GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
ลงวันที่ 30/03/2021

แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน 


ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่


หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วย


เนื้อเรื่อง


เนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุด



เช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามที



ที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่อง


กราฟิก/การนำเสนอ


หากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำ



องค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้



ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีก


เกมเพลย์


ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีก


องค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลย


เหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้น



ผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกัน



อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้าง



ทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกัน



สรุป


แม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน

7
ข้อดี

เกมเพลย์สุดมันส์สไตล์ Monster Hunter ที่คุ้นเคย

กราฟิกระดับแนวหน้าสำหรับเครื่อง Switch

การออกแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่เพลินตา มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

ระบบใหม่ช่วยเพิ่มความหลากหลายได้มากกว่าที่เคย

ข้อเสีย

เนื้อเรื่องสั้นและไม่ค่อยน่าสนใจ

ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสำรวจ

9
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม Monster Hunter: Rise ‘ตำนานนินจา ขี่หมาไปล่าแย้’
30/03/2021

แม้จะเป็นซีรีส์เกมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยคอนโซล PlayStation 2 แต่เกมซีรีส์ล่าแย้ในตำนานอย่าง Monster Hunter ก็ยังถือว่าเป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มผู้เล่นได้ไม่กว้างขวางนัก ด้วยระบบเกมเพลย์อันท้าทายและซับซ้อน แถมเกมภาคหลังๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมักจะเน้นวางจำหน่ายบนคอนโซลพกพาอย่าง PSP หรือ Nintendo 3DS มากกว่าคอนโซลสายหลักๆ ด้วย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของ Monster Hunter: World บนเครื่อง PlayStation และ Xbox (และ PC) ที่สามารถปรับปรุงระบบเกมเพลย์สูตรสำเร็จของซีรีส์ให้กลมกล่อมย่อยง่าย จนสามารถผลักดันเกมซีรีส์ Monster Hunter เข้าสู่อ้อมใจของเกมเมอร์กระแสหลักทั่วไปได้ในระดับที่เหนือความคาดหมายของหลายๆ คน 


ด้วยประการทั้งหมดที่ว่าไป แน่นอนว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ย่อมต้องคาดหวังกับภาคใหม่อย่าง Monster Hunter: Rise ไม่ต่างกัน แต่ในขณะที่เกมเมอร์นักล่าแย้รุ่นเก๋าๆ อาจจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเกมซีรีส์ยอดรักของพวกเขาหวนคืนสู่คอนโซลพกพาอันเป็นภาพจำหลักของซีรีส์ นักล่าแย้รุ่นใหม่ๆ หลายคนก็อดกังวลไม่ได้ว่าการวางจำหน่ายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่มีพลังน้อยกว่า จะเป็นการก้าวถอยหลังของซีรีส์หรือไม่


หลังจากที่ได้ทดลองเล่นเกมมามากกว่า 50 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่วางจำหน่าย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมภาค Rise อาจจะเป็นเกมที่ “เล็ก” กว่า World อย่างช่วยไม่ได้เพื่อรองรับคอนโซล Switch แต่ผู้เขียนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า Monster Hunter: Rise ก็ยังคงเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของซีรีส์ล่าแย้ยอดฮิต ที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้เล่นเก่าและใหม่ของซีรีส์ได้ไม่ต่างกัน ด้วยการผสมผสานจุดปรับปรุงเกมเพลย์ของภาค World เข้ากับแนวทางแบบคลาสสิคของเกม Monster Hunter ภาคที่ผ่านๆ มา แถมยังเพิ่มระบบเกมเพลย์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอีกมากมาย จนทำให้เกมภาค Rise ถือเป็นและเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอเกมแอคชั่นที่มีเครื่อง Nintendo Switch ทุกคนด้วยประการทั้งปวง และเป็นการคืนสู่ภาพจำอันคลาสสิคของซีรีส์ในฐานะเกมพกพาอีกด้วย


เนื้อเรื่อง


เนื้อเรื่องของเกม Monster Hunter: Rise จะให้ผู้เล่นรับบทเป็นนักล่าแย้หน้าใหม่ไฟแรง ที่จะต้องออกต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์อันหน้าเกรงขามชนิดต่างๆ เพื่อปกป่องบ้านเกิด Kamura Village จากการรุกรานของพวกมัน อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ปริศนาที่เรียกว่า ‘The Rampage’ และสืบหาเบื้องหลังของปรากฏการณ์นั้นเพื่อยับยั้งมันให้ได้ในที่สุด



เช่นเดียวกับในเกม Monster Hunter ทุกภาคที่ผ่านมา เนื้อเรื่องของเกมไม่ได้เป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวมของเกมเท่าไหร่นัก และเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียง “แรงขับ” ให้ผู้เล่นพอมีเหตุผลในการออกไปล่าเหล่าแย้น้อยใหญ่ทั้งหลายซะมากกว่า แม้ว่าเกมภาค Rise จะพยายามประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเรื่องเดียว แถมยังเพิ่มอรรถรสด้วยการใส่เสียงพากย์และตัวละครเด่นๆ เข้าไปมากมายก็ตามที



ที่สำคัญ ผู้พัฒนาเองก็น่าจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องคงไม่ใช่จุดขายสำคัญของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของเกมภาค Rise ค่อนข้างสั้นมากๆ (เล่นจบได้ในเวลาไม่ถึง 15 ชั่วโมง) และมีความเชื่อมโยงกับเกมเพลย์น้อยกว่าในภาค World อย่างชัดเจน ซึ่งก็อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อเสียหนึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการติดตามเนื้อเรื่อง


กราฟิก/การนำเสนอ


หากมองดูผิวเผิน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม Monster Hunter: Rise มีความละเอียดในด้านกราฟิกน้อยกว่าเกมภาค World อย่างแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเกมในเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว (ยิ่งเล่นโหมดพกพายิ่งเห็นชัด) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกมจะภาพไม่สวยไปเลย เพราะก็ยังคงใช้เอนจิ้นกราฟิกตัวเดียวกับ Monster Hunter: World ซึ่งแสดงผลอนิเมชั่นต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการต่อสู้ของตัวละครผู้เล่นและ NPC ต่างๆ ไปจนถึงเหล่าแย้หลากหลายชนิดที่พบได้ในเกม ยิ่งเมื่อเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดและรวดเร็วยิ่งขึ้นของเกมภาคนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่สังเกติเลยด้วยซ้ำ



องค์ประกอบสัคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกราฟิกในเกมอีกอย่างคือเรื่องของการออกแบบศิลป์ (Art Direction) สไตล์ญี่ปุ่นของเกม ที่สามารถสร้างบรรยากาศและชีวิตชีวาให้กับสภาพแวดล้อมในเกมได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน Kamura Village หรือในด่านการล่าแย้อันหลากหลายตั้งแต่ป่าทึบ น้ำตก ทะเลทราย หรือภูเขาไฟก็ตามที และแม้ว่าฉากนอกหมู่บ้านต่างๆ จะมีขนาดเล็กกว่าในภาค World พอสมควร แต่ด้วยระยะการมองเห็น (Draw Distance) อันกว้างใหญ่ของเกม ส่งผลให้ผู้เขียนไม่รู้สึกถึงความเล็กที่ว่านั้นเท่าไหร่นัก การออกแบบศิลป์อันยอดเยี่ยมยังส่งผลถึงเหล่าอาวุธชุดเกราะในเกมด้วย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นจุดดึงดูดใหญ่ๆ ข้อหนึ่งของเกม Monster Hunter อยู่แล้ว และเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นอยากจะออกไปล่าแย้เพื่อนำวัตถุดิบกลับมาสร้างของสวมใส่เท่ๆ เหล่านี้



ในฝั่งของ Performance นั้น Monster Hunter: Rise ถือเป็นเกมที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลมากๆ แม้ว่าเฟรมเรตของเกมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่เพียง 30 FPS เท่านั้น แต่ก็เป็น 30 FPS ที่เสถียรแทบจะตลอดเวลา กระทั่งในจังหวะการเล่น Multiplayer ที่มีผู้เล่น 4 วิ่งไปมาพร้อมกัน แถมเกมยังมีหน้าจอการโหลดน้อยมากๆ และต่อให้โหลดก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 5-10 วินาทีเท่านั้น ทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมเป็นไปอย่างลื่นไหลทันใจยิ่งกว่าในภาค World อีก


เกมเพลย์


ถ้ามองในภาพกว้าง วงจรเกมเพลย์ของ Monster Hunter: Rise ก็ไม่ได้แตกต่างจากสูตรสำเร็จของเกมล่าแย้ทุกภาคที่ผ่านมา ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้อาวุธ 1 ใน 14 ชนิดในการออกไปต่อสู้กับเหล่ามอนส์เตอร์หลากหลายชนิด เพื่อเก็บวัตถุดิบที่ได้จากพวกมันมาสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อออกไปรับมือกับแย้ที่ร้ายกาจขึ้นวนๆ กันไป โดยการต่อสู้ในภาค Rise ดูจะต่อยอดมาจากภาค World ทำให้ยังคงมีความคล่องแคล่วในแง่ของการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคอื่นๆ แต่ในภาค Rise ได้มีการเพิ่มระบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้าไปหลายอย่างที่ทำให้การออกล่าแต่ละครั้งรู้สึกดุเดือดเร้าใจและหลากหลายยิ่งกว่าในภาค World เสียอีก


องค์ประกอบใหม่ที่สำคัญที่สุดในฝั่งของเกมเพลย์ทั้งการต่อสู้และการสำรวจ คงหนีไม่พ้นเหล่าแมลง Wire Bug ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อจังหวะจะโคนในการล่าแย้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกในการหลบหลีกหรือหาช่องว่างในการโจมตีได้มากกว่าในภาค World ที่ผู้เล่นมักจะต้องรอให้เหล่ามอนส์เตอร์เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ซะเอง แถมผู้เล่นยังสามารถใช้เหล่าแมลงพวกนี้ในการห้อยโหนและดึงตัวเองให้พุ่งไปในอากาศได้อย่างอิสระ ทำให้การสำรวจแผนที่ต่างๆ เพื่อหาความลับหรือเก็บทรัพยากรณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ยิ่งเมื่อฝึกใช้ควบคู่กับระบบการปีนป่ายกำแพงที่เพิ่มเข้ามาใหม่จนคล่องนี่แทบจะเหมือนเล่นเกมไอ้แมงมุมอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ความคล่องที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่นก็ทำให้ผู้พัฒนาสามารถปรับให้เหล่ามอนส์เตอร์มีความดุดันและว่องไวมากขึ้นกว่าภาค World ไปด้วย แถมยังมีท่าโจมตีบางท่าที่จำเป็นต้องใช้ระบบ Wire Bug ในการหลบหลีกอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกลัวว่าเกมจะหมดความท้าทายไปซะเลย


เหล่าแมลง Wire Bugs ยังมอบความสามารถชนิดใหม่ที่เรียกว่า Silkbind Moves เข้ามา เปรียบเสมือนท่าพิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เล่นตั้งแต่การป้องกัน หลบหลีก หรือกระทั่งใช้โจมตีมอนส์เตอร์โดยตรงก็ยังได้ โดยอาวุธทั้ง 14 ชนิดจะมี Silkbind Moves ของตัวเองที่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้เพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาวุธยอดนิยมอย่างดาบยาว (Long Sword) ที่สามารถใช้ท่า Soaring Kick เพื่อถีบตัวให้ลอยขึ้นไปและต่อเข้าท่าทิ้งตัวผ่ากบาลมอนส์เตอร์ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นท่า Sakura Slash เพื่อพุ่งตัวเป็นทางตรงผ่านศัตรูและสร้างความเสียหายหลายครั้งเป็นต้น



ผู้เล่นยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าโจมตีในคอมโบธรรมดาของอาวุธด้วยระบบ Switch Skills ได้อีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้วิธีการเล่นอาวุธโดยรวมเปลี่ยนไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอาวุธ Gunlance ที่สามารถสลับเอาท่าชาร์จกระสุน (Charged Shells) ออก เพื่อเปลี่ยนเป็นท่า Blast Dash ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถพุ่งตัวโดยใช้หอกแทนไอพ่นได้ เป็นระบบที่ช่วยเพิ่มอิสระในการสร้างแนวทางการเล่นเฉพาะตัวให้กับเหล่านักล่าแต่ละคน เพราะต่อให้เล่นอาวุธแบบเดียวกัน แต่ถ้าเลือกใช้ท่า Switch Skills ไม่เหมือนกันก็อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไปเลยก็ได้เช่นกัน



อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภาคนี้คือเหล่าน้องหมา Palamute ที่จะสามารถติดสอยห้อยตามเราไปทำภารกิจนอกหมู่บ้านได้ควบคู่ไปกับน้องเหมียว Palico ของเรา โดยจุดเด่นของเหล่า Palamute คือการที่เราสามารถขึ้นขี่พวกมันเพื่อเดินทางไปมาในแผนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสีย Stamina (ค่าความอึด) แถมมันยังช่วยเราต่อสู้กับเหล่าแย้ได้อีกด้วย ซึ่งการที่เกมเปิดให้เราสามารถพกเพื่อนเข้าไปในด่านได้พร้อมกันทีละ 2 ตัวตลอดเวลา ก็ส่งผลให้ภาค Rise มีความเป็นมิตรสำหรับคนที่เล่นคนเดียวมากขึ้น เพราะบางครั้งเหล่าเพื่อนสัตว์ของเราก็จะช่วยดึงความสนใจของศัตรูให้เรามีจังหวะได้พักหายใจอยู่บ้าง



ทั้งนี้ ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเกม Rise จะเป็นข้อดีไปซะหมด โดยในความเห็นของผู้เขียน Monster Hunter: Rise ได้ลดทอนความสำคัญของการสำรวจแผนที่ลงไปอย่างมาก จากการที่เกมจะบอกตำแหน่งของเหล่าแย้ทุกตัวทันทีที่เริ่มด่าน แทนที่จะให้ผู้เล่นต้องตามหารอยเท้าของมอนส์เตอร์ซะก่อนเหมือนในภาค World โดยแม้ว่าบางคนอาจจะมองเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งหามอนส์เตอร์ โดดลงมาถึงก็ซัดกันได้เลย แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่ค่อยมีแรงจูงใจที่จะสำรวจแผนที่ขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่า “ผูกพันธ์” กับสถานที่หรือโลกของเกมน้อยกว่าในภาค World และอาจทำให้ผู้เล่นหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของแต่ละด่านเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พัฒนาดูจะถอดระบบการเอาตัวรอดในเกมออกไปหมดเลย อย่างในภาค World เราอาจจะต้องพกยาชนิดต่างๆ เข้าไปเพื่อรับมือกับสภาพอากาศหนาวหรือร้อนในด่าน แต่ในภาคนี้เรากลับสามารถต่อสู้กัยมอนส์เตอร์ในถ้ำลาวาได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร ซึ่งก็ทำให้ตัวตนของแต่ละด่านรู้สึกเจือจางลงไปเหมือนกัน



สรุป


แม้จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยจากประสิทธิภาพที่น้อยกว่าของเครื่อง Nintendo Switch เมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้าอย่าง World แต่ Monster Hunter: Rise ก็ทดแทนส่วนที่ขาดไปด้วยระบบเกมเพลย์หลายอย่างที่ทำให้เกมรู้สึก “เข้าถึงง่าย” สำหรับผู้เล่นใหม่มากขึ้น แถมยังมีการใส่ระบบจากภาคเก่าๆ เช่นระบบสกิลเกราะ (Armor Skill) แบบเก่าที่เปลี่ยนไปในภาค World ซึ่งก็น่าถูกใจเหล่านักล่าแย้ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่แพ้กัน ใครที่มีเครื่อง Nintendo Switch อยู่แล้ว และอยากลองลิ้มรสซีรีส์เกมสุดอมตะนี้ รับรองว่า Monster Hunter: Rise จะไม่ทำให้คุณผิดหวังว่าแน่นอน


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header