GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
Assassin’s Creed Valhalla จุดเริ่มต้นของตำนานไวกิงผู้พิชิต
ลงวันที่ 09/11/2020

ย้อนกลับไปปี 2017 เกม Assassin’s Creed ได้เปิดตัวภาค Origin ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวองค์กรนักฆ่า ต่อมาในปี 2018 ภาคต่อของ Odyssey ที่เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นในยุคของ กรีก - โรมัน ได้วางจำหน่ายครั้งแรก ครั้งนี้ Assassin’s Creed กลับมาอีกครั้งในภาค Valhalla โดยมีเซ็ตติ่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 793 - ค.ศ. 1066 ซึ่งเกมให้เรารับบทเป็นชาวไวกิงสุดแข็งแกร่งจากประเทศ Norway ครับ

จากข่าวก่อนหน้านี้ เราได้ทราบว่า Assassin’s Creed Valhalla จะเป็นภาคที่เชื่อมช่องว่างระหว่างเกมภาคแรกๆ กับ 3 ภาคล่าสุดเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ และต้องขอบคุณทาง Ubisoft ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่า Assassin’s Creed Valhalla มีดีอะไร และยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แอบบอกก่อนเลยว่า เกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมไปหลายส่วนมาก ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ!


◊ เนื้อเรื่อง ◊


เนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla จะเริ่มในปี ค.ศ. 854 (ยุคของเหล่าไวกิง) ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Eivor ชาวไวกิงคนหนึ่งของชนเผ่า Raven ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ นอร์เวย์ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มเล่าตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ในคืนหนึ่งที่เหล่า Raven กำลังกินดื่มเพื่อฉลองเนื่องในวโรกาสบางอย่างอยู่ จู่ๆ พวกเขาก็ถูกโจมตีจากเผ่า Kjotve ในค่ำคืนนั้น เพื่อที่จะให้ Eivor สามารถหนีรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้ พ่อ กับ แม่ ของเขาได้สละชีวิตของตนเพื่อเปิดโอกาสนั้น และเป็น Siguard พี่ชายต่างสายเลือดที่เป็นคนควบม้าพา Eivor หนีออกมาได้

ภาพจะตัดมาอีกครั้งหลังจากนั้น 18 ปี Eivor ได้พลาดท่าให้กับคนของเผ่า Kjotve อีกครั้ง และกำลังจะถูกจับไปขายเป็นทาส แต่เขาก็ได้ใช้กุญแจมือเหล็กที่ถูกใส่อยู่ให้เป็นประโยชน์ สามารถสู้จนชนะพร้อมทั้งหนีออกมาได้ ในจุดนี้เรื่องราวการล้างแค้นให้พ่อ กับแม่รวมไปจนถึงการพิชิตเกาะอังกฤษของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น (ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครได้อย่างอิสระจริงๆ ครั้งแรกตรงนี้)



อย่างที่ผู้พัฒนาได้กล่าวก่อนหน้านี้ ว่าเนื้อเรื่องของภาค Valhalla จะช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคแรกๆ กับ 3 ภาคหลังที่หายไป ในเนื้อเรื่องหลักของเกม Eivor จะได้พบกับสมาชิก 2 คน จากกลุ่ม Brotherhood (กลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับพระเอก Assassin’s Creed ภาคแรกสังกัดอยู่) ที่ชื่อว่า Basin กับ Hytham โดยพวกเขามีเป้าหมายในการสังหารสมาชิกของ Order of The Ancients ที่อยู่ใน นอร์เวย์ ซึ่งพวกเขายังเป็นคนสอนวิธีใช้ Hidden Blade รวมไปจนถึงเทคนิคการลอบสังหารให้กับ Eivor ด้วย



โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้จะไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย และค่อนข้างเป็นเส้นตรง ตัวละครต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดังนั้นทุกคนน่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้ไม่ยาก แน่นอนว่าภาคนี้ยังคงมีระบบ Choice Matter ที่รายละเอียดของเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ตัวเลือกของผู้เล่นเหมือนภาค Odyssey แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงของเนื้อเรื่องหลักอะไรมากมายครับ ส่วนตัวแล้วผมมองจุดนี้เป็นข้อดี เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความสนุก พร้อมทั้งเข้าใจเนื้อเรื่องเกมได้ง่าย และช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี


◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊


ในเรื่องของกราฟิก คงต้องบอกว่า Assassin’s Creed Valhalla ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดพื้นผิว (ผมเล่นบน PC ที่เซ็ตติ้ง Very High ครับ) ในเรื่องของแสง กับเงาเองก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน แม้ว่าตัวเกมจะยังไม่สามารถเปิด Ray Tracing ได้ในตอนนี้ แต่กราฟิกที่เกมสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมากแล้ว คงต้องบอกว่า "ไม่ผิดหวังที่เป็นเกมซึ่งจะลงให้กับ PS5 กับ Xbox Series X / S ด้วยเลย" ครับ

มาพูดถึงการนำเสนอกันบ้าง จุดแรกเลยที่อยากขอชมผู้พัฒนาคือการที่ศึกษาวัฒนธรรมของไวกิงมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าตาของสิ่งปลูกสร้าง, การใช้เขาสัตว์เป็นแก้วเหล้า, ลักษณะสีผิว กับสีผมของตัวละคร, การแต่งกาย, การเคลื่อนไหวของ NPC ในขณะล่องเรือ ท่าทางในการวิ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกเก็บรายละเอียดอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราแทบไม่รู้สึกถึงความผิดแผกไปจากความเป็นจริงเลย



มุมกล้องในขณะเดินทางด้วยเรือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมอยากจะขอชมผู้พัฒนาเกมนี้ครับ Assassin’s Creed Valhalla จะมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนมุมมองของกล้องไปใช้แบบ Panorama View ได้เวลาที่เรากด Auto Travel ซึ่งมันช่วยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจขณะล่องเรือไปตามแม่นำของอังกฤษครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยครับ หนึ่งจุดที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย คือความซ้ำซากของอาคารบ้านเรือนที่เจอในเกม โดยสามารถรับรู้ได้เลยว่าเป็นโมเดลที่ถูกเอามาใช้ซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ว่าเราไปที่เมืองไหนอาคารเหล่านี้ก็จะโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เห็นอีก ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ แต่พอเห็นอาคารเดิมๆ บ่อยครั้ง มันก็คงช่วยไม่ได้ที่ผู้เล่นจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับอยู่ในโลก Deja Vu ตลอดเวลา


(บ้านที่พบใน นอร์เวย์ กับ อังกฤษ ที่ใช้โมเดลเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว Longhouse ไม่จำเป็นต้องเป็นทรงนี้ก็ได้ครับ)


อีกหนึ่งข้อเสียที่พบได้ในขณะที่เล่น คือเรื่องสีหน้าของตัวละครครับ ในฉากแบบ Close up ที่เป็นการพูดคุยระหว่างตัวละครตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่พอเป็นฉากมุมกว้าง อย่างเวลาล่องเรือ หรือพูดคุยกันลอยๆ การแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครถือว่าเลวร้ายมาก ชนิดที่เสียงพากย์กับสีหน้าดูไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันเลย เล่นบางครั้งก็ปรับอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันครับ

สุดท้ายคือในเรื่องของอนิเมชั่น ที่ดูจะยังทำออกมาได้ไม่ดีครับ เนื่องจากหลายครั้งที่การขยับของตัวละครจะแข็งกว่าที่มนุษย์ควรจะเป็น การยกแก้วที่ไม่น่าจะทำให้กินน้ำได้ บางครั้งหนักถึงขนาดที่แขน หรือขาของตัวละครสามารถวาร์ตำแหน่งได้เลยทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้รวมถึงอนิเมชั่นที่ศัตรูแสดงออกมาหลังจากโดนโจมตีด้วย แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลในตอนเล่นอะไรมากมายนัก แต่ก็อดขัดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นครับ

[caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="1024"] การยกแก้วเหล้าที่ไม่สมจริง[/caption]

 

◊ เกมเพลย์ ◊


Assassin’s Creed Valhalla จะใช้ระบบหลักของเกมเป็นแบบ RPG ดาเมที่เราสามารถทำได้จะขึ้นอยู่กับค่าสเตตัสทั้งหมด นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากค่าสถานะต่างกันมากๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว (รวมถึง Stealth Attack ด้วย) ระบบนี้จะมีข้อดีคือทำให้การต่อสู้สนุกมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้จะท้าทายมากขึ้นถ้าหาก ศัตรูมีค่าสถานะที่สูงกว่า ยิ่งเซ็ตติ้งที่ตัวละครเราเป็นชาวไวกิงซึ่งชอบความท้าทายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ได้รับความสนุกที่มากขึ้นตามไปด้วยครับ

เชื่อว่า Hidden Blade Instant Kill ที่กลับมาในภาคนี้ น่าจะสร้างความสนใจให้กับแฟนเกมหลายคน ผมบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ Instant Kill ได้ตลอดหรอกครับ ถ้าหากว่าสเตตัสของเรากับอีกฝ่ายต่างกันมากๆ  จริง (แบบเรา 20 อีกฝ่าย 80) มันจะกลายเป็นการโจมตีที่ไม่ใช้ครั้งเดียวตายไป แต่ทำจะดาเมให้กับอีกฝ่ายเยอะมากๆ แทน (เกือบๆ ครึ่งหลอด) โดยถ้าหากใช้กับตัวที่มีเลเวลใกล้ๆ กันยังไงก็ทีเดียวตายแน่นอนครับ ซึ่งก็มันไม่ได้ทำยากอะไรมากมายด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมจะให้เราวิ่งเข้าไปสู้กับอีกฝ่ายตรงๆ มากกว่าเท่านั้นเอง

ต่อมาคือในเรื่องของความยาก ผมชอบภาคนี้ตรงที่เราสามารถเลือกความยากในระบบเกมเพลย์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด โดยความยากที่ผู้เล่นเลือกได้จะมี 3 อย่างด้วยกันคือ

  1. ความยากในการสำรวจ

  2. ความยากในการต่อสู้

  3. ความสามารถในการตรวจจับของศัตรู (ข้อนี้ส่งผลต่อการ Stealth โดยตรง)


การมีระบบแบบนี้ ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถได้รับความสนุกจากตัวเกมได้อย่างเต็มที่ และไม่ยากเกินไปสำหรับบางคน ในจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าคิดเพื่อมาได้ดีจริงๆ ครับ



ในเรื่องของเกมเพลย์การสำรวจ ภาคนี้ยังคงเป็นแบบ Open World เหมือนกันภาคก่อนๆ แต่เนื่องด้วยการเดินทางเข้าตีเมืองต่างๆ ของอังกฤษชาวไวกิงมักจะทำกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมันเลยทำให้เกมเพลย์ส่วนใหญ่ของภาคนี้ให้ความรู้สึกที่เหงาน้อยกว่าภาคที่ผ่านๆ มา เนื่องจากไม่ว่าเราจะไปโจมตีเมืองไหน ก็จะมีเพื่อน NPC ที่เป็นชาวไวกิงเช่นกันไปตีเมืองเหล่านั้นกับเราด้วย ยิ่งตอนที่กู่ร้องตะโกน เวลาจะเข้าตีเมืองพร้อมๆ กันนั้น ยิ่งเป็นอะไรที่สร้างความคึกได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ได้ชื่อว่าเป็น Assassins Creed หนึ่งในระบบที่ผมไม่ชอบเลย และมันยังคงมีอยู่ในภาคนี้ คือในเรื่องของการที่บังคับให้เราปืนขึ้นไปที่สูงๆ เพื่อปลดล็อกจุด Fast Travel ครับ คือไม่ว่าคิดยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หลายๆ ครั้งรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าสนุกด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าจุดที่ต้องไปปีนอยู่นอกเส้นทางของเควสมากๆ และมันไม่มีจุดให้เรา Fast Travel อื่นๆ เลยในละแวกนั้นด้วยแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการโดนบอก "อยากกลับมาตรงนี้ก็ไปปีนเสาดังกล่าวเสียสิ" เลยครับ



มาพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมคิดว่าทำออกมาได้น่าสนใจดี คือการให้เราไปหาทรัพยากร มาสร้างบ้านในค้าที่ตั้งรกรากอยู่ครับ โดยทรัพยากรดังกล่าวสามารถหาได้จากการล่องเรือไปยังเมืองต่างๆ แล้วปล้นมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เป็นไวกิงในยุคบุกอังกฤษจริง เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว เหล่าไวกิงก็ทำแบบนี้จริงๆ ตอนตีเกาะอังกฤษครับ

การสร้างบ้านต่างๆ ในเมืองของเรายังเป็นตัวช่วยปลดล็อก ระบบอื่นๆ ของเกมด้วย เช่นถ้าสร้างท่าเรือ เราจะสามารถตกแต่งเรือยาวของตัวเองได้, ถ้าสร้างกระท่อมล่าสัตว์จะปลดล็อกเควสล่าสัตว์ในตำนานได้, ถ้าสร้างค่ายทหารจะช่วยให้เราสามารถจ้างชาวไวกิงคนอื่นๆ ที่บุกมายังอังกฤษได้เป็นต้น ระบบเหล่านี้มันช่วยเพิ่มเป้าหมายในการเล่นเควสอื่นๆ ของเกมไปในตัวด้วยครับ



สุดท้ายคือในเรื่องของสกิล ซึ่งในภาคนี้สกิลจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ Passive กับ Active โดยสกิล Active นั้นผู้เล่นจะไม่สามารถได้รับมาจากการอัพเลเวล แต่ต้องออกตามหาหนังสือสกิลเหล่านี้ตามส่วนต่างๆ ของโลกในเกม มันจึงส่งผลให้การสำรวจโลกมีความหมายมากขึ้นในภาคนี้

ในส่วนของสกิล Passive ผู้เล่นจำเป็นต้องอัพไปตามแผนที่ดวงดาวของเกมเองเพื่อให้ได้มา ดังนั้นความเป็นไปได้ในการอัพสกิลของภาคนี้จึงหลากหลายกว่าที่ภาคที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างมาก โดยจากจุดเริ่มต้นจะมี 3 เส้นทางให้เราเลือก คือ

  1. Passive ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะประชิด

  2. Passive ที่เกียวกับการโจมตีระยะไกล

  3. Passive ที่เกี่ยวกับการลอบฆ่า



◊ สรุป ◊


แม้จะไม่ใช้เกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมกับระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่ Assassin’s Creed Valhalla คงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับเกมที่ต้องการผสม RPG กับเกมแนว Stealth เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อีกหนึ่งจุดขายเลยคือการที่ระบบต่างๆ ของเกมต่างช่วยสนับสนุนกันเอง ให้สามารถโชว์ความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ตอนที่เล่นเกมนี้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นชาวไวกิงจริงๆ คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาประสบความสำเร็จในการสร้างเกมนี้จริงๆ ครับ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีข้อเสียอีกหลายจุดที่ทำให้จำเป็นต้องหักคะแนนเกมนี้ไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของบัคที่มีค่อนข้างเยอะ และตัวเกมยังกินสเปคสูงมากๆ จนทำให้อาจเล่นได้ลำบากในเครื่องที่ไม่ได้มีสเปคสูงอะไรมากมายด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ครับ แม้ไม่ใช่เกมยอดเยี่ยมที่ต้องหามาเล่นสักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ Assassin’s Creed Valhalla ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง ซึ่งควรค่าแก่การหามาเล่นครับ

[penci_review id="72200"]

7
ข้อดี
ข้อเสีย
8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
Assassin’s Creed Valhalla จุดเริ่มต้นของตำนานไวกิงผู้พิชิต
09/11/2020

ย้อนกลับไปปี 2017 เกม Assassin’s Creed ได้เปิดตัวภาค Origin ที่ทำให้เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวองค์กรนักฆ่า ต่อมาในปี 2018 ภาคต่อของ Odyssey ที่เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นในยุคของ กรีก - โรมัน ได้วางจำหน่ายครั้งแรก ครั้งนี้ Assassin’s Creed กลับมาอีกครั้งในภาค Valhalla โดยมีเซ็ตติ่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 793 - ค.ศ. 1066 ซึ่งเกมให้เรารับบทเป็นชาวไวกิงสุดแข็งแกร่งจากประเทศ Norway ครับ

จากข่าวก่อนหน้านี้ เราได้ทราบว่า Assassin’s Creed Valhalla จะเป็นภาคที่เชื่อมช่องว่างระหว่างเกมภาคแรกๆ กับ 3 ภาคล่าสุดเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ และต้องขอบคุณทาง Ubisoft ที่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทดลองเล่นเกมนี้ก่อนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้นวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่า Assassin’s Creed Valhalla มีดีอะไร และยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แอบบอกก่อนเลยว่า เกมนี้ทำได้เหนือความคาดหมายของผมไปหลายส่วนมาก ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ!


◊ เนื้อเรื่อง ◊


เนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla จะเริ่มในปี ค.ศ. 854 (ยุคของเหล่าไวกิง) ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Eivor ชาวไวกิงคนหนึ่งของชนเผ่า Raven ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของ นอร์เวย์ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มเล่าตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ในคืนหนึ่งที่เหล่า Raven กำลังกินดื่มเพื่อฉลองเนื่องในวโรกาสบางอย่างอยู่ จู่ๆ พวกเขาก็ถูกโจมตีจากเผ่า Kjotve ในค่ำคืนนั้น เพื่อที่จะให้ Eivor สามารถหนีรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้ พ่อ กับ แม่ ของเขาได้สละชีวิตของตนเพื่อเปิดโอกาสนั้น และเป็น Siguard พี่ชายต่างสายเลือดที่เป็นคนควบม้าพา Eivor หนีออกมาได้

ภาพจะตัดมาอีกครั้งหลังจากนั้น 18 ปี Eivor ได้พลาดท่าให้กับคนของเผ่า Kjotve อีกครั้ง และกำลังจะถูกจับไปขายเป็นทาส แต่เขาก็ได้ใช้กุญแจมือเหล็กที่ถูกใส่อยู่ให้เป็นประโยชน์ สามารถสู้จนชนะพร้อมทั้งหนีออกมาได้ ในจุดนี้เรื่องราวการล้างแค้นให้พ่อ กับแม่รวมไปจนถึงการพิชิตเกาะอังกฤษของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น (ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครได้อย่างอิสระจริงๆ ครั้งแรกตรงนี้)



อย่างที่ผู้พัฒนาได้กล่าวก่อนหน้านี้ ว่าเนื้อเรื่องของภาค Valhalla จะช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคแรกๆ กับ 3 ภาคหลังที่หายไป ในเนื้อเรื่องหลักของเกม Eivor จะได้พบกับสมาชิก 2 คน จากกลุ่ม Brotherhood (กลุ่มนักฆ่าเดียวกันกับพระเอก Assassin’s Creed ภาคแรกสังกัดอยู่) ที่ชื่อว่า Basin กับ Hytham โดยพวกเขามีเป้าหมายในการสังหารสมาชิกของ Order of The Ancients ที่อยู่ใน นอร์เวย์ ซึ่งพวกเขายังเป็นคนสอนวิธีใช้ Hidden Blade รวมไปจนถึงเทคนิคการลอบสังหารให้กับ Eivor ด้วย



โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้จะไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย และค่อนข้างเป็นเส้นตรง ตัวละครต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดังนั้นทุกคนน่าจะสนุกไปกับเนื้อเรื่องของเกมได้ไม่ยาก แน่นอนว่าภาคนี้ยังคงมีระบบ Choice Matter ที่รายละเอียดของเนื้อเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ตัวเลือกของผู้เล่นเหมือนภาค Odyssey แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงของเนื้อเรื่องหลักอะไรมากมายครับ ส่วนตัวแล้วผมมองจุดนี้เป็นข้อดี เพราะมันทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความสนุก พร้อมทั้งเข้าใจเนื้อเรื่องเกมได้ง่าย และช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี


◊ กราฟิก / การนำเสนอ ◊


ในเรื่องของกราฟิก คงต้องบอกว่า Assassin’s Creed Valhalla ทำส่วนนี้ออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดพื้นผิว (ผมเล่นบน PC ที่เซ็ตติ้ง Very High ครับ) ในเรื่องของแสง กับเงาเองก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน แม้ว่าตัวเกมจะยังไม่สามารถเปิด Ray Tracing ได้ในตอนนี้ แต่กราฟิกที่เกมสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นอย่างมากแล้ว คงต้องบอกว่า "ไม่ผิดหวังที่เป็นเกมซึ่งจะลงให้กับ PS5 กับ Xbox Series X / S ด้วยเลย" ครับ

มาพูดถึงการนำเสนอกันบ้าง จุดแรกเลยที่อยากขอชมผู้พัฒนาคือการที่ศึกษาวัฒนธรรมของไวกิงมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน้าตาของสิ่งปลูกสร้าง, การใช้เขาสัตว์เป็นแก้วเหล้า, ลักษณะสีผิว กับสีผมของตัวละคร, การแต่งกาย, การเคลื่อนไหวของ NPC ในขณะล่องเรือ ท่าทางในการวิ่ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกเก็บรายละเอียดอย่างดี ทำให้ตอนเล่นเราแทบไม่รู้สึกถึงความผิดแผกไปจากความเป็นจริงเลย



มุมกล้องในขณะเดินทางด้วยเรือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมอยากจะขอชมผู้พัฒนาเกมนี้ครับ Assassin’s Creed Valhalla จะมีระบบที่ให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนมุมมองของกล้องไปใช้แบบ Panorama View ได้เวลาที่เรากด Auto Travel ซึ่งมันช่วยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่น่าสนใจขณะล่องเรือไปตามแม่นำของอังกฤษครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยครับ หนึ่งจุดที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย คือความซ้ำซากของอาคารบ้านเรือนที่เจอในเกม โดยสามารถรับรู้ได้เลยว่าเป็นโมเดลที่ถูกเอามาใช้ซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ว่าเราไปที่เมืองไหนอาคารเหล่านี้ก็จะโผล่มาให้เราเห็นแล้ว เห็นอีก ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ แต่พอเห็นอาคารเดิมๆ บ่อยครั้ง มันก็คงช่วยไม่ได้ที่ผู้เล่นจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับอยู่ในโลก Deja Vu ตลอดเวลา


(บ้านที่พบใน นอร์เวย์ กับ อังกฤษ ที่ใช้โมเดลเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว Longhouse ไม่จำเป็นต้องเป็นทรงนี้ก็ได้ครับ)


อีกหนึ่งข้อเสียที่พบได้ในขณะที่เล่น คือเรื่องสีหน้าของตัวละครครับ ในฉากแบบ Close up ที่เป็นการพูดคุยระหว่างตัวละครตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่พอเป็นฉากมุมกว้าง อย่างเวลาล่องเรือ หรือพูดคุยกันลอยๆ การแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครถือว่าเลวร้ายมาก ชนิดที่เสียงพากย์กับสีหน้าดูไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันเลย เล่นบางครั้งก็ปรับอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันครับ

สุดท้ายคือในเรื่องของอนิเมชั่น ที่ดูจะยังทำออกมาได้ไม่ดีครับ เนื่องจากหลายครั้งที่การขยับของตัวละครจะแข็งกว่าที่มนุษย์ควรจะเป็น การยกแก้วที่ไม่น่าจะทำให้กินน้ำได้ บางครั้งหนักถึงขนาดที่แขน หรือขาของตัวละครสามารถวาร์ตำแหน่งได้เลยทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้รวมถึงอนิเมชั่นที่ศัตรูแสดงออกมาหลังจากโดนโจมตีด้วย แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลในตอนเล่นอะไรมากมายนัก แต่ก็อดขัดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นครับ

[caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="1024"] การยกแก้วเหล้าที่ไม่สมจริง[/caption]

 

◊ เกมเพลย์ ◊


Assassin’s Creed Valhalla จะใช้ระบบหลักของเกมเป็นแบบ RPG ดาเมที่เราสามารถทำได้จะขึ้นอยู่กับค่าสเตตัสทั้งหมด นั้นจึงหมายความว่าถ้าหากค่าสถานะต่างกันมากๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าอีกฝ่ายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว (รวมถึง Stealth Attack ด้วย) ระบบนี้จะมีข้อดีคือทำให้การต่อสู้สนุกมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อสู้จะท้าทายมากขึ้นถ้าหาก ศัตรูมีค่าสถานะที่สูงกว่า ยิ่งเซ็ตติ้งที่ตัวละครเราเป็นชาวไวกิงซึ่งชอบความท้าทายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ได้รับความสนุกที่มากขึ้นตามไปด้วยครับ

เชื่อว่า Hidden Blade Instant Kill ที่กลับมาในภาคนี้ น่าจะสร้างความสนใจให้กับแฟนเกมหลายคน ผมบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ Instant Kill ได้ตลอดหรอกครับ ถ้าหากว่าสเตตัสของเรากับอีกฝ่ายต่างกันมากๆ  จริง (แบบเรา 20 อีกฝ่าย 80) มันจะกลายเป็นการโจมตีที่ไม่ใช้ครั้งเดียวตายไป แต่ทำจะดาเมให้กับอีกฝ่ายเยอะมากๆ แทน (เกือบๆ ครึ่งหลอด) โดยถ้าหากใช้กับตัวที่มีเลเวลใกล้ๆ กันยังไงก็ทีเดียวตายแน่นอนครับ ซึ่งก็มันไม่ได้ทำยากอะไรมากมายด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของเกมจะให้เราวิ่งเข้าไปสู้กับอีกฝ่ายตรงๆ มากกว่าเท่านั้นเอง

ต่อมาคือในเรื่องของความยาก ผมชอบภาคนี้ตรงที่เราสามารถเลือกความยากในระบบเกมเพลย์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด โดยความยากที่ผู้เล่นเลือกได้จะมี 3 อย่างด้วยกันคือ

  1. ความยากในการสำรวจ

  2. ความยากในการต่อสู้

  3. ความสามารถในการตรวจจับของศัตรู (ข้อนี้ส่งผลต่อการ Stealth โดยตรง)


การมีระบบแบบนี้ ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกระดับความยากที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถได้รับความสนุกจากตัวเกมได้อย่างเต็มที่ และไม่ยากเกินไปสำหรับบางคน ในจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าคิดเพื่อมาได้ดีจริงๆ ครับ



ในเรื่องของเกมเพลย์การสำรวจ ภาคนี้ยังคงเป็นแบบ Open World เหมือนกันภาคก่อนๆ แต่เนื่องด้วยการเดินทางเข้าตีเมืองต่างๆ ของอังกฤษชาวไวกิงมักจะทำกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมันเลยทำให้เกมเพลย์ส่วนใหญ่ของภาคนี้ให้ความรู้สึกที่เหงาน้อยกว่าภาคที่ผ่านๆ มา เนื่องจากไม่ว่าเราจะไปโจมตีเมืองไหน ก็จะมีเพื่อน NPC ที่เป็นชาวไวกิงเช่นกันไปตีเมืองเหล่านั้นกับเราด้วย ยิ่งตอนที่กู่ร้องตะโกน เวลาจะเข้าตีเมืองพร้อมๆ กันนั้น ยิ่งเป็นอะไรที่สร้างความคึกได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ได้ชื่อว่าเป็น Assassins Creed หนึ่งในระบบที่ผมไม่ชอบเลย และมันยังคงมีอยู่ในภาคนี้ คือในเรื่องของการที่บังคับให้เราปืนขึ้นไปที่สูงๆ เพื่อปลดล็อกจุด Fast Travel ครับ คือไม่ว่าคิดยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หลายๆ ครั้งรู้สึกว่าน่ารำคาญมากกว่าสนุกด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าจุดที่ต้องไปปีนอยู่นอกเส้นทางของเควสมากๆ และมันไม่มีจุดให้เรา Fast Travel อื่นๆ เลยในละแวกนั้นด้วยแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการโดนบอก "อยากกลับมาตรงนี้ก็ไปปีนเสาดังกล่าวเสียสิ" เลยครับ



มาพูดถึงระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมคิดว่าทำออกมาได้น่าสนใจดี คือการให้เราไปหาทรัพยากร มาสร้างบ้านในค้าที่ตั้งรกรากอยู่ครับ โดยทรัพยากรดังกล่าวสามารถหาได้จากการล่องเรือไปยังเมืองต่างๆ แล้วปล้นมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เป็นไวกิงในยุคบุกอังกฤษจริง เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว เหล่าไวกิงก็ทำแบบนี้จริงๆ ตอนตีเกาะอังกฤษครับ

การสร้างบ้านต่างๆ ในเมืองของเรายังเป็นตัวช่วยปลดล็อก ระบบอื่นๆ ของเกมด้วย เช่นถ้าสร้างท่าเรือ เราจะสามารถตกแต่งเรือยาวของตัวเองได้, ถ้าสร้างกระท่อมล่าสัตว์จะปลดล็อกเควสล่าสัตว์ในตำนานได้, ถ้าสร้างค่ายทหารจะช่วยให้เราสามารถจ้างชาวไวกิงคนอื่นๆ ที่บุกมายังอังกฤษได้เป็นต้น ระบบเหล่านี้มันช่วยเพิ่มเป้าหมายในการเล่นเควสอื่นๆ ของเกมไปในตัวด้วยครับ



สุดท้ายคือในเรื่องของสกิล ซึ่งในภาคนี้สกิลจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ Passive กับ Active โดยสกิล Active นั้นผู้เล่นจะไม่สามารถได้รับมาจากการอัพเลเวล แต่ต้องออกตามหาหนังสือสกิลเหล่านี้ตามส่วนต่างๆ ของโลกในเกม มันจึงส่งผลให้การสำรวจโลกมีความหมายมากขึ้นในภาคนี้

ในส่วนของสกิล Passive ผู้เล่นจำเป็นต้องอัพไปตามแผนที่ดวงดาวของเกมเองเพื่อให้ได้มา ดังนั้นความเป็นไปได้ในการอัพสกิลของภาคนี้จึงหลากหลายกว่าที่ภาคที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างมาก โดยจากจุดเริ่มต้นจะมี 3 เส้นทางให้เราเลือก คือ

  1. Passive ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยอาวุธระยะประชิด

  2. Passive ที่เกียวกับการโจมตีระยะไกล

  3. Passive ที่เกี่ยวกับการลอบฆ่า



◊ สรุป ◊


แม้จะไม่ใช้เกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งมาพร้อมกับระบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แต่ Assassin’s Creed Valhalla คงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับเกมที่ต้องการผสม RPG กับเกมแนว Stealth เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อีกหนึ่งจุดขายเลยคือการที่ระบบต่างๆ ของเกมต่างช่วยสนับสนุนกันเอง ให้สามารถโชว์ความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ตอนที่เล่นเกมนี้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นชาวไวกิงจริงๆ คงต้องยอมรับว่าผู้พัฒนาประสบความสำเร็จในการสร้างเกมนี้จริงๆ ครับ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีข้อเสียอีกหลายจุดที่ทำให้จำเป็นต้องหักคะแนนเกมนี้ไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของบัคที่มีค่อนข้างเยอะ และตัวเกมยังกินสเปคสูงมากๆ จนทำให้อาจเล่นได้ลำบากในเครื่องที่ไม่ได้มีสเปคสูงอะไรมากมายด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าเกมนี้ควรมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ครับ แม้ไม่ใช่เกมยอดเยี่ยมที่ต้องหามาเล่นสักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ Assassin’s Creed Valhalla ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ดีมากๆ เกมหนึ่ง ซึ่งควรค่าแก่การหามาเล่นครับ

[penci_review id="72200"]


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header