาพหรือได้รับพลังจิตที่เรียกว่า Art ใช้โจมตีศัตรูระยะไกลได้ นอกจากนี้ภายในจักรวาล Arknights จะมีมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะคือหูกับหางเป็นสัตว์ต่างๆ โดยพวกเขาอยู่ร่วมกับมนุษย์ดั้งเดิมมานานแล้ว โดยเราจะได้สวมบทบาทเป็น "ดอคเตอร์" ซึ่งนัยยะของเกมเราจะเสมือนเป็นศาสตราจารย์ ไม่ใช่หมอนะซึ่งเราก็ติดเชื้อ Origidium เหมือนกันแต่เรากลับไม่แสดงอาการทรมานแถมยังอยู่ดีมีสุข ซึ่งตัวเรานั้นมีองค์ความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ในทางที่ดีขึ้นได้ วันหนึ่งเราได้เดินทางมายังเมือง Chernobog ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่กลุ่มล่าพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Reunion เข้าโจมตีเมืองนี้แล้วบังเอิญไปทำลายอาคารที่เราอยู่พอดีและทำให้ซากตึกตกใส่เราบาดเจ็บสาหัส หัวใจหยุดเต้น โชคดีที่ Amiya เด็กสาวมนุษย์สายพันธุ์์ใหม่ที่มีหูคล้ายกระต่าย ( แต่จริงๆ เธอเป็นคิเมร่า ) กับพรรคพวกของเกาะโรดส์ ( Rhodes Island ) ได้เข้ามาช่วยชีวิตเราและทำการกู้ชีพฟื้นจากความตายได้สำเร็จ แต่เราก็สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด จำได้แค่เพียงความสามารถในการบัญชาการและการวางแผนการรบเท่านั้น และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องในเกม เอาจริงๆ พล็อตเนื้อเรื่องในเกมมันไม่ค่อยต่างจาก X-men หรือ JoJo ภาค 5 เท่าไหร่นัก เพราะมีการเล่นประเด็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ถูกเหยียดหยามจากโลกใบนี้หรือรอดจากโรคแล้วได้รับพลังพิเศษมาเพราะพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นติดเชื้อ Oripathy ได้ง่ายกว่ามนุษย์ดั้งเดิมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ดูแตกต่างและน่าสนใจคือ พลังที่ได้จาก Originium ของจักรวาลเกม Arknights ในสายตาของทุกคนได้มองมาเป็นโรคร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ทำให้เห็นการพัฒนาของตัวละครแต่ละตัวและมีความมุ่นมั่นอย่างชัดเจนอย่าง Amiya ที่เธอเป็นผู้นำของเกาะโรดส์ เกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ติดเชื้อ เธอมีความตั้งใจว่าจะเป็นที่ที่มนุษย์ได้ต่อสู้กับการติดเชื้อและเป็นที่พักพิงของเหล่ามนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ทำให้รู้สึกว่าเธอดูอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนต่อโลก เป็นตัวละครเอกที่มีด้านเทา ไม่ขาวไม่ดำ ทำให้มีเสน่ห์มากๆ เลยล่ะ Arknights เป็นเกมใจป๋า ขนนักพากย์ญี่ปุ่นมาเพียบ สิ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจเกมนี้เลยก็คือ การขนนักพากย์จากญี่ปุ่นชื่อดังหลายท่านมาร่วมภาพย์ตัวละครในเกม Arknights ชนิดที่เรียกว่าครบทุกตัว ไม่ต้องกังวลว่าตัวละครใหม่ๆ จะไม่มีเสียงพากย์แต่อย่างใด แถมแต่ละคนก็มีประวัติการภาคไม่ธรรมดาเสียด้วย ยกตัวอย่างคุณ Nana Mizuki นักพากย์และนักร้องชื่อดังระดับเอเชียและอเมริกา ได้พากย์ตัวละครในเกมที่ชื่อว่า Mostima แสดงให้เห็นว่าเกมนี้มีทุนหนาขนาดไหนถึงจ้างนักพากย์ดังๆ ได้หลายคนมาก หากใครเป็นผู้ที่ชื่อชอบเหล่าเซย์ยูหรือติดตามนักพากย์ดังๆ บอกเลยว่าเกมนี้จะทำให้ใครหลายคนได้ฟินอย่างแน่นอน อีกสองความประทับใจเลย อย่างแรกคือการแปลภาษาจากภาษาจีนมาเป็นภาษาอังกฤษออกมาอ่านได้อย่างลื่นไหล เข้าใจง่าย ถือว่าทาง Yostar ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ไม่ทำให้ผิดหวังหรืออ่านแล้วสะดุด และอย่างที่สองคือภาพอาตหรือฉากคัตซีนทำออกมาสื่อออารมณ์ได้ชวนหดหู่ เห็นภาพความโหดร้ายของการถูกเหยียดเผ่าพันธุ์, สงครามและฉากเท่ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกข้อที่น่าชมเชยสำหรับสายเสพเนื้อเรื่องเป็นหลัก เมนูใช้งานง่าย แถมกาชาก็ไม่เกลืออย่างที่คิด สำหรับหน้า Iobby เมนูต่างๆ ออกแบบมาได้อย่างเรียบง่าย ตัวอักษรใหญ่ชัดเจนโดยเฉพาะค่า Sanity นี่เด่นมากซึ่งมีความหมายตรงตัวว่าสภาวะทางจิต สื่อเป็นกิมมิคสำคัญขำๆ ที่ว่าหากเราเล่นจน Sanity หมดแสดงว่าคุณจิตไม่ปกติแล้วนะ อย่าลืมหาหมอด้วยล่ะ ( 555+ ) ที่สำคัญ มีเวลากับระดับแบตเตอร์รี่มือถือบอกไว้ด้วย ทำให้เรารู้ตลอดเวลาว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว เสียดายที่เวลานั้นถูกเซ็ตให้เป็นเวลาโซนท้องถิ่นของอเมริกา ไม่สามารถเซ็ตเวลาเป็นบ้านเราได้ ในด้านระบบภารกิจนั้นเขียนออกมาได้ชัดเจนดีกว่าให้ทำอะไร มีภารกิจให้ทำเยอะแยะมาก ทำได้ทุกวัน ได้ประโยชน์ทุกวัน โดยเมื่อทำสำเร็จเราก็จะได้ตัวหมากรุกมา ซึ่งตัวหมากรุกสามารถเอาไปแลกของทางด้านซ้ายมือได้ทันที มีทั้งแบบรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนภารกิจเนื้อเรื่องนั้นจะได้แบบทันทีเมื่อผ่านตามเงื่อนไขไม่ต้องเก็บสะสมตัวหมากรุกแต่อย่างใด ซึ่งมันอาจจะดูน่าเบื่อแต่เห็นจำนวนของที่แจกแล้วไม่ทำคงไม่ได้ ให้เยอะจริงๆ และอีกหนึ่งระบบเด่นที่ชอบมากๆ เลยก็คือฐานบัญชาการของเรา พอกดเข้าไปแล้ว...."นี่มัน Fallxxx Shelter นี่หว่า" ซึ่งทั้งหน้าตาและระบบก็คล้ายคลึงกันจริงๆ นั้นแหละ โดยการสร้างฐานอะไรแต่อย่าง ทุกฐานจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่น ฐานบัญชาการจะดูแลเรื่องโดรนขนส่งซึ่งมีความจำเป็นต่อทุกฐาน, โรงผลิตไฟฟ้าซึ่งผลิตไฟฟ้าและใช้เป็นพลังงานในการต่อเติมหรือสร้างฐานอื่นๆ ในอนาคต, โรงแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนทองให้กลายเป็นเงินหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ หรือแม้กระทั่งโรงเครื่องพิมพ์สามมิติที่สามารถผลิตใบเร่ง EXP หรือผลิตทองไว้แลกเงินได้อีก ฉะนั้นทุกฐานจะสร้างให้ทุกไปเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ต้องสร้างและอัพเกรดไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกฐานสำคัญหมด อัพอันไหนก่อนหลังก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าอยากใช้ทรัพยากรส่วนไหนก่อนมากกว่า ส่วนเรื่องระบบ Recruit หรือระบบหา Operator ใหม่ๆ มาเสริมทัพนั้นจะหาได้สองรูปแบบ แบบแรกคือการใช้งานแบบเกณฑ์คน ซึ่งพูดง่ายๆ คือการต่อหาบุคลากรนั้นเองซึ่งสูงสุดจะมีโอกาสลุ้นได้ 5 ดาวแบบสุ่ม แต่ส่วนใหญ่ได้ 4 ดาวกับ 3 ดาว ก็ไม่ค่อยเกลือเท่าไหร่ และแบบที่สองที่จะหาบุคลากรมาเสริมทัพได้ก็คือ "การเปิดตู้กาชา" นั้นเอง โดยจะใช้แร่ Originium สะสมให้ครบ 6000 เม็ดเปิดกาชา 10 ครั้งหรือใช้ตั๋วเหลือง Headhunt เปิดลุ้นตัวละครระดับ 6 ดาวซึ่งสำหรับคนที่มาเล่นครั้งแรกจะมีตู้การันตี 6 ดาวหนึ่งตัวด้วย ซึ่งมันดีสำหรับผู้เล่นใหม่มากเลยล่ะ ส่วนเปอร์เซ็นต์ในการออก 6 ดาวก็ไม่ถือว่าเกลือนักแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดวงผู้เล่นอยู่ดี ระบบการเล่นแสนง่าย ตัวละครดาวน้อยก็สำคัญ ขอบอกก่อนเลยว่าระบบการเล่นของเกมนี้จะดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนนัก เพราะจุดประสงค์ของเกมนี้คือ การวางตัวละครป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามายังจุดหมายได้ เอาตัวละครทั้งหลายที่เตรียมไว้มาวางแนวป้องกันในจุดที่ต้องการ แต่ใช่ว่าถึงมาก็หยิบตัวที่ชอบมาวางใส่ได้ทันทีเพราะเกมนี้จะถูกกำหนดด้วย Deploy Point โดยค่านี้จะมันจะค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ และจะถูกใช้เมื่อเราหยิบตัวละครลงไปในสนาม บางตัวละครก็ใช้ Cost เยอะมาก ฉะนั้นการใช้งานตัวละครแต่ละตัวจะต้องคิดหน้าคิดว่าว่าควรวางตัวไหนก่อน ตัวไหนวางทีหลัง พวกที่ใช้ Cost น้อยๆ ก็จะวางได้ก่อน ป้องกันศัตรูฝูงแรกๆ เพื่อสะสม ที่สำคัญในแต่ละด่านจะมีการกำหนดจำนวนตัวละครที่เราลงได้ด้วย ยิ่งต้องบริหารให้ดีเลยล่ะ ฉะนั้นตัวละครทุกตัวมีความสำคัญหมด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน, การรับมือศัตรูประเภทต่างๆ, การใช้ตัวละครแต่แบบให้เหมาะสมกับด่าน ซึ่งโดยรวมแล้ว การเล่นนั้นง่าย แต่การผ่านแต่ละด่านก็หินเอาเรื่อง เหมือนได้ฝึกสมองไปในตัว และอีกข้อที่เกม Arknights แตกต่างจากเกมแนว Defend Tower ทั่วไปก็คือการใช้ Skill ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีสกิลที่แตกต่างกันทั้งสามารถใช้แบบ Auto หรือต้องกดใช้ด้วยตัวเอง บอกเลยว่าหากเจอด่านยากๆ เราไม่สามารถกดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือกดใช้ๆ ทิ้งไปไม่ได้ เพราะมันจะช่วยพลิกสถานะการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลยหากใช้งานได้ถูกจังหวะ แต่หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์ มันจะนำพาความซวยมาให้อย่างแน่นอน มันทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเบื่อและชวนลุ้นตัวโก่งได้เสมอ ================================================== และนี่คือทั้งหมดของการรีวิวเกม Arknights ถือว่าเป็นเกมแนว Defend Tower ที่มีความน่าสนใจทั้งระบบการเล่นและเนื้อเรื่อง ส่วนข้อตำหนิของเกมนี้มีเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นความยากของเกมที่ใครไม่ค่อยอดทนก็หัวร้อนกับเกมแนวนี้ค่อนข้างง่ายเลยล่ะ หรือไม่ก็การฟาร์มหาของมาอัพเกรดตัวละครหรือฐานซึ่งของบางอย่างจะเปิดให้หากันในโหมดพิเศษเฉพาะวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องแบ่ง Sanity มาวนหาของพวกนีั แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้เกมเสียอรรถรสแต่อย่างใด และที่สำคัญ เกมนี้ไม่กินสเปคจ้า มือถือระดับราคาย่อมเยาว์ถึงระดับกลางก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ฉะนั้นหากใครอยากลองบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น สามารถดาวน์โหลดกันได้เลยตามลิ้งก์ข้างล่าง ดาวน์โหลดผ่าน ios: คลิ๊กที่นี่ ดาวน์โหลดผ่าน Android: คลิ๊กที่นี่ ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่    
22 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Magia Record สานตำนานสาวน้อยเวทมนตร์ Madoka
หากย้อนไปเมื่อสักราวๆ 8 ปีที่แล้ว อนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Mahō Shōjo Madoka Magika หรือสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะ ที่ทำให้ใครหลายคนได้ดูรู้สึกตับได้รับการตีบวกจนแข็งแกร่ง มีความใสๆ แฝงไว้ด้วยความมืดมน จนหลายคนขนานนามให้เป็นอนิเมะที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น และปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงกันอยู่แต่ก็เริ่มเบาบางไปตามกาลเวลา จนกระทั่งได้มีการเปิดตัวเกมมือถือแนว Turn-based RPG ในชื่อ Magia Record ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กระแสกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่คึกคักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีอนิเมะเป็นของตัวเองก็ทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักอย่างมาก แถมออกอากาศไปแล้วสามตอนด้วยกัน รับประกันเลยว่าตับได้รับความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และทาง GameFever TH ก็ไม่พลาดที่จะนำเกม Magia Record มารีวิวกันว่ามันสนุกแค่ไหน ================================================== เกม Magia Record เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นบนไทม์ไลน์คู่ขนาน เกม Magia Record จะเป็นเนื้อเรื่องไทม์ไลน์คู่ขนานผ่านตัวละครที่ชื่อ ทามากิ อิโรฮะ ซึ่งเธอเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ที่จำไม่ได้ว่าเป็นได้อย่างไร และได้ฝันเห็นถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในห้องพยาบาล เธอพยายามพูดกับอิโรฮะแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงให้ได้ยินราวกับอยู่คนละมิติกัน ทำให้อิโรฮะตัดสินใจมายังเมือง "คามิฮามะ" เพื่อตามหาคำตอบและต้องการตามหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คิวเบย์" ซึ่งเธอคิดว่าอาจจะได้คำตอบจากมัน แต่ทว่าการเพิ่มจำนวนของพวก Witch ในเมืองนี้มีมากจนผิดปกติและแข็งแกร่งเอามากๆ ทำให้เธอได้เจอกับสิ่งที่ยากจะรับมือได้ซึ่งจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในเกมและในอนิเมะตอนแรก แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องในเกมกับในเมะจนคล้ายคลึงกันช่วงแรก และก็จะแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ราวกับคนละเรื่องไปเลย ซึ่งหลังจากเล่นไปได้สักพักใหญ่ๆ เนื้อเรื่องและปริศนาก็เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกงง ตรงกันข้ามกลับให้ชวนติดตามมากกว่าตามสไตล์ซีรี่ส์สาวน้อยเวทมนตร์สายมืดมน และหากใครไม่เคยดูอนิเมะเรื่องสาวน้อยเวทมนตร์มาโดกะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเล่นเกมนี้ไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นไทม์ไลน์คู่ขนาน ไม่เคยดูก็เล่นรู้เรื่อง จึงถือว่าบทที่วางไว้ต่างๆ ในเกมทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ประทับใจแรกที่เห็น มันคือ First Love โดยแท้จริง ส่วนความประทับแรกที่ได้เข้ามาเล่นเกมนี้คือตัวละครทุกตัวที่คุณมี จะเป็น Live 2D ทั้งหมด ทั้งหน้า Lobby หรือใน Dialog ตอนตัวละครคุยกันตามบทบาทเนื้อเรื่อง พวกเธอขยับโต้ตอบได้แบบ Live 2D ทำให้รู้สึกว่าเราได้เห็นตัวละครที่ชื่นชอบโต้ตอบกับเรามากขึ้น...โดยเฉพาะตอนหนูเรน ( ในภาพ ) ยิ้มให้ เอาซะคนรีวิวฟินตายคาที่ ณ ตรงนั้นไปเลย นางน่ารักจริงๆ นะ ขยับได้ด้วย มันกลายเป็น First Love หรือรักแรกพบเลยล่ะ ส่วนของเรื่อง Interface ในหน้า Lobby ออกแบบมาค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อนนัก พอลองเข้าไปสำรวจเมนูต่างๆ ก็พูดได้เต็มปากว่า เกมนี้ได้ใช้ระบบการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดเลเวล, อัพเกรดอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีแรงบัลดาลใจจากเกม Fate/Grand Order แต่ใช่ว่าจะก๊อปปี้มาเสียทั้งหมด เพราะส่วนเมนูการจัดรูปแบบทีมจะมีความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในระบบการจัดทีมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะมีการเพิ่มระบบ "ขบวนทีม" ซึ่งตำแหน่งที่สาวน้อยเวทมนตร์ยืนอยู่จะมอบค่าสเตตัสเสริมแตกต่างกันไป เช่นหากเอาเรมอไปยืนข้างหน้าก็จะได้ค่า Defend เพิ่ม และเอาอิโรฮะไปยืนข้างหลังก็จะได้ Attack เพิ่ม ซึ่งขบวนทีมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สาวน้อยเวทมนตร์จะมีรูปแบบและความถนัดที่แตกต่างกัน สาวน้อยเวทมนตร์ในเกม Magia Record จะมีธาตุประจำตัว, อาวุธ และรูปแบบการโจมตีที่แตกต่างกันออกไปโดยเริ่มแรกจะให้เลือกสาวน้อยเวทมนตร์ระดับสี่ดาวได้ทันที ซึ่งต้องศึกษาดีๆ ว่าอยากได้ตัวแทงก์, ตัวสายโจมตีหรือสายสนับสนุน เพราะเลือกได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องใช้งานคุณเธอยาวๆ หรือหากอยากได้เพิ่มก็ต้องซื้อเพชรมาหมุนกาชาลุ้นเกลือยาวไป โดยสามารถเช็คค่าสถานะต่างๆ และประวัติของพวกเธอด้วยการกดปุ่ม Profile ยกตัวอย่างน้องอิซุสุ เรน ที่เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ธาตุมืดสายโจมตี ท่าโจมตีที่เน้นเพิ่มเกจท่าไม้ตายกับการโจมตีหมู่เป็นหลัก และท่าไม้ตายจะเป็นการโจมตีศัตรูตัวเดียวและจะเพิ่มพลังโจมตีให้ตัวเองอีกหนึ่งเทิร์นอีกด้วย ซึ่งเอาจริงๆตัวละครเริ่มต้นพวกนี้ดีหมดทุกตัว ขึ้นอยู่กับความชอบและแนวทางการใช้งานเสียมากกว่า แต่หากใครแฟนมาโดกะก็อาจจะเลือกหนึ่งในแกงค์ของพวกเธอก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน และในด้านกาชา จะแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เลยคือ การตามหา Fate Weave หรือผู้สานโชคชะตา ซึ่งก็คือการเปิดกาชาหาสาวน้อยเวทมนตร์ โอกาสที่จะได้สี่ดาวมีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ออกแนวเกลือหนักมากบุญไม่ถึงก็อาจจะได้แค่หนึ่งหรือสาวดาว ขนาดสามดาวยังเปิดได้ยากเอาเรื่องเลย และตู้กาชาอีกประเภทคือพวกการ์ด Memoria หรือการ์ดความทรงจำซึ่งเสมือนเป็นอุปกรณ์เสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่าสาวๆ โดยเอาไปติดตั้งในตัวได้ทันที โดยใช้ค่าดาวเขียวซึ่งหาได้จากในเกมเป็นตัวแลกเปลี่ยน โดยรวมแล้วเกมนี้คิดจะเติมเพื่อหาสาวๆ ที่เราอยากได้แล้วล่ะก็ ต้องทำใจว่าหากอาจจะได้เกลือเค็มๆ ไปกินย้อมใจแทน ระบบการเล่นแนว Turn-based ที่ต่อยอดมาจาก FGO ส่วนในรูปแบบการเล่นจะเป็นแนว Turn-based ที่ดูเผินๆ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเกม Fate/Grand Order เพราะมีการโจมตีแต่ละเทิร์น สามารถทำได้สามครั้ง ให้เลือกสามรูปแบบได้แก่ Accele: เป็นการโจมตีเพิ่มเสริมเกจ Magia หรือท่าไม้ตาย Charge: เป็นการโจมตีที่เพิ่มค่าเม็ด Connect และเสริมพลังโจมตีในการโจมตีครั้งถัดไปภายในเทิร์น Blast: เป็นการโจมตีแบบหมู่ ซึ่งจะมีการโจมตีทั้งรูปแบบทั้งหน้ากระดานและแถวตอนลึก ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว หากตัวละครเดียวกันโจมตีสามครั้งจะเป็นการเสริมดาเมจแบบมหาศาล ซึ่งต่างจาก FGO ที่จะเป็นการโจมตีแบบพิเศษเป็นสี่รอบ หรือหากใช้งานรูปแบบการโจมตีประเภทเดียวกันทั้งหมด จะช่วยเสริมคุณสมบัติบางอย่างเข้าไปแทน และระบบ Magia หรือท่าไม้ตายจะรองรับสกิลเสริมซึ่งจะช่วยเพิ่มเสริมพลังท่าไม้ตายได้อีก แต่สิ่งที่เกม FGO มีไม่เหมือนกับเกม Magia Record เลยก็คือ ระบบ Connect โดยระบบ Connect จะใช้งานได้เมื่อเกจ Connect เต็มจากการใช้รูปแบบการโจมตีประเภท Charge เมื่อเราใช้งาน ตัวละครที่ใช้ระบบ Connect จะมอบพลังเวทให้กับตัวละครที่ต้องการโจมตี เป็นการเสริมพลังแบบมหาศาล สามารถเสริมให้กับท่าไม้ตายหรือใช้เสริมคอมโบการโจมตี โดยการใช้ Connect จะขึ้นกับรูปแบบการโจมตี หากใช้แบบ Charge การโจมตีที่เสริมด้วย Connect รอบนั้นจะเป็นการโจมตีแบบ Charge เป็นต้น ================================================== โดยสรุปแล้ว เกม Magic Record มีความคล้ายคลึงกับ Fate/Grand Order โดยเฉพาะระบบการเล่น แม้ว่าตัวเกมจะพยายามสร้างความแตกต่างออกไปก็ตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก มันยังคงความสนุกตามสไตล์สาวน้อยเวทมนตร์ แต่สิ่งที่ชูโรงตัวเกมนี้ก็คือ เนื้อเรื่องอันแสนหนักหน่วงชวนน่าติดตามนั้นแหละ และยิ่งมีกระแสอนิเมะเรื่องนี้ก็ยิ่งปังเข้าไปใหญ่ แต่ข้อเสียสำหรับเกมนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เป็นเกมแนว Grinding หรือต้องมีความอดทนในการฟาร์มของ แม้ว่าเราจะมีตัวละครดาวสูงๆ แต่ใช่ว่าจะเก่งตั้งแต่แรก ต้องออกไปฟาร์มของ ฟาร์มไอเท็มมาเสริมพลัง มาปลดล็อคสกิลต่างๆ มากมายอีก หากใครไม่ใช่สายอดทนก็อาจจะเบื่อไปเลย แต่หากใครสายเสพเนื้อเรื่อง สายฟาร์มไม่หวั่นแม้วันมามาก เกม Magia Record ก็ถือเป็นอีกเกมที่น่าเล่น สาวๆ ทุกคนเป็น Live 2D และกินสเปคไม่หนักด้วย แนะนำให้ลองเลย! [penci_review id="38980"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิวเกมมือถือ Punishing: Grey Raven กับไซไฟสุดล้ำดำดิ่งสู่ความสิ้นหวังของมนุษย์
หากจะพูดว่าเกม Honkai Impact 3rd ที่เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash แล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเลยคือบทเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากๆ แรกๆ ก็ดูสดใสคล้ายแนวฮีโร่วัลคีรี่ย์สาวออกไปปกป้องโลก หลังๆ ชักไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เพราะว่ามันขั้นออกไปทางดาร์คและปวดตับกันเลยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่ามันก็ยังมีอีกเกม เกมหนึ่งที่มีแนวการเล่นคล้ายๆ กับ Honkai Impact 3rd แต่ทำเนื้อเรื่องออกมาเข้มข้นไม่แพ้กัน บทความนี้ทางเรา GameFever TH ได้ไปเจอเกมดีๆ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งเกม โดยมีชื่อเกมว่า Punishing: Grey Raven ซึ่งพัฒนาโดย Kuro Games เป็นเกมแนว Action RPG, Hack&Slash เหมือนกัน แต่กลับมีสิ่งที่แตกต่างออกไปแถมมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย และตัวเองก็เพิ่งเปิดให้บริการในเซิร์ฟเวอร์จีน Bili Bili ได้ไม่นาน จึงต้องมาพิสูจน์กันว่าทำไมคนที่เล่นเกมจีนถึงได้พูดถึงเกมนี้กันมากนัก ================================================== แค่เปิดตัวก็อย่างอลัง แฝงมนต์ขลังความไร้ที่ติ หลังจากที่โหลดเกม Punishing: Grey Raven ผ่าน BiliBili ด้วยความยากลำบากเสียเล็กน้อย ซึ่งโชคดีที่เคยสมัครไอดีมานานมากแล้วก็ยังสามารถใช้ได้อยู่เลยไม่เสียเวลาสมัครมากนัก แถมตัวเกมใช้เวลาในการโหลดนานมากเพราะใช้เนื้อที่ราวๆ 2.5 GB ยังดีที่มือถือมีเนื้อทีเหลือๆ อยู่ พอเปิดเกมเท่านั้นแหละก็รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับการรอคอย นี่คือสิ่งแรกที่ได้เห็น เพราะแทบไม่เคยเจอเกมมือถือที่สื่อถือโทนมืดตัดกับแสงแบบนี้ จากคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับภาพวาดมาก่อน ตัวละคร Liv ( ในภาพ ) หลับตา ไม่มองมายังผู้เล่นบนพื้นที่เต็มไปด้วยความมืดแต่ก็ยังมีแสงเล็ดลอดออกมา มันสื่อถึงตัวเกมที่พยายามจะบอกเราว่า "เกมนี้มีเนื้อหาดาร์คมากๆ จะเล่นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?" หลายคนอาจจะมองว่าภาพเปิดเกมไม่สวยเลย มีแต่โทนดำๆ มืดๆ แทบไม่มีแสงสี แต่หากมองจากองค์ประกอบเหล่านี้ที่เราได้บอกมา ถือว่าเป็นการแฝงความขลัง แฝงความไร้ที่ติของตัวมันเอง จุดนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้จะถูกห้ามเราก็ต้องเข้าไป หลังจากกดเข้าเกมแล้ว ก็จะตัดมาที่โหมดฝึกสอนพร้อมเนื้อเรื่องที่จะเริ่มเล่าเกี่ยวกับจักรวาลของเกมนี้...ถึงมาก็มีคนตายต่อหน้าเราเลยซึ่งเธอมีชื่อว่า Lucia ซึ่งแบบถึงมาก็ใส่ความจัดหนักจัดเต็มเลย แต่ว่ามันยังไม่พีคเท่าจู่ๆ Lucia ก็ลุกขึ้นมาทำร้ายเราจนเกือบจะฆ่าเรา โชคดีที่ Liv มาช่วยทันเวลาและต้องฆ่านางให้ตายเป็นรอบที่สอง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่งงเป็นไก่ตาแตก แถมเป็นภาษาจีนอีก อ่านไม่ออกยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอ่านไม่ออก มันก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนรู้สึกว่า แค่ Prologue เนื้อเรื่องเป็นภาษาจีนอ่านไม่ออกยังชวนให้ติดตามนี่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว เนื้อเรื่องที่ฉีกแนวเดิมๆ เพิ่มเติมคือภาพอาร์ตอันสวยงาม เนื้อเรื่องของเกม Punishing: Grey Raven จะอยู่ในช่วงยุคปี ค.ศ. 2079 หรออนาคตจากเราไปอีกห้าสิบปีข้างหน้า เมื่อยุคหนึ่งที่มนุษย์เคยรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด มีการพัฒนาโลกเสมือนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ ด้วยการฝังชิป ทำให้เกิดช่องทางการติดต่อรูปแบบใหม่แทนระบบอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ แต่นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นหายนะเพราะได้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า Punishing Virus เป็นไวรัสประเภท Cybernatic ที่เป็นอันตรายต่อเครื่องจักรและมนุษย์ที่ได้รับการฝังชิป ส่งผลทำให้เครื่องจักรเกิดการคุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ส่วนมนุษย์ก็จะตายภายในเวลาอันรวดเร็วและก็กลับมามีชีวิตไล่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง นำไปสู่หายนะจนเกือบทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ในปี ค.ศ 2140 เจ้า Punishing Virus ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถอาศัยอยู่บนทวีปในปัจจุบันได้ ต้องอพยพมาทางตอนเหนือของรัสเซียไม่ก็สร้างประเทศใหม่บนทวีปแอนตาร์คติกเพราะไวรัสเข้าถึงได้ยาก มนุษย์เริ่มดัดแปลงเหล่าผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกเลือกให้กลายเป็นไซบอร์กเพื่อต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรและมนุษย์ที่ติดไวรัสโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เรียกว่า Structured โดยมนุษย์ไซบอร์กนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังจะตายในการต่อสู้ก็ยังสามารถแบคอัพจิตสำนึกและข้อมูลต่างๆ ไปยังส่วนกลางที่เรียกว่า Sea of Consciousness (SOC) เสมือนเป็นเซิร์ฟเวอร์กลางของฐานทัพฝ่ายมนุษย์ และรอการคืนชีพพร้อมนำจิตสำนึกเดิมเข้าสู่ร่างกายไซบอร์กอันใหม่อักครั้ง เหล่า Structured แม้จะมีขีดความสามารถในการสู้รบสู้มากๆ เสมือนเป็นทหารรูปแบบใหม่ในเกมนี้ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสระหว่างการต่อสู้เหมือนกัน ทางแก้ก็คือ เหล่า Structured จะต้องมีผู้บัญชาการที่เป็นมนุษย์แท้ๆ ไว้สนับสนุนหรือออกคำสั่ง วางแผนการรบให้กับคนเหล่านี้ ( ตัวผู้เล่นเอง ) โดยตัวเราจะเชื่อมกับ Module ส่งจิตสำนึกไปเชื่อมต่อกับ Structured เพื่อบล็อคการทำงานของไวรัส เหมือนเป็นวัคซีนรักษาโรค แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนไม่มีวันตาย ร่างพังก็รอกลับไปคืนร่างใหม่ แต่หาก Structured คนไหนส่งจิตสำนึกเข้าสู่ส่วนกลางไม่ทันก่อนตาย ก็จะตายอย่างถาวรไม่กลับมาคืนชีพได้อีก โดยส่วนตัวจากที่ได้แปลเนื้อเรื่องออกมา บอกเลยว่าค่อนข้างแหวกแนวและนำเสนอได้แปลกใหม่มาก ตัวละครหลักอย่าง Lucia สาวผมแดงมาดเท่ ที่เปิดตัวมาก็ตายให้เราเห็นแต่ก็คืนชีพใหม่ได้อีกรอบ, Liv อดีตแพทย์สนามสาวที่เคยตายมารอบหนึ่ง และกลับมาในฐานะ Structured แสนน่ารัก หรือ Lee หนุ่มมาดเงียบขรึมหล่อกระชากใจ ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าจดจำ ลายเส้นภาพอาร์ตต่างๆ ยอมรับเลยว่าสวยคมบาดตาบาดใจมาก เสียดายที่เป็นภาษาจีน บางตัวก็แปลไม่ออกเหมือนกัน ถ้ามีเซิร์ฟเวอร์อังกฤษเมื่อไหร่บอกเลยว่าน่าจะได้อารมณ์ในการเล่นมากกว่านี้ Interface ไม่ซับซ้อน อ่านไม่ออกก็ใช้งานง่าย ในด้าน Interface ต้องขอชมเชยว่าออกแบบมาดี ให้ความคล้ายคลึงกับ Arknights หรือ Girls Frontline คือมันเรียบง่ายแต่สวย ใช้งานง่าย แยกออกว่าอะไรเป็นอะไรแม้ว่าจะอ่านภาษาจีนไม่ออกก็ตาม ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เมนูต่างๆ สักพักแต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานแต่อย่างใด แถมตัวละครก็เป็นแบบ 3D ด้วย จิ้มๆ ก็มีการโต้ตอบกับเราพอให้ฟินได้บ้าง ในส่วนของเรื่องการจัดการตัวละครต่างๆ ทั้งการอัพเกรดตัวละคร, สกิล, อาวุธหรือระบบการ์ด บอกเลยว่ามีความคล้ายคลึงกับ Honkai Impact 3rd เป็นอย่างมาก หากใครเคยเล่นเกมนี้ก็จะเรียนรู้ได้ไวในส่วนนี้ โดยเฉพาะระบบการ์ดซึ่งหากนำใบการ์ดซ้ำมาใส่ ก็จะเป็นการเพิ่มคุณลักษณะ ค่าสถานะต่างๆ แบบเป็น Set ส่งผลต่อการเล่นทั้งโหมดปกติหรือการลงอิเวนท์ ในส่วนระบบกาชาบอกเลยว่า ใช้ตั๋วเยอะมาก ต้องใช้ถึง 2500 ในการเปิดกล่องกาชาสิบกล่องเพื่อการันตีได้ตัวละคร นอกนั้นก็จะเป็นอาวุธและไอเท็มต่างๆ สำหรับพัฒนาตัวละคร แต่เปอร์เซ็นต์ในการออกตัวละครหายากก็ไม่ค่อยเกลือจนน่าเกลียดนัก แม้พกดวงมาน้อยแต่ก็ยังสามารถรอคอยตัวเทพๆ ได้เพียงแค่ใช้ตั๋วเยอะไปหน่อย การอดทนฟาร์มหาของหาตั๋วจึงเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคิดจะเปย์ก็ไม่ผิดกติกาอะไร ยังไงก็ศึกษาการเติมเงินของเกมจีนก่อนนะ กราฟิคสวย แม้เครื่องไม่แรงก็ยังเล่นได้ คราวนี้ก็มาถึงส่วนของระบบการเล่นกันบ้าง หากดูจากหน้า HUD แล้วก็มีความคล้าย Honkai Impact 3rd โดยจะมีปุ่มบังคับทิศทาง, ปุ่มโจมตีที่กดย้ำๆ ตัวละครก็โชว์ท่าทาง, ปุ่มหลบเมื่อหลบถูกจังหวะ ศัตรูจะถูกหยุดเวลาไว้และปุ่มตัวละครสนับสนุนอีกสองตัวสามารถเรียกหรือใช้ต่อยอดคอมโบแบบ Quick Time Event ได้ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ปุ่มท่าโจมตีพิเศษเพิ่มเติมสามท่า เมื่อเราโจมตีธรรมดาไปเรื่อยๆ ท่าโจมตีพิเศษจะขึ้นเรียงเป็นแถวแบบสุ่มทั้งหมดสามท่า แต่ละท่าจะมีการบอกสีอย่างชัดเจน ซึ่งท่าโจมตีพิเศษมีดังนี้ สีแดงคือท่าโจมตีที่ใช้โจมตีเป็นวงกว้างเป็นหลักหรือใช้การโจมตีแบบรุนแรงในทีเดียว สีเหลืองคือท่าที่ใช้โจมตีเพื่อทำการจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือ Crown Control เช่นทำให้ลอยหรือสตั้น สีฟ้าจะเป็นการโจมตีแบบลดค่าสถานะต่างๆ ของศัตรูหรือจะเป็นการเพิ่มสถานะการต่อสู้ให้กับตัวเราเอง และหากเมื่อกดใช้ท่าโจมตีพิเศษ มันก็จะหายไป ท่าโจมตีพิเศษใหม่ๆ ก็จะต่อแถวและสุ่มไปเรื่อยๆ หากเราทำการ Stack ต่อท่าโจมตีพิเศษเป็นสีเดียวกันสองตัวหรือสามตัว เมื่อกดใช้ก็จะเป็นท่าโจมตีพิเศษของตัวละครโผล่ขึ้นมาให้เห็นด้วย ส่วนด้านกราฟิค ซึ่งรีวิวนี้ได้ใช้มือถือ Samsung Galaxy A50 ซึ่งเป็นมือถือสเปคกลางๆ ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่นไหลไม่กระตุกแม้คุณภาพของโมเดลตัวละครอาจจะดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หากใครที่มีมือถือสเปคแรงกว่านี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่สุดยอดก็เป็นไปได้ ส่วนระยะเวลาในการเล่นแต่ละด่านค่อนข้างสั้น เล่นหน่อยเดียวก็จบด่านแล้วซึ่งหลายคนก็อาจจะไม่ชอบ รู้สึกไม่เต็มอิ่ม แต่หากใครเคยเล่นเกมแนวๆ นี้ก็อาจจะชินพอยอมรับทำใจได้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ================================================== โดยรวมแล้ว Punishing: Grey Raven ถือเป็นเกมคุณภาพอีกหนึ่งเกมที่มีกราฟิคสวย แม้มือถือสเปคกลางๆ ก็ยังเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ใช่อัพกราฟิคโหดๆ จนกลายเป็น Mobile Destroyer อย่างที่หลายๆ เกมเป็นในปัจจุบัน เสียดายที่โมเดลตัวละครในเกมอาจจะยังดูแข็งๆ ไปนิด เคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก แต่ปั้นโมเดลได้สวยและน่ารักเลยพอรับได้ และเกมนี้นับว่าต้องเล่นแบบ Grinding หรือใช้ความอดทนในการฟาร์มของให้ตัวละครได้เก่งขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่ขี้เบื่อง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเกมที่น่าเล่นในปี 2020 นี้เลยล่ะ! [penci_review id="39016"] ติดตามข่าวสารเกมต่างๆ ได้ที่      
16 Jan 2020
รีวิว Battlefield V เจ้าแห่งเกมสงคราม ที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่
แนวเกม: FPS ผู้พัฒนา: DICE จัดจำหน่าย: EA แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One, PC (Origin) Battlefield V เกมแนว FPS ภาคต่อจากซีรีส์แนวสงครามของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง EA ที่คุณรู้จักกันดี โดยในภาคนี้ตัวเกมจะพาให้คุณเข้าไปสัมผัสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่ามหาอำนาจอย่างฝ่ายสัมพันธมิตร และ ฝ่ายอักษะ เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง โดยตัวเกมได้พัฒนาระบบต่างๆ ให้แตกต่างจากภาค Battlefield 1 อยู่มากพอสมควรเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวผู้เล่น และถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากสำหรับเกมนี้ที่ต้องบอกว่าพวกเขากล้า !! และอาจจะเป็นมิติใหม่ของเกมที่เราจะได้เห็นไปอีกซักพักสำหรับซีรีส์ Battlefield ภาคถัดๆ ไป ถึงแม้ว่าในช่วงเปิดตัวนั้น ตัวเกมได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบอยู่มากพอสมควร จนทำให้บัลลังค์ชื่อเสียงคำว่าเฟรนไชส์เกมยอดเยี่ยมนั้นสั่นคลอนลงมาเลยทีเดียว ซึ่งทางผู้พัฒนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและไปปรับแก้ระบบต่างๆ จนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ตัวเกมนั้นก็ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยในบทความนี้พวกเราชาว GamefeverTH จะมารีวิวเกมนี้อย่างละเอียด ดีหรือไม่ดีตรงไหนจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน พร้อมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างภาคนี้กับ Battlefield 1 ที่มันแตกต่างกันยังไง และต้องขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีอย่าง NGIN ที่ส่งแผ่น PS4 เกมนี้มาให้เรารีวิวครับ เอาล่ะเราไปชมกันเลย กราฟิก ถึงแม้ว่าตัวกราฟิกของเกมภาคนี้จะใช้เอ็นจิ้น Frostbite 3 เหมือนในภาคที่แล้ว แอนิเมชั่นต่างๆ ก็จะคล้ายกันในหลายๆ อย่าง แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของภาคนี้กลับทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แสง เสียง เงาต่างๆ ก็ดูสมจริงมากขึ้น เพราะใน Battlefield 1 ที่เราคิดว่าภาพสวยแล้วนั้น แต่มันก็ยังมีความเรียบของดีเทลเล็กน้อยในเรื่องของ แสง เงา ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันยังไม่สมจริงเท่าที่ควร แต่ต่างจากในภาคนี้ เรื่องแสง เงา คือจัดเต็ม !! จัดเต็มมาก !! กะเอาให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด เหมือนต้องการให้เราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจรืงๆ รวมถึงสำหรับสาวก PC ที่คอมแรงก็จะโชคดีกว่าคนอื่น เพราะตัวเกมนี้ก็จะมีระบบ Ray Tracing ที่จะเป็นการสะท้อนเงาฉากในเกมให้เกมสมจริงขึ้นอีกไปอีก แต่ถ้าหากใครที่ต้องการจะใช้ระบบนี้ คุณก็อาจจะต้องใช้การ์ดจอระดับ High End ของค่ายเขียวซีรีส์ 2000 ขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าว่าคอมคุณทำได้ ต้องบอกเลยว่านี่คือเกมที่ภาพสวยที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว [caption id="attachment_13824" align="aligncenter" width="1280"] ในภาค Battlefield V จะมีรายละเอียดเรื่องแสง และเงาที่สวยกว่า[/caption] Single Player ในภาคนี้ตัวเกมก็ยังคงคอนเซ็บที่จะเล่าเนื้อเรื่องในหลายๆ มุมของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดั่งที่เคยทำมาในเกม Battlefield 1 โดยการนำเสนอของภาคนี้จะเน้นเนื้อเรื่องในอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทุกคนไม่เคยเห็นในแต่ละประเทศ โดยจะมีเนื้อเรื่องอยู่ทั้งหมด 4 บทนั่นคือ Nordlys - สาวน้อยนักฆ่าความสามารถสูงที่จะต้องปลดแอกประเทศ Norway ของตัวเอกจากฝ่ายนาซี พร้อมทั้งต้องช่วยเหลือครอบครัวที่โดนจับตัวไป Under No Flag - เล่าถึงเรื่องโอกาศที่สองของอาชญากรนามว่า Billy Bridger ที่จะต้องเข้าร่วมกองกำลังรบอังกฤษ เพื่อมารับใช้ชาติแทนที่จะเข้าคุก Tirailleur - การต่อสู้ของกองกำลังเซเนกัลประเทศฝรั่งเศษที่จะต้องปกป้อง Homeland พื้นที่ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน The Last Tiger - จะเล่าเรื่องของทหารฝ่ายนาซี กับลูกเรือบนรถถัง The Tiger คนหนึ่งที่เริ่มสงสัยและตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของประเทศตัวเอง (แต่ในเนื้อเรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่น เพราะว่าผู้พัฒนาบอกว่ามันจะตามมาทีหลังนั่นเอง) โดยตัวเกมเพลย์ในภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบการเล่นนั้นจะกลายเป็นรูปแบบ Openworld เต็มตัว มีแนวทางการเล่นหลากหลายมากกว่าก่อน มีอิสระในการผ่านด่านต่างๆ ได้มากขึ้น อย่างเช่นการบุกประจันหน้าเข้าไป หรือจะเป็นการลอบเร้นเข้าไปก็ได้ อาวุธภายในเกมก็มีหลากหลายเพียงแต่เราอาจจะต้องไปไล่เก็บตามแคมป์ศัตรูต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เราต้องสำรวจมากขึ้นนั่นเอง มีการส่อง Mark ตำแหน่งของศัตรูเพื่อให้เล่นได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นการคอยๆ เก็บทีละตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรู Alert และไปกดเสาสัญญานขอความช่วยเหลือให้เพื่อนมาช่วยเป็นต้น [caption id="attachment_13827" align="aligncenter" width="1280"] โหมดเนื้อเรื่องกลายเป็นแนว Openworld เต็มตัว[/caption] [caption id="attachment_13853" align="aligncenter" width="1280"] มีการส่องกล้องหาศํตรูหรือจุดดรอปปืนเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเรา[/caption] [caption id="attachment_13829" align="aligncenter" width="1280"] สามารถรอบเร้นเข้าไปเก็บทีละคนได้[/caption] แต่เนื่องจากที่ระบบการเล่นแบบนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ Battlefield เคยทำ มันเลยทำให้การดีไซน์ต่างๆ ของแผนที่นั้นออกมาไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นภายในเนื้อเรื่องที่เราจะต้องแอบเข้าไปในดงศัตรูเพื่อทำภารกิจ ซึ่งในเนื้อเรื่องของมันก็บังคับแบบกลายๆ แล้วว่าเราจะต้องลอบเร้นเข้าไป แต่ตัวศัตรูนั้นนอกจากที่จะหูไวตาไวแล้ว ข้อจำกัดในการเล่นหรืออาวุธที่เราใช้มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้เราผ่านด่านได้แบบ Perfect เพราะบางครั้งศัตรูเองก็จะไม่เดินไปเดินมาเหมือนเกมอื่น อาวุธเริ่มต้นก็จะไม่มีปืนเก็บเสียงนอกจากมีดลับที่สามารถปาให้เข้าหัวเท่านั้น แต่มันก็จะมีพวกปืนเก็บเสียงบ้างตามแคมป์ ซึ่งมันก็แลกกับการที่เราจะต้องไปควานหามันก่อนที่จะทำภารกิจ โดยถ้าใครชอบระบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนถ้าใครไม่ชอบระบบนี้ก็คงจะน่ารำคาญเล็กน้อย และอย่างที่แย่เลยก็คือใครบางครั้ง ศัตรูนั้นหันหน้าไปทางเดียวกันหมดทุกคน มันเลยทำให้การลอบเร้นยากกว่าเดิมเลยทำให้ความสนุกมันลดทอนลงไป ถ้าให้เปรียบเทียบระบบการลอบเร้นของเกมนี้ มันก็ดูเหมือนเกม Metal Gear Solid V: The Phanton pain เล็กน้อย เพียงแต่เกมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกลไกของเกมที่ทำให้เราลอบเร้นสนุกมากกว่าเกมนี้หลายเท่า [caption id="attachment_13832" align="aligncenter" width="1280"] บางพื้นที่ศัตรูหันหน้าทางเดียวกัน ซึ่งมันทำให้การรอบเร้นฆ่าทีละตัวยากกว่าเดิม[/caption] ส่วนตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ เนื่องจากที่แต่ละบทจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 - 3 ชั่วโมงเท่านั้น การเล่าเรื่องในซีนสำคัญๆ มันเลยทำให้เราไม่อินเท่าที่ควร เพราะเราเองก็พึ่งจะรู้จักตัวละครพวกนี้ได้ไม่นาน เราเลยยังไม่ผูกพันธ์พวกเขาเท่าที่ควร แต่ก็ต้องชมเลยว่าในเรื่องของซีนที่จะสื่อถึงความรักชาติ หรือทำให้เรารู้สึกหึกเหิม ตัวเกมจะสื่อออกมาได้ดีมากๆ ซึ่งส่วนตัวของผมนั้นจะชอบในบท Under No Flag มากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันจะทำให้เราเอาใจช่วยเจ้าหนูคนนี้ตลอดเวลา   Multiplayer ในเกม Battlefield V ระบบมัลติเพลยเยอร์นั้นก็จะมีโหมดการเล่นอยู่ด้วยกัน โหมดนั่นคือ Conquest - โหมดคลาสสิค ที่มีมาตั้งแต่ภาคเก่าๆ เป็นการต่อสู้ในสเกลใหญ่ที่เราจะต้องยึดพื้นที่ต่างๆ โดยในภาคนี้ระบบจะไม่เหมือนกับภาคก่อนหน้าตรงที่การนับคะแนนคือการตาย ซึ่งถ้าหากว่าเราถูกยึดจุดมากกว่าครึ่งจะทำให้คะแนนลดมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งมันทำให้การ Comeback ของฝ่ายเสียเปรียบทำได้ง่ายขึ้น Domination - การต่อสู้ภาคพื้นดินที่จะสเกลเล็กลงมากว่าโหมด Conqest เราจะพบเจอศัตรูได้ง่ายกว่า Team Deathmatch - โหมดยิงประจันหน้าที่มีอยู่ทุกเกม โดยตัวเราและศัตรูจะสุ่มเกิดในพื้นที่ขนาดเล็กอยู่เรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเข้าไปฝึกยิงให้คล่อง Frontlines - โหมดภารกิจยึดจุด ในธีมที่เหมือนกับการเล่นชักกะเย่อ ถ้าหากว่าฝ่ายเรายึดจุดมากกว่าอีกฝ่ายเราก็จะชนะไป Breakthrough - โหมด Capture the flags ที่เรารู้จักกันดีฝ่ายบุกต้องเข้ายึด ส่วนฝ่ายกันก็จะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายบุกเข้ามาได้ Grand Oparation - โหมดสเกลใหญ่ที่รวมหลายๆ โหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งตัวโหมดนี้เองก็มีตั้งแต่ภาคก่อนหน้า ตัวเกมใช้เวลาในการเล่นนาน และเนื้อเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้แพ้ชนะของแมทนั้นๆ โดยเกมนี้จะเน้นการเล่นเป็นทีมไม่ต่างจากในเกมภาคที่แล้ว เพียงแต่วิธีการเล่นเป็นทีมจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และระบบต่างๆ จะปรับเปลี่ยนใหม่อย่างเช่น ในเกม Battlefield 1 ตัวละครของเราถ้าหากไม่ใช่คลาส Medic เราก็จะไม่มียาให้เพิ่มเลย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าหากว่าเรารอเวลาซักนิดตัวละครก็จะค่อยๆ ฟืนเลือดมาเรื่อยๆ จนเต็มแต่มันจะเสียเวลา ซึ่งการมี Medic ในทีมนั้นสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะคลาสนี้จะคอยเติมเลือดให้เราได้ไว ส่วนในเกมภาคใหม่ทุกคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะมียาเพิ่มเลือดให้คนละ 1 อัน  แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราไม่มียาเลือดของเรานั้นก็จะเพิ่มไม่เต็มหลอดทำให้เสียเปรียบนั่นเอง ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างอย่างหนึ่ง และการชุบเพื่อนเราไม่จำเป็นต้องรอ Medic อย่างเดียวเหมือนภาคที่แล้ว เพราะในภาคนี้ไม่ว่าคุณจะเล่นคลาสไหน ก็สามารถที่จะชุบเพื่อนได้ เพียงแต่ว่าคลาสที่ไม่ใช่ Medic จะใช้เวลาชุบที่นานมากกว่านั่นเอง และในภาคนี้ก็จะตัดระบบการวิ่งชาร์จที่มีข้อดีในการเข้ายึดจุดไว หรือ Take Down ศัตรูในทีเดียวออกไป พร้อมทั้งยังตัดระบบชุดเกราะพิเศษในภาค 1 ที่จะทำให้เราถึกขึ้นปืนโหดขึ้น มันเลยทำให้ความแฟนตาซีลดลงไป และให้ความสมจริงมากขึ้น เจาะจงการเล่นเป็นทีมมากขึ้น เกาะกันเป็นกลุ่มมากกว่าแต่เก่านั่นเอง [caption id="attachment_13839" align="aligncenter" width="1280"] เป็นคลาส Assault แต่มียามาให้ 1 ชิ้น[/caption] [caption id="attachment_13840" align="aligncenter" width="1280"] ทุกอาชีพสามารถชุบเพื่อนได้ เพียงแค่ Medic จะสามารถชุบได้เร็วกว่าคลาสอื่นนั่นเอง[/caption] ระบบการต่อสู้แบบเดินเท้าก็จะสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะว่าตัวเกมได้ตัดทอนความสามารถของยานพาหนะให้เก่งน้อยลงกว่าภาคก่อนๆ เยอะ ซึ่งตัวผมเองเล่นเกมนี้บนเครื่อง PS4 และเห็นรถถังเดินบู๊ฆ่าแหลกน้อยมาก เพราะตัวรถถังมันโดนทำลายง่ายพอสมควร เนื่องจากที่ฝ่าย Assault นั้นมีปืนระเบิดไว้ทำลายรถถังหลายลูกต่อหนึ่งคน มันเลยทำให้การสู้ด้วยยานพาหนะจะต้องใช้แบบแผนมากยิ่งขึ้นกว่าในภาค Battlefield 1 ที่ก่อนจะปรับสมดุล ตัวรถถังมัน OP มากๆ สามารถบู๊แหลกเก็บทั้งทีมได้สบายๆ พร้อมทั้งระบบ Behemoth ที่มีในเกม Battlefield 1 ก็ได้ตัดออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยระบบนี้จะเป็นการนำยานพาหนะขนาดใหญ่เข้ามาร่วมรบสำหรับฝ่ายที่มีคะแนนน้อยและใกล้แพ้ แต่เอาตามตรงมันก็ไม่ค่อยจะช่วยให้เราชนะซักเท่าไร เพราะตัว Behemoth นั้นมีพื้นที่จำกัดในการเคลื่อนที่ รวมถึงถ้าหากคนที่ใช้ปืนเล่นไม่เก่งและสามารถเก็บฝ่ายศัตรูให้เรียบได้ มันก็แทบจะไร้ประโยชน์เลยทีเดียว แถมมันยังทำให้ผู้เล่นมัวแต่ไปขี่ตัว Behemoth จนไม่มาช่วยกันยึดจุดด้วยซ้ำ ซึ่งในภาคนี้ได้ใส่ระบบแต้มคะแนนของ Squard เข้ามาแทนที่ถ้าหากว่าเราและเพื่อนร่วมทีมสามารถเก็บคะแนนได้เยอะๆ หัวหน้าทีมสามารถเรียกคำสั่งนี้เพื่อที่จะใช้ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ใส่ศัตรู หรือเรียก Supply มาให้ก็ได้ รวมถึงภาคนี้ยังได้ใส่ระบบการก่อสร้างเพื่อเราจะได้สร้างที่กำบังให้สามารถเพิ่มความได้เปรียบกับตัวเราได้ อย่างเช่นการเอาถุงทรายมาเป็นป้อม สร้างถุงทรายให้กลายเป็นกำแพง หรือการซ่อมหน้าต่างที่กำบังในบ้านเพื่อทำที่หลบภัยให้กับสไนเปอร์ รวมถึงตัวเกมยังมีระบบ Peek Over เล็กๆ ซึ่งถ้าหากเราเอาตัวไปหลบในที่กำบังแล้วกดเล็ง ตัวเราจะชโงกหน้าออกมาเล็งอัตโนมัติ ซึ่งมันเหมาะทั้งในทีมบุกและทีมรับ เพราะตัวทีมบุกเองก็สามารถบุกหลบในหลุมขนาดใหญ่บนพื้น แล้วสร้างที่กำบังเพื่อหลบภัยชั่วครู่แล้วจึงค่อยบุกต่อก็ได้ ส่วนทีมกันก็สามารถสร้างที่หลบภัยเพิ่มเติมถ้าหากว่าตัวสิ่งก่อสร้างมันโดนพังเป็นต้น แต่ข้อเสียของระบบนี้คือตำแหน่งในการสร้างบนภาคพื้นดินจะมีอยู่จำกัดและสร้างที่กำบังไม่ได้ทุกพื้นที่ รวมถึงมันต้องอาศัยการเล่นเป็นทีมสูง ถ้าหากจะให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเราจะได้ช่วยกันสร้างป้อมทุกมุมได้ไวขึ้น หรือถ้าหากเราเผลอโดนศัตรูยิงก็จะสามารถช่วยกันชุบได้ หรือช่วยกันแจกกระสุน ยาเป็นต้น และพอใช้งานจริงระบบนี้กลับไม่ค่อยจะมีคนนิยมเท่าไร เพราะมันทำให้รูปเกมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด คนในเซิร์ฟเลยเลือกที่จะเล่นในแบบเดิมๆ มากกว่า แต่จะมักนิยมสำหรับคนที่เล่น Sniper ที่สามารถยิงปืนได้ในระยะไกลนั่นเอง รวมถึงการ Peek Over ส่วนตัวมันรู้สึกเอ๋อๆ กดได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง ทำไมบางจังหวะมันผิดพลาดไปหมด ระบบคลาสของเกมนี้ในแต่ละคลาสก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปอีก โดยฟังชั่นนี้จะเรียกว่า Combat Role ในการเล่นได้ ซึ่งมันก็จะไปเพิ่ม Passive ให้เราเก่งในสายนั้นๆ อย่างเช่น Role ของฝ่าย Assault ก็จะมี Role ที่จะเน้นระเบิดรถถัง หรือ Role ที่เน้นการยิงเป็นต้น พร้อมทั้งในเกมภาคนี้ได้ตัดระบบ Season Pass ออกไปไม่ต้องเทพทรูอีกแล้ว การได้ของใหม่ๆ ก็จะสามารถเก็บเลเวล รวมถึงแต่ละเลเวลก็จะมีของที่บอกชัดเจนว่าจะปลดล็อคอะไร พร้อมทั้งสกีนต่างๆ ซึ่งเราสามารถทำเควสหรือซื้อด้วยเงินเครดิตในเกมได้เช่นกัน และก่อนหน้านี้ที่ทางผู้พัฒนาโดนโจมตีเรื่องสกีนของตัวละครที่คาดว่าจะมีระบบ Lootbox เข้ามาให้เราเปิดสกีน ซึ่งดูเหมือนว่าทางผู้พัฒนาก็ได้ตัดระบบนี้ออกไปเลยทำให้สกีนหรือชุดสวมใส่ต่างๆ ก็จะดูไม่แฟนตาซีมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่าระบบสกีนจะมีมาเพิ่มในอนาคตหรือไม่เราต้องรอดูกัน [caption id="attachment_13847" align="aligncenter" width="1280"] ระบบ Combat Role ที่จะเป็นคลาสย่อยของแต่ละคลาสหลักที่จะมีความสามารถแตกต่างกัน[/caption] [caption id="attachment_13848" align="aligncenter" width="1280"] ชุดไม่แฟนตาซี เพราะตัวเกมไม่มีระบบ Lootbox อย่างที่คนกลัวกัน (แต่อนาคตไม่แน่ใจว่าจะมีเข้ามาไหม)[/caption] สรุป ต้องบอกเลยว่าระบบ Singleplayer ของเกมนี้ทำออกมาได้แปลกใหม่ และถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้ดีมากๆ เพราะระบบ Openworld ที่เราสามารถเลือกวิธีเล่นได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต้องยอมรับว่ามันยังดีไซน์ออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะตัวเกมมีความยากในการเล่น แต่ข้อจำกัดอาวุธที่ใช้ต่างๆ มันทำให้ความสนุกถูกบั่นทอนลงมา แต่ถ้าหากใครที่ชอบแบบนี้มันอาจจะเป็นเรืองดีก็ได้ ส่วนระบบ Multiplayer เกมนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ระบบเดินเท้าทำออกมาได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือถ้าหากเราเล่นคนเดียวประสบการณ์ที่เราจะได้รับมันอาจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าหากคุณมาคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่สนุก เพราะถ้าหากคุณเล่นเป็นงานคุณก็คอยช่วยเหลือเพื่อน หรือช่วยเหลือทีม Squard อื่น เพื่อสร้างความได้เปรียบได้เช่นกัน และเนื่องจากที่มันเน้นความสมจริง สปีดการเล่น หรือเข้าทำก็จะช้าลงกว่าภาคก่อนหน้า เพราะระบบต่างๆ มันเอื้อต่อการเล่นเป็นทีม ซึ่งถ้าหากคุณวิ่งมั่วๆ คุณอาจจะโดนสอยตายได้ง่ายๆ แต่ก็บอกว่านี่แหละมันคือเสน่ห์หลักของภาคนี้เลยทีเดียว เพราะไอ้ความสมจริงนี่แหะมันเลยทำให้เราอินกับคำว่าสงครามโลกมากยิ่งขึ้น นี่อาจจะเป็นเกม Battlefield ภาคที่เปิดตัวออกมาโดนด่ามากที่สุด แต่ทางผู้พัฒนาเองก็ได้แก้ไขจุดต่างๆ เอาใจความคิดเห็นของผู้เล่นมากขึ้น จนทำให้มาตรฐานของมันก็ยังดีเยี่ยมเหมือนอย่างเคย [penci_review id="13607"]
29 Nov 2018
รีวิว PUBG Project Thai ระเบิดภูเขาเผากระท่อมไปกับพับจีเพื่อคนไทย
ถ้าถามแฟนเกมออนไลน์ว่าตอนนี้กำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ เชื่อว่า PlayerUnknown’s Battlegrounds หรือ PUBG เกมแนว Battle Royale ต้องติดหนึ่งในเกมที่กำลังเป็นที่นิยมในไทยอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะใน PC หรือมือถือก็มีคนเล่นอยู่จำนวนมาก และล่าสุดก็ถือเป็นข่าวดีที่เราจะมี PUBG Project Thai ออกมาให้ได้เล่นกัน แม้จะมีแฟนเกมเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นการฉุดไม่ให้ PUBG มียอดผู้เล่นสูงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ก็คือ การที่เกมมีไฟล์ขนาดค่อนข้างใหญ่ (ประมาณ 30 GB) ใช้แรมที่ค่อนข้างสูง (ขั้นต่ำ 8 GB) แถมยังต้องมีการ์ดจอที่แรงถึงจะสามารถพอเล่นเกมได้ การ์ดจอของผู้เขียนคือ GTX 1050 ยังต้องปรับภาพเป็น Very Low เพราะเกรงใจคอมที่บ้าน ด้านผู้พัฒนาและเผยแพร่เกมอย่าง PUBG Corp. เลยจัดโครงการพิเศษ เอาใจแฟนๆ ชาวไทยด้วยการเปิดตัว PUBG เวอร์ชันใหม่ที่ชื่อว่า PUBG Project Thai ลดสเปคทำให้เปลืองทรัพยากรน้อยลง เปิดโอกาสให้คนที่มีคอมและอยากเล่น PUBG บน PC ได้ร่วมเอาชีวิตรอด โดดร่ม เก็บปืน และกินไก่ได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญคือจัดที่ประเทศไทยเป็นที่แรกและประเทศเดียว แถมยังไม่ต้องเข้าผ่าน Steam ด้วย แม้เกมยังไม่ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ ยังเป็นเวอร์ชัน CBT ให้ลองเล่นเท่านั้น แต่ GameFever คิดว่าเกมมีความน่าสนใจ และยังมีโอกาสได้ลองเล่นช่วงทดลองกับเขาด้วย เราเลยอยากแชร์ข้อมูลและความคิดเห็นให้เพื่อนๆ ทราบกันว่า PUBG Project Thai จะรอดหรือจะร่วง เหมาะกับแฟนเกมแบบไหน และแตกต่างจากเวอร์ชันที่เคยมีมาก่อนหน้าอย่างไร   คอมไม่แรงก็เล่นได้แบบสบายๆ ความต้องการของระบบ "ขั้นต่ำ" ความต้องการของระบบที่ "แนะนำ" PUBG Project Thai ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i3 2.4GHz หน่วยความจำ: แรม 4 GB กราฟิก: Intel HD Graphics 4000 หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 4 GB PUBG (Steam) ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5-4430 หน่วยความจำ: แรม 8 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 960 2GB หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 30 GB PUBG Project Thai ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5 2.8GHz หน่วยความจำ: แรม 8 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 660 หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 4 GB PUBG (Steam) ระบบปฎิบัติการ: Window 7/8/10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i5-6600K หน่วยความจำ: แรม 16 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 1060 3GB หน่วยบันทึกข้อมูล: พื้นที่ว่างที่พร้อมใช้งาน 30 GB   ตอนแรกที่เห็นสเปคของ PUBG Project Thai ก็ต้องยอมรับว่าอึ้งอยู่เหมือนกัน เพราะจากประสบการณ์การเล่น PUBG เวอร์ชัน Steam ที่คิดว่า PC ของตัวเองก็พอไปวัดไปวาได้ ยังแทบเข่าทรุดเมื่อต้องเจอกับสภาพความเป็นจริงที่บ้านเป็นดินน้ำมัน เก็บปืนไม่ขึ้น หรือบางทีก็โดดร่มไม่ทันเพื่อนเสียด้วยซ้ำ ด้วยสเปคแนะนำขึ้นต่ำของ PUBG Project Thai ที่แรมใช้แค่ 4 GB สามารถเล่นการ์ดจอแบบ On board ได้ แถมเกมยังกินพื้นที่แค่ 4 GB จาก 30 GB ก็ต้องถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่ไม่เลว และทำให้อยากลองเล่นเกมเวอร์ชันนี้ขึ้นมาจริงๆ   https://www.youtube.com/watch?v=bOwCBDJtaaM&feature=youtu.be กราฟิกและภาพ  พอได้ลองเข้าเกมก็สังเกตได้ว่า PUBG Project Thai มีข้อแตกต่างจากเวอร์ชันตัวเต็มหลายอย่าง สิ่งที่เห็นได้ง่ายที่สุดตั้งแต่เข้าไปรอใน Lobby ก็คือภาพที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งหน้าตาตัวละครที่ก็เป็นตัวเดียวกันยังดูแตกต่าง ให้ว่ากันตามจริง ภาพของเวอร์ชันพิเศษสำหรับประเทศไทยนี้ออกแนวเหมือนภาพใน PUBG MOBILE เสียมากกว่า แม้จะปรับภาพให้เป็นระดับ Ultra แต่ส่วนตัวก็ยังคิดว่าภาพระดับต่ำในเกมตัวเต็มยังสวยกว่าอยู่ดี ทั้งในแง่ของรายละเอียด สีของภาพ แสง และเงา ทว่าก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าสาเหตุที่ภาพของ PUBG Project Thai เป็นแบบนี้เพราะต้องการลดการใช้ทรัพยากรของเครื่อง เลยทอนลักษณะพื้นผิวและรายละเอียดของแผนที่ออกไปจนแทบจะดูเกลี้ยงๆ โล่งๆ นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงสภาพภายในของห้อง บ้าน หรือตึก ตัดเฟอร์นิเจอร์ออกไปอีกเยอะ แต่ทั้งนี้ภาพก็ยังสวยกว่าเกมเวอร์ชันมือถือ สำหรับใครที่ใช้โปรแกรมอย่าง BlueStacks ที่ช่วยให้เล่นเกมมือถือใน PC ก็น่าจะรู้สึกชอบภาพของเวอร์ชันนี้อยู่ไม่น้อย เกมเพลย์ ด้านระบบการเล่นก็เป็นสเต็ปแบบเดิมตามสไตล์เกมแนว Battle Royale แบบ PUBG ที่ต้องเล็งหาเมืองที่อยากไปฟาร์ม มาร์กจุด กระโดดร่ม บังคับพาราชูต แล้ววิ่งลงไปเสี่ยงดวงเลือกบ้าน ภาวนาขอให้มีปืนหรืออาวุธให้เก็บ ที่แตกต่างจากเวอร์ชัน Steam คือตั้งแต่การมาร์กตำแหน่งว่าเราจะลงตรงไหน ตัวเกมเวอร์ชัน Project Thai ก็ได้คำนวณระยะทางเอาไว้ให้เราเสร็จสรรพ แถมยังขึ้นจุดเส้นปะบอกทิศทางให้อีก แม้แต่ระยะห่างของเรากับเพื่อนร่วมทีมก็ยังมีบอก สำหรับคนที่ดวงกุดเหมือนผู้เขียนก็ไม่ต้องกังวลใจว่าจะวิ่งเข้าบ้านแล้วจะออกมาตัวเปล่า บอกเลยว่าเกมเวอร์ชันนี้มีอัตราการดรอปอาวุธที่สูงกว่าเวอร์ชันตัวเต็ม เจอปืนได้ไม่ยาก แถมยังสามารถหยิบปืนได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีอาการหยิบปืนไม่ขึ้นจนโดนยิงให้เจ็บใจอีกต่อไป สามารถกด F ได้รัวๆ เรียกได้ว่าถ้าลงพร้อมกันแล้วใครไปถึงปืนก่อนก็มีสิทธิ์เก็บคิลไปได้ไม่ยาก และอาจจะด้วยเพราะเหตุนี้ทำให้เกมดำเนินไปได้เร็วกว่าเวอร์ชันใน Steam ค่อนข้างมาก ผ่านไปไม่กี่นาที จำนวนผู้รอดชีวิตก็ลดลงอย่างฮวบฮาบแล้ว นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบช่วยเล่น อย่าง เกมจะแต่งปืนให้เราอัตโนมัติหากเราฟาร์มของแล้วเจออุปกรณ์เสริม หรือหน้า TAB รวมของในตัวที่มีบอกอีกว่า ของอะไรที่เราเก็บมาแล้วไร้ประโยชน์ ไม่สามารถใส่ปืนอะไรได้เลย โดยที่รูปของอุปกรณ์ชนิดนั้นๆ จะมีเครื่องหมายสีแดงกำกับอยู่ข้างบนมุมซ้าย สำหรับใครที่ไม่ได้เกิดมายิงปืนแม่นเหมือนจับวาง PUBG Project Thai อาจเป็นเกมที่ช่วยปลอบใจได้เล็กน้อย เพราะถ้าเทียบกับเกมเวอร์ชันเต็มแล้ว เวอร์ชันนี้ยิงโดนเป้าหมายได้ง่ายกว่า ทั้งนี้เพราะปืนดีดไม่แรงเท่ากับเวอร์ชัน Steam แถมกระสุนก็ยังย้อยน้อยกว่าอีกด้วย ส่วนตัวแล้วคิดว่าเวอร์ชันนี้ถูกปรับมาให้อยู่กึ่งกลางระหว่าง PUBG Mobile กับ PUBG (Steam) หากคนที่เคยเล่นในมือถือมาอาจจะต้องปรับตัวกันหน่อย แต่ไม่ได้ยากเกินความสามารถของแฟนเกมแน่นอน แม้จะมีการควบคุมที่เหมือนกับเวอร์ชันเต็มทุกอย่าง ทว่าพอเข้ามาในเกม คนที่เคยเล่นเวอร์ชันเต็มอาจรู้สึกว่าการควบคุมทิศทางของการโดดร่ม การวิ่ง หรือหันกล้องอาจแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการเล่นขนาดนั้น แค่อาจจะใช้เวลาหน่อยในการปรับตัวให้ชิน ที่รู้สึกว่าส่งผลจริงๆ คือการบังคับร่มชูชีพ ต้องระวังในเรื่องการกะระยะ เพราะร่มไม่ได้เคลื่อนที่ได้ไกลเหมือนกับเกมเวอร์ชันเต็ม นอกจากนี้การบังคับทิศทางก็ยังเหมือนจะเปลี่ยนไป อาจทำให้คลาดจุดที่ตั้งใจจะลงไว้ แล้วทำให้เก็บปืนช้ากว่าคนอื่น จนโดนคิลได้เหมือนกัน   ระบบเสียง ปัญหาอย่างใหญ่หลวงสำหรับ PUBG Project Thai คือระบบเสียงที่ไม่สมจริงแบบสุดๆ เพราะเสียงที่ใช้เป็นระบบเสียงแบบเดียวกับ PUBG Mobile เสียงฝีเท้าในเกมของคู่ต่อสู้ดังมากจนทำให้สับสน แยกแทบไม่ออกว่าศัตรูมาจากทิศทางไหน อยู่ใกล้หรือไกลมากเท่าไหร่ เข้าใจได้ว่าการที่เวอร์ชันมือถือใช้ระบบแบบนี้เพราะหน้าจอเล็ก อาจเป็นการยากเกินไปถ้าเสียงมีหลายมิติและสมจริงเหมือนเวอร์ชัน Steam เพราะจะทำให้หาศัตรูแทบไม่เจอจนคิลใครไม่ได้ แถมการเล่นในมือถือก็มักจะไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ที่มีความเงียบและสงบพอให้สามารถเงี่ยหูฟังจับทิศทางศัตรูได้ ทว่าพอมาเป็นการเล่นบนหน้าจอ PC ที่ผู้เล่นมีเวลาเล่นอย่างจริงจัง มีพื้นที่เป็นของตัวเองพอให้นั่งเล่นแบบมีสมาธิได้แล้ว การใช้ระบบเสียงแบบในมือถือก็ไม่เหมาะสมในทุกมิติ เพราะสำหรับเกมแนว Battle Royale เสียง เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำคัญจนถึงขั้นที่ผู้เล่นระดับโปรเพลเยอร์ต้องใช้หูฟังระบบเสียง 7.1 เพื่อให้จับทิศทางได้อย่างละเอียดมากขึ้น ส่วนผู้เล่นระดับทั่วไปก็แทบไม่มีใครเล่นโดยไม่ใส่หูฟังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการที่เราได้ยินเสียงมันทำให้เราหาตัวศัตรูได้ ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะบุก ไม่บุก ศัตรูอยู่ใกล้หรือไกล โดนยิงมาจากทางไหน หรือว่าเรากำลังจะโดนชาร์จจนถึงแก่ความตายหรือเปล่า ทั้งนี้การใช้ระบบเสียงที่ขาดมิติแบบนี้ถือเป็นการฆ่าเกมทางอ้อมเลยก็ว่าได้   ตกลงว่า PUBG Project Thai น่าเล่นหรือไม่น่าเล่น? สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยเล่น PUBG หรือเคยเล่น PUBG Mobile มาก่อน ก็น่าประทับใจกับ PUBG Project Thai นี้ได้ไม่ยาก เพราะทาง PUBG Corp. ก็ทำเกมออกมาได้ตรงตามจุดประสงค์ที่อยากให้แฟนเกมเข้าถึงเกมกันได้ง่ายขึ้น ภาพสวยพอสมควร เลือกปรับกราฟิกได้หลายระดับ เก็บปืนเร็ว เกมมีความสมจริงมากขึ้นกว่าเวอร์ชันมือถือ ทั้งแรงดีดและความย้อยของกระสุน ถือว่าได้ประสบการณ์และอารมณ์ร่วมมากขึ้นก็คงจะไม่ผิดนัก ที่สำคัญดีไม่ดี พอตัวเกมถูกปล่อยออกมาจริงๆ ก็แทบจะไม่ต้องรอห้อง Match Making นานเลยก็เป็นได้ เพราะ PUBG Project Thai น่าจะมีคนเล่นเยอะแน่นอน ทว่าหากใครที่เคยเล่น PUBG (Steam) มาก่อนแล้ว PUBG Project Thai จะไม่ถูกใจแฟนเกมขาเก่าที่เคยเล่นตัวเกมเวอร์ชันเต็มมาแล้วอย่างแน่นอน จริงอยู่ที่เกมลื่นกว่าสำหรับคนที่คอมมีสเปคไม่ได้แรงมาก แต่เพื่อนๆ จะรู้สึกขัดใจกับระบบของเกมจนรู้สึกไม่คุ้มค่ากัน ต่อให้เล่นได้แค่ภาพกราฟิกระดับ Very Low อย่างผู้เขียนก็ยังรู้สึกเลยว่าไม่อยากแลก ทั้งนี้ก็เพราะ PUBG Project Thai ขาดความสมจริงที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมไป ทั้งภาพที่ทำออกมาได้ครึ่งๆ กลางๆ เสียงที่ไร้มิติ หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่าง ท่าทางการเก็บอาวุธที่จะทำให้เราหยิบปืนขึ้นไม่ได้ทันทีเพราะต้องก้มเก็บ เรียกได้ว่าไม่ค่อยเหลือความรู้สึกลุ้นระทึกที่เสมือนว่าเป็นตัวเราเองจริงๆ ที่เป็นคนกระโดดร่ม ต้องเสี่ยงดวงลุ้นเอาว่าจะโชคดีเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาที่ลงแล้วเจอปืนเลยหรือเปล่า คอยสะดุ้งทุกครั้งที่โดนชาร์จแบบไม่รู้ตัว คำนวณความย้อยของกระสุนแบบกะแล้วกะอีกกว่าจะโดนศัตรูซักตัว ความยากเหล่านี้มันล้วนทำให้เราเชื่อในตัวเกม และได้ความรู้สึกอินไปกับการเล่น ซึ่งจุดนี้ PUBG Project Thai ทำไม่ได้แบบเวอร์ชันตัวเต็ม ทั้งนี้นอกจากการลองเล่นช่วง CBT ที่ทางผู้พัฒนาได้เปิดให้แฟนเกมไปลองเล่นแล้ว เราก็แทบไม่รู้ข้อมูลอื่นๆ ต้องมารอลุ้นกันว่าพอ PUBG Project Thai เวอร์ชันจริงถูกปล่อยออกมาแล้วจะเปิดให้เล่นฟรี หรือต้องเสียตังค์ซื้อเหมือนใน Steam ที่พอจะเดาได้คือหากจะต้องซื้อจริงๆ ราคาน่าจะถูกกว่า PUBG (Steam) อยู่พอสมควร   สเปคคอมที่ใช้รีวิว ระบบปฎิบัติการ: Window 10 - 64 bit หน่วยประมวลผล: Intel Core i7-7700HQ CPU 2.80GHz หน่วยความจำ: แรม 12 GB กราฟิก: NVIDIA GeForce GTX 1050  
10 Oct 2018
พรีวิว Jump Force จากงาน Tokyo Game Show 2018
https://www.youtube.com/watch?v=tm_-1DnNcXQ&feature=youtu.be ถ้าพูดเกมแนวต่อสู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในอนาคตก็คงไม่หนีไม่พ้น Jump Force เกมแนวต่อสู้ที่รวบรวมตัวละครจากทั้งอนิเมะและมังกะของ Weekly Shonen Jump มาลงสังเวียน ต่อสู้เพื่อหาความเป็นหนึ่ง โดยเป็นเกมจากผู้พัฒนา Spike Chunsoft และผู้จัดจำหน่ายเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น Bandai Namco ทาง Game Fever ก็ได้เล่น Demo Jump Force ในงานTokyo Game Show 2018 มาเหมือนกัน เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ต้องเกริ่นก่อนว่าเกมนี้มีรูปแบบเกมเป็นการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 3 ซึ่งล่าสุดตัวเกมมีตัวละครให้เลือกกว่า 20 ตัว มาจาก 7 ซีรีส์ด้วยกัน ได้แก่ Bleach, Dragon Ball, Hunter x Hunter, Naruto, One Piece, Yu-Gi-Oh! และ Yu Yu Hakusho (มีตัวละครจาก Death Note ด้วย ทว่าจะปรากฎตัวในโหมดเนื้อเรื่องแทน) ด้านภาพ ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะได้ลองเล่น ก็เคยดู Trailer ของ Jump Force มาแล้วหลายตัว รวมถึงไปส่อง Screen Shot มาก็หลายครั้ง พอไปเล่นเองก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทำภาพออกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งรายละเอียดหน้าตารูปลักษณ์ตัวละคร ความสวยงามของฉาก ที่เด็ดที่สุดคือเอฟเฟ็กต์การใช้ท่าของตัวละคร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังได้ดูภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องหนึ่งพร้อมกับเล่นเกมต่อสู้อยู่ ทว่าเกมก็ยังมีปัญหาด้านการให้น้ำหนักกับภาพมากเกินไป อย่างเอฟเฟ็กต์ของตัวละครบางตัวก็ใหญ่เกินไป จนบดบังมุมมอง ทำให้เล่นเกมได้ไม่ค่อยลื่นและทำให้รู้สึกรำคาญในบางครั้งอยู่เหมือนกัน ระบบการต่อสู้ แต่เกมก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนั้น แม้ภาพจะสวย แต่การต่อสู้กลับไม่ได้บู๊มันเท่าที่ควร เหมือนกับแค่กดปุ่มไปแล้วรอตัวละครระเบิดพลังออกมาใส่ศัตรูมากกว่า แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคการเล่นอะไรมากมายเหมือนกับต่อสู้แบบ Tekken ทำให้เกมถูกลดเสน่ห์ลงไปพอสมควร ถ้าให้นึกถึง Jump Force ในแง่ของการจัดแข่งขันเกมแนวต่อสู้แล้ว แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในภาพรวมแล้วเกมทำออกมาได้ในระดับโอเค หากเป็นเกมเมอร์ที่เป็นคอการ์ตูน อยากเล่นเกมไฟต์ติ้งสนุกๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เกมนี้ก็อาจเหมาะ ทว่าหากเป็นแฟนเกมที่ชอบบู๊แบบจัดหนักจัดเต็ม เน้นการเล่นแบบใช้เทคนิคแล้วก็อาจจะต้องตัดสินใจดีๆ สิ่งที่เราอาจพอคาดหวังได้ก็คือ Jump Force คล้ายกับเกม J-Stars Victory VS ของ Bandai Namco ที่ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของนิตยสาร Weekly Shonen Jump เมื่อปี 2014 แล้ว จะเรียกว่าเป็นเวอร์ชันใหม่ของ J-Stars Victory VS ที่ผ่านการปรับปรุงภาพมาแล้วก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะเป็นการรวม All Star เหมือนกัน ระบบการเล่นส่วนใหญ่เท่าที่ดูคร่าวๆ ก็คล้ายกันมาก อาจคาดหวังได้ในอนาคตว่า Jump Force อาจเจริญรอยตาม J-Stars Victory VS ด้วยการนำตัวละครในเครือที่มีสเกลพลังต่างกัน หรือไม่น่ามีความสามารถในการต่อสู้ และเป็นตัวละครที่ไม่ได้มาจากอนิเมะต่อสู้ อย่าง Ryotsu คุณตำรวจป้อมยาม, Lucky Man หรือแม้กระทั่งไซคิ มางัดกับตัวละครพลังยิ่งใหญ่แบบโงกุน นารูโตะ หรือลูฟี่ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงคงทำให้เกมมีมิติที่แปลกใหม่และแตกต่างจากเกมแนว Fighting อื่นๆ ของค่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีโหมด story เพิ่มเข้ามาอีกก็น่าลุ้นว่าตอนเกมออกมาจริงๆ จะสนุกสมกับที่แฟนๆ รอคอยกันหรือเปล่า ทั้งนี้ทาง Bandai Namco ยังประกาศเปิดตัว 4 ตัวละครใหม่ประจำ Jump Force ที่ดีไซน์โดยคุณ Akira Toriyama โดยตัวละครที่ชื่อ Glover และ Navigator จะเป็นฝ่ายพันธมิตร ส่วน Galena และ Kane จะอยู่ฝั่งศัตรู ทว่ายังไม่มีข้อมูลออกมาแน่ชัดว่าเราจะสามารถเล่นตัวละคร 4 ตัวนี้ได้หรือไม่ หากใครสนใจก็สามารถติดตามข่าวสารกันได้ โดย Jump Force จะจัดจำหน่ายผ่าน PS4, Xbox One และ PC ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019
21 Sep 2018