Dark Souls ตำนานเนื้อเรื่องบทที่ 14 ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์
สวัสดีครับ! กระผมยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ โดยในบทนี้พวกเราจะมาดูกันว่าหลังจาก Bells of Awakening ทั้งสองใบถูกลั่นระฆัง เพื่อให้ประตูของ Sens Fortress อันเป็นด่านหน้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออก… เอาละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กระผมก็ขอนำทุกท่านเข้าสู่บทความ Lore และตำนานภายในเกม Dark Souls บทที่สิบสี่ “ป้อมปราการแห่งดินเเดนเทพเจ้า กับดวงจิตอันไม่เที่ยงของมนุษย์”
( ภาพประกอบ : ปากทางสู่เมืองหลวง Anor Londo เเห่งเหล่าเทพเจ้า เเต่มันช่างดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง เสียจนเเม้เเต่เเสงสว่าง ก็มิอาจส่องเข้าไปถึงข้างในได้ )
< ลิงค์บทความก่อนหน้า >
บทที่หนึ่ง l บทที่สอง l บทที่สาม l บทที่สี่
บทที่ห้า l บทที่หก l บทที่เจ็ด l บทที่เเปด
บทที่เก้า l บทที่สิบ l บทที่สิบเอ็ด l บทที่สิบสอง
บทที่สิบสาม
เริ่มบททดสอบ
Undead นิรนามลุกพรวดตื่นขึ้นจากการสลบไสล และได้พบว่าตนเองเดินทางมาถึงยัง Firelink Shrine ตั้งเเต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้ เขาจำได้เเต่เพียงความฝันประหลาดว่าตนได้สังหารเหล่าอสูรแห่ง Izalith ไปนับถ้วนอย่างโหดเหี้ยม... แต่ทันก่อนที่เขาจะนึกอะไรออก จู่ ๆ ก็มีเสียงของเจ้าจอมเวทย์น้อย Griggs และพ่อมดเพลิง Laurentius กล่าวทักทายขึ้น เหล่าคนจรทั้งสองต่างกล่าวว่าเมื่อหลายวันก่อนได้มีเสียงระฆังดังขึ้นมาจากหุบเหวลึกเบื้องล่าง พวกตนจึงสามารถอนุมานได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นพระเอกของเราอย่างแน่นอน
Undead นิรนามเริ่มออกมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่า Bonfire ที่เคยสุกสว่างโชติอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับดับสนิทลงอย่างน่าประหลาดใจ เจ้า Griggs จึงได้เล่าว่าหลังจากเสียงระฆังใบที่สองเริ่มดังขึ้น บนโลกเบื้องบนก็ได้เกิดเรื่องปั่นป่วนต่าง ๆ นา ๆ ขึ้นมากมาย
โดยเรื่องแรกก็คือเจ้า Lautrec ที่จู่ ๆ มันก็ดันลงมือฆ่าแม่นาง Anastacia และเก็บเอาดวงจิตเเห่ง Fire Keeper ติดตัวมุ่งหน้าเข้าไปยัง Sens Fortress เหลือทิ้งเอาไว้แต่เครื่องรางปริศนาอย่าง Black Eye Orb ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่ามันใช้ทำอะไรกันเเน่
( ภาพประกอบ : Bonfire ภายใน Firelink Shrine ที่ดับลง )
( ภาพประกอบ : Black eyes orbs เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเควสของเจ้า Lautrec )
เมื่อได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามก็แทบไม่อยากจะเชื่อหู เขากล่าวโต้เถียงหัวชนฝากับสองพ่อมดอยู่นานจนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงได้หันไปพูดคุยเจ้า Crestfallen Warrior ชายผู้ซึ่งเคยปรามาสเขาไว้ในอดีตว่าไม่มีทางลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบได้อย่างเเน่นอน
เจ้า Crestfallen Warrior เริ่มกล่าวโทษว่าคนที่ทำให้ผืนปฐพีลุกเป็นไฟก็คือ Undead นิรนาม (พูดด้วยความอิจฉา) การลั่นระฆังได้ทำให้มี Undead มากมายเดินผ่านที่แห่งนี้เป็นพัลวันจนวุ่นวาย และไหนจะปีศาจคอยาวซึ่งส่งกลิ่นอายความเหม็นโชยออกมาโบสถ์ร้าง จนผู้คนแทบจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้
( ภาพประกอบ : โฉมหน้า Primordial Serpent ที่ชื่อว่า Frampt ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของเทพเจ้า Gwyn คอยทำหน้าที่เป่าหู Undead ให้ทำตามคำทำนาย )
Undead นิรนามรู้สะกิดใจกับคำว่า “ปีศาจคอยาว” เขาจึงลุกขึ้นเดินไปดูให้เห็นกับตาตนเอง และก็ได้พบกับสัตว์ประหลาดรูปร่างผิดธรรมชาติ ผิวสีดำของมันดูแข็งหยาบกระด้างราวกับหนังควาย หัวและคอมีรูปร่างดูคล้ายกับค้อนปอนด์ที่สามารถโยกเยกไปมาได้อย่างผิดรูป ริมฝีปากอันไร้ซึ่งหนังปกคลุมได้เผยให้เห็นแถวฟันบนและล่างอันน่าเกลียดที่ส่งเสียงคบเคี้ยวกันไปมาอยู่ตลอดเวลา…
เเต่ถึงรูปร่างจะไม่ได้ดูน่าพิสมัย เจ้าประหลาดก็แนะนำตัวเองอย่างสุภาพ มันบอกว่าตนเองคือเผ่าพันธุ์งูดึกดำบรรพ์ Primordial Serpent ซึ่งมันมีชื่อว่า Frampt ข้ารับใช้คนสนิทของเทพเจ้า Gwyn
Frampt เริ่มเอ่ยถามพระเอกของเราว่าเขาเป็นคนที่ลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบหรือไม่ ซึ่งเมื่อพระเอกตอบว่าใช่ ท่าทีของมันก็ดูเหนื่อยหน่ายราวกับว่าได้ยินคำตอบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน Frampt ได้แนะนำให้ Undead นิรนามเดินทางต่อไปยัง Sens Fortress เพื่อเข้ารับการทดสอบขั้นต่อไป เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้…
( ภาพประกอบ : ภาพ Concept Art ของ Sens Fortress ที่พบใน Anor Londo )
หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามตกใจอย่างมาก! เพราะถ้าหากว่า Frampt พูดจริง ก็แสดงว่าตอนนี้เขากำลังถูกคนอื่นช่วงชิงผลงานอันยากลำบากไปต่อหน้าต่อตา
พระเอกของเรารีบตระเตรียมเสบียงและข้าวของจำเป็นทันทีเพื่อออกเดินทาง เเต่ก่อนจะจากไปเขาได้บอกกับเจ้า Laurentius ว่าตนได้พบแม่มดเพลิงคนหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ใน Blighttown ซึ่งนางอาจจะเป็นคนที่เจ้าพ่อมดเพลิงกำลังตามหาอยู่ก็ได้
เมื่อร่ำลากันเสร็จ Undead นิรนามก็ออกเดินทางต่อไป โดยไม่ลืมที่จะพก Black Eye Orb ติดตัวมาด้วย เพราะว่าเขาต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้เค้นเอาความจริงจากปากของสหายร่วมรบให้ได้ ว่าเหตุใดกันถึงได้ลงมือฆ่า Fire Keeper Anastacia อย่างโหดเหี้ยม
( ภาพประกอบ : ภายในเกมถ้าหากผู่เล่นฆ่าเจ้า Lautrec ก่อนลั่นระฆัง Bells of Awakening เเล้วละก็ Anastacia ก็จะไม่ถูกฆ่า… เเต่ก็จะอดได้ชุดเกราะของมันตามไปด้วย )
พระเอกของเราขึ้นลิฟต์ต่อไปยังโบสถ์ร้างภายใน Undead Burg ซึ่งเป็นทางผ่านอันนำไปสู่ Sens Fortress และเเน่นอนเขาไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมเยือนเเม่นักบวชสาว Rhea เเต่ทว่าก็หานางไม่เจอเเม้เเต่เงา พบเพียงข้าวของที่ตกหล่นกระจัดกระจาย ราวกับว่ามีการต่อสู้ในโบสถ์เเห่งนี้ก็ไม่ปาน
Undead นิรนามรู้สึกร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก เนื่องจากกังวลว่านางอาจจะโดนเจ้า Lautrec สังหารไปอีกคน… เขาจึงรีบเดินทางผ่านบานประตูหน้ายักษ์ที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย และได้พบกับทหารยาม Man Serpent ซึ่งมีหัวเป็นงูแต่ร่างกายเป็นมนุษย์ คอยยืนรับน้อง(ดักตี)เหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่อาจหาญเข้ามาภายใน Sens Fortress
( ภาพประกอบด้านซ้าย : เหล่า Man Serpent เป็นลูกสะมุนโดยตรงของมังกรไร้เกร็ด Seath )
( ภาพประกอบด้านขวา : Man Serpent บางประเภทได้รับการเรียนรู้พลังสายฟ้าทั้งๆที่เป็นธาตุเเพ้ทางของเผ่าพันธุ์มังกร )
ปากทางสู่แดนสวรรค์
ในครั้งอดีต เมืองหลวง Anor Londo เคยเป็นสถานที่อันรุ่งโรจน์ และยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหล่าอัศวินชั้นสูง Silver Knight จะออกตรวจตราตามป้อมปราการหลายแห่งทั่วดินแดน Lordran เพื่อโอ้อวดแสนยานุภาพของเทพเจ้าสูงสุดอย่าง Gwyn ต่อบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือน…
ทว่าในปัจจุบันก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่ารอบกองไฟ เหล่า Silver Knight ต่างพากันถอยร่นกลับเข้าไปในเมืองเหลวง Anor Londo และสร้างหุ่นไม้อัศวินขึ้นมาใช้ตบตาใครก็ตามที่คิดจะบุกยึดดินแดนเเห่งเทพเจ้า ซึ่งแน่นอนว่านานวันเข้าเล่ห์กลง่าย ๆ เเบบนี้ ก็พลอยเสื่อมถอยตามก้อนอิฐเเละปูนของป้อมปราการทั่วดินเเดน Lordran
ภายในช่วงเวลาเเห่งการเสื่อมถอย เหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo จำเป็นต้องจัดสรรกำลังพลให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในนั้นก็คือการเปลี่ยน Sens Fortress ให้กลายเป็นลานกับดักมรณะ เพื่อใช้ทดสอบเหล่าแมงเมาที่หลงใหลคลั่งไคล้ต่อคำทำนายเเห่ง The First Flame
( ภาพประกอบ : ชุดเกราะหรูหราของ Silver Knight ได้ถูกนำมาสวมให้กับหุ่นไม้มากมายอย่างเสียของ ซึ่งเเสดงให้เห็นกลาย ๆ ว่าจำนวนทหารมันมีน้อยกว่าชุดเกราะมาก ๆ )
นิยามทั่วไปของป้อมปราการ ก็คือสถานที่อันแข็งแกร่งและยากต่อการบุกทะลวงโจมตี แต่โครงสร้างภายใน Sens Fortress ไม่ถูกสร้างให้เป็นกำแพงชั้นหินปิดตายแต่อย่างใด ทว่ากำแพงของสถานที่แห่งนี้ กลับไม่ได้ยากเกินกว่าความพยายามของมนุษย์ที่จะปีนป่ายฝ่าเข้าไป เเละในอดีตก็เคยมีผู้คนมากมายบุกทะลวงเข้าไปใน Sens Fortress มาเเล้วหลายครั้ง ด้วยคิดว่าการลั่นระฆัง Bells of Awakening ก็เป็นเพียงพิธีกรรมปาหี่… ซึ่งเเน่นอนถ้าหากว่ามันสำเร็จจริง ป่านนี้ Undead นิรนามก็คงไม่ถ่อมาถึงที่นี้ด้วยตัวเอง
เหล่าผู้ทะนงตนทั้งหลาย ต้องพบเจอกับโครงสร้างภายในป้อมปราการอันวกวนไปมา เเละต้องคอยระแวงการถูกสุ่มโจมตีอยู่ตลอดเวลาจากทั่วทุกหัวมุมทางเดิน นี่ยังไม่นับรวมไปถึงกับดักอีกมากมาย อย่างเช่นกลไกแป้นเหยียบที่จะยิงลูกดอกอาบยาพิษออกมา, ใบขวานยักษ์ขนาดมหึมาที่จะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่พยายามข้ามสะพานไปอีกฟาก, พื้นโคลนเหนี่ยวหนืดซึ่งจะจับเหล่าผู้คนที่ตกลงมาเบื้องล่าง ให้ถูกพวกอสูรเพชฌฆาต Titanite Demon บดขยี้
สรุปง่าย ๆ Sens Fortress ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อป้องกันคนบุกรุกเข้ามา เเต่ถูกสร้างเพื่อกักขังคนเอาไว้ข้างในต่างหาก!
( ภาพประกอบ : บรรยากาศภายใน Sens Fortress ชั้นล่าง )
( ภาพประกอบ : ลิฟต์ที่จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อถูกคนจากชั้นบนหย่อนลงมาให้เพียงเท่านั้น )
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะพอเข้าใจกันแล้วว่าเหตุใดกันจึงต้องมีคำนายให้ Undead ไปลั่นระฆัง Bells of Awakening ทั้งสองใบเสียก่อน เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติหลาย ๆ ประการ ให้มั่นใจว่าผู้ถูกเลือกจะสานต่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ เเละเลือกที่จะต่อชีวิตให้กับ The First Flame ( ยอมเป็นเบี้ยบนกระดานให้เเก่เทพเจ้า )
( ภาพประกอบ : บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ Undead นิรนามเคยเผชิญ ต่างหล่อหลอมทำให้เขากลายเป็นคนที่เเข็งเเกร่ง )
Undead นิรนามคือบุคคลที่เข้าใกล้คำว่าผู้ถูกเลือกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นกับดักพื้น ๆ ภายใน Sens Fortress จึงมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย... เเต่เเน่นอนว่าเหล่าเทพเจ้าเเห่ง Anor Londo (เเละผู้พัฒนาเกม) ก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้เเล้วเช่นกัน พวกเขาจึงได้มอบบททดสอบใหม่ ๆ ให้เเก่พระเอกของเราได้เรียนรู้ ราวกับต้องการจะบอกว่าอย่าทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้ว
( ภาพประกอบ : กลไกลูกหินยักษ์ที่จะกลิ้งลงมาทับเหล่า Undead ที่ดื้อด้าน )
( ภาพประกอบด้านซ้าย : อสูร Mimic ที่จะปลอมตัวเป็นหีบสมบัติสามารถสังหารผู้เล่นได้ง่ายๆ หากไม่ระวังตัว )
( ภาพประกอบด้านขวา : Lloyds Talisman เป็น Item สำหรับ PVP เเต่สามารถใช้กับ Mimic เพื่อทำให้มันหลับเเละขโมยของที่อยู่ในปากของมันได้ )
หลังงมหาทางขึ้นอยู่นาน ในที่สุด Undead นิรนามก็เดินทางขึ้นมาถึงยังชั้นดาดฟ้าของ Sens Fortress จนได้ เเละเขาก็ได้พบคำตอบว่าสิ่งใดกันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่เคย Undead เคยผ่านสถานที่เเห่งนี้ไปได้…
ร่างกายของมันทำจากเหล็กกล้าทั่วทั้งตัว ขนาดตัวอันใหญ่โตมโหฬารราวกับยักษาช่างดูขัดเเย้งกับส่วนหัวที่เล็กผิดปกติอย่างไม่น่าเชื่อ บริเวณกลางลำตัวมีรูโหว่กลวงโบ๋สีดำทมิฬอันเกิดจากกระบวนการถ่ายเทพลังวิญญาณจากซากกระดูกของมังกรนิรันดรเข้าไปสิงสู่ในสิ่งไม่มีชีวิต... จนบังเกิดเป็นยักษ์เหล็ก Iron Golem นายทวารเเละปาการด่านสุดท้ายเเห่ง Sens Fortress
( ภาพประกอบ : โฉมหน้าของ Iron Golem ผู้เคยสังหารความฝันของเหล่าผู้กล้ามาเเล้วมากมาย )
เจ้า Iron Golem มิใช่สิ่งเดียวที่คอยทำหน้าที่ปกป้องดาดฟ้าเเห่งนี้ เเต่ยังมีพวกบรรดาเผ่าพันธุ์ยักษาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจทดสอบเหล่า Undead ไปชั่วนิรันดร์ เนื่องจากพวกยักษาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวหลายพันปี เเละมีนิสัยยึดถือสัจจะเป็นที่สุด พวกมันจึงทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยกล่าวไว้กับเหล่าเทพเจ้าเรื่อยมาโดยไม่ปริปากบ่น... (ช่างน่าสงสาร)
อุปสรรคต่อไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือเหล่าอัศวินแห่ง Balder, และ Berenike ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพวกที่ทะนงตนจนละเลย Bells of Aweakening เเละบุกเข้าโจมตี Sens Fortress เเต่ก็ทำไม่สำเร็จ โดยบัดนี้พวกมันได้กลับกลายเป็น Hollow ไร้สติสตางค์เที่ยวออกเดินมาตามดาดฟ้า เเละเข้าจู่โจม Undead ทุกคนประหนึ่งกับว่าต้องการจะให้ล้มเหลวเหมือนกับมัน
( ภาพประกอบ : Concept Art ของพวกยักษาใน Sens Fortress )
Undead นิรนามแลเห็นแล้วว่าพื้นที่บนดาดฟ้ามันก็ไม่ต่างอะไรกับทุ่งสังหารดี ๆ นี่เอง เขาจึงถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งทิ้งเสีย เเละเปลี่ยนไปใส่ชุดเบา ๆ ที่เน้นความคล่องแคล่วในการวิ่งหลบหลีกลูกระเบิดที่พวกยักษาปามา กับเพื่อสลัดฝูงอัศวิน Hollow ที่หมายตามมาจะเอาชีวิตเขา
Undead นิรนามวิ่งหนีจนขึ้นมาถึงสะพานสามเเยกแคบ ๆ โดยด้านซ้ายเป็นทางขาดซึ่งจะนำไปสู่หอคอยโดดเดี่ยวอันดูไม่น่ามีอะไร ส่วนด้านขวาจะนำไปสู่ทางขึ้นสู่ชั้นถัดไป ทว่าโชคร้ายเพราะทางขึ้นได้ถูกสะเก็ดเพลิงจากระเบิดเผาไหม้จนไปต่อไม่ได้เเล้ว พระเอกของเราจึงตัดสินใจว่าจะวิ่งกลับทางเดิมเพื่อไปตั้งหลักใหม่เสียก่อน... แต่ก็เหมือนหนีเสื้อปะจระเข้เพราะพวกอัศวิน Hollow ที่เขาเคยละเลยไม่ยอมสังหาร ต่างวิ่งไล่ตามมาจนกลับทางเดิมไม่ได้อีกแล้ว
( ภาพประกอบ : หนึ่งในอัศวินเเห่ง Berenike ที่กลายเป็น Hollow )
เเต่ท่ามกลางช่วงเวลามืดเเปดด้าน จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงตะโกนปริศนาดังมาจากทางหอคอยโดดเดี่ยวด้านซ้าย Undead นิรนามมองเห็นนับรบคนหนึ่งกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ตรงนั้น
โดยไม่ต้องคิดมากพระเอกของเราตัดสินใจวิ่งตรงปรี่ไปทางหอคอยโดดเดี่ยวทันที โดยที่มีเหล่าอัศวิน Hollow มากมายไล่ตามหลังมาติด ๆ ...แต่ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว เขาเดิมพันชีวิตทั้งหมดเพื่อกระโดดข้ามสะพานที่ดูจะไกลเกินเอื้อมเเบบหมาจนตรอก
( ภาพประกอบ : หอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้าย )
เหมือนฟ้าดลบันดาล! ในจังหวะที่พระเอกของเรากำลังส่งแรงผ่านปลายเท้าพอดี ลูกระเบิดเพลิงก็ดันลงมาตกอยู่ข้างหลังเขาพอดิบพอดี เเละสร้างแรงผลักส่งตัวเขาลอยข้ามไปยังฝากหนึ่งได้อย่างปาฏิหาริย์ ทิ้งให้พวกอัศวิน Hollow ที่ตามมาจมหายกลายเป็นขี้เทาในกองเพลิง
เจ้าของเสียงปริศนารีบลากคอ Undead นิรนามที่กำลังหน้าคลุกดินเข้ามาหลบข้างในหอคอยโดดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว เจ้าบุรุษปริศนาคนนั้นได้เเต่งกายคล้ายกับพวกนักรบจากนคร Berenike เเต่มันก็ไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามที่เเท้จริงของตน(หรืออาจจะเป็นเพราะหลงลืมไปเเล้วเนื่องจากกำลังกลายเป็น Hollow )
( ภาพประกอบ : Crestfallen Merchant ชายผู้คงสติได้ด้วยการปอกลอกคนตาย เเละยึดติดกับความโภคภายในจิตใจ )
ยังไม่ทันที่เเผลไฟไหม้จะหายดี เจ้าอัศวินปริศนาก็เอ่ยปากบอกกับ Undead นิรนาม ว่าถ้าหากเขากำลังจะกลายเป็น Hollow ตัวมันก็ขอให้เขาทิ้งสัมภาระและชุดเกราะทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ เพราะถ้าหากตายไปยังไงก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรอยู่ดี Undead นิรนามเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เเท้จริงของไอ้หมอนี่ทันที เขาจึงไม่ตอบคำถาม…
เมื่อได้เเต่เพียงความเงียบย้อนกลับมาเจ้าอัศวินก็วีดเเตก เเละงัดคำพูดบั่นทอนจิตใจเพื่อพยายามให้พระเอกของเราหมดสิ้นศรัทธาต่อคำทำนายให้ได้เหมือนกับตน ด้วยการยกตัวอย่างเหล่าคนบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายในอดีต อย่างเช่นราชันนักรบ Rendal ผู้เลื่องลือก็ยังยอมเเพ้, จอมทัพอัศวินเหล็กทมิฬ Tarkus ก็หายตัวสาบสูญไร้ร่องรอย, มหาจอมเวทย์ชื่อดัง Big Hat Logan ก็ยังถูกจับคุมขังอยู่ในคุก… เหล่าบรรดาบุคคลในตำนานมากมาย ต่างเคยพยายามฝ่าฟันมานานนมเป็น 100 ปีแต่ก็หาได้มีใครเคยทำสำเร็จไม่!
( ภาพประกอบ : ภายในเกมกุญเเจที่ใช้ช่วย Big Hat Logan นั่น อยู่ไม่ไกลจากหอคอยโดดเดี่ยวทางด้านซ้ายมากนัก )
Undead นิรนามรู้สึกสะดุดหูเข้ากับชื่อ Big Hat Logan เป็นอย่างมาก คุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินเจ้าพ่อมดน้อย Griggs เอยถึงผ่าน ๆ เขาจึงได้ลองสอบถามถึงสถานที่คุมขังดังกล่าว และได้ความว่า Big Hat Logan ถูกซุกซ่อนเอาไว้ใต้กำแพงหินลับ ซึ่งจะต้องประยุกต์พลิกแพลงกับดักลูกหินใน Sens Fortress เพื่อทำลายกำแพงเข้าไป
หลังได้ยินเช่นนั้น Undead นิรนามกล่าวขอบคุณเจ้าพ่อค้าความตาย แต่กลับได้รับเพียงเสียงสาปแช่งว่าขอให้เขาถูกถลกหนังทั้งเป็น… พระเอกของเราเริ่มออกสำรวจตามหาคุกลับภายใน Sens Fortress เเละสามารถช่วยจอมเวทย์ Big Hat Logan ออกมาได้อย่างปลอดภัย
( ภาพประกอบ : Big Hat Logan หนึ่งในจอมเวทย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์ )
เจ้าจอมเวทย์กล่าวขอบคุณพระเอกของเราอย่างยกใหญ่ แล้วจึงเล่าว่าตนเองเป็นหนึ่งในพวกที่พยายามบุกเข้าไปในเมืองหลวง Anor Londo แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อนเขาได้เห็นพวก Man Serpent จับกุมนักบวชหญิงนางหนึ่ง เเละส่งตัวเข้าไปในเมืองหลวงผ่านเส้นทางลับ เเละด้วยความอับจนหนทางเขาก็เลยคิดโง่ ๆ ลองยอมให้พวก Man Serpent จับกุม เพื่อหวังจะได้ตั๋วฟรี...เเต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น
Undead นิรนามรู้ได้ทันทีว่านักบวชสาวที่ว่าจะต้องเป็น Rhea อย่างแน่นอน ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก เพราะว่านางอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้ Undead นิรนามแนะนำให้ Big Hat Logan กลับไปตั้งหลักใน Firelink Shrine เสียก่อน เพราะว่าเจ้าลูกศิษย์ของเขา Griggs กำลังร้อนใจตามหาอยู่
ทว่าก่อนที่จะแยกย้าย พระเอกของเราก็ได้ลองถาม Big Hat Logan ถึงคำแนะนำในการผ่าน Sens Fortress แต่เจ้าจอมเวทย์กลับส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกล่าวว่าถ้าหาก Undead นิรนามสามารถฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ ก็แสดงว่าฝีมือได้ก้าวข้ามตนเองไปแล้ว ตัวจึงมิอาจมีสิ่งใดแนะนำได้อีก...นอกเสียจากเวทมนตร์เล็กน้อย ๆ ซึ่งจะให้สั่งสอนกันตอนนี้เลยก็คงไม่เหมาะนัก
( ภาพประกอบ : Big Hat Logan เป็น NPC คนสำคัญสำหรับผู้เล่นสาย Sorcery เขาขายทั้ง White Dragon Breath, White Dragon Breath, เเละ Great Heavy Soul Arrow )
Undead รีบกลับขึ้นไปยังดาดฟ้าเเดนสังหารอีกครั้ง แต่คร่านี้เขาพกเอาความห่วงใยที่มีต่อนักบวชสาว Rhea ติดตัวมาด้วย...ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่จอมปาลูกระเบิด หรือพวกอัศวิน Hollow ก็มิอาจหยุดชายคนนี้ได้อีกต่อไป เหลือเเต่เพียงปราการด่านสุดท้ายอย่าง Iron Golem นายทวารผู้พิทักษ์แห่ง Anor Londo
( ภาพประกอบ : ท่าผ่าอากาศของ Iron Golem ที่จะใช้โจมตีในระยะไกล )
Undead นิรนามพยายามออกสำรวจพื้นรอบ ๆ Sens Fortress ทุกตารางนิ้วเผื่อว่าจะเจออะไรดี ๆ กับเขาบ้าง จนกระทั่งบังเอิญไปได้ยินเสียงคล้ายกับเหล็กปะทะกัน ดังสนั่นมาจากหาหอคอยทางด้านขวาของป้อมปราการ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พระเอกของเราจึงได้ลองตามไปดูที่มาของเสียง เเละได้พบกับอัศวิน Undead สองตนกำลังเหวี่ยงดาบเข้าฟาดฟันใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตามวิสัยปกติเเล้ว พวก Hollow จะไม่หันดาบเข้าฆ่าฟันกันเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหนึ่งในสองอัศวินจะต้องมีใครสักที่ยังไม่กลายเป็น Hollow... พระเอกของเราจึงทดลองเอ่ยเสียงเรียกร้องความจนใจ เเละปรากฏว่าเจ้าอัศวินคนหนึ่งซึ่งมีท่าทางคล่องเเคล่ว กลับวิ่งตรงปรี่เข้ามาหมายจะทำลายตัวเขา อันกลายเป็นเปิดช่องโหว่ให้อัศวินอีกคน ใช้ดาบยาวแทงทะลุหน้าอกคู่กรณีจนสิ้นชีวิต
เจ้าบุคคลที่เพิ่งจะตายไปครู่นี้ก็คือเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora ซึ่งกลายเป็น Hollow ไปเเล้ว ส่วนอัศวินอีกคนมีนามว่า Tarkus นักรบเหล็กทมิฬแห่งนคร Berenike... โดยบุคคลทั้งสองต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่เเพ้พ่ายต่อป้อมปราการ Sens Fortress
( ภาพประกอบด้านซ้าย : ชุดเกราะของเจ้าชาย Ricard แห่งนคร Astora จะมีความคล้ายกับ Oscar เเห่ง Astor เป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเเผนระหว่างพัฒนาตัวเกมอย่างฉับพลัน )
( ภาพประกอบด้านขวา : Concept Art ของ Tarkus )
แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วก็ตาม แต่เจ้า Tarkus ก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยราวกับเป็นหุ่นไล่กา ซึ่งไม่รู้เป็นเพราะนิสัยขี้อายส่วนตัวหรือว่ามันกำลังจะกลายเป็น Hollow กันแน่... พระเอกของเราจึงลองใช้ภาษามือสื่อสารแล้วชี้ไปทางเจ้า Iron Golem ด้วยหวังให้เจ้าอัศวินคนนี้ยอมตกลงปลงใจช่วยเขาต่อสู้กับมัน ซึ้งเจ้า Tarkus ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา ทำเเต่เพียงแค่พยักหน้าเพื่อสื่อสารว่าตามนั้น
ทั้งสองใช้เวลาวางแผนการอยู่นานนมเกินความจำเป็น เพราะว่าเจ้า Tarkus มันไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่ผงกหัวรับทราบอย่างเดียว Undead นิรนามจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลุยงานของจริงไปเลย ผิดพลาดตรงไหนค่อยมาคุยเเก้งานกันทีหลัง
( ภาพประกอบ : Black Iron Greatshield โล่ประจำตัวของเจ้า Tarkus ซึ่งจะเพิ่มค่าต้านทานไฟถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นโล่ป้องกันไฟที่ดีที่สุดอันดับสองของเกม )
ธรรมดาในการต่อสู้ระหว่างคนที่มีขนาดตัวต่างกัน คนตัวใหญ่มักจะต้องก้มตัวให้ต่ำลงเพื่อให้ง่ายต่อการจับตัวหรือเเลกหมัด… เเละยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีระหว่างยักษ์กับมนุษย์ ที่สามารถวิ่งไปมาเป็นหนูน้อยซุกซนรอบ ๆ ตัวเจ้า Iron Golem
Undead พยายามกดดันให้เจ้ายักษ์เปลี่ยนมาใช้ท่อนขาเพื่อกระทืบพื้น ซึ่งเป็นจังหวะที่เขากำลังเฝ้ารออยู่! ทันทีที่มันกำลังจะยกเท้าเตรียมตัวจะกระทืบพื้น Undead นิรนามก็จะรีบวิ่งไปจู่โจมใต้ข้อพับของขาอีกข้าง สร้างภาระให้เเก่หัวเข่ามันทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมันเสียหลักหกล้มลงในที่สุด
( ภาพประกอบ : จังหวะที่ Iron Golem โจมตีพลาดก็คือจังหวะสวนกลับที่ดีที่สุด )
แผนขั้นต่อมาก็คือให้เจ้า Tarkus ใช้เเรงอันมหาศาล ระดมฟาดซ้ำเติมเข้าใส่หัวเข่าซึ่งหลอมมาจากเหล็กกล้าโดยไม่หยุดไม่หย่อน เเม้ว่ามือจะบวมเป่งจนกลายเป็นลูกตำลึงสีเเดงเเล้วก็ตาม เพราะไม่งั้นเจ้า Iron Golem จะกลับมายืนตั้งหลักได้ เรียกง่าย ๆ ว่าศึกนี้แพ้ชนะตัดสินกันที่ความถึก
เมื่อทารุณกรรมหัวเข่าจนสาเเก่ใจ Undead นิรนามก็ส่งสัญญาณบอกให้ Tarkus ถอยห่างออกมา เพื่อปล่อยให้เจ้า Iron Golem ใช้ขาค้ำยันลำตัวของมันขึ้นมายืนตั้งตรงอีกครั้ง... เสียงเบียดเสียดระหว่างเหล็กกล้าดังสนั่นออกมาผ่านข้อต่อที่บิดเบี้ยว ชั้นเกราะหนาที่เคยเป็นเครื่องป้องกันชั้นดีบัดนี้กลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง เข้าฉีกกระชากหัวเข่าของเจ้ายักษ์เหล็กจนไม่เหลือชิ้นดี
ในที่สุดเจ้า Iron Golem ก็ล้มหัวคะมำลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง เฉกเช่นเดียวกับเหล่าอัศวินมากมายที่เคยถูกมันโยนลงจากหอคอย เป็นอันจบสิ้นตำนาน Sens Fortress ป้อมปราการที่ไม่มีใครเคยพิชิตได้มากว่าพันปี!
( ภาพประกอบ : จังหวะที่เจ้า Iron Golem ล้มลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง )
ดินแดนแห่งมายาคติ Anor Londo
ในท้ายที่สุดการเดินทางอันยากลำบากบนเส้นด้ายเเห่งคำนาย The First Flame ก็เปิดออก เหล่า Bat Wing Demon จำนวนมากต่างกระพือปีกบินกรูกันเข้ามาหอบร่างของอัศวินทั้งสอง พาลอยตัวขึ้นไปจนเหนือจุดบนสุดของกำเเพงเเห่งเมืองหลวง Anor Londo...
รัศมีสีเหลืองทองจนเเสบตา พุ่งทแยงเข้าสู่ดวงตาของ Undead นิรนามเเละเจ้า Tarkus โอ้อวดปราสาทราชวังที่โอ่อ่ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ช่างแตกต่างกับบ้านเมืองของมนุษย์ภายนอกกำเเพงราวกับเป็นคนละโลก ทั้งดูสะอาดตา, สวยงาม, เเละยิ่งใหญ่สมคำลำลือจริง ๆ
( ภาพประกอบ : ดินเเดนต้องห้าม เเละเมืองหลวงของเหล่าเทพเจ้า Anor Londo )
ประโยคที่กล่าวออกไปก่อนหน้านี้ คือความคิดเเวบเเรกภายในหัวของมนุษย์ธรรมดาอย่าง Undead นิรนาม… ตัวเขามิอาจจะล่วงรู้ได้เลยว่า ความตระการตาที่อยู่ตรงหน้า เป็นเพียงเเค่ภาพมายาของเทพเจ้าองค์สุดท้าย Gwyndolin บุตนชายคนท้องของเทพเเห่งพระอาทิตย์
อย่างที่ท่านผู้อ่านทราบกันดีว่าหลังจากที่ Gwyn ได้สิ้นเสียชีวิตลง อาณาจักรที่เขารักนักรักหนาก็พลันเสื่อมสูญจนไม่เหลือเค้าเดิม ทำให้เผือกร้อนต้องตกไปอยู่ในมือของ Gwyndolin ผู้เต็มใจรับหน้าสานต่อคำโกหกเเห่ง The First Flame ต่อไป สายเลือดเเห่งขัดติยะคนสุดท้าย ได้ใช้พลังเวทมนตร์อันเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด เนรมิตสร้างภาพลวงตาให้เสมือนประหนึ่งว่าเมืองหลวง Anor Londo ยังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรดังเช่นวันวาน
แต่ทว่าคำโป้ปด ก็ยังคงเป็นคำโป้ปดอยู่วันยังค่ำ เหล่าราษฎรภายในเมืองต่างเริ่มสะกิดใจระแคะระคายถึงความจริงข้อนี้ และต่างพากันทยอยหลบหนีไปพร้อม ๆ กับเหล่าเทพเจ้าองค์อื่น ซึ่งรับรู้ถึงวงจรอุบาทว์แห่งประถมเพลิง
จัตุรัสกลางเมืองที่เคยคร่าครำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มาตอนนี้กลับเงียบสนิทลงราวกับป่าช้า จนแม้แต่ตัว Gwyndolin เอง ก็ยังคลายเวทมนตร์ภาพลวงตาออกบางส่วน เนื่องจากมันไม่เหลือประชาชนให้ต้องล้างสมองอีกแล้ว
( ภาพประกอบ : ภาพที่กำลังดูอยู่นี้ คือทัศนียภาพของฉากหลังในเเผนที่ Anor Londo ซึ่งได้จากการใช้โปรเเกรมเเฮ็กเพื่อเข้าไปดูในระยะใกล้ )
กองกำลังหลักอย่างพวก Silver Knight ต่างถูกเรียกตัวกลับเข้ามารักษาการภายในวังหลวง เคียงคู่กับเหล่าทหารยักษ์ Sentinel ซึ่งมีสติปัญญาไร้เดียงสาเกินกว่าจะล่วงรู้ ว่าตนกำลังถูกหลอกใช้ให้ปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
เหล่าอสูรชั้นต่ำอย่างพวก Bat Wing Demon เเละรูปปั้นไร้ชีวิตอย่าง Gargoyle ต่างก็ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังหลักสำหรับรักษาวังหลวง อันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเมืองหลวง Anor Londo กำลังเข้าตาจนเสียแล้วจริง ๆ
Dark Souls