แม้เกมในตำนานอย่าง Devil May Cry 5 จะพกเซอร์ไพรส์มาเอาใจแฟนๆ มากมายในงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งการเปิดตัวอาวุธอย่าง Rock Buster และเทรลเลอร์ใหม่ที่เผยโฉมทั้งเกมเพลย์ของ Dante ทั้งตัวละครใหม่ ทั้งการกลับมาของสาวๆ อย่าง Trish และ Lady แต่ในส่วนของเดโมที่มีให้เล่นนั้นออกจะน้อยหน้าเกมอื่นๆ ไปหน่อย เนื่องจากใช้เดโมตัวเดียวกับงาน Gamescom เมื่อเดือนที่แล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=nmZdyeCRgus
เดโมตัวนี้เป็นฉากสั้นๆ ที่แนะนำระบบการต่อสู้ ด้วยการให้เราต่อสู้กับปีศาจลูกสมุนตามฉาก ก่อนที่จะพาเราไปปะทะกับบอสขนาดยักษ์นามว่า Goliath ซึ่งทางผู้พัฒนาบอกว่าเป็นความพยายามในการนำประสบการณ์การต่อสู้กับบอส Berial กลับมา แต่ยกระดับขึ้นไปอีก ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ
ใครที่ได้เคยดูเกมเพลย์จากงาน Gamescom ไปแล้วอาจข้ามพรีวิวนี้ไปเลยก็ได้ เพราะพรีวิวนี้ไม่มีอะไรใหม่ในแง่ของสิ่งที่แฟนๆ เกมควรรู้ เนื่องจากเป็นเดโมตัวเดิม ซึ่งหลายๆ คนคงรีบดูทันทีที่มีคลิปออกมาให้ชม หรือหากเพิ่งเคยเห็นจากคลิปด้านบน การดูวิดีโอก็น่าจะเป็นทางเลือกให้เห็นภาพได้ชัดเจนกว่า แต่สิ่งที่ผมจะทำในพรีวิวต่อไปนี้คือการเล่าความรู้สึกในฐานะเกมเมอร์ชาวไทยคนหนึ่งที่ตามเล่นเกมในซีรีส์มาทุกภาคและได้มีโอกาสต่อแถวเข้าคิวเพื่อเล่นเดโมเกมในตำนานเกมนี้
สิ่งแรกที่ได้พบเมื่อเปิดเข้าเล่นเดโมก็คือกราฟิกของเกมที่ต้องเรียกได้ว่าไม่ได้น่าประใจเป็นพิเศษในเรื่องของความสวยงาม ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ากราฟิกไม่สวย นี่คือ Devil May Cry ที่พัฒนากราฟิกขึ้นกว่าทุกภาค แต่เป็นเพราะซีรีส์นี้ก็ไม่ได้เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องกราฟิกอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว เกมในซีรีส์นี้มักจะทำกราฟิกได้สวยตามมาตรฐานของเกมในยุคนั้น แต่ไม่ได้เด่นกว่าเกมอื่นอย่างชัดเจน ความรู้สึกว้าวที่เกิดขึ้นในเรื่องของกราฟิกจึงเกิดขึ้นแค่เพียงตอนเห็นภาพจากเกมครั้งแรก พอได้สัมผัสเกมจริงๆ หลังจากที่ติดตามข่าวมาตลอดจึงไม่ได้ประทับใจอะไรมาก
แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร โดยเฉพาะในฉากคัตซีนที่ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสีหน้าของคนจริงๆ ซึ่งตลอดที่เล่นซีรีส์นี้มาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน พอบวกเข้ากับบทของเกมที่เขียนให้ Nero เป็นคนกวนๆ เลยทำให้การกวนบาทาปีศาจในครั้งนี้ออกมาสะใจได้อารมณ์มากๆ จนถึงกับอมยิ้มออกมา น่าสนใจว่าพอเอาไปปรับใช้กับตัวละครอย่างพวกปีศาจแล้วจะทำได้น่าสนใจมากแค่ไหน
ด้านระบบการเล่นต้องเรียกได้ว่าสนุกเหมือนเดิม เกมยังคงมีระบบการเล่นที่ฉับไว สามารถต่อคอมโบได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งเกมให้ความรู้สึกว่าเป็นเกมที่ไวกว่าภาคก่อนๆ อาจจะไม่ได้ไวกว่าภาค DMC: Devil May Cry มาก แต่ไวกว่าภาค 1-4 มากแน่นอน
สิ่งที่น่าสนใจคือแขนกล Devil Breaker ของ Nero จะเป็นไอเท็มที่มีให้เก็บทั่วไปตามฉาก ที่เป็นแบบนี้เพราะแขนกลสามารถแตกได้เมื่อใช้ถึงจุดหนึ่ง จริงๆ แล้วผมเองเพิ่งสังเกตจุดนี้ตอนได้เล่นเดโมด้วยตัวเอง ถ้าได้รู้มาก่อนหน้านี้คงรู้สึกผิดหวังที่เกมมีอาวุธที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการทำแบบนี้ทำให้เราไม่ได้ใช้อาวุธที่เราชอบจริงๆ เพราะอยากเก็บเอาไว้ใช้กับบอสยากๆ มากกว่า แต่พอได้ลองจริงๆ ก็พบว่าเกมค่อนข้างทำได้อย่างลงตัว พอแขนกลพังก็เลยบังคับให้เราได้ลองแขนใหม่ๆ ลองใช้ท่าใหม่ๆ อย่างเช่นแขนที่แปลงเป็นจรวดได้ ซึ่งตอนที่เห็นในเทรลเลอร์ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แต่พอได้ใช้จริงๆ นี่กลายเป็นแขนที่ชอบที่สุดไปเลย
ผมเข้าใจว่าสำหรับหลายๆ คนแล้ว เกมที่มีระบบต่อสู้ที่ดีคือเกมที่ออกแบบมาให้เราต้องฝึกกดปุ่ม ฝึกจับจังหวะอย่างดี ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ยังเป็นคนที่สนุกกับเกมที่กดปุ่มมั่วๆ แล้วดันทำคอมโบเท่ๆ ทำท่าเท่ๆ ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกมรู้สึกง่ายเกินไป การต่อสู้กับบอสยักษ์ Goliath ของผมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเท่าที่ลองดูคนอื่นๆ เล่นในระหว่างต่อแถว บอสตัวนี้ดูไม่น่าจะต่อกรได้ง่ายๆ เลย มีเพียงไม่กี่คนที่เล่นจนชนะบอสได้ คนส่วนใหญ่ต้องวางจอยก่อนจะออกจากบูธไปเพราะเกมในเวอร์ชันเดโมไม่มี Continue ต้องกลับไปเล่นใหม่ตั้งแต่แรกอย่างเดียวเท่านั้นหากพลาดพลั้งตายไป ซึ่งเวลาที่เล่นได้แต่ละรอบมีไม่พอให้เล่นจนถึงบอสอีกรอบ
แต่พอรู้ตัวอีกทีผมกลับพา Nero ขี่แขนจรวดของตัวเองไต่หลังบอส พาหลอดเลือดของบอสลดฮวบไปกว่าครึ่ง ในขณะที่พลังของตัวเองยังอยู่เกือบเต็มหลอด โดยที่มีตัวอักษรสีทองแสดงคอมโบระดับ SSS อยู่ข้างๆ พร้อมกับความรู้สึกในใจว่ากูชนะแน่ๆ ผสมกับความรู้สึกว่านี่กูทำไปได้ยังไงวะเนี่ย ก่อนที่พริบตาถัดมากลับต้องพาตัวเองออกจากบูธก่อนเวลาอันควรเพราะดันโดนบอสตบตาย ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นกันอยู่...
เอาเป็นว่า Devil May Cry 5 สอบผ่านในเรื่องความสนุกของระบบการเล่นอีกครั้งในภาคนี้
จริงๆ แล้วด้วยความที่ต้องเขียนรีวิวเกมด้วย ทำให้หลายๆ ครั้งแม้จะเล่นเดโมเกมก็เลยอดให้คะแนนเกมไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเดโมก็ตาม ซึ่งต้องบอกเลยว่าการกลับมาของ Devil May Cry 5 ในครั้งนี้ยังไม่ได้สร้างความผิดหวังให้สักอย่าง มีแต่จะเพิ่มคะแนนให้ตลอดเวลาเมื่อมีการประกาศข่าวเซอร์ไพรส์ในแต่ละครั้ง และการที่ Capcom ยอมให้บอสยักษ์อย่าง Goliath มาเป็นบอสให้สู้ในเดโม แสดงว่าบอสที่เหลือจะต้องเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้มากๆ แน่ๆ เมื่อเกมออกมาจริงๆ คงให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 9 คะแนน (เต็ม 10) ยกเว้นว่าทีมงานจะหาทางมาทำอะไรให้เกมแย่ลง ซึ่งน่าจะเป็นงานที่ยากเอาการ
แม้เกมในตำนานอย่าง Devil May Cry 5 จะพกเซอร์ไพรส์มาเอาใจแฟนๆ มากมายในงาน Tokyo Game Show 2018 ทั้งการเปิดตัวอาวุธอย่าง Rock Buster และเทรลเลอร์ใหม่ที่เผยโฉมทั้งเกมเพลย์ของ Dante ทั้งตัวละครใหม่ ทั้งการกลับมาของสาวๆ อย่าง Trish และ Lady แต่ในส่วนของเดโมที่มีให้เล่นนั้นออกจะน้อยหน้าเกมอื่นๆ ไปหน่อย เนื่องจากใช้เดโมตัวเดียวกับงาน Gamescom เมื่อเดือนที่แล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=nmZdyeCRgus
เดโมตัวนี้เป็นฉากสั้นๆ ที่แนะนำระบบการต่อสู้ ด้วยการให้เราต่อสู้กับปีศาจลูกสมุนตามฉาก ก่อนที่จะพาเราไปปะทะกับบอสขนาดยักษ์นามว่า Goliath ซึ่งทางผู้พัฒนาบอกว่าเป็นความพยายามในการนำประสบการณ์การต่อสู้กับบอส Berial กลับมา แต่ยกระดับขึ้นไปอีก ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ
ใครที่ได้เคยดูเกมเพลย์จากงาน Gamescom ไปแล้วอาจข้ามพรีวิวนี้ไปเลยก็ได้ เพราะพรีวิวนี้ไม่มีอะไรใหม่ในแง่ของสิ่งที่แฟนๆ เกมควรรู้ เนื่องจากเป็นเดโมตัวเดิม ซึ่งหลายๆ คนคงรีบดูทันทีที่มีคลิปออกมาให้ชม หรือหากเพิ่งเคยเห็นจากคลิปด้านบน การดูวิดีโอก็น่าจะเป็นทางเลือกให้เห็นภาพได้ชัดเจนกว่า แต่สิ่งที่ผมจะทำในพรีวิวต่อไปนี้คือการเล่าความรู้สึกในฐานะเกมเมอร์ชาวไทยคนหนึ่งที่ตามเล่นเกมในซีรีส์มาทุกภาคและได้มีโอกาสต่อแถวเข้าคิวเพื่อเล่นเดโมเกมในตำนานเกมนี้
สิ่งแรกที่ได้พบเมื่อเปิดเข้าเล่นเดโมก็คือกราฟิกของเกมที่ต้องเรียกได้ว่าไม่ได้น่าประใจเป็นพิเศษในเรื่องของความสวยงาม ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ากราฟิกไม่สวย นี่คือ Devil May Cry ที่พัฒนากราฟิกขึ้นกว่าทุกภาค แต่เป็นเพราะซีรีส์นี้ก็ไม่ได้เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องกราฟิกอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว เกมในซีรีส์นี้มักจะทำกราฟิกได้สวยตามมาตรฐานของเกมในยุคนั้น แต่ไม่ได้เด่นกว่าเกมอื่นอย่างชัดเจน ความรู้สึกว้าวที่เกิดขึ้นในเรื่องของกราฟิกจึงเกิดขึ้นแค่เพียงตอนเห็นภาพจากเกมครั้งแรก พอได้สัมผัสเกมจริงๆ หลังจากที่ติดตามข่าวมาตลอดจึงไม่ได้ประทับใจอะไรมาก
แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือสีหน้าท่าทางของตัวละคร โดยเฉพาะในฉากคัตซีนที่ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นสีหน้าของคนจริงๆ ซึ่งตลอดที่เล่นซีรีส์นี้มาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน พอบวกเข้ากับบทของเกมที่เขียนให้ Nero เป็นคนกวนๆ เลยทำให้การกวนบาทาปีศาจในครั้งนี้ออกมาสะใจได้อารมณ์มากๆ จนถึงกับอมยิ้มออกมา น่าสนใจว่าพอเอาไปปรับใช้กับตัวละครอย่างพวกปีศาจแล้วจะทำได้น่าสนใจมากแค่ไหน
ด้านระบบการเล่นต้องเรียกได้ว่าสนุกเหมือนเดิม เกมยังคงมีระบบการเล่นที่ฉับไว สามารถต่อคอมโบได้อย่างไม่มีสะดุด ซึ่งเกมให้ความรู้สึกว่าเป็นเกมที่ไวกว่าภาคก่อนๆ อาจจะไม่ได้ไวกว่าภาค DMC: Devil May Cry มาก แต่ไวกว่าภาค 1-4 มากแน่นอน
สิ่งที่น่าสนใจคือแขนกล Devil Breaker ของ Nero จะเป็นไอเท็มที่มีให้เก็บทั่วไปตามฉาก ที่เป็นแบบนี้เพราะแขนกลสามารถแตกได้เมื่อใช้ถึงจุดหนึ่ง จริงๆ แล้วผมเองเพิ่งสังเกตจุดนี้ตอนได้เล่นเดโมด้วยตัวเอง ถ้าได้รู้มาก่อนหน้านี้คงรู้สึกผิดหวังที่เกมมีอาวุธที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาการทำแบบนี้ทำให้เราไม่ได้ใช้อาวุธที่เราชอบจริงๆ เพราะอยากเก็บเอาไว้ใช้กับบอสยากๆ มากกว่า แต่พอได้ลองจริงๆ ก็พบว่าเกมค่อนข้างทำได้อย่างลงตัว พอแขนกลพังก็เลยบังคับให้เราได้ลองแขนใหม่ๆ ลองใช้ท่าใหม่ๆ อย่างเช่นแขนที่แปลงเป็นจรวดได้ ซึ่งตอนที่เห็นในเทรลเลอร์ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แต่พอได้ใช้จริงๆ นี่กลายเป็นแขนที่ชอบที่สุดไปเลย
ผมเข้าใจว่าสำหรับหลายๆ คนแล้ว เกมที่มีระบบต่อสู้ที่ดีคือเกมที่ออกแบบมาให้เราต้องฝึกกดปุ่ม ฝึกจับจังหวะอย่างดี ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ยังเป็นคนที่สนุกกับเกมที่กดปุ่มมั่วๆ แล้วดันทำคอมโบเท่ๆ ทำท่าเท่ๆ ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกมรู้สึกง่ายเกินไป การต่อสู้กับบอสยักษ์ Goliath ของผมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเท่าที่ลองดูคนอื่นๆ เล่นในระหว่างต่อแถว บอสตัวนี้ดูไม่น่าจะต่อกรได้ง่ายๆ เลย มีเพียงไม่กี่คนที่เล่นจนชนะบอสได้ คนส่วนใหญ่ต้องวางจอยก่อนจะออกจากบูธไปเพราะเกมในเวอร์ชันเดโมไม่มี Continue ต้องกลับไปเล่นใหม่ตั้งแต่แรกอย่างเดียวเท่านั้นหากพลาดพลั้งตายไป ซึ่งเวลาที่เล่นได้แต่ละรอบมีไม่พอให้เล่นจนถึงบอสอีกรอบ
แต่พอรู้ตัวอีกทีผมกลับพา Nero ขี่แขนจรวดของตัวเองไต่หลังบอส พาหลอดเลือดของบอสลดฮวบไปกว่าครึ่ง ในขณะที่พลังของตัวเองยังอยู่เกือบเต็มหลอด โดยที่มีตัวอักษรสีทองแสดงคอมโบระดับ SSS อยู่ข้างๆ พร้อมกับความรู้สึกในใจว่ากูชนะแน่ๆ ผสมกับความรู้สึกว่านี่กูทำไปได้ยังไงวะเนี่ย ก่อนที่พริบตาถัดมากลับต้องพาตัวเองออกจากบูธก่อนเวลาอันควรเพราะดันโดนบอสตบตาย ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเล่นกันอยู่...
เอาเป็นว่า Devil May Cry 5 สอบผ่านในเรื่องความสนุกของระบบการเล่นอีกครั้งในภาคนี้
จริงๆ แล้วด้วยความที่ต้องเขียนรีวิวเกมด้วย ทำให้หลายๆ ครั้งแม้จะเล่นเดโมเกมก็เลยอดให้คะแนนเกมไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเดโมก็ตาม ซึ่งต้องบอกเลยว่าการกลับมาของ Devil May Cry 5 ในครั้งนี้ยังไม่ได้สร้างความผิดหวังให้สักอย่าง มีแต่จะเพิ่มคะแนนให้ตลอดเวลาเมื่อมีการประกาศข่าวเซอร์ไพรส์ในแต่ละครั้ง และการที่ Capcom ยอมให้บอสยักษ์อย่าง Goliath มาเป็นบอสให้สู้ในเดโม แสดงว่าบอสที่เหลือจะต้องเป็นอะไรที่เจ๋งกว่านี้มากๆ แน่ๆ เมื่อเกมออกมาจริงๆ คงให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 9 คะแนน (เต็ม 10) ยกเว้นว่าทีมงานจะหาทางมาทำอะไรให้เกมแย่ลง ซึ่งน่าจะเป็นงานที่ยากเอาการ