GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
ผลการค้นหา : "บทความแนะนำ"
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
ลือ! Sony จะเอาเกม Exclusive ที่ลงให้กับ PC อีกหลัง Days Gone วางขาย
CrazyLeaksOnATrain จอมปล่อยข่าวลือ ที่มีความถูกต้องสูง ได้โพสต์ข้อความใหม่บน Twitter หลังจากไม่ได้ทำมานาน ประกาศว่า Sony จะเอาเกม BloodBorne, Uncharted Collection, God of War และ Ghost of Tsushima ลงให้กับ PC หลังจากนี้ พอมีคนถามไปว่าเกมพวกนี้จะลงให้กับ PC จริงๆ เมื่อไหร่? CrazyLeaksOnATrain ก็ได้ตอบว่า ประกาศจะมาในช่วงปลาย เมษา ต้น พฤษภา หลังจากที่ Days Gone วางขาย ซึ่งจะทยอยลงให้กับ PC ทุกๆ 2 - 3 เดือน แต่เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ลำดับ จะเป็นยังไง BloodBorne ถือได้ว่าเป็นเกมที่มีข่าวลือว่าจะลงให้กับ PC มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเกมนี้ที่ลงให้กับ PC ก่อน แต่อะไรๆ ก็เป็นไปได้ เพราะคิดว่าน่าจะมีผู้เล่นไม่น้อยเช่นกันที่รอการมาของ God of War ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงขนาดไหนครับ Announcements will come after days gone release ( should be released April or early may). It will then be a release every 2 to 3 months there on ish unsure exactly nl which one is next but that is the list of next games coming — CrazyLeaksOnATrain (@CrazyLeaksTrain) March 5, 2021 Credit: GameRadar+
08 Mar 2021
ก่อนจะมีเครื่อง PlayStation 5 ไปส่องหา TV หรือ Monitor รุ่นไหนเหมาะใช้ในการเล่นเกมที่สุดกันบ้าง!
ถ้าพูดถึงเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” บอกตรงๆ ว่าเกมเมอร์ชาวไทยหลายคนแอบหงุดหงิดมากว่าสรุปแล้ว “ประเทศไทยจะวางจำหน่ายตอนไหนกันแน่!?” ในวันที่เขียนบทความนี้คือวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ทาง Sony Interactive Entertainment หรือ PlayStation Asia ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหลใด ๆ เลย แม้จะมีข่าวลือหลุดออกมาว่ามีความเป็นไปได้ที่ PlayStation 5 ศูนย์ไทยจะวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนมกราคมก็ตาม ซึ่งตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยประเทศอินโดนีเซียจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 มกราคมที่จะถึงนี้   แล้วถ้าเพื่อน ๆ ที่เล็งเอาไว้แล้วว่า “ฉันจะซื้อ PlayStation 5 มาเล่นอย่างแน่นอน!” แล้วถ้าอยากจะสัมผัสกราฟฟิกสวย ๆ แบบจัดเต็มของเกมบนเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ สิ่งที่จะต้องมีก็คือ “ทีวี หรือ จอมอนิเตอร์” ที่เหมาะเพื่อใช้ในการเล่นเกมด้วยค่ะ เพราะด้วยตัวเครื่อง PlayStation 5 เขาเครมเอาไว้เลยว่าสามารถรันกราฟฟิกออกมาในความละเอียดสูงสุดถึง 4K/60fps ( แต่ตัวกล่องมีโลโก้ 8K ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมอะไรรองรับบ้างด้วย ) ได้อย่างสบาย ๆ วันนี้เกวลินเองก็เลยขอคัดเลือกทีวีหรือไม่ก็จอมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ได้รู้จักกันค่ะ   Sony BRAVIA X90H/XH90 Series สำหรับ “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” ถือว่าเป็นทีวี Full Array LED ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 4K แถมยังพัฒนาออกมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 โดยเฉพาะเลยค่ะ ก็มีการผลิตออกมาหลากหลายขนาดเริ่มจาก 55 นิ้ว, 65 นิ้ว, 75 นิ้ว และ 85 นิ้ว จากข้อมูลของ Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA X90H มีทั้งหมด 2 ขนาดประกอบไปด้วยคือ 65 นิ้วราคาอยู่ที่ 39,990 บาท และ ขนาด 85 นิ้วราคาอยู่ที่ 89,990 บาท โดยดีไซน์ตัวเครื่องอาจจะดูไม่สวยถูกใจบางคนเท่าไหร่ แต่บอกไว้ก่อนว่าประสิทธิภาพของทีวีตัวนี้ไม่ธรรมดานะคะ โดยขุมพลังชิปเซ็ตภายในตัวนี้เลือกใช้ “Sony X1 4K HDR Processor” ที่เป็นตัวประมวลผลภาพแบบเรียลไทม์ในความละเอียด 4K ที่ดีเยี่ยมาก ๆ แถมยังรองรับ HDR ที่มันจะทำให้ภาพปรากฎบนจอดูสมจริงและคมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยว่าสีและคอนทราสต่าง ๆ จะดูสมจริงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชิปเซ็ตตัวนี้ยังทำให้ภาพที่มีความละเอียด 1080p [Full HD] หรือ 1440p [2K] ก็สามารถอัปสเกลให้ใกล้เคียงความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยระบบที่มีชื่อว่า “4K X-Reality PRO” แล้วที่พิเศษสุดก็คือมันเป็นทีวีในรูปแบบ Android TV แล้วก็ยังสามารถขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz แล้วก็ยังแสดงผล Respond Time อยู่ที่ 7.2 ms ที่เรียกว่าน้อยพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งต้องบอกว่า “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายในบ้านเรามาได้พักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ ซึ่งก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ซื้อทีวีตัวนี้ไปล่วงหน้ากันแล้วค่ะ ส่วนตัวมองว่าทีวีขนาด 65 นิ้วแสดงผลในความละเอียด 4K/60fps ได้อย่างสบาย ๆ แถมยังทำค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 120Hz แล้ว Respond Time ก็น้อยอีก ในราคา 39,990 บาทถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะเราสามารถนำไปเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ใครที่มีคอมสเปกสูง ๆ รันเกมความละเอียด 4K ได้สบาย ๆ จอตัวนี้นอกจากเอาไว้ใช้กับการเล่นเกมคอนโซลแล้วก็ยังเอาไว้ รวมไปถึงทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode, Full Array Local Dimming, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วยค่ะ   Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series นอกเหนือจาก “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายแล้วทาง Sony ก็ได้เปิดตัวทีวี Full Array LED ตัวท็อปออกมาอีก 1 รุ่นที่มีชื่อว่า “Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series” ทาง Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA Z8H มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 85 นิ้วสนนราคาอยู่ที่ 299,990 บาท เห็นราคาแบบนี้ก็เกิดคำถามมากมายว่าทำไมมันถึงมีราคาแพงขนาดนี้ อย่างแรงเพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าทีวีรุ่นนี้มีความละเอียดสูงถึง 8K ที่สามารถรันเฟรมเรทได้สูงสุด 60fps แล้วถ้าเลือกรันความละเอียด 4K ก็จะขับเฟรมเรตได้สูงสุด 120fps เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ว่าขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมแนะนำว่าเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Game Mode ด้วยนะคะ โดยทีวีตัวนี้เลือกใช้ชิปเซ็ตที่มีชื่อว่า “Sony X1 Ultimate” ชิปเซ็ตประมวลผลภาพตัวนี้ถือว่าเป็นตัวท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ มันมีประสิทธิภาพในการแสดงสีและคอนทราสในความละเอียดสูงที่ยอดเยี่ยม แล้วยังเพิ่มความละเอียดที่เหนือชั้นเข้าไปอีกเพื่อให้เราสามารถรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้มีความใกล้เคียง 8K แท้ ๆ ได้เลย โดยชิปเซ็ตตัวนี้ยังวิเคราะห์และประมวลผลที่แม่นยำมาก ๆ ทั้งในเรื่องฉากที่มีความลึก, พื้นผิว และ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ดูสมบูรณ์แบบมาก ๆ แม้ว่าภาพที่ถ่ายทอดออกมาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 1440p [2K] หรือ 4K ก็ตาม ซึ่งเราสามารถเพิ่มสเกลของภาพให้มีระดับ 8K ด้วยเทคโนโลยี “8K X-Reality PRO”  แล้วด้วยความที่ทีวีในรูปแบบ Android TV ทำให้เราเสพย์คอนเทนต์ต่าง ๆ ในความละเอียด 4K ไปจนถึง 8K ได้อย่างสบาย ๆ ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple TV, YouTube หรือ Prime Video เป็นต้น นอกจากนี้ระบบเสียงของ Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series จะขับเคลื่อนในรูปแบบ Dolby Atmos เสียงที่ออกมาจะรู้สึกเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ที่ปรากฎตัวอยู่บนหน้าจอเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น S-Force Front Surround ที่เสียงจะมารอบ ๆ ทิศทางเสมือนเรามีลำโพงเซอร์ราวด์รอบทิศทางภายในทีวีของเราเลยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ ทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode และ Full Array Local Dimming   LG 48CX เราพูดถึงแบรนด์ Sony ผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 กันไปแล้ว มาพูดถึงแบรนด์คู่แข่งที่ประสิทธิภาพภายในน่าสนใจไม่ใช่น้อยด้วยค่ะ แล้วที่เกวลินเลือกมาก็คือ “LG 48CX” ซึ่งมันคือทีวีในรูปแบบ OLED ที่ถูกจับตามองจากผู้ใช้งานทั่วโลกเป็นอย่างมาก มันเป็นทีวี OLED ที่รองรับความละเอียด 4K เต็มรูปแบบมาก ๆ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ประมาณ 48 นิ้วแถมราคาที่วางจำหน่ายในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 45,000 บาทขึ้นไป ความน่าสนใจของทีวีรุ่นนี้ก็คือมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ออกแบบมาให้กับเกมเมอร์สายพีซีอีกด้วยค่ะ โดย “LG 48CX” มาพร้อมกับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่เกมเมอร์ฝั่งพีซีที่ใช้การ์ดจอของค่ายเขียวเมื่อนำมาเชื่อมต่อแล้วเปิดใช้งานจะทำให้เมื่อเวลาเล่นเกมเฟรมเรทมีกราฟฟิกสูงสุดด้วย อ่ะ ๆ แต่คนที่ใช้การ์ดจอค่ายแดง AMD ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ก็รองรับด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้กับตัวเครื่องก่อนค่ะ เท่านั้นยังไม่พอทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ Dolby Vision หรือที่เรารู้จักในชื่อ “HDR10” ด้วยนะ แล้ว LG ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ทีวีรุ่นนี้มีความหนาแน่นของพิกเซลพอ ๆ กับทีวีที่มีความละเอียด 8K ขนาด 96 นิ้วได้เลย ส่วนถ้าเล่นจริง ๆ จะแสดงผลในความละเอียด 4K/120fps ใครที่เป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ทีวีรุ่นนี้ไม่ควรพลาดเลยค่ะ สุดท้าย “LG 48CX” เป็นทีวี OLED ที่ออกแบบมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะจริง ๆ รองรับการแสดงผลของ HDMI 2.1 แล้วก็ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Dolby Atmos, Dolby Vision IQ, Filmmaker Mode และ ยังมีโหมดที่จะช่วยลดความหน่วงของการแสดงผลให้เองแบบอัตโนมัติอีกด้วย รวมไปถึงมีระบบรีเฟรชเรตแบบแปรผัน [VRR] ที่จะทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น PlayStation 5 หรือ Xbox Series X มีการแสดงผลได้ดีพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ตัวท็อปเลยค่ะ   Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 เราพูดถึงทีวีกันไป 3 รุ่นแล้วรุ่นต่อมาจะเป็น “จอมอนิเตอร์” กันบ้างค่ะ ปกติแล้วจอพวกนี้จะใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่รุ่นที่เกวลินหยิบมาแนะนำสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่นี้ได้เหมือนกันนั้นก็คือ “Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7” สำหรับหน้าจอมอนิเตอร์ถูกจัดเป็นประเภท QLED ทาง Samsung เครมเลยว่าหน้าจอตัวนี้จะแสดงผลเรื่องแสง, สี, เงาคอนทราสต์ที่เป็นธรรมชาติ แล้วสีดำก็จะแสดงผลแบบดำสนิทอีกด้วยค่ะ  โดยเกวลินจะแนะนำรุ่น Samsung Odyssey G9 กันก่อนค่ะ สนนราคารุ่นนี้อยู่ที่ 45,990 บาท มันคือจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทาง Samsung ผลิตออกมาเลยค่ะ มีขนาดอยู่ที่ 49 นิ้ว แล้วดีไซน์ของเขาก็เก๋ไก๋มาก ๆ สวยงามมาก ๆ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า Samsung เขาออกแบบหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีดีไซน์โค้งมาแล้วหลายตัว โดยรุ่นนี้ความโค้งของตัวหน้าจอจะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R ซึ่งสูงที่สุดในโลกณ.ตอนนี้แล้วค่ะ อ่ะ...มีคำถามใช่ไหมคะว่าทำไมมันต้องโค้งอะไรขนาดนั้น!? คำตอบก็คือระยะการโค้งของหน้าจอมันจะเข้ากับระยะสายตาของมนุษย์ ทำให้เราได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมแบบเต็มตาที่สุดเท่าที่จอมอนิเตอร์เคยมีมาบนโลกนี้เลยค่ะ โดย Samsung Odyssey G9 มีอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 32:9 ซึ่งตรงนี้เกมเมอร์ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเกมที่รองรับอัตราส่วนของหน้าจอในเวลานี้ยังมีน้อยเกมนะคะ แต่ถ้าพูดถึงการทำงานมันสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้ทำงานได้สูงสุด 6 จอเลยค่ะ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความหน่วงของหน้าจอ Respond Time ต่ำมาก ๆ เพียงแค่ 1 ms หรือ 0.001 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และยังรองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่จะช่วยปลดล็อคให้แสดงเฟรมเรตได้สูงสุด ลดอาการภาพสั่น หรือ ภาพแตก แต่ถ้าเพื่อน ๆ คิดว่ารุ่นนี้ขนาดหน้าจออาจจะใหญ่เกินไปพื้นที่อาจจะไม่เพียงพอ ทาง Samsung ก็ได้ผลิตอีกหนึ่งรุ่นออกมาที่สเปกเท่ากับรุ่น Samsung Odyssey G9 นั้นก็คือ “Samsung Odyssey G7” ที่มีขนาดให้เลือก 27 นิ้วราคาอยู่ที่ 18,900 บาท และ 32 นิ้วราคาจะอยู่ที่ 20,900 บาท เป็นขนาดหน้าจอความละเอียด 1440p [2K] แล้วอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 16:9 ส่วนสเปกของเครื่องนี้หลายส่วนมีความคล้ายกับตัวท็อปเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวหน้าจอที่เป็น QLED, จะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R, รองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA, ความหน่วงของหน้าจอ Respond Time อยู่ที่ 1 ms หรือ 0.001 วินาที, ปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และ รองรับเทคโนโลยี HDR600    BenQ EW3280U มาถึงรุ่นสุดท้ายที่เกวลินเลือกมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้เอาไปตัดสินใจกันนั้นก็คือ “BenQ EW3280U” จอมอนิเตอร์จากแบรนด์คุณภาพที่ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะเป็น IPS ก็เถอะนะ แต่มันก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเชื่อมต่อเพื่อเล่นเกมบนพีซีและเครื่องเกมคอนโซลได้เต็มประสิทธิภาพเลยค่ะ ขนาดหน้าจอตัวนี้อยู่ที่ 32 นิ้วเป็นความละเอียดแบบ 4K ที่จะมอบรายละเอียดที่จะปรากฎบนจออย่างคมชัดเลยค่ะ ไม่ว่าเราจะเอามาดูภาพยนตร์ หรือ เล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ แล้วปรับสุดภาพที่ปรากฎบนจอก็จะสวยงามไร้ที่ติกันเลยค่ะ ตัว “BenQ EW3280U” ยังได้เพิ่มเทคโนโลยี Dolby Vision หรือ HDR10 เข้ามาด้วย ทำให้โทนสีที่แสดงผลออกมาแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน แล้วถ้าใครเป็นเกมเมอร์สายพีซีที่ใช้การ์ดจอของ AMD ยิ้มได้เลยค่ะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ด้วย แถมการเชื่อมต่อก็รองรับ DisplayPort 1.4 และ HDMI 2.0 ที่จะช่วยปล่อยสัญญาณภาพในความละเอียด 4K/60Hz ถ้าพูดถึงการนำมาเชื่อมต่อเพื่อเล่นเครื่องเกมคอนโซลผลทดสอบออกมาเป็นยังไง จากสื่อที่ได้ลองนำมาเยี่ยมต่อดูพบว่าระยะการมองเห็นที่ไม่ต้องใหญ่มากมันทำให้เราเห็นรายละเอียดภายในเกมที่ปรากฎได้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถที่จะบังคับตัวละครได้ถูกต้องมากกว่าที่จะเล่นเกมบนจอใหญ่ ๆ ข้อดีอีกอย่างของ “BenQ EW3280U” คงเป็นเรื่องเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus จากของ BenQ ที่มันจะช่วยปรับโทนแสงและภาพให้เองอัตโนมัติ สิ่งที่ได้คือแสงที่ปรากฎผ่านหน้าจอจะไม่มีแสงที่สว่างจนเกินไปใครที่เล่นเกมนาน ๆ แล้วเกิดอาการปวดตาหรือเมื่อยล้าบริเวณรอบ ๆ ดวงตา เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถเล่นเกมได้นานขึ้น เพราะมันจะลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาลง สุดท้ายในเรื่องของราคาอยู่ที่ 27,900 บาท ถ้าถามถึงความคุ้มค่าส่วนตัวมองว่ามันดันค่ารีเฟรชเรตได้เพียงแค่ 60Hz มันเลยดูน้อยไปหน่อยถ้าใครที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ที่สเปกสูง ๆ ค่ะ จอนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่จะเอามาใช้ในการเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยค่ะ จบกันไปแล้วค่ะ กับบทความแนะนำทีวีหรือจอมอนิเตอร์ที่ใช้สำหรับเล่นเกมจากเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่ทั้ง PlayStation 5 หรือ Xbox Series XIS รวมไปถึงถ้าเพื่อน ๆ เป็นเกมเมอร์กระเป๋าหนักจะเอามาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ของเราก็ทำได้เหมือนกัน เพราะแต่ละรุ่นที่แนะนำไปไม่ใช่แค่นำมาใช้กับเครื่องเกมคอนโซลอย่างเดียวนะคะ บางคนก็อาจจะถามว่าพี่แล้วแบบนี้จอของผมที่เป็นรุ่นเก่าที่รันความละเอียด 1080p หรือ 1440p สามารถใช้งานได้ไหม!? ก็ตอบเลยว่าได้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะไหน ๆ เขาก็ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมความละเอียด 4K แล้วมันก็ต้องจัดเต็มกันหน่อยเนอะ ส่วนเกวลินขอเก็บเงินอีกสักนิดแล้วรอโปรลดราคาก็คงจะจัดสักเครื่องมาเอาไว้เล่นเกมเหมือนกันค่ะ
23 Dec 2020
ทำไม!? Marvel’s Avengers เกมฟอร์มยักษ์ที่เปิดตัวอลังการแต่กระแสเกมดันตรงกันข้าม
ถ้าพูดถึงเกมฟอร์มยักษ์!? ในความคิดของเพื่อน ๆ มันจะต้องออกมาแบบไหน สำหรับเกวลินเองมันเริ่มต้นจากเหล่า ๆ อย่างเหมือนกันนะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่จะนำเสนอออกมา, ทีมผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างเกมนั้น ๆ และ คอนเทนต์หลังจากที่เกมวางจำหน่ายออกไป ( นี่เป็นแค่ปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ) แต่มันมีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่เปิดตัวไปช่วง 3 ปีที่แล้วสร้างความฮือฮาระดับโลกเป็นอย่างมากนั้นก็คือ “The Avengers Project” ที่ทาง Marvel Entertainment ได้ออกมาประกาศว่าเกมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Square-Enix ที่เนื้อหาจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่และไม่มีความเกี่ยวข้องกับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe   แล้วในช่วงเวลาจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe กำลังมาถึงช่วงปิด Phase 3 ก็จะประกอบไปด้วย Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ที่ตอนนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันก็จึงไม่แปลกเลยที่กระแสของตัว “The Avengers Project” จะได้รับความสนใจจากเกมเมอร์ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเวลาต่อมาในงานมหกรรมเกมโชว์สุดยิ่งใหญ่ E3 2018 ทาง Square-Enix ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการ “Marvel’s Avengers” ซึ่งกระแสตอบรับกลับมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในเวลาเดียวกัน   สาเหตุที่คนไม่ปลื้ม “Marvel’s Avengers” จากตัวอย่างและเกมเพลย์แรกที่ออกมาคงเป็นเรื่องการดีไซน์ตัวละครที่เกวลินเชื่อว่า 70% เขาอยากเห็นการดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ในฉบับคนแสดงมากกว่า อีกทั้งยอมรับตรง ๆ ว่าการดีไซน์ในตัวอย่างแรกไม่ดีเท่าที่ควรจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละคร Thor ที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชุดมันดูตลกซะไม่มีเลย โชคยังดีที่ทางทีมผู้พัฒนา Crystal Dynamics, Eidos-Montréal และ Nixxes ต่างรับฟังความคิดเห็นจากเกมเมอร์แล้วได้นำไปปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นข่าวการอัปเดตของเกมนี้อีกเลย แม้แต่งานเกมใหญ่ ๆ Demo ที่มีการนำมาให้ผู้เล่นได้ทดสอบก็ยังเป็นเวอร์ชั่นจากงาน E3 2018 ทั้งหมดเลย เกวลินยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นหนึ่งในคนที่อวยเกมนี้ตั้งแต่มีการเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีหลายต่อหลายครั้งที่นั่งพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมด้วยกันแล้วมักจะบอกว่า “เราเชื่อว่าเกม Marvel’s Avengers มันจะไปได้ดี” เพื่อน ๆ ของเกวลินมักจะติดภาพจำมาจากเหตุการณ์สมัยที่ Square-Enix พัฒนาเกม Final Fantasy XV ที่เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามันพัฒนาไม่เสร็จทั้งที่ตัวเกมครึ่งแรกทำออกมาดี แต่ช่วงท้ายเหมือนพยายามเร่งให้จบแล้วดูเหมือนเนื้อเรื่องช่วงท้ายสัมผัสถึงการเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ “ตราบาปที่ทำให้เกมเมอร์กลัวประวัตศาสตร์จะซ้ำรอย!” ส่งผลทำให้ทางผู้พัฒนาเกมต้องออกแพทช์เนื้อหาเสริม [DLC] มาภายหลังรวมไปถึงแพทช์แก้ไขตัวเกมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายออกไป แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อตอนแรก Final Fantasy XV วางแผนจะอัปเดตเนื้อหาให้ครบแต่ผู้กำกับคุณ “ฮาจิเมะ ทาบาตะ” ตัดสินใจลาออกจากบริษัททำให้ Square-Enix พับโปรเจกต์ทั้งหมดสร้างความไม่พอใจต่อเกมเมอร์จำนวนมาก แล้วนี่ก็ทำให้เกมเมอร์จำนวนไม่น้อยต่างกลัวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับเกมฟอร์มยักษ์ที่เกมเมอร์ทั่วโลกต่างคาดหวัง” แล้วมันก็ดูเหมือนจะส่อแววมายังเกม Marvel’s Avengers ที่ปัจจุบันตัวเกมกลับมีกระแสในด้านลบอย่างมาก อะไรทำให้เกมฟอร์มยักษ์ในสายตาเกมเมอร์หลาย ๆ คนอย่าง “Marvel’s Avengers” ที่ทาง 3 ทีมพัฒนาเกมที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Square-Enix แล้วก็ผ่านการพัฒนาเกมคุณภาพมามากมาย กลายเป็นเกมที่เกิดคำถามจากเกมเมอร์ว่ามันจะไปรอดไหมในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าพาร์ทเนอร์อย่าง Marvel Entertainment ที่ยังคงมั่นใจว่า “พวกเขาจะนำพาเกมนี้ไปจุดสูงสุดอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ได้” ก็ตาม วันนี้เกวลินก็เลยจะมารวบรวมข้อมูลว่าทำไมเกม Marvel’s Avengers ถึงกลายเป็นเกมที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้กันค่ะ เกมที่มาพร้อมกับความคาดหวังจากเกมเมอร์! เอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะคะที่เกมเมอร์จะคาดหวังเกมนั้น ๆ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด แถมเป็นเกมที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ด้วย มันก็ไม่แปลกเลยที่ “Marvel’s Avengers” จะมีเกมเมอร์จำนวนมากต่างคาดหวังที่เกมมันจะออกในแบบที่พวกเขาต้องการ ( เกวลินก็เป็นหนึ่งในนั้น ) แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก ๆ ก่อนก็คือ “เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเกม Marvel’s Avengers ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe หรือ จักรวาล Marvel Comic” เพราะอันนี้ได้เขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแต่จะอ้างอิงตัวละครจาก Marvel Comic เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าถามเรื่องเนื้อเรื่องและการนำเสนอพวกเขาทำออกมาได้ดีมากเลยนะคะ ( ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ) เรียกว่าเปิดตัวมาก็มีฉากอลังการงานสร้างระเบิดสะพาน ระเบิดเมืองกันเลยทีเดียว! แต่สิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังเอาไว้ก็คือเราสามารถเล่นเป็นตัวละครอะไรก็ได้ รวมไปถึงโลกภายในเกมจะต้องเปิดโลกกว้างแล้วมอบอิสระให้กับผู้เล่นเหมือนกับเกม Marvel’s Spider Man จากทีมผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ทำออกมาได้ดี แต่ผลสุดท้ายคือการดำเนินเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงแล้วถ้าเราต้องการอยากจะออกไปทำเควสต์เสริมก็จะแบ่งจุดเพื่อให้เราไปทำอีกแบบ แล้วสถานที่ก็มักจะอยู่แต่ภายในยานแล้วเวลาจะเริ่มภารกิจเกมก็จะพาผู้เล่นไปจุดดังกล่าวทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้เล่นรู้สึกไม่ประทับใจ รวมไปถึงเควสต์เนื้อเรื่องหลักในตอนแรกที่เกวลินและเพื่อนต่างคาดหวังว่าเราจะสามารถเล่นออนไลน์ร่วมกันได้ สุดท้ายระบบที่นำมาใช้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดก็เลยทำให้ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาจุกจิกกวนใจที่ได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังโผล่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวเกวลินเองได้เล่นเกม “Marvel’s Avengers” นี้บนแพลตฟอร์ม PC สิ่งที่พบตั้งแต่ Day One ก็คือปัญหาจุกจิกกวนใจเรื่อง Bug ต่าง ๆ ถ้าให้จัดลำดับก็เป็นเกมฟอร์มยักษ์ที่มีปัญหาพวกนี้เยอะใช้ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่กินทรัพยากรเครื่องเกินความจำเป็นอย่างมาก แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นจะเกินจากสเปกที่แนะนำเอาไว้มากก็ตาม พูดเลยว่าวันแรกจะเล่นไปแล้วถ่ายทอดสดลงเฟสบุ๊คไปด้วยลำบากมากเลยค่ะ ดีว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีแพทช์ออกมาแก้ไขเรื่องการกินทรัพยากรลง  แต่มันก็มีปัญหาส่วนอื่น ๆ เข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เกมนี้จะบังคับให้เราออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าต้องการเล่นเควสต์รองก็จะต้องเข้าไปในโหมด Avengers Initiative ซึ่งเกมนี้ดันวางระบบเอาไว้ว่าถ้าจะเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวจะต้องไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโหมดออนไลน์ก็จะทำแยกออกมาแล้วทั้งสองโหมดก็จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แล้วถ้าวันไหนที่เซิร์ฟเวอร์เกม หรือ อินเทอร์เน็ตมีปัญหาก็จะทำให้เข้าเกมไม่ได้เลย กลายเป็นระบบที่เหมือนดาบสองคมแล้วเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบในส่วนนี้ด้วย ( เกวลินเองก็ไมชอบนะเอาจริง ๆ เฮ้อ… ) ระบบเกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น RPG ที่มันออกแบบมาไม่ลงตัว คือต้องบอกว่าเกม “Marvel’s Avengers” ส่วนตัวมีระบบเกมเพลย์ที่น่าสนใจนะคะ เพราะพวกเขาเลือกที่จะให้ตัวเกมมีความเป็นเกม Action ที่เต็มรูปแบบ แล้วนำความเป็นเกม RPG มาผสมผสานกัน ถามว่าทำออกมาดีไหมมันทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าคุณอยากจะแข็งแกร่งภายในเกมการที่จะเล่นในโหมดเนื้อเรื่องแล้วให้แข็งแกร่งมันเป็นไปได้ยากมาก แล้วถ้าผู้เล่นต้องการก็ต้องไปโหมดออนไลน์แล้วเล่นเควสต์รองเพื่อฟาร์มเลเวลหรือของจนกว่าตัวเองจะพอใจ ทั้งนี้บางอย่างผู้เล่นจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปให้ถึงในจุดต่าง ๆ เพื่อปลดล็อคตัวละครแล้วเข้าถึงเควสต์นั้น ๆ ได้   ฟังดูแล้วเพื่อน ๆ รู้สึกยังไงบ้างคะ!? เกวลินรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ “มันไม่มอบความอิสระให้แก่ผู้เล่นเลย” ตัวเกมออกแบบมาเพื่อบังคับผู้เล่นทำในแบบที่ทีมผู้พัฒนาต้องการ และที่สำคัญมันตลกตรงที่ว่าถ้าเราเล่นโหมดเนื้อเรื่องจบไปแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยจนกว่าเนื้อหาใหม่ ๆ จะอัปเดตเข้ามาในอนาคต หลังจากนั้นถ้าผู้เล่นจะไปไล่เก็บเควสต์รองต้องไปเล่นโหมดออนไลน์ [Avengers Initiative] อย่างเดียวเท่านั้น! แล้วถ้าเราไล่เก็บครบทุกเควสต์ก็จะพบกับฉากจบที่แท้จริง สุดท้ายส่วนตัวเกวลินมองว่าในด้านเกมเพลย์ทำออกมาดีนะคะ แต่ในเนื้อหาเชิงลึกทำออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หลายจุดเหมือนยัดนู่น ยัดนี้เข้ามาจนลืมดูความเหมาะสมที่เกมควรจะเป็น คอนเทนต์ที่ถูกปูทางเอามาไว้แล้ว...มันจะช่วยได้จริงไหม!? อย่างที่ทราบกันว่าทาง Marvel Entertainment และ Square-Enix กำลังเตรียมอัปเดตเนื้อหาเสริม [DLC] ตัวแรกเป็นตัวละคร “Kate Bishop” หรือที่รู้จักอีกนามก็คือ “Hawkeye” เธอคือตัวละครใหม่ตัวแรกของเกมนี้ หลังจากที่เลื่อนการอัปเดตมาครั้งหนึ่ง แล้วคนที่จะตามมาก็คือ “Clint Barton” ที่มีกำหนดการณ์อัปเดตในช่วงต้นปี 2021 รวมไปถึงมีข่าวลือหลุดออกมาก่อนหน้านี้ว่ายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่เตรียมอัปเดตรวม ๆ มากกว่า 10 กว่าตัวเลยค่ะ ยังไม่นับเนื้อเรื่องใหม่ที่มีการพัฒนากันอยู่ คำถามก็คือ “คอนเทนต์เหล่านี้จะสามารถกู้หน้าให้เกมนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า!?”   “หนึ่งในตัวละครแรกที่จะอัปเดตในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ” ตอบได้เลยว่าคอนเทนต์พวกนี้จะสามารถกู้หน้าได้ก็ต่อเมื่อการอัปเดตอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทิ้งระยะห่างนานหลายเดือนจนเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเขาคิดว่าอยากจะให้จักรวาลของเกม “Marvel’s Avengers” ไปไกลเหมือนที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรกมันจะกลายเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นจริงแล้วผลที่ได้ก็คือมันจะไปตกอยู่ที่เกมเมอร์ที่ยังคง “ศรัทธา” เกมนี้อยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งตัวเกวลินเองก็ยังคงได้แต่คาดหวังว่าสักวันทีมผู้พัฒนาเกมจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาภายในเพื่อให้ตัวเกมดีในแบบที่มันควรจะเป็นมากกว่าปัจจุบันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของตัวเกวลินเท่านั้น ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่ซื้อเกม “Marvel’s Avengers” ไปเล่นในวันแรก ๆ ปัจจุบันก็เลิกเล่นไปแล้วก็ได้แต่เฝ้ารอการอัปเดตคอนเทนต์ต่าง ๆ ในอนาคต รวมไปถึงข่าวที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่าตัวเกมมียอดผู้เล่นที่ลดลงเหลือเพียงแค่หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ทำให้ตอนนี้ Square-Enix ขาดทุนอย่างหนักเพราะยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า แล้วพวกเขาได้ใช้เงินในการลงทุนด้านการตลาดที่สูงมาก แถมปีนี้วงการเกมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เลยทำให้สิ่งที่วางแผนเอาไว้ผิดพลาดไปหมด ก็ต้องมาดูกันว่าในอนาคตเกมฟอร์มยักษ์เกมนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งหรือไม่!
17 Dec 2020
10 สิ่งที่น่ารำคาญในวิดีโอเกม
เกมคือสิ่งที่มอบความสุขและโลกอีกใบให้กับเหล่าเกมเมอร์ที่ชื่นชอบใช่ไหมครับ? แต่เพราะชื่อว่าเกมมันจึงไม่ได้สมบูรณ์แบบถูกใจเราไปในทุกๆ เรื่อง มันอาจจะมีบางเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด รำคาญ หรือหัวอุ่นหัวร้อนเกือบปาจอยปาเมาส์ทิ้งกีนบ้างแหละ! ในวันนี้พวกเรา GameFeverTH ขอพาทุกคนมาพบกับ 10 สิ่งที่น่ารำคาญในวีดีโอเกมกันจะมีอะไรที่เคยพบเจอกันมาบ้างมาดูกันเลย! 1.การเผชิญหน้าแบบสุ่ม ผู้เล่นหมายคนชอบเกมแนวผจญภัยเพราะสามารถสร้างตัวละครที่ชอบพร้อมออกสำรวจโลกขนาดใหญ่ไปกับปาร์ตี้เพื่อนร่วมทีม แต่สิ่งที่หลายๆ คนทั้งรู้สึกสนุกและรำคาญในเวลาเดียวกันนั่นคือ " การเผชิญหน้าแบบสุ่มของเหล่ามอนสเตอร์" เพราะบางครั้งเราไม่ได้ต้องการที่จะต้อสู้อาจจะกำลังหาของ หรือเสพบรรยากาศ แต่พอพวกมศัตรูโผล่มาก็ต้องออกไปสู้ บางทีมากันเยอะๆ ทำเราแตกแทบจะปาจอยทิ้งกันเลยทีเดียว. 2.กำแพงที่มองไม่เห็น การสำรวจโลกเปิดกว้างและสวยงามนั้นเป็นสิ่งที่เกมเมอร์หลายๆ คนใฝ่ฝัน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป บางเกมถ้าเราระดับไม่ถึง หรือไม่ผ่านเงื่อนไขส่งที่เกิดขึ้นคือจะมีอุปสรรคต่างๆ มาขวางเราเช่นรั้วหนา ประตูที่ล็อคอยู่แต่สิ่งที่เจ็บใจที่สุดคือ " กำแพงที่มองไม่เห็น " เพราะว่าลองนึกภาพว่าเป้าหมายของเราอยู่แค่เอื้อมด้านหน้าแต่ไม่สามารถที่จะเดินเข้าไปได้ เพราะบางครั้งนักพัฒนาก็ไม่รู้จะหาอะไรมาขวางเราเพื่อไม่ให้ไปข้างหน้า ก็เลยทำการสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นมาขวางเราแทน. 3.เกมเอาใจผู้เล่น เมื่อผู้เล่นได้ไปประลองความเร็วในเกมแข่งรถด้วยความคิดที่ว่า AI จะต้องโหลดและแข่งกันแบบเมามันส์ แต่มันจะมีบางเกมที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะรถของ AI จะลดความเร็วลงเพื่อให้เรามีโอกาสที่จะแซงและขึ้นนำเป็นที่หนึ่งได้ สิ่งนี้เหมือนเป็นการดูถูกผู้เล่นเล็กน้อยทำให้หลายๆ รู้สึกไม่โอเครกับระบบนี้เอามากๆ .   4.ใบ้ภารกิจอ้อมๆ ผู้เล่นหลายคนชอบเล่นเกมแนว Single-Player เพราะจะช่วยให้เสพบรรยากาศจากเกมได้เต็มที่ แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนหงุดหงิดหัวอุ่นกันมานักต่อนัก นั่นคือ “ ภารกิจที่บอกใบ้เราอ้อมๆ ” บอกโดยการทิ้งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ ซึ่งนั้นจะทำให้เราต้องวิ่งวุ่นไปตรงนู้นทีตรงนั้นที บางคนบอกมันคือสเนห์ของเกมผู้เล่นคนเดียว แต่เล่นวิ่งไปมาหลายชั่วโมงก็ไม่ใช่นะ5555. 5.คัตซีนที่ไม่สามารถข้ามได้ บางเกมนั้นต้องการที่จะให้ผู้เล่นเข้าใจเรื่องราวและเสพอารมณ์ของเกมให้เต็มที่จึงบังคับให้เราต้องดูฉากคัตซีนด้วย ไม่สามารถกดข้ามได้ ซึ่งกรณีนี้หลายๆ คนเข้าใจดี แต่มันมีคัตซีนนึงเรียกว่า คัตซีนเปิดตัวบอสหรือคัตซีนที่เข้าสู่ฉากสำคัญ ถ้าผู้เล่นดันมาตายระหว่างสูักับบอสหรือทำภารกิจอยู่ก็จะต้องย้อนมาดูฉากคัตซีนเหล่านี้เรื่อยๆ ไม่สามมารถข้ามได้ ถ้าตาย 5 รอบ ก็ต้องทนดูซ้ำๆ 5 รอบ ดังนั้นพยายามเคลียร์ให้จบในทีเดียวนะครับ ถ้าไม่อยากนั่งดูฉากเดิมๆ จนตาแฉะ   6.กล้องชวนปวดหัว เกมที่เน้นกราฟฟิกและลูกเล่นมักจะสร้างเกมในรูปแบบ 3D เพื่อให้เกมมีรายละเอียดมีมิติที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาควบคู่กับมาอย่างยาวนานนั่นคือ “ มุมกล้อง “ บางเกมเราต้องปรับมุมกล้องเองแต่หมุนช้ามาก กว่าจะหมุนเสร็จศัตรูก็เข้าถึงตัวแล้ว หรือบางเกมมุมกล้องจะหันให้อัตโนมัติแต่บางทีมันหมุนไปไหนไม่รู้! เช่น กรณีเราติดมุมในแผนที่มุมใดมุมหนึ่ง มุมกล้องจะชอบแกว่งไปมาจนเราโดนศัตรูรุมกระทืบตาย บางทีมุมกล้องมันโฟกัสพื้นเฉยเลย เรียกได้ว่าปัญหาคู่วงการเกมอีกหนึ่งปัญหาที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน.   7.DLC  หลายๆ เกมนั้นมักออกวางจำหน่ายในราคาแพง และเมื่อเราเล่นไปได้ระยะหนึ่งก็มีข่าวว่าเกมที่เราเล่นนั้นจะมี DLC เนื้อเรื่องเสริมจนต้องตั้งคำถามว่า “ สรุปเราซื้อเกมเต็มมาจริงๆ ใช่ไหม ” แต่นั่นยังไม่พอเพราะ DLC เกมส่วนใหญ๋ต้องเสียเงินอีกรอบ! มันน่าหงุดหงิดตรงที่ว่าเรายอมจ่ายแพงเพื่อซื้อเกมซื้อเรื่องราวทั้งหมดแต่นั่นไม่ใช่! นั่นแค่อาหารจารหลักเราต้องควักเงินซื้อของหวานและของทานเล่นอีก! แต่พูดก็พูดเถอะครับ ถึงจะบ่นแบบนี้สุดท้ายเราก็ซื้ออยู่ดี จริง?ไม่จริง5555   8.ปัญหาเกมกระตุกและเฟรมเรทร่วง เวลาเราเล่นเกมอะไรก็ตามจะเป็นแนว MOBA / FPS หรือเกมอื่นๆ จะออฟไลน์หรือออนไลน์ ถ้าุถามว่าความสุขของการเล่นเกมนั้นอยู่ตรงไหน เชื่อว่าหลายคนต้องตอบว่า เล่นเกมได้ลื่นๆ เฟรมเรตคงที่ เพราะหลายคนประสบปัญหาเวลาเกมไม่ลื่นมันจะรู้สึกแปลกๆ และขัดหูขัดตามากๆ ไหนจะภาพวาร์ป กลับมาอีกทีโดยศัตรูฆ่าตาย หรือช้ากว่าคนอื่นสารพัดปัญหา ยิ่งเกมแนว MOBA หรือ FPS ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบอกเลยว่าหัวอุ่นกันมาเยอะแล้ว    9.AI  แค่พูดคำว่า “ AI ” เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยลงเรือลำเดียวกัน ยอมรับว่าบางเกมนั้นทำ AI ออกมาได้ดีและฉลาดสุดๆ แต่บางเกมเหมือนทำส่งๆ ให้มีบทบาท เช่น AI ฝั่งเราเหมือนจะดีมาช่วนเราสู้ แต่ดันวิ่งไปให้เขายิงตาย / AI ศัตรูวิ่งมาให้เรายิงแบบเหมือนมาโยนเกม555 และที่ขัดใจสุดคือ AI ที่เราต้องคุ้มกัน บางครั้งศัตรูข้างหน้าเรายังจัดการไม่หมด AI ก็ดันวิ่งผ่าไปและโดนยิงตาย ภารกิจล้มเหลวต้องเริ่มใหม่ทำเอาหัวร้อนกันเลยทีเดียว   10.โหลดนาน ( เกินไป ) ปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่ยุคก่อนๆ แล้วและยังคงเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ( แต่ส่วนใหญ่จะดีขึ้นแล้ว ) “ เวลาโหลดเกมนาน ” ในสมัยก่อนถ้าเอามาเทียบ ไม่แน่ว่าเวลารอเกมโหลดกับเวลาเล่นนั้นน่าจะมีอัตราส่วนของเวลาเท่าๆ กันเลย ซึ่งปัญหานี้ที่ยังพบเจอเพราะมันเป็นการช่วยแบ่งเบาความจำของเกมให้ทำงานไม่หนักเกินไป จึงต้องมีการโหลดด้วยหลายๆ สาเหตุนั่นคือ ไปยังพื้นที่ถัดไป / ระดับใหม่ๆ / ตัดคัตซีน / ย้ายไปอีกสถานที่หนึ่ง หรือเวลาเราตายระบบจะโหลดเราย้อนกลับไปยังจุดเช็ตพอยด์ แต่นั่นจะไม่ใช่ปัญหาถ้ามันโหลดไว เพราะผมเคยรอโหลดนานสุด 30 นาที แล้วคนอื่นๆ ละครับรอนานสุดแค่ไหน.
30 Nov 2020
แนะนำ 3 สมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” แบรนด์ดังที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยตอนนี้
ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” เพราะแบรนด์มือถือชื่อเสียงหลายเจ้าถือได้ว่าตีตลาดหนักเป็นอย่างมาก ทำให้เกมเมอร์ที่ต้องการมือถือเอาไว้เล่นเกมโดยเฉพาะมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น แถมเราไม่ต้องซื้อเครื่องหิ้วเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเกมมิ่งโฟนที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยกันค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าทุกรุ่นเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปทั้งหมดเลย จะแตกต่างก็ประสิทธิภาพ, ลูกเล่นแต่ละแบรนด์ แล้วก็ราคา เมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ รุ่นแรกที่เกวลินขอแนะนำก็คือ “ASUS ROG Phone 3” จะเรียกว่าเป็นสุดยอดเกมมิ่งโฟนอันดับต้น ๆ ที่มีขุนพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” ที่ทาง ASUS ยังได้ดันประสิทธิภาพด้วยการ OC ตัวชิปเซ็ต CPU และ GPU ให้มีความเร็วมากกว่าเกมมิ่งโฟนแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือมีการแถมตัวระบายความร้อนรุ่นใหม่อย่าง “GameCool 3” ที่ทำให้เราสามารถเล่นเกมได้ตลอดทั้งวันไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนมือ แล้วด้วยความที่เป็น ASUS ก็มีการดีไซน์ตัวเครื่องในส่วนต่าง ๆ เช่น มีตัวรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แม่นยำ, ตัวรับเสียงพูดของผู้ใช้งาน, เพิ่มปุ่ม AirTriggers 3 เข้ามาด้านข้างเครื่องเพื่อใช้ในการเล่นเกมประเภท FPS ได้ดีมากกว่าเดิม, ลำโพงที่จัดมาให้เต็ม ๆ รวมไปถึงเรายังสามารถที่จะชาร์จขนาดเล่นพร้อมเชื่อมต่อในการถ่ายทอดสดได้อีกด้วย ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ASUS ยังได้ออกแบบอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ออกมาเพียบเลย สุดท้ายนี้ก็ยังสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วยค่ะ สเปกเครื่อง ASUS ROG Phone 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย ROG UI หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.59 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ ที่รองรับการแสดงผลในรูปแบบ HDR10+ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz แถมที่มีค่าดีเลยเพียงแค่ 1ms เท่านั้น รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus และ Snapdragon 865 สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1 ( ไม่สามารถเพิ่มความจุได้ ) กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682], เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP, เลนส์ Macro ความละเอียดสูงถึง 5MP กล้องหน้า: ความละเอียด 24MP การเชื่อมต่อ: WiFi 802.11 a/b/g/n/ac/ax Bluetooth 5.1, USB-C 3.1 กับ ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ระบบเสียง: เป็นระบบเสียง DTS X Sound เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ แบตเตอรี่: 6,000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สำหรับ ASUS ROG Phone 3 วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันค่ะ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกันมีดังต่อไปนี้ค่ะ ASUS ROG Phone 3 ในรุ่น Ram 12GB. และ Rom 512GB. สนนราคาอยู่ที่ 32,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ASUS ROG Phone 3 Strix Edition ในรุ่น Ram 8GB. และ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ROG Phone 3 Lighting Armor Case - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Clip - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Kunai 3 Gamepad - ราคาอยู่ที่ 3,990 บาท TwinView Dock 3 - ราคาอยู่ที่ 7,990 บาท โดย ASUS ROG Phone 3 สามารถหาซื้อได้ทั้ง ASUS Exclusive Store, ASUS Official Store ผ่านช่องทาง Shopee กับ lazada นอกจากนี้ยังสามารถซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ที่มีโปรโมชั่นลดราคาในแพ็คเกจพิเศษแล้วก็ยังสามารถสั่งซื้อผ่านร้านค้าชื่อดังทั้ง JIB Computer หรือ Banana ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกันค่ะ ใครที่อยากจะได้สุดยอดเกมมิ่งโฟนห้ามพลาดเลยค่ะ! รุ่นต่อมาพึ่งประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราแบบสด ๆ ร้อน ๆ กันเลยกับ “Legion Phone Duel” จากแบรนด์ Lenovo ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของ ASUS ROG Phone 3 เลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โดย Legion Phone Duel ก็ถูกจัดอยู่ในสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่ใช้ซิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” เหมือนกัน แล้วจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ตรงที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเกมที่เล่นแบบแนวนอนเป็นหลัก ( ส่วนใหญ่เกมก็มักจะเป็นแนว ๆ นี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ที่น่าสนใจอีกข้อก็คือมีการปรับปรุงปุ่ม Trigger ทั้งซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่แม่นยำขึ้น ใครที่ชอบเล่นเกมแนว FPS หรือ บางคนจะนำไปใช้กับเกมแนว MOBA ก็ได้เหมือนกันค่ะ โดยสองปุ่มนี้จะเป็นปุ่มที่เพิ่มคำสั่งต่าง ๆ ภายในเกมขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้เล่นต้องการตั้งค่าเพื่อให้ใช้งานรูปแบบไหน ที่เด็ดสุดก็คือทาง Lenovo ได้ออกแบบระบบสั่นเป็นมอเตอร์คู่อยู่ฝั่งซ้าย กับ ขวาของตัวเครื่องที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมบนมือถือแบบใหม่ซะด้วยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ รุ่นนี้ก็รองรับเทคโนโลยี 5G ด้วยเช่นกันค่ะ สเปกเครื่อง Legion Phone Duel ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Legion OS และ ZUI12 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.65 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus  GPU: Adreno 650 RAM: 12GB. และ 16GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1  กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.89, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 16MP กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.2 เป็นรูปแบบป๊อปอัพด้านข้าง การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, มี USB-C ถึง 2 ช่องส่งผลทำให้เราสามารถที่จะชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมกับเล่นเกมไปด้วย ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และ มีระบบระบายความร้อนแบบ Dual-Liquid และ Mid-Thermal แบตเตอรี่: 5,000 mAh ที่ทาง Lenovo ออกแบบมาให้เป็น 2 ส่วนคือข้างละ 2,500 mAh เหตุผลก็เพราะเพื่อลดความร้อนระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่ หรือ ลดความร้อนจากการที่เครื่องทำงานอย่างหนัก แล้วเด็ดที่สุดคือรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 90 วัตต์ที่เครมกันว่าสามารถชาร์จจาก 0 ไป 100% ในระยะเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น! โดย Legion Phone Duel วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นแรกมี Ram 12GB. แล้วก็ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 23,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีน้ำเงินเท่านั้น และ รุ่นต่อมา Ram 16GB. แล้วก็ Rom 512GB. ราคาอยู่ที่ 30,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีแดงเท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่อยากจะได้ในแพ็คเกจราคาพิเศษก็ซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ได้เลยค่ะ เพราะราคาถูกมาก ๆ เลย แล้วถ้าใครที่ใช้เบอร์ของ AIS มานานก็จะได้รับสิทธิ์ในการลดราคาเพิ่มเติมอีกด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกเหนือจากนี้ยังมีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น ๆ อาทิเช่น IT City, JD.co.th, JIB Computer, Speed Computer, Banana และ BlueShop เป็นต้นค่ะ มาถึงอีกหนึ่งรุ่นที่เริ่มตีตลาดในบ้านเราได้ราว ๆ 2 ปีแล้วค่ะ กับ “Black Shark 3, Black Shark 3 Pro หรือ Black Shark 3S” หนึ่งในแบรนด์ลูกของ Xiaomi ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับจากเกมเมอร์เป็นอย่างดีเลยค่ะ เห็นชื่อแบรนด์หลายคนก็คงจะทราบเลยว่ามันคือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดา 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้เลยค่ะ แต่ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างนั้นนะคะ โดยต้องอธิบายก่อนว่าปัจจุบันทาง Xiaomi มีแค่ 2 รุ่นที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราก็คือ Black Shark 2 กับ Black Shark 3 ส่วน Black Shark 3 Pro กับ Black Shark 3S ที่เป็นรุ่นอัปเกรดเพิ่มประสิทธิภาพยังไม่มีตารางการนำเข้ามาวางจำหน่าย สำหรับ Black Shark 3 ทาง Xiaomi เลือกใช้ชิปเซ็ต “Snapdragon 865” แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่ได้แตกต่างจากชิปเซ็ตตัวท็อป “Snapdragon 865 Plus” ก็ตาม แต่ตัวนี้ก็สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G และ Wi-Fi 6 ได้ด้วย มีการดีไซน์มีปุ่ม Shoulder Button ที่อยู่ทางซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องเหมือนกับ 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้ค่ะ ความเก๋ของมันก็คือเมื่อเวลาเล่นเกมปุ่มนี้จะเด้งขึ้นมาเพื่อให้ใช้งาน แต่เมื่อใดที่เราใช้งานแบบปกติมันก็จะกลับไปอยู่ในสภาพตามปกติค่ะ อีกทั้งยังเครมอีกว่ามันทนต่อแรงกด และ การหดตัวเวลาเก็บได้ถึง 300,000 ครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ นอกจากนี้ Black Shark 3 ยังมีลำโพงคู่ในรูปแบบระบบสเตริโอ รวมไปถึงยังรองรับระบบเสียงแบบ Hi-Res อีกด้วยค่ะ เท่านั้นยังไม่พอใครที่ใช้ชอบหูฟังที่เป็นรูปแบบ 3.5 มม. รุ่นนี้ก็กลับมาให้เราได้ใช้งานกันอีกครั้ง แถมตัวนี้ยังมีการชาร์จแบบแม่เหล็กที่แตะด้านหลังเครื่องได้ด้วย รวมไปถึงยัง สเปกเครื่อง Black Shark 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Joy UI 11 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.67 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 90Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz  CPU: Snapdragon 865 GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR4x ความจุ: 125GB. และ 256GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.0 กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.8, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.3 และ เลนส์ Depth ความละเอียด 5MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.2  กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.0 การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, USB-C ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แบตเตอรี่: 4,720 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 65 วัตต์ การชาร์จแบบแม่เหล็กด้านหลังเครื่อง 18 วัตต์ สำหรับ Black Shark 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่านช่องทาง Black Shark Official Store แพลตฟอร์ม lazada เท่านั้น! โดยสนนราคาอยู่ที่ 21,900 บาท ก็จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นระยะ ๆ ซึ่งในตอนที่เขียนบทความนี้ลดราคาเหลืออยู่ที่ 18,990 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกจากนี้ทาง Xiaomi ยังจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ Black Shark 3 เพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเคส, พัดลมระบายความร้อน, หูฟัง, คีย์บอร์ดมือถือ หรือ คอนโทรลเลอร์ เป็นต้น ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้ที่ ( คลิกที่นี่ )  นี่คือมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ไม่นับแบรนด์อื่น ๆ ที่วางจำหน่ายแล้วมีร้านค้าที่หิ้วนำเข้ามาขายในบ้านเรานะคะ ซึ่ง 3 แบรนด์นี้เกมเมอร์สามารถซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการประกันจากผู้ผลิต หรือใครที่ต้องการอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เลย งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ ว่าอยากจะซื้อแบรนด์ไหนมาใช้งานกัน เพราะแต่ละรุ่นก็มีลูกเล่น, ประสิทธิภาพ แล้วก็ราคาที่แตกต่างกันออกไป เรียกว่าจะไปให้สุดแล้วหยุดที่สุดยอด หรือ จะเลือกประหยัดแต่ก็เล่นเกมได้เหมือนกันอยู่ที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจเลยค่ะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ!
12 Nov 2020
GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ผลการค้นหา : "บทความแนะนำ"
อัปเดตรายชื่อ Smart Phone ที่เหมาะจะซื้อมาเล่นเกมมากที่สุด (ต้นปี 2021)
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะครับว่าเกมมือถือเข้ามามีบทบาทในวงการเรามากมายจริงๆ (เผลอๆ จะตลาดใหญ่เท่ากับวงการเกม Console แล้วด้วย) โดยเฉพาะฝั่งกี่ฬา Esport ที่แข่งขันกันอย่างจริงจังในบ้านเรา และมีเงินรางวัลมากกว่าเงินเดือนของผมทั้งปีเสียอีก (แหม่พูดแล้วก็เศร้า) ด้วยความที่ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทางฝั่งผู้พัฒนาเองก็หันมาให้ความสนใจแข่งกันพัฒนาเกมดีๆ มาลงให้กับฝั่งมือถือมากมายไปด้วย ส่งผลในปัจจุบันเกมมือถือเริ่มใช้สเปคที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เริ่มเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเล่นเกมในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ที่นี้เราจะได้รู้ได้ยังไงว่าควรซื้อมือถือเครื่องไหน ถึงจะสามารถเล่นเกมที่เราอยากเล่นได้ทั้งหมด? ไอ้ครั้นจะให้ไปนั่งเทียบสเปคของแต่ละรุ่น ก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากอีก ดังนั้นวันนี้ผมจะมีชี้เป้าให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันว่าปัจจุบันในตลาดบ้านเรา มือถือรุ่นไหนเหมาะจะซื้อมาใช้เล่นเกมมากที่สุดครับ! แต่ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอออกตัวก่อนว่าการจัดอันดับใน บทความนี้ จะวัดจาก ความสามารถของตัวเครื่อง, จำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานได้, ฟังก์ชั่นสำหรับเกมเมอร์ และราคาเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับความแรงของ CPU และ GPU ผมอ้างอิงจาก 2 แหล่งคือ Nanoreview กับ Techcenturion ส่วนราคาจะมาจากเว็บ Siamphone ครับ มือถือ Gaming ที่โดยรวมยอดเยี่ยมมากที่สุด : Asus ROG Phone 3 หน้าจอขนาด : 6.59 นิ้ว  (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Plus Octa Core (แรงอันดับ 8 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) ,หน่วยความจำ : RAM 12 GB / ROM 512 GB, แบตเตอรี่ : 6,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 26,000 บาท หน้าจอไม่ใหญ่เกินไป, มี Refresh Rate สูงถึง 144Hz, ใช้ชิปประมวลผลที่แรง 8 ของโลก, แบตเตอรี่อึดใช้งานได้นาน, มาพร้อมกับการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, ทั้งยังสามารถตั้งค่า Macro หรือ ชุดคำสั่งเพื่อให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คงต้องบอกว่าไม่มีโทรศัพท์เครื่องไหนในโลกจะตอบโจทย์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเรื่องของราคา 26,000 ก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเช่นกัน จุดเด่นหลักๆ ของ ROG Phone 3 คือเรื่องของ AeroActive Cooler 3 อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการระบายความร้อน กับ Airtrigger 3 บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง ที่ทำงานเหมือนปุ่ม L1, R1 ของจอยเครื่อง Console แต่ต่างกันตรงที่บนมือถือนี้จะเป็นเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกที่ใช้รับสัมผัสแทน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเองได้เลยว่าจะให้การสัมผัสแบบไหน ส่งผลแบบไหนในเกม พูดแล้วอาจจะไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าดูในวิดีโอด้านล่างนี้ได้เลยครับ มือถือ Gaming ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด : Nubia Red Magic 5G หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 320 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 5G Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 - 16 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,500 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 17,900. บาท Red Magic 5G อาจไม่ใช่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา แต่เจ้าตัวนี้ก็เรียกได้ว่ามาพร้อมกับสเปคที่แรงน้อยกว่า ROG Phone 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ได้ Touch Sampling Rate ที่สูงกว่ามาแทน กับ RAM ของเครื่องที่ให้มาแบบเยอะถึง 16 GB แต่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ถือว่าถูกมากๆ หากเทียบกับสเปคครับ ในเรื่องของการระบายความร้อน Red Magic 5G ก็มาพร้อมกับ Active Liquid-Cooling with Turbo Fan 3.0 ที่ทำให้เครื่องสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นทั่วไปที่มีในตลาด แน่นอนว่าเจ้าเครื่องนี้เองก็มี Trigger หรือปุ่มสำหรับใส่ชุดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมก็มีมาให้ 2 ปุ่มเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตั้งคำสั่งความละเอียดสูงแบบ เขย่าหน้าจอ หรือสไลด์ซ้าย กับขวา แบบเดียวกับ ROG Phone 3 ได้ครับ มือถือ Gaming ที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมยอดเยี่ยมที่สุด : Xiaomi Black Shark 3 Pro หน้าจอขนาด : (Refresh Rate 144Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 270 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว),  CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core (แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 256 - 512 GB, แบตเตอรี่ : 5,000 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 19,900. บาท Black Shark ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่น Gaming จากทาง Xiaomi ที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว โดยในเรื่องของความแรงเจ้า Black Shark 3 Pro จะเทียบเท่ากันกับ Red Magic 5G เลย แต่ได้ในเรื่องของอุปกรณ์เสริม ที่เยอะกว่ามาแทน ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง, ชุดระบายความร้อน, จอยควบคุมสำหรับต่อใช้งาน, คีย์บอร์ด และอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนของปุ่มคำสั่งพิเศษ รุ่นนี้ก็มีมาให้ทางด่านขวาบน กับขวาล่างเช่นกัน เพียงแต่ของ Black Shark 3 Pro จะเป็นปุ่มที่อยู่ภายในหน้าจอ Touch Screen ทำให้อาจใช้งานได้ยากกว่า 2 รุ่นข้างบนเล็กน้อย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็สามารถทำได้ดีมากๆ เช่นกันด้วย Sandwich Liquid Cooling และจะดีขึ้นไปอีกเมื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมครับ มือถือทั่วไปที่เหมาะจะเอามาเล่นเกมมากที่สุด แม้ว่ามือถือ Gaming จะเกิดมาเพื่อเล่นเกมอย่างแท้จริง แต่ในเรื่องของดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวเกินไปเลยอาจทำให้หลายคนอาจรู้ไม่ชอบเครื่อง 3 รุ่นข้างต้นนี้ ดังนั้นผมจึงได้จัดอันดับมือถือทั่วไป ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมมากที่สุดมาให้ด้วย ซึ่งในกลุ่มนี้มักจะได้ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปที่ดีกว่ามาทดแทนครับ Mi 11 หน้าจอขนาด : 6.81 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 480 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 888 Octa Core (แรงอันดับ 2 ของโลก), GPU : Adreno 660 (แรงอันดับ 2 ของโลก) หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,600 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 22,300. บาท เรือธงตัวใหม่จากทาง Xiaomi ที่เพิ่งวางขายไปเลยช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้คือหน่วยประมวลผลที่แรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในตอนนี้ทั้ง CPU และ GPU กับ Touch Sampling Rate ที่สูงแบบอลังการงานสร้าง 480 Hz แต่กลับมีราคากลางเพียงแค่ 22,300 บาท ซึ่งถูกกว่า ROG Phone 3 เสียอีก แม้จะไม่มีฟังก์ชันหรืออุปกรณ์เสริมดีๆ สำหรับ Gaming โดยเฉพาะมาด้วย แต่ในเรื่องของการระบายความร้อน Mi 11 ถือว่าทำได้ดีมาก อุณหภูมิเครื่องจะอยู่ที่ 35 - 37 องศาเท่านั้นหากเล่น ROV ในห้องแอร์ 25 องศา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ ครับ Samsung S21 Plus (S21+) หน้าจอขนาด : 6.7 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Exynos 2100 Octa Core (แรงอันดับ 3 ของโลก), GPU : Mali-G78 MP14 (แรงอันดับ 7 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 8 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,800 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 31,800. บาท อีกหนึ่งเรือธงใหม่จากทาง Samsung ที่มาพร้อมกับ CPU ที่แรงอันดับ 3 กับ GPU ที่อยู่อันดับ 7 ทำให้ เจ้า S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาในเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่จากปากผู้ใช้งานเหมือนจะหมดเร็วมากๆ แม้จะมีขนาดถึง 4,800 mAh ก็ตาม โชคยังดีที่รุ่นนี้สามารถชาร์จได้เร็วมากครับ อีกหนึ่งข้อเสียของ S21+ คือเรื่องการระบายความร้อนที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก จากคำรีวิวของผู้ใช้งานดูเหมือนว่าแค่เปิดใช้งานกล้องเป็นเวลานานตัวเครื่องก็จะร้อนมากๆ แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อร้อนมากๆ CPU / GPU ก็จะลดความสามารถในการทำงานลง แต่ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ และสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งมือถือดีไซน์สวยที่ไม่ควรพลาดครับ iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 60Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 120 Hz หน่วย (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว) ,CPU : Apple A14 Bionic Hexa Core (แรงอันดับ 1 ของโลก), GPU : A14 Bionic’s GPU (แรงอันดับ 1 ของโลก) , หน่วยความจำ : RAM 6 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : Li-Ion 2815 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 36,400. บาท เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับ CPU และ GPU แรงอันดับ 1 ของโลกแล้วสำหรับ iPhone 12 แต่น่าเสียดายที่หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับ Refresh Rate เพียงแค่ 60 Hz กับ Touch Sampling Rate แค่ 120 Hz ทำให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่มือถือที่เหมาะสำหรับการเล่นเกมขนาดนั้น ในเรื่องของการระบายความร้อนเอง ก็ถือได้ว่ายังมีปัญหาอยู่เช่นกัน จากคำรีวิวของผู้ใช้งานเหมือนว่าจะร้อนมากๆ หากใช้เล่นเกมไประยะเวลาหนึ่ง และในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเล่นเกมทั้งวันเช่นกัน ข้อดีก็คือมีฟังก์ชันการใช้งานที่เยอะมากๆ (โดยเฉพาะการอัดวิดีโอ และการถ่ายภาพ) หากปกติเป็นคนที่ใช้งานทั่วไปเยอะ และเล่นเกมเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น iPhone 12 ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีครับ One Plus 8 Pro หน้าจอขนาด : 6.1 นิ้ว (Refresh Rate 120Hz), ความเร็วตอบสนองหน้าจอ (Touch Sampling Rate) : 240 Hz (ยิ่งเยอะหน้าจอยิ่งตอบสนองเร็ว), CPU : Qualcomm Snapdragon 865 Octa Core(แรงอันดับ 9 ของโลก), GPU : Adreno 650 (แรงอันดับ 6 ของโลก), หน่วยความจำ : RAM 8 - 12 GB / ROM 128 - 256 GB, แบตเตอรี่ : 4,510 mAh, ราคากลางปัจจุบัน : ประมาณ 28,100. บาท แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ CPU / GPU ที่แรงเมื่อเทียบกับราคา แต่ One Plus อาจเรียกได้ว่าเป็นมือถือที่มีระบบปฏิบัติการ Android ที่เสถียรมากที่สุด (OxygenOS 10.0 based on Android 10.0) ส่งผลให้เป็นโทรศัพท์ที่จะเกิดบัค หรือเหตุการณ์แบบเกมปิดตัวดื้อๆ น้อยครั้งที่สุดครับ ในส่วนของการระบายความร้อนก็ทำได้แบบปานกลาง ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับมือถือ Gaming แต่ถือว่าดีในระดับหนึ่ง โดยที่หลุดมาไกลถึงตรงนี้ เป็นเพราะเรื่องราคาที่สูงไปนิด เมื่อเทียบกับ MI 11 แล้วเจ้าตัวนี้เลยน่าซื้อน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
08 Mar 2021
ลือ! Sony จะเอาเกม Exclusive ที่ลงให้กับ PC อีกหลัง Days Gone วางขาย
CrazyLeaksOnATrain จอมปล่อยข่าวลือ ที่มีความถูกต้องสูง ได้โพสต์ข้อความใหม่บน Twitter หลังจากไม่ได้ทำมานาน ประกาศว่า Sony จะเอาเกม BloodBorne, Uncharted Collection, God of War และ Ghost of Tsushima ลงให้กับ PC หลังจากนี้ พอมีคนถามไปว่าเกมพวกนี้จะลงให้กับ PC จริงๆ เมื่อไหร่? CrazyLeaksOnATrain ก็ได้ตอบว่า ประกาศจะมาในช่วงปลาย เมษา ต้น พฤษภา หลังจากที่ Days Gone วางขาย ซึ่งจะทยอยลงให้กับ PC ทุกๆ 2 - 3 เดือน แต่เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ลำดับ จะเป็นยังไง BloodBorne ถือได้ว่าเป็นเกมที่มีข่าวลือว่าจะลงให้กับ PC มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเกมนี้ที่ลงให้กับ PC ก่อน แต่อะไรๆ ก็เป็นไปได้ เพราะคิดว่าน่าจะมีผู้เล่นไม่น้อยเช่นกันที่รอการมาของ God of War ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงขนาดไหนครับ Announcements will come after days gone release ( should be released April or early may). It will then be a release every 2 to 3 months there on ish unsure exactly nl which one is next but that is the list of next games coming — CrazyLeaksOnATrain (@CrazyLeaksTrain) March 5, 2021 Credit: GameRadar+
08 Mar 2021
ก่อนจะมีเครื่อง PlayStation 5 ไปส่องหา TV หรือ Monitor รุ่นไหนเหมาะใช้ในการเล่นเกมที่สุดกันบ้าง!
ถ้าพูดถึงเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “PlayStation 5” บอกตรงๆ ว่าเกมเมอร์ชาวไทยหลายคนแอบหงุดหงิดมากว่าสรุปแล้ว “ประเทศไทยจะวางจำหน่ายตอนไหนกันแน่!?” ในวันที่เขียนบทความนี้คือวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ทาง Sony Interactive Entertainment หรือ PlayStation Asia ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหลใด ๆ เลย แม้จะมีข่าวลือหลุดออกมาว่ามีความเป็นไปได้ที่ PlayStation 5 ศูนย์ไทยจะวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนมกราคมก็ตาม ซึ่งตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ได้วางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยประเทศอินโดนีเซียจะวางจำหน่ายในวันที่ 22 มกราคมที่จะถึงนี้   แล้วถ้าเพื่อน ๆ ที่เล็งเอาไว้แล้วว่า “ฉันจะซื้อ PlayStation 5 มาเล่นอย่างแน่นอน!” แล้วถ้าอยากจะสัมผัสกราฟฟิกสวย ๆ แบบจัดเต็มของเกมบนเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ สิ่งที่จะต้องมีก็คือ “ทีวี หรือ จอมอนิเตอร์” ที่เหมาะเพื่อใช้ในการเล่นเกมด้วยค่ะ เพราะด้วยตัวเครื่อง PlayStation 5 เขาเครมเอาไว้เลยว่าสามารถรันกราฟฟิกออกมาในความละเอียดสูงสุดถึง 4K/60fps ( แต่ตัวกล่องมีโลโก้ 8K ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเกมอะไรรองรับบ้างด้วย ) ได้อย่างสบาย ๆ วันนี้เกวลินเองก็เลยขอคัดเลือกทีวีหรือไม่ก็จอมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมจากเครื่อง PlayStation 5 ได้รู้จักกันค่ะ   Sony BRAVIA X90H/XH90 Series สำหรับ “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” ถือว่าเป็นทีวี Full Array LED ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 4K แถมยังพัฒนาออกมาเพื่อใช้ในการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 5 โดยเฉพาะเลยค่ะ ก็มีการผลิตออกมาหลากหลายขนาดเริ่มจาก 55 นิ้ว, 65 นิ้ว, 75 นิ้ว และ 85 นิ้ว จากข้อมูลของ Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA X90H มีทั้งหมด 2 ขนาดประกอบไปด้วยคือ 65 นิ้วราคาอยู่ที่ 39,990 บาท และ ขนาด 85 นิ้วราคาอยู่ที่ 89,990 บาท โดยดีไซน์ตัวเครื่องอาจจะดูไม่สวยถูกใจบางคนเท่าไหร่ แต่บอกไว้ก่อนว่าประสิทธิภาพของทีวีตัวนี้ไม่ธรรมดานะคะ โดยขุมพลังชิปเซ็ตภายในตัวนี้เลือกใช้ “Sony X1 4K HDR Processor” ที่เป็นตัวประมวลผลภาพแบบเรียลไทม์ในความละเอียด 4K ที่ดีเยี่ยมาก ๆ แถมยังรองรับ HDR ที่มันจะทำให้ภาพปรากฎบนจอดูสมจริงและคมชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยว่าสีและคอนทราสต่าง ๆ จะดูสมจริงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชิปเซ็ตตัวนี้ยังทำให้ภาพที่มีความละเอียด 1080p [Full HD] หรือ 1440p [2K] ก็สามารถอัปสเกลให้ใกล้เคียงความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยระบบที่มีชื่อว่า “4K X-Reality PRO” แล้วที่พิเศษสุดก็คือมันเป็นทีวีในรูปแบบ Android TV แล้วก็ยังสามารถขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz แล้วก็ยังแสดงผล Respond Time อยู่ที่ 7.2 ms ที่เรียกว่าน้อยพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งต้องบอกว่า “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายในบ้านเรามาได้พักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ ซึ่งก็มีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ซื้อทีวีตัวนี้ไปล่วงหน้ากันแล้วค่ะ ส่วนตัวมองว่าทีวีขนาด 65 นิ้วแสดงผลในความละเอียด 4K/60fps ได้อย่างสบาย ๆ แถมยังทำค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 120Hz แล้ว Respond Time ก็น้อยอีก ในราคา 39,990 บาทถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะเราสามารถนำไปเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ใครที่มีคอมสเปกสูง ๆ รันเกมความละเอียด 4K ได้สบาย ๆ จอตัวนี้นอกจากเอาไว้ใช้กับการเล่นเกมคอนโซลแล้วก็ยังเอาไว้ รวมไปถึงทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode, Full Array Local Dimming, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วยค่ะ   Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series นอกเหนือจาก “Sony BRAVIA X90H/XH90 Series” วางจำหน่ายแล้วทาง Sony ก็ได้เปิดตัวทีวี Full Array LED ตัวท็อปออกมาอีก 1 รุ่นที่มีชื่อว่า “Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series” ทาง Sony Thailand เผยว่าในบ้านเราวางจำหน่ายรุ่น Sony BRAVIA Z8H มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 85 นิ้วสนนราคาอยู่ที่ 299,990 บาท เห็นราคาแบบนี้ก็เกิดคำถามมากมายว่าทำไมมันถึงมีราคาแพงขนาดนี้ อย่างแรงเพื่อน ๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าทีวีรุ่นนี้มีความละเอียดสูงถึง 8K ที่สามารถรันเฟรมเรทได้สูงสุด 60fps แล้วถ้าเลือกรันความละเอียด 4K ก็จะขับเฟรมเรตได้สูงสุด 120fps เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ว่าขับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120Hz ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมแนะนำว่าเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Game Mode ด้วยนะคะ โดยทีวีตัวนี้เลือกใช้ชิปเซ็ตที่มีชื่อว่า “Sony X1 Ultimate” ชิปเซ็ตประมวลผลภาพตัวนี้ถือว่าเป็นตัวท็อปสุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ มันมีประสิทธิภาพในการแสดงสีและคอนทราสในความละเอียดสูงที่ยอดเยี่ยม แล้วยังเพิ่มความละเอียดที่เหนือชั้นเข้าไปอีกเพื่อให้เราสามารถรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้มีความใกล้เคียง 8K แท้ ๆ ได้เลย โดยชิปเซ็ตตัวนี้ยังวิเคราะห์และประมวลผลที่แม่นยำมาก ๆ ทั้งในเรื่องฉากที่มีความลึก, พื้นผิว และ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ดูสมบูรณ์แบบมาก ๆ แม้ว่าภาพที่ถ่ายทอดออกมาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 1440p [2K] หรือ 4K ก็ตาม ซึ่งเราสามารถเพิ่มสเกลของภาพให้มีระดับ 8K ด้วยเทคโนโลยี “8K X-Reality PRO”  แล้วด้วยความที่ทีวีในรูปแบบ Android TV ทำให้เราเสพย์คอนเทนต์ต่าง ๆ ในความละเอียด 4K ไปจนถึง 8K ได้อย่างสบาย ๆ ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple TV, YouTube หรือ Prime Video เป็นต้น นอกจากนี้ระบบเสียงของ Sony BRAVIA Z8H/ZH8 Series จะขับเคลื่อนในรูปแบบ Dolby Atmos เสียงที่ออกมาจะรู้สึกเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์ที่ปรากฎตัวอยู่บนหน้าจอเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น S-Force Front Surround ที่เสียงจะมารอบ ๆ ทิศทางเสมือนเรามีลำโพงเซอร์ราวด์รอบทิศทางภายในทีวีของเราเลยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ ทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ HDMI 2.1 ด้วยนะคะ ใครที่อยากจะเข้าถึงฟังก์ชั่น Variable Refresh Rate, Auto Low Latency Mode และ Full Array Local Dimming   LG 48CX เราพูดถึงแบรนด์ Sony ผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 กันไปแล้ว มาพูดถึงแบรนด์คู่แข่งที่ประสิทธิภาพภายในน่าสนใจไม่ใช่น้อยด้วยค่ะ แล้วที่เกวลินเลือกมาก็คือ “LG 48CX” ซึ่งมันคือทีวีในรูปแบบ OLED ที่ถูกจับตามองจากผู้ใช้งานทั่วโลกเป็นอย่างมาก มันเป็นทีวี OLED ที่รองรับความละเอียด 4K เต็มรูปแบบมาก ๆ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ประมาณ 48 นิ้วแถมราคาที่วางจำหน่ายในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 45,000 บาทขึ้นไป ความน่าสนใจของทีวีรุ่นนี้ก็คือมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ออกแบบมาให้กับเกมเมอร์สายพีซีอีกด้วยค่ะ โดย “LG 48CX” มาพร้อมกับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่เกมเมอร์ฝั่งพีซีที่ใช้การ์ดจอของค่ายเขียวเมื่อนำมาเชื่อมต่อแล้วเปิดใช้งานจะทำให้เมื่อเวลาเล่นเกมเฟรมเรทมีกราฟฟิกสูงสุดด้วย อ่ะ ๆ แต่คนที่ใช้การ์ดจอค่ายแดง AMD ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ก็รองรับด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้กับตัวเครื่องก่อนค่ะ เท่านั้นยังไม่พอทีวีรุ่นนี้ยังรองรับ Dolby Vision หรือที่เรารู้จักในชื่อ “HDR10” ด้วยนะ แล้ว LG ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ทีวีรุ่นนี้มีความหนาแน่นของพิกเซลพอ ๆ กับทีวีที่มีความละเอียด 8K ขนาด 96 นิ้วได้เลย ส่วนถ้าเล่นจริง ๆ จะแสดงผลในความละเอียด 4K/120fps ใครที่เป็นเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ทีวีรุ่นนี้ไม่ควรพลาดเลยค่ะ สุดท้าย “LG 48CX” เป็นทีวี OLED ที่ออกแบบมาให้เกมเมอร์โดยเฉพาะจริง ๆ รองรับการแสดงผลของ HDMI 2.1 แล้วก็ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Dolby Atmos, Dolby Vision IQ, Filmmaker Mode และ ยังมีโหมดที่จะช่วยลดความหน่วงของการแสดงผลให้เองแบบอัตโนมัติอีกด้วย รวมไปถึงมีระบบรีเฟรชเรตแบบแปรผัน [VRR] ที่จะทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น PlayStation 5 หรือ Xbox Series X มีการแสดงผลได้ดีพอ ๆ กับจอมอนิเตอร์ตัวท็อปเลยค่ะ   Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7 เราพูดถึงทีวีกันไป 3 รุ่นแล้วรุ่นต่อมาจะเป็น “จอมอนิเตอร์” กันบ้างค่ะ ปกติแล้วจอพวกนี้จะใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่รุ่นที่เกวลินหยิบมาแนะนำสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่นี้ได้เหมือนกันนั้นก็คือ “Samsung Odyssey G9 และ Samsung Odyssey G7” สำหรับหน้าจอมอนิเตอร์ถูกจัดเป็นประเภท QLED ทาง Samsung เครมเลยว่าหน้าจอตัวนี้จะแสดงผลเรื่องแสง, สี, เงาคอนทราสต์ที่เป็นธรรมชาติ แล้วสีดำก็จะแสดงผลแบบดำสนิทอีกด้วยค่ะ  โดยเกวลินจะแนะนำรุ่น Samsung Odyssey G9 กันก่อนค่ะ สนนราคารุ่นนี้อยู่ที่ 45,990 บาท มันคือจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทาง Samsung ผลิตออกมาเลยค่ะ มีขนาดอยู่ที่ 49 นิ้ว แล้วดีไซน์ของเขาก็เก๋ไก๋มาก ๆ สวยงามมาก ๆ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า Samsung เขาออกแบบหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีดีไซน์โค้งมาแล้วหลายตัว โดยรุ่นนี้ความโค้งของตัวหน้าจอจะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R ซึ่งสูงที่สุดในโลกณ.ตอนนี้แล้วค่ะ อ่ะ...มีคำถามใช่ไหมคะว่าทำไมมันต้องโค้งอะไรขนาดนั้น!? คำตอบก็คือระยะการโค้งของหน้าจอมันจะเข้ากับระยะสายตาของมนุษย์ ทำให้เราได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมแบบเต็มตาที่สุดเท่าที่จอมอนิเตอร์เคยมีมาบนโลกนี้เลยค่ะ โดย Samsung Odyssey G9 มีอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 32:9 ซึ่งตรงนี้เกมเมอร์ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเกมที่รองรับอัตราส่วนของหน้าจอในเวลานี้ยังมีน้อยเกมนะคะ แต่ถ้าพูดถึงการทำงานมันสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้ทำงานได้สูงสุด 6 จอเลยค่ะ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความหน่วงของหน้าจอ Respond Time ต่ำมาก ๆ เพียงแค่ 1 ms หรือ 0.001 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และยังรองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA ที่จะช่วยปลดล็อคให้แสดงเฟรมเรตได้สูงสุด ลดอาการภาพสั่น หรือ ภาพแตก แต่ถ้าเพื่อน ๆ คิดว่ารุ่นนี้ขนาดหน้าจออาจจะใหญ่เกินไปพื้นที่อาจจะไม่เพียงพอ ทาง Samsung ก็ได้ผลิตอีกหนึ่งรุ่นออกมาที่สเปกเท่ากับรุ่น Samsung Odyssey G9 นั้นก็คือ “Samsung Odyssey G7” ที่มีขนาดให้เลือก 27 นิ้วราคาอยู่ที่ 18,900 บาท และ 32 นิ้วราคาจะอยู่ที่ 20,900 บาท เป็นขนาดหน้าจอความละเอียด 1440p [2K] แล้วอัตราส่วนของหน้าจอเป็น 16:9 ส่วนสเปกของเครื่องนี้หลายส่วนมีความคล้ายกับตัวท็อปเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวหน้าจอที่เป็น QLED, จะมีค่า R อยู่ที่ 1,000R, รองรับเทคโนโลยี G-Sync ของการ์ดจอค่ายเขียว NVIDIA, ความหน่วงของหน้าจอ Respond Time อยู่ที่ 1 ms หรือ 0.001 วินาที, ปลดล็อคค่ารีเฟรชเรตได้สูงสุด 240Hz และ รองรับเทคโนโลยี HDR600    BenQ EW3280U มาถึงรุ่นสุดท้ายที่เกวลินเลือกมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้เอาไปตัดสินใจกันนั้นก็คือ “BenQ EW3280U” จอมอนิเตอร์จากแบรนด์คุณภาพที่ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะเป็น IPS ก็เถอะนะ แต่มันก็ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการเชื่อมต่อเพื่อเล่นเกมบนพีซีและเครื่องเกมคอนโซลได้เต็มประสิทธิภาพเลยค่ะ ขนาดหน้าจอตัวนี้อยู่ที่ 32 นิ้วเป็นความละเอียดแบบ 4K ที่จะมอบรายละเอียดที่จะปรากฎบนจออย่างคมชัดเลยค่ะ ไม่ว่าเราจะเอามาดูภาพยนตร์ หรือ เล่นเกมกราฟฟิกสวย ๆ แล้วปรับสุดภาพที่ปรากฎบนจอก็จะสวยงามไร้ที่ติกันเลยค่ะ ตัว “BenQ EW3280U” ยังได้เพิ่มเทคโนโลยี Dolby Vision หรือ HDR10 เข้ามาด้วย ทำให้โทนสีที่แสดงผลออกมาแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน แล้วถ้าใครเป็นเกมเมอร์สายพีซีที่ใช้การ์ดจอของ AMD ยิ้มได้เลยค่ะ เพราะว่าเทคโนโลยี FreeSync ด้วย แถมการเชื่อมต่อก็รองรับ DisplayPort 1.4 และ HDMI 2.0 ที่จะช่วยปล่อยสัญญาณภาพในความละเอียด 4K/60Hz ถ้าพูดถึงการนำมาเชื่อมต่อเพื่อเล่นเครื่องเกมคอนโซลผลทดสอบออกมาเป็นยังไง จากสื่อที่ได้ลองนำมาเยี่ยมต่อดูพบว่าระยะการมองเห็นที่ไม่ต้องใหญ่มากมันทำให้เราเห็นรายละเอียดภายในเกมที่ปรากฎได้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถที่จะบังคับตัวละครได้ถูกต้องมากกว่าที่จะเล่นเกมบนจอใหญ่ ๆ ข้อดีอีกอย่างของ “BenQ EW3280U” คงเป็นเรื่องเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus จากของ BenQ ที่มันจะช่วยปรับโทนแสงและภาพให้เองอัตโนมัติ สิ่งที่ได้คือแสงที่ปรากฎผ่านหน้าจอจะไม่มีแสงที่สว่างจนเกินไปใครที่เล่นเกมนาน ๆ แล้วเกิดอาการปวดตาหรือเมื่อยล้าบริเวณรอบ ๆ ดวงตา เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถเล่นเกมได้นานขึ้น เพราะมันจะลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาลง สุดท้ายในเรื่องของราคาอยู่ที่ 27,900 บาท ถ้าถามถึงความคุ้มค่าส่วนตัวมองว่ามันดันค่ารีเฟรชเรตได้เพียงแค่ 60Hz มันเลยดูน้อยไปหน่อยถ้าใครที่ใช้สเปกคอมพิวเตอร์ที่สเปกสูง ๆ ค่ะ จอนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่จะเอามาใช้ในการเล่นเกมคอนโซลรุ่นใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยค่ะ จบกันไปแล้วค่ะ กับบทความแนะนำทีวีหรือจอมอนิเตอร์ที่ใช้สำหรับเล่นเกมจากเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่ทั้ง PlayStation 5 หรือ Xbox Series XIS รวมไปถึงถ้าเพื่อน ๆ เป็นเกมเมอร์กระเป๋าหนักจะเอามาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ของเราก็ทำได้เหมือนกัน เพราะแต่ละรุ่นที่แนะนำไปไม่ใช่แค่นำมาใช้กับเครื่องเกมคอนโซลอย่างเดียวนะคะ บางคนก็อาจจะถามว่าพี่แล้วแบบนี้จอของผมที่เป็นรุ่นเก่าที่รันความละเอียด 1080p หรือ 1440p สามารถใช้งานได้ไหม!? ก็ตอบเลยว่าได้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะไหน ๆ เขาก็ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมความละเอียด 4K แล้วมันก็ต้องจัดเต็มกันหน่อยเนอะ ส่วนเกวลินขอเก็บเงินอีกสักนิดแล้วรอโปรลดราคาก็คงจะจัดสักเครื่องมาเอาไว้เล่นเกมเหมือนกันค่ะ
23 Dec 2020
ทำไม!? Marvel’s Avengers เกมฟอร์มยักษ์ที่เปิดตัวอลังการแต่กระแสเกมดันตรงกันข้าม
ถ้าพูดถึงเกมฟอร์มยักษ์!? ในความคิดของเพื่อน ๆ มันจะต้องออกมาแบบไหน สำหรับเกวลินเองมันเริ่มต้นจากเหล่า ๆ อย่างเหมือนกันนะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่จะนำเสนอออกมา, ทีมผู้พัฒนาเกมที่จะสร้างเกมนั้น ๆ และ คอนเทนต์หลังจากที่เกมวางจำหน่ายออกไป ( นี่เป็นแค่ปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ) แต่มันมีอยู่เกม ๆ หนึ่งที่เปิดตัวไปช่วง 3 ปีที่แล้วสร้างความฮือฮาระดับโลกเป็นอย่างมากนั้นก็คือ “The Avengers Project” ที่ทาง Marvel Entertainment ได้ออกมาประกาศว่าเกมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง Square-Enix ที่เนื้อหาจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่และไม่มีความเกี่ยวข้องกับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe   แล้วในช่วงเวลาจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe กำลังมาถึงช่วงปิด Phase 3 ก็จะประกอบไปด้วย Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ที่ตอนนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันก็จึงไม่แปลกเลยที่กระแสของตัว “The Avengers Project” จะได้รับความสนใจจากเกมเมอร์ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเวลาต่อมาในงานมหกรรมเกมโชว์สุดยิ่งใหญ่ E3 2018 ทาง Square-Enix ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการ “Marvel’s Avengers” ซึ่งกระแสตอบรับกลับมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในเวลาเดียวกัน   สาเหตุที่คนไม่ปลื้ม “Marvel’s Avengers” จากตัวอย่างและเกมเพลย์แรกที่ออกมาคงเป็นเรื่องการดีไซน์ตัวละครที่เกวลินเชื่อว่า 70% เขาอยากเห็นการดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ในฉบับคนแสดงมากกว่า อีกทั้งยอมรับตรง ๆ ว่าการดีไซน์ในตัวอย่างแรกไม่ดีเท่าที่ควรจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละคร Thor ที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชุดมันดูตลกซะไม่มีเลย โชคยังดีที่ทางทีมผู้พัฒนา Crystal Dynamics, Eidos-Montréal และ Nixxes ต่างรับฟังความคิดเห็นจากเกมเมอร์แล้วได้นำไปปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นข่าวการอัปเดตของเกมนี้อีกเลย แม้แต่งานเกมใหญ่ ๆ Demo ที่มีการนำมาให้ผู้เล่นได้ทดสอบก็ยังเป็นเวอร์ชั่นจากงาน E3 2018 ทั้งหมดเลย เกวลินยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นหนึ่งในคนที่อวยเกมนี้ตั้งแต่มีการเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีหลายต่อหลายครั้งที่นั่งพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เล่นเกมด้วยกันแล้วมักจะบอกว่า “เราเชื่อว่าเกม Marvel’s Avengers มันจะไปได้ดี” เพื่อน ๆ ของเกวลินมักจะติดภาพจำมาจากเหตุการณ์สมัยที่ Square-Enix พัฒนาเกม Final Fantasy XV ที่เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามันพัฒนาไม่เสร็จทั้งที่ตัวเกมครึ่งแรกทำออกมาดี แต่ช่วงท้ายเหมือนพยายามเร่งให้จบแล้วดูเหมือนเนื้อเรื่องช่วงท้ายสัมผัสถึงการเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ “ตราบาปที่ทำให้เกมเมอร์กลัวประวัตศาสตร์จะซ้ำรอย!” ส่งผลทำให้ทางผู้พัฒนาเกมต้องออกแพทช์เนื้อหาเสริม [DLC] มาภายหลังรวมไปถึงแพทช์แก้ไขตัวเกมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ตัวเกมวางจำหน่ายออกไป แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อตอนแรก Final Fantasy XV วางแผนจะอัปเดตเนื้อหาให้ครบแต่ผู้กำกับคุณ “ฮาจิเมะ ทาบาตะ” ตัดสินใจลาออกจากบริษัททำให้ Square-Enix พับโปรเจกต์ทั้งหมดสร้างความไม่พอใจต่อเกมเมอร์จำนวนมาก แล้วนี่ก็ทำให้เกมเมอร์จำนวนไม่น้อยต่างกลัวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับเกมฟอร์มยักษ์ที่เกมเมอร์ทั่วโลกต่างคาดหวัง” แล้วมันก็ดูเหมือนจะส่อแววมายังเกม Marvel’s Avengers ที่ปัจจุบันตัวเกมกลับมีกระแสในด้านลบอย่างมาก อะไรทำให้เกมฟอร์มยักษ์ในสายตาเกมเมอร์หลาย ๆ คนอย่าง “Marvel’s Avengers” ที่ทาง 3 ทีมพัฒนาเกมที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Square-Enix แล้วก็ผ่านการพัฒนาเกมคุณภาพมามากมาย กลายเป็นเกมที่เกิดคำถามจากเกมเมอร์ว่ามันจะไปรอดไหมในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าพาร์ทเนอร์อย่าง Marvel Entertainment ที่ยังคงมั่นใจว่า “พวกเขาจะนำพาเกมนี้ไปจุดสูงสุดอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ได้” ก็ตาม วันนี้เกวลินก็เลยจะมารวบรวมข้อมูลว่าทำไมเกม Marvel’s Avengers ถึงกลายเป็นเกมที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังเอาไว้กันค่ะ เกมที่มาพร้อมกับความคาดหวังจากเกมเมอร์! เอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะคะที่เกมเมอร์จะคาดหวังเกมนั้น ๆ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด แถมเป็นเกมที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ด้วย มันก็ไม่แปลกเลยที่ “Marvel’s Avengers” จะมีเกมเมอร์จำนวนมากต่างคาดหวังที่เกมมันจะออกในแบบที่พวกเขาต้องการ ( เกวลินก็เป็นหนึ่งในนั้น ) แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมาทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก ๆ ก่อนก็คือ “เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเกม Marvel’s Avengers ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจักรวาลภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe หรือ จักรวาล Marvel Comic” เพราะอันนี้ได้เขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแต่จะอ้างอิงตัวละครจาก Marvel Comic เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าถามเรื่องเนื้อเรื่องและการนำเสนอพวกเขาทำออกมาได้ดีมากเลยนะคะ ( ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ) เรียกว่าเปิดตัวมาก็มีฉากอลังการงานสร้างระเบิดสะพาน ระเบิดเมืองกันเลยทีเดียว! แต่สิ่งที่เกมเมอร์คาดหวังเอาไว้ก็คือเราสามารถเล่นเป็นตัวละครอะไรก็ได้ รวมไปถึงโลกภายในเกมจะต้องเปิดโลกกว้างแล้วมอบอิสระให้กับผู้เล่นเหมือนกับเกม Marvel’s Spider Man จากทีมผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ทำออกมาได้ดี แต่ผลสุดท้ายคือการดำเนินเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรงแล้วถ้าเราต้องการอยากจะออกไปทำเควสต์เสริมก็จะแบ่งจุดเพื่อให้เราไปทำอีกแบบ แล้วสถานที่ก็มักจะอยู่แต่ภายในยานแล้วเวลาจะเริ่มภารกิจเกมก็จะพาผู้เล่นไปจุดดังกล่าวทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้เล่นรู้สึกไม่ประทับใจ รวมไปถึงเควสต์เนื้อเรื่องหลักในตอนแรกที่เกวลินและเพื่อนต่างคาดหวังว่าเราจะสามารถเล่นออนไลน์ร่วมกันได้ สุดท้ายระบบที่นำมาใช้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดก็เลยทำให้ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาจุกจิกกวนใจที่ได้รับการแก้ไขแต่ก็ยังโผล่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตัวเกวลินเองได้เล่นเกม “Marvel’s Avengers” นี้บนแพลตฟอร์ม PC สิ่งที่พบตั้งแต่ Day One ก็คือปัญหาจุกจิกกวนใจเรื่อง Bug ต่าง ๆ ถ้าให้จัดลำดับก็เป็นเกมฟอร์มยักษ์ที่มีปัญหาพวกนี้เยอะใช้ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่กินทรัพยากรเครื่องเกินความจำเป็นอย่างมาก แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นจะเกินจากสเปกที่แนะนำเอาไว้มากก็ตาม พูดเลยว่าวันแรกจะเล่นไปแล้วถ่ายทอดสดลงเฟสบุ๊คไปด้วยลำบากมากเลยค่ะ ดีว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีแพทช์ออกมาแก้ไขเรื่องการกินทรัพยากรลง  แต่มันก็มีปัญหาส่วนอื่น ๆ เข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่เกมนี้จะบังคับให้เราออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าต้องการเล่นเควสต์รองก็จะต้องเข้าไปในโหมด Avengers Initiative ซึ่งเกมนี้ดันวางระบบเอาไว้ว่าถ้าจะเสพย์เนื้อเรื่องอย่างเดียวจะต้องไปเล่นในโหมดเนื้อเรื่องอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนโหมดออนไลน์ก็จะทำแยกออกมาแล้วทั้งสองโหมดก็จะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แล้วถ้าวันไหนที่เซิร์ฟเวอร์เกม หรือ อินเทอร์เน็ตมีปัญหาก็จะทำให้เข้าเกมไม่ได้เลย กลายเป็นระบบที่เหมือนดาบสองคมแล้วเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบในส่วนนี้ด้วย ( เกวลินเองก็ไมชอบนะเอาจริง ๆ เฮ้อ… ) ระบบเกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็น RPG ที่มันออกแบบมาไม่ลงตัว คือต้องบอกว่าเกม “Marvel’s Avengers” ส่วนตัวมีระบบเกมเพลย์ที่น่าสนใจนะคะ เพราะพวกเขาเลือกที่จะให้ตัวเกมมีความเป็นเกม Action ที่เต็มรูปแบบ แล้วนำความเป็นเกม RPG มาผสมผสานกัน ถามว่าทำออกมาดีไหมมันทำออกมาได้ดีระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าคุณอยากจะแข็งแกร่งภายในเกมการที่จะเล่นในโหมดเนื้อเรื่องแล้วให้แข็งแกร่งมันเป็นไปได้ยากมาก แล้วถ้าผู้เล่นต้องการก็ต้องไปโหมดออนไลน์แล้วเล่นเควสต์รองเพื่อฟาร์มเลเวลหรือของจนกว่าตัวเองจะพอใจ ทั้งนี้บางอย่างผู้เล่นจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องหลักไปให้ถึงในจุดต่าง ๆ เพื่อปลดล็อคตัวละครแล้วเข้าถึงเควสต์นั้น ๆ ได้   ฟังดูแล้วเพื่อน ๆ รู้สึกยังไงบ้างคะ!? เกวลินรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ “มันไม่มอบความอิสระให้แก่ผู้เล่นเลย” ตัวเกมออกแบบมาเพื่อบังคับผู้เล่นทำในแบบที่ทีมผู้พัฒนาต้องการ และที่สำคัญมันตลกตรงที่ว่าถ้าเราเล่นโหมดเนื้อเรื่องจบไปแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยจนกว่าเนื้อหาใหม่ ๆ จะอัปเดตเข้ามาในอนาคต หลังจากนั้นถ้าผู้เล่นจะไปไล่เก็บเควสต์รองต้องไปเล่นโหมดออนไลน์ [Avengers Initiative] อย่างเดียวเท่านั้น! แล้วถ้าเราไล่เก็บครบทุกเควสต์ก็จะพบกับฉากจบที่แท้จริง สุดท้ายส่วนตัวเกวลินมองว่าในด้านเกมเพลย์ทำออกมาดีนะคะ แต่ในเนื้อหาเชิงลึกทำออกมาไม่ดีเท่าที่ควร หลายจุดเหมือนยัดนู่น ยัดนี้เข้ามาจนลืมดูความเหมาะสมที่เกมควรจะเป็น คอนเทนต์ที่ถูกปูทางเอามาไว้แล้ว...มันจะช่วยได้จริงไหม!? อย่างที่ทราบกันว่าทาง Marvel Entertainment และ Square-Enix กำลังเตรียมอัปเดตเนื้อหาเสริม [DLC] ตัวแรกเป็นตัวละคร “Kate Bishop” หรือที่รู้จักอีกนามก็คือ “Hawkeye” เธอคือตัวละครใหม่ตัวแรกของเกมนี้ หลังจากที่เลื่อนการอัปเดตมาครั้งหนึ่ง แล้วคนที่จะตามมาก็คือ “Clint Barton” ที่มีกำหนดการณ์อัปเดตในช่วงต้นปี 2021 รวมไปถึงมีข่าวลือหลุดออกมาก่อนหน้านี้ว่ายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่เตรียมอัปเดตรวม ๆ มากกว่า 10 กว่าตัวเลยค่ะ ยังไม่นับเนื้อเรื่องใหม่ที่มีการพัฒนากันอยู่ คำถามก็คือ “คอนเทนต์เหล่านี้จะสามารถกู้หน้าให้เกมนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า!?”   “หนึ่งในตัวละครแรกที่จะอัปเดตในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ” ตอบได้เลยว่าคอนเทนต์พวกนี้จะสามารถกู้หน้าได้ก็ต่อเมื่อการอัปเดตอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทิ้งระยะห่างนานหลายเดือนจนเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเขาคิดว่าอยากจะให้จักรวาลของเกม “Marvel’s Avengers” ไปไกลเหมือนที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรกมันจะกลายเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะไม่เกิดขึ้นจริงแล้วผลที่ได้ก็คือมันจะไปตกอยู่ที่เกมเมอร์ที่ยังคง “ศรัทธา” เกมนี้อยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งตัวเกวลินเองก็ยังคงได้แต่คาดหวังว่าสักวันทีมผู้พัฒนาเกมจะสามารถปรับปรุงเนื้อหาภายในเพื่อให้ตัวเกมดีในแบบที่มันควรจะเป็นมากกว่าปัจจุบันนี้ค่ะ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของตัวเกวลินเท่านั้น ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่ซื้อเกม “Marvel’s Avengers” ไปเล่นในวันแรก ๆ ปัจจุบันก็เลิกเล่นไปแล้วก็ได้แต่เฝ้ารอการอัปเดตคอนเทนต์ต่าง ๆ ในอนาคต รวมไปถึงข่าวที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่าตัวเกมมียอดผู้เล่นที่ลดลงเหลือเพียงแค่หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ทำให้ตอนนี้ Square-Enix ขาดทุนอย่างหนักเพราะยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า แล้วพวกเขาได้ใช้เงินในการลงทุนด้านการตลาดที่สูงมาก แถมปีนี้วงการเกมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เลยทำให้สิ่งที่วางแผนเอาไว้ผิดพลาดไปหมด ก็ต้องมาดูกันว่าในอนาคตเกมฟอร์มยักษ์เกมนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งหรือไม่!
17 Dec 2020
10 สิ่งที่น่ารำคาญในวิดีโอเกม
เกมคือสิ่งที่มอบความสุขและโลกอีกใบให้กับเหล่าเกมเมอร์ที่ชื่นชอบใช่ไหมครับ? แต่เพราะชื่อว่าเกมมันจึงไม่ได้สมบูรณ์แบบถูกใจเราไปในทุกๆ เรื่อง มันอาจจะมีบางเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด รำคาญ หรือหัวอุ่นหัวร้อนเกือบปาจอยปาเมาส์ทิ้งกีนบ้างแหละ! ในวันนี้พวกเรา GameFeverTH ขอพาทุกคนมาพบกับ 10 สิ่งที่น่ารำคาญในวีดีโอเกมกันจะมีอะไรที่เคยพบเจอกันมาบ้างมาดูกันเลย! 1.การเผชิญหน้าแบบสุ่ม ผู้เล่นหมายคนชอบเกมแนวผจญภัยเพราะสามารถสร้างตัวละครที่ชอบพร้อมออกสำรวจโลกขนาดใหญ่ไปกับปาร์ตี้เพื่อนร่วมทีม แต่สิ่งที่หลายๆ คนทั้งรู้สึกสนุกและรำคาญในเวลาเดียวกันนั่นคือ " การเผชิญหน้าแบบสุ่มของเหล่ามอนสเตอร์" เพราะบางครั้งเราไม่ได้ต้องการที่จะต้อสู้อาจจะกำลังหาของ หรือเสพบรรยากาศ แต่พอพวกมศัตรูโผล่มาก็ต้องออกไปสู้ บางทีมากันเยอะๆ ทำเราแตกแทบจะปาจอยทิ้งกันเลยทีเดียว. 2.กำแพงที่มองไม่เห็น การสำรวจโลกเปิดกว้างและสวยงามนั้นเป็นสิ่งที่เกมเมอร์หลายๆ คนใฝ่ฝัน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป บางเกมถ้าเราระดับไม่ถึง หรือไม่ผ่านเงื่อนไขส่งที่เกิดขึ้นคือจะมีอุปสรรคต่างๆ มาขวางเราเช่นรั้วหนา ประตูที่ล็อคอยู่แต่สิ่งที่เจ็บใจที่สุดคือ " กำแพงที่มองไม่เห็น " เพราะว่าลองนึกภาพว่าเป้าหมายของเราอยู่แค่เอื้อมด้านหน้าแต่ไม่สามารถที่จะเดินเข้าไปได้ เพราะบางครั้งนักพัฒนาก็ไม่รู้จะหาอะไรมาขวางเราเพื่อไม่ให้ไปข้างหน้า ก็เลยทำการสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นมาขวางเราแทน. 3.เกมเอาใจผู้เล่น เมื่อผู้เล่นได้ไปประลองความเร็วในเกมแข่งรถด้วยความคิดที่ว่า AI จะต้องโหลดและแข่งกันแบบเมามันส์ แต่มันจะมีบางเกมที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะรถของ AI จะลดความเร็วลงเพื่อให้เรามีโอกาสที่จะแซงและขึ้นนำเป็นที่หนึ่งได้ สิ่งนี้เหมือนเป็นการดูถูกผู้เล่นเล็กน้อยทำให้หลายๆ รู้สึกไม่โอเครกับระบบนี้เอามากๆ .   4.ใบ้ภารกิจอ้อมๆ ผู้เล่นหลายคนชอบเล่นเกมแนว Single-Player เพราะจะช่วยให้เสพบรรยากาศจากเกมได้เต็มที่ แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนหงุดหงิดหัวอุ่นกันมานักต่อนัก นั่นคือ “ ภารกิจที่บอกใบ้เราอ้อมๆ ” บอกโดยการทิ้งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ ซึ่งนั้นจะทำให้เราต้องวิ่งวุ่นไปตรงนู้นทีตรงนั้นที บางคนบอกมันคือสเนห์ของเกมผู้เล่นคนเดียว แต่เล่นวิ่งไปมาหลายชั่วโมงก็ไม่ใช่นะ5555. 5.คัตซีนที่ไม่สามารถข้ามได้ บางเกมนั้นต้องการที่จะให้ผู้เล่นเข้าใจเรื่องราวและเสพอารมณ์ของเกมให้เต็มที่จึงบังคับให้เราต้องดูฉากคัตซีนด้วย ไม่สามารถกดข้ามได้ ซึ่งกรณีนี้หลายๆ คนเข้าใจดี แต่มันมีคัตซีนนึงเรียกว่า คัตซีนเปิดตัวบอสหรือคัตซีนที่เข้าสู่ฉากสำคัญ ถ้าผู้เล่นดันมาตายระหว่างสูักับบอสหรือทำภารกิจอยู่ก็จะต้องย้อนมาดูฉากคัตซีนเหล่านี้เรื่อยๆ ไม่สามมารถข้ามได้ ถ้าตาย 5 รอบ ก็ต้องทนดูซ้ำๆ 5 รอบ ดังนั้นพยายามเคลียร์ให้จบในทีเดียวนะครับ ถ้าไม่อยากนั่งดูฉากเดิมๆ จนตาแฉะ   6.กล้องชวนปวดหัว เกมที่เน้นกราฟฟิกและลูกเล่นมักจะสร้างเกมในรูปแบบ 3D เพื่อให้เกมมีรายละเอียดมีมิติที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาควบคู่กับมาอย่างยาวนานนั่นคือ “ มุมกล้อง “ บางเกมเราต้องปรับมุมกล้องเองแต่หมุนช้ามาก กว่าจะหมุนเสร็จศัตรูก็เข้าถึงตัวแล้ว หรือบางเกมมุมกล้องจะหันให้อัตโนมัติแต่บางทีมันหมุนไปไหนไม่รู้! เช่น กรณีเราติดมุมในแผนที่มุมใดมุมหนึ่ง มุมกล้องจะชอบแกว่งไปมาจนเราโดนศัตรูรุมกระทืบตาย บางทีมุมกล้องมันโฟกัสพื้นเฉยเลย เรียกได้ว่าปัญหาคู่วงการเกมอีกหนึ่งปัญหาที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน.   7.DLC  หลายๆ เกมนั้นมักออกวางจำหน่ายในราคาแพง และเมื่อเราเล่นไปได้ระยะหนึ่งก็มีข่าวว่าเกมที่เราเล่นนั้นจะมี DLC เนื้อเรื่องเสริมจนต้องตั้งคำถามว่า “ สรุปเราซื้อเกมเต็มมาจริงๆ ใช่ไหม ” แต่นั่นยังไม่พอเพราะ DLC เกมส่วนใหญ๋ต้องเสียเงินอีกรอบ! มันน่าหงุดหงิดตรงที่ว่าเรายอมจ่ายแพงเพื่อซื้อเกมซื้อเรื่องราวทั้งหมดแต่นั่นไม่ใช่! นั่นแค่อาหารจารหลักเราต้องควักเงินซื้อของหวานและของทานเล่นอีก! แต่พูดก็พูดเถอะครับ ถึงจะบ่นแบบนี้สุดท้ายเราก็ซื้ออยู่ดี จริง?ไม่จริง5555   8.ปัญหาเกมกระตุกและเฟรมเรทร่วง เวลาเราเล่นเกมอะไรก็ตามจะเป็นแนว MOBA / FPS หรือเกมอื่นๆ จะออฟไลน์หรือออนไลน์ ถ้าุถามว่าความสุขของการเล่นเกมนั้นอยู่ตรงไหน เชื่อว่าหลายคนต้องตอบว่า เล่นเกมได้ลื่นๆ เฟรมเรตคงที่ เพราะหลายคนประสบปัญหาเวลาเกมไม่ลื่นมันจะรู้สึกแปลกๆ และขัดหูขัดตามากๆ ไหนจะภาพวาร์ป กลับมาอีกทีโดยศัตรูฆ่าตาย หรือช้ากว่าคนอื่นสารพัดปัญหา ยิ่งเกมแนว MOBA หรือ FPS ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบอกเลยว่าหัวอุ่นกันมาเยอะแล้ว    9.AI  แค่พูดคำว่า “ AI ” เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยลงเรือลำเดียวกัน ยอมรับว่าบางเกมนั้นทำ AI ออกมาได้ดีและฉลาดสุดๆ แต่บางเกมเหมือนทำส่งๆ ให้มีบทบาท เช่น AI ฝั่งเราเหมือนจะดีมาช่วนเราสู้ แต่ดันวิ่งไปให้เขายิงตาย / AI ศัตรูวิ่งมาให้เรายิงแบบเหมือนมาโยนเกม555 และที่ขัดใจสุดคือ AI ที่เราต้องคุ้มกัน บางครั้งศัตรูข้างหน้าเรายังจัดการไม่หมด AI ก็ดันวิ่งผ่าไปและโดนยิงตาย ภารกิจล้มเหลวต้องเริ่มใหม่ทำเอาหัวร้อนกันเลยทีเดียว   10.โหลดนาน ( เกินไป ) ปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่ยุคก่อนๆ แล้วและยังคงเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ( แต่ส่วนใหญ่จะดีขึ้นแล้ว ) “ เวลาโหลดเกมนาน ” ในสมัยก่อนถ้าเอามาเทียบ ไม่แน่ว่าเวลารอเกมโหลดกับเวลาเล่นนั้นน่าจะมีอัตราส่วนของเวลาเท่าๆ กันเลย ซึ่งปัญหานี้ที่ยังพบเจอเพราะมันเป็นการช่วยแบ่งเบาความจำของเกมให้ทำงานไม่หนักเกินไป จึงต้องมีการโหลดด้วยหลายๆ สาเหตุนั่นคือ ไปยังพื้นที่ถัดไป / ระดับใหม่ๆ / ตัดคัตซีน / ย้ายไปอีกสถานที่หนึ่ง หรือเวลาเราตายระบบจะโหลดเราย้อนกลับไปยังจุดเช็ตพอยด์ แต่นั่นจะไม่ใช่ปัญหาถ้ามันโหลดไว เพราะผมเคยรอโหลดนานสุด 30 นาที แล้วคนอื่นๆ ละครับรอนานสุดแค่ไหน.
30 Nov 2020
แนะนำ 3 สมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” แบรนด์ดังที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยตอนนี้
ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีทองของมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” เพราะแบรนด์มือถือชื่อเสียงหลายเจ้าถือได้ว่าตีตลาดหนักเป็นอย่างมาก ทำให้เกมเมอร์ที่ต้องการมือถือเอาไว้เล่นเกมโดยเฉพาะมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น แถมเราไม่ต้องซื้อเครื่องหิ้วเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้เกวลินเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเกมมิ่งโฟนที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทยกันค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าทุกรุ่นเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปทั้งหมดเลย จะแตกต่างก็ประสิทธิภาพ, ลูกเล่นแต่ละแบรนด์ แล้วก็ราคา เมื่อพร้อมกันแล้วไปดูกันเลยค่ะ รุ่นแรกที่เกวลินขอแนะนำก็คือ “ASUS ROG Phone 3” จะเรียกว่าเป็นสุดยอดเกมมิ่งโฟนอันดับต้น ๆ ที่มีขุนพลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” ที่ทาง ASUS ยังได้ดันประสิทธิภาพด้วยการ OC ตัวชิปเซ็ต CPU และ GPU ให้มีความเร็วมากกว่าเกมมิ่งโฟนแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด แล้วความพิเศษของรุ่นนี้ก็คือมีการแถมตัวระบายความร้อนรุ่นใหม่อย่าง “GameCool 3” ที่ทำให้เราสามารถเล่นเกมได้ตลอดทั้งวันไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะร้อนมือ แล้วด้วยความที่เป็น ASUS ก็มีการดีไซน์ตัวเครื่องในส่วนต่าง ๆ เช่น มีตัวรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แม่นยำ, ตัวรับเสียงพูดของผู้ใช้งาน, เพิ่มปุ่ม AirTriggers 3 เข้ามาด้านข้างเครื่องเพื่อใช้ในการเล่นเกมประเภท FPS ได้ดีมากกว่าเดิม, ลำโพงที่จัดมาให้เต็ม ๆ รวมไปถึงเรายังสามารถที่จะชาร์จขนาดเล่นพร้อมเชื่อมต่อในการถ่ายทอดสดได้อีกด้วย ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ASUS ยังได้ออกแบบอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ออกมาเพียบเลย สุดท้ายนี้ก็ยังสามารถรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วยค่ะ สเปกเครื่อง ASUS ROG Phone 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย ROG UI หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.59 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ ที่รองรับการแสดงผลในรูปแบบ HDR10+ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz แถมที่มีค่าดีเลยเพียงแค่ 1ms เท่านั้น รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus และ Snapdragon 865 สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. สำหรับรุ่น ROG Phone 3 Strix Edition และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1 ( ไม่สามารถเพิ่มความจุได้ ) กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682], เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP, เลนส์ Macro ความละเอียดสูงถึง 5MP กล้องหน้า: ความละเอียด 24MP การเชื่อมต่อ: WiFi 802.11 a/b/g/n/ac/ax Bluetooth 5.1, USB-C 3.1 กับ ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ระบบเสียง: เป็นระบบเสียง DTS X Sound เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ แบตเตอรี่: 6,000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สำหรับ ASUS ROG Phone 3 วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันค่ะ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกันมีดังต่อไปนี้ค่ะ ASUS ROG Phone 3 ในรุ่น Ram 12GB. และ Rom 512GB. สนนราคาอยู่ที่ 32,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ASUS ROG Phone 3 Strix Edition ในรุ่น Ram 8GB. และ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 24,990 บาท ภายในกล่องแถมตัวระบายความร้อน AeroActive Cooler 3 มาให้ด้วย ROG Phone 3 Lighting Armor Case - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Clip - ราคาอยู่ที่ 1,990 บาท ROG Kunai 3 Gamepad - ราคาอยู่ที่ 3,990 บาท TwinView Dock 3 - ราคาอยู่ที่ 7,990 บาท โดย ASUS ROG Phone 3 สามารถหาซื้อได้ทั้ง ASUS Exclusive Store, ASUS Official Store ผ่านช่องทาง Shopee กับ lazada นอกจากนี้ยังสามารถซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ที่มีโปรโมชั่นลดราคาในแพ็คเกจพิเศษแล้วก็ยังสามารถสั่งซื้อผ่านร้านค้าชื่อดังทั้ง JIB Computer หรือ Banana ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกันค่ะ ใครที่อยากจะได้สุดยอดเกมมิ่งโฟนห้ามพลาดเลยค่ะ! รุ่นต่อมาพึ่งประกาศวางจำหน่ายในบ้านเราแบบสด ๆ ร้อน ๆ กันเลยกับ “Legion Phone Duel” จากแบรนด์ Lenovo ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของ ASUS ROG Phone 3 เลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โดย Legion Phone Duel ก็ถูกจัดอยู่ในสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่ใช้ซิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง “Snapdragon 865 Plus” เหมือนกัน แล้วจุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ตรงที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับเกมที่เล่นแบบแนวนอนเป็นหลัก ( ส่วนใหญ่เกมก็มักจะเป็นแนว ๆ นี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ ) ที่น่าสนใจอีกข้อก็คือมีการปรับปรุงปุ่ม Trigger ทั้งซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่แม่นยำขึ้น ใครที่ชอบเล่นเกมแนว FPS หรือ บางคนจะนำไปใช้กับเกมแนว MOBA ก็ได้เหมือนกันค่ะ โดยสองปุ่มนี้จะเป็นปุ่มที่เพิ่มคำสั่งต่าง ๆ ภายในเกมขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้เล่นต้องการตั้งค่าเพื่อให้ใช้งานรูปแบบไหน ที่เด็ดสุดก็คือทาง Lenovo ได้ออกแบบระบบสั่นเป็นมอเตอร์คู่อยู่ฝั่งซ้าย กับ ขวาของตัวเครื่องที่จะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมบนมือถือแบบใหม่ซะด้วยค่ะ เช่นเดียวกันค่ะ รุ่นนี้ก็รองรับเทคโนโลยี 5G ด้วยเช่นกันค่ะ สเปกเครื่อง Legion Phone Duel ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Legion OS และ ZUI12 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.65 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 144Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz รวมไปถึงตัวหน้าจอยังเป็น Corning Gorilla Glass 6  CPU: Snapdragon 865 Plus  GPU: Adreno 650 RAM: 12GB. และ 16GB. เป็นรูปแบบ LPDDR5 ความจุ: 256GB. และ 512GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.1  กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.89, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 16MP กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.2 เป็นรูปแบบป๊อปอัพด้านข้าง การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, มี USB-C ถึง 2 ช่องส่งผลทำให้เราสามารถที่จะชาร์จแบตเตอรี่ไปพร้อมกับเล่นเกมไปด้วย ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และ มีระบบระบายความร้อนแบบ Dual-Liquid และ Mid-Thermal แบตเตอรี่: 5,000 mAh ที่ทาง Lenovo ออกแบบมาให้เป็น 2 ส่วนคือข้างละ 2,500 mAh เหตุผลก็เพราะเพื่อลดความร้อนระหว่างการชาร์จแบตเตอรี่ หรือ ลดความร้อนจากการที่เครื่องทำงานอย่างหนัก แล้วเด็ดที่สุดคือรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 90 วัตต์ที่เครมกันว่าสามารถชาร์จจาก 0 ไป 100% ในระยะเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น! โดย Legion Phone Duel วางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นแรกมี Ram 12GB. แล้วก็ Rom 256GB. ราคาอยู่ที่ 23,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีน้ำเงินเท่านั้น และ รุ่นต่อมา Ram 16GB. แล้วก็ Rom 512GB. ราคาอยู่ที่ 30,990 บาท ที่ตัวเครื่องจะมีแค่สีแดงเท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่อยากจะได้ในแพ็คเกจราคาพิเศษก็ซื้อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือชื่อดังอย่าง “AIS” ได้เลยค่ะ เพราะราคาถูกมาก ๆ เลย แล้วถ้าใครที่ใช้เบอร์ของ AIS มานานก็จะได้รับสิทธิ์ในการลดราคาเพิ่มเติมอีกด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกเหนือจากนี้ยังมีการวางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น ๆ อาทิเช่น IT City, JD.co.th, JIB Computer, Speed Computer, Banana และ BlueShop เป็นต้นค่ะ มาถึงอีกหนึ่งรุ่นที่เริ่มตีตลาดในบ้านเราได้ราว ๆ 2 ปีแล้วค่ะ กับ “Black Shark 3, Black Shark 3 Pro หรือ Black Shark 3S” หนึ่งในแบรนด์ลูกของ Xiaomi ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับจากเกมเมอร์เป็นอย่างดีเลยค่ะ เห็นชื่อแบรนด์หลายคนก็คงจะทราบเลยว่ามันคือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดา 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้เลยค่ะ แต่ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างนั้นนะคะ โดยต้องอธิบายก่อนว่าปัจจุบันทาง Xiaomi มีแค่ 2 รุ่นที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราก็คือ Black Shark 2 กับ Black Shark 3 ส่วน Black Shark 3 Pro กับ Black Shark 3S ที่เป็นรุ่นอัปเกรดเพิ่มประสิทธิภาพยังไม่มีตารางการนำเข้ามาวางจำหน่าย สำหรับ Black Shark 3 ทาง Xiaomi เลือกใช้ชิปเซ็ต “Snapdragon 865” แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่ได้แตกต่างจากชิปเซ็ตตัวท็อป “Snapdragon 865 Plus” ก็ตาม แต่ตัวนี้ก็สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G และ Wi-Fi 6 ได้ด้วย มีการดีไซน์มีปุ่ม Shoulder Button ที่อยู่ทางซ้าย และ ขวาของตัวเครื่องเหมือนกับ 2 แบรนด์ก่อนหน้านี้ค่ะ ความเก๋ของมันก็คือเมื่อเวลาเล่นเกมปุ่มนี้จะเด้งขึ้นมาเพื่อให้ใช้งาน แต่เมื่อใดที่เราใช้งานแบบปกติมันก็จะกลับไปอยู่ในสภาพตามปกติค่ะ อีกทั้งยังเครมอีกว่ามันทนต่อแรงกด และ การหดตัวเวลาเก็บได้ถึง 300,000 ครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ นอกจากนี้ Black Shark 3 ยังมีลำโพงคู่ในรูปแบบระบบสเตริโอ รวมไปถึงยังรองรับระบบเสียงแบบ Hi-Res อีกด้วยค่ะ เท่านั้นยังไม่พอใครที่ใช้ชอบหูฟังที่เป็นรูปแบบ 3.5 มม. รุ่นนี้ก็กลับมาให้เราได้ใช้งานกันอีกครั้ง แถมตัวนี้ยังมีการชาร์จแบบแม่เหล็กที่แตะด้านหลังเครื่องได้ด้วย รวมไปถึงยัง สเปกเครื่อง Black Shark 3 ระบบปฏิบัติการ: Android 10 ครอบทับด้วย Joy UI 11 หน้าจอการแสดงผล: หน้าขอมีขนาด 6.67 นิ้วเป็นรูปแบบ AMOLED ที่มีความละเอียด Full HD+ รองรับ รีเฟรชเรทสามารถดันได้สูงสุด 90Hz ที่มีการตอบสนองการสัมผัสหน้าจอที่ 240Hz  CPU: Snapdragon 865 GPU: Adreno 650 RAM: 8GB. และ 12GB. เป็นรูปแบบ LPDDR4x ความจุ: 125GB. และ 256GB. เป็นรูปแบบ UFS 3.0 กล้องหลัง: กล้องหลักความละเอียด 64MP [เป็นเซ็นเซอร์ของ Sony IMX682] ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/1.8, เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 13MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.3 และ เลนส์ Depth ความละเอียด 5MP ค่ารูรับแสงอยู่ที่ f/2.2  กล้องหน้า: ความละเอียด 20MP ค่ารูรับแสง f/2.0 การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, USB-C ระบบเสียง: ลำโพงคู่ระบบเสียงสเตริโอ เซ็นเซอร์: ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แบตเตอรี่: 4,720 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วสูงถึง 65 วัตต์ การชาร์จแบบแม่เหล็กด้านหลังเครื่อง 18 วัตต์ สำหรับ Black Shark 3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่านช่องทาง Black Shark Official Store แพลตฟอร์ม lazada เท่านั้น! โดยสนนราคาอยู่ที่ 21,900 บาท ก็จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นระยะ ๆ ซึ่งในตอนที่เขียนบทความนี้ลดราคาเหลืออยู่ที่ 18,990 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ( คลิกที่นี่ ) นอกจากนี้ทาง Xiaomi ยังจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ Black Shark 3 เพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเคส, พัดลมระบายความร้อน, หูฟัง, คีย์บอร์ดมือถือ หรือ คอนโทรลเลอร์ เป็นต้น ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้ที่ ( คลิกที่นี่ )  นี่คือมือถือสมาร์ทโฟนประเภท “เกมมิ่งโฟน” ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ไม่นับแบรนด์อื่น ๆ ที่วางจำหน่ายแล้วมีร้านค้าที่หิ้วนำเข้ามาขายในบ้านเรานะคะ ซึ่ง 3 แบรนด์นี้เกมเมอร์สามารถซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการประกันจากผู้ผลิต หรือใครที่ต้องการอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็สามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เลย งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเพื่อน ๆ ว่าอยากจะซื้อแบรนด์ไหนมาใช้งานกัน เพราะแต่ละรุ่นก็มีลูกเล่น, ประสิทธิภาพ แล้วก็ราคาที่แตกต่างกันออกไป เรียกว่าจะไปให้สุดแล้วหยุดที่สุดยอด หรือ จะเลือกประหยัดแต่ก็เล่นเกมได้เหมือนกันอยู่ที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจเลยค่ะ แล้วพบกันใหม่กับบทความหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ!
12 Nov 2020