ในการเล่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยโครงสร้างแบบ 3 องก์นั้น “องก์ที่ 2” มักจะเป็นองก์ที่เล่ายากที่สุด เพราะนอกจากจะต้องต่อยอดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปูมาในช่วงแรกของเนื้อเรื่อง “องก์ที่ 2” ยังมีหน้าที่อันสำคัญในการปูพื้นเหตุการณ์ไปสู่บทสรุปในองก์สุดท้ายด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างในองก์ที่ 2 รู้สึกขาดบทสรุปในตัวเองเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในช่วงแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีดังกล่าวสามารถใช้บรรยายซีรีสื Arcane ตอนที่ 4-6 ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าซีรีส์จะยังคงมาตรฐานบทพูดและการออกแบบอนิเมชั่นอันยอดเยี่ยมของตอนแรกๆ และประสบความสำเร็จในการนำเสนอแง่มุมที่กว้างขึ้นของทั้ง Zaun/เมืองเบื้องล่าง และ Piltover แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องปูเส้นเรื่องและปมขัดแย้งหลายๆ อย่างไว้ไปเฉลยในตอนจบ ส่งผลให้ Pacing หรือจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วมาก โดยที่ไม่ได้นำเสนอบทสรุปที่น่าพอใจนักเมื่อเทียบกับองก์แรก
เหตุการณ์ขององก์ 2 เริ่มขึ้นหลายปีหลังตอนจบขององก์แรก โดยเทคโนโลยี Hextech ของเจซและวิคเตอร์ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเมือง Piltover ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่าเดิม แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะสงบ เมื่อเหล่าวายร้ายจากเมืองเบื้องล่างเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเปิดศึกกับเมือง Piltover อย่างลับๆ ในขณะเดียวกัน ‘ไว’ ผู้ซึ่งถูกขังคุกเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องร่วมมือกับนักสืบมือใหม่ไฟแรงอย่าง ‘เคทลิน’ (Caitlyn ฮีโร่อีกตัวจากเกม LoL) เพื่อตามหาน้องสาวของเธอ ผู้ซึ่งกลายเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่ใช้ชื่อว่า ‘จิ๊งซ์’ ไปซะแล้ว
จุดแข็งอย่างหนึ่งของซีรีส์ ‘Arcane’ ที่ผู้เขียนเคยกล่าวชมไปในรีวิวองก์แรกของซีรีส์ คือการที่ทีมนักเขียนเลือกจะมุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ของพี่น้องไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์เป็นหัวใจหลัก ในขณะที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์ทำหน้าที่ในการ “ปูพื้น” ธีมแฟนตาซีต่างๆ ของโลก องก์ที่ 2 ดูจะเทความสำคัญไปที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์มากกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้คนดูสามารถมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องราวของไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์ควรได้รับการพัฒนามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ควรเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงจากพาวเดอร์ไปสู่จิ๊งซ์ได้มากกว่านี้ซะหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางถึงเปลี่ยนให้เด็กน้อยไม่สู้คนอย่างพาวเดอร์ กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งอย่างจิ๊งซ์ไปได้
ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเจซและวิคเตอร์จะไม่น่าติดตามไปซะทีเดียว โดยเฉพาะปมความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนที่มีน้ำหนักทางอารมณ์อยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์ แต่ด้วยจุดประสงค์ของเรื่องราวเหล่านั้นในการ “ปูพื้น” ให้กับโลกของซีรีส์ในภาพใหญ่ ทำให้เรื่องราวของทั้งสองเข้าไปพัวพันกับการเมืองต่างๆ ของ Piltover ด้วย ซึ่งอาจจะไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับความสัมพันธ์พี่น้องในองก์แรก โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ หน้าใหม่ที่ไม่ได้มีความผูกพันธ์กับโลกของ LoL มาก่อน
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะไม่ได้รู้สึก “อิ่ม” ในตัวเองมากเท่ากับสามตอนแรก/องก์แรก แต่ Arcane องก์ 2 (4-6) ก็ยังคงรักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ โดยเฉพาะในแง่ของอนิเมชั่นอันสวยงาม และฉากแอคชั่นที่ออกแบบมุมกล้องมาได้น่าตื่นเต้นเสมอ คงต้องไปวัดกันในองก์สุดท้ายที่ออกอากาศในวันที่ 20 พฤษจิกายนนี้ ว่าซีรีส์จะสามารถควบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ไปสู่จุดจบที่น่าพอใจได้แค่ไหน
ในการเล่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยโครงสร้างแบบ 3 องก์นั้น “องก์ที่ 2” มักจะเป็นองก์ที่เล่ายากที่สุด เพราะนอกจากจะต้องต่อยอดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปูมาในช่วงแรกของเนื้อเรื่อง “องก์ที่ 2” ยังมีหน้าที่อันสำคัญในการปูพื้นเหตุการณ์ไปสู่บทสรุปในองก์สุดท้ายด้วย ทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างในองก์ที่ 2 รู้สึกขาดบทสรุปในตัวเองเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในช่วงแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีดังกล่าวสามารถใช้บรรยายซีรีสื Arcane ตอนที่ 4-6 ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าซีรีส์จะยังคงมาตรฐานบทพูดและการออกแบบอนิเมชั่นอันยอดเยี่ยมของตอนแรกๆ และประสบความสำเร็จในการนำเสนอแง่มุมที่กว้างขึ้นของทั้ง Zaun/เมืองเบื้องล่าง และ Piltover แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องปูเส้นเรื่องและปมขัดแย้งหลายๆ อย่างไว้ไปเฉลยในตอนจบ ส่งผลให้ Pacing หรือจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วมาก โดยที่ไม่ได้นำเสนอบทสรุปที่น่าพอใจนักเมื่อเทียบกับองก์แรก
เหตุการณ์ขององก์ 2 เริ่มขึ้นหลายปีหลังตอนจบขององก์แรก โดยเทคโนโลยี Hextech ของเจซและวิคเตอร์ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเมือง Piltover ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งกว่าเดิม แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะสงบ เมื่อเหล่าวายร้ายจากเมืองเบื้องล่างเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเปิดศึกกับเมือง Piltover อย่างลับๆ ในขณะเดียวกัน ‘ไว’ ผู้ซึ่งถูกขังคุกเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องร่วมมือกับนักสืบมือใหม่ไฟแรงอย่าง ‘เคทลิน’ (Caitlyn ฮีโร่อีกตัวจากเกม LoL) เพื่อตามหาน้องสาวของเธอ ผู้ซึ่งกลายเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่ใช้ชื่อว่า ‘จิ๊งซ์’ ไปซะแล้ว
จุดแข็งอย่างหนึ่งของซีรีส์ ‘Arcane’ ที่ผู้เขียนเคยกล่าวชมไปในรีวิวองก์แรกของซีรีส์ คือการที่ทีมนักเขียนเลือกจะมุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ของพี่น้องไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์เป็นหัวใจหลัก ในขณะที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์ทำหน้าที่ในการ “ปูพื้น” ธีมแฟนตาซีต่างๆ ของโลก องก์ที่ 2 ดูจะเทความสำคัญไปที่เรื่องราวของเจซและวิคเตอร์มากกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้คนดูสามารถมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องราวของไวและพาวเดอร์/จิ๊งซ์ควรได้รับการพัฒนามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ควรเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงจากพาวเดอร์ไปสู่จิ๊งซ์ได้มากกว่านี้ซะหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางถึงเปลี่ยนให้เด็กน้อยไม่สู้คนอย่างพาวเดอร์ กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งอย่างจิ๊งซ์ไปได้
ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้จะบอกว่าเนื้อเรื่องของเจซและวิคเตอร์จะไม่น่าติดตามไปซะทีเดียว โดยเฉพาะปมความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนที่มีน้ำหนักทางอารมณ์อยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวของไวและพาวเดอร์ แต่ด้วยจุดประสงค์ของเรื่องราวเหล่านั้นในการ “ปูพื้น” ให้กับโลกของซีรีส์ในภาพใหญ่ ทำให้เรื่องราวของทั้งสองเข้าไปพัวพันกับการเมืองต่างๆ ของ Piltover ด้วย ซึ่งอาจจะไม่ได้น่าติดตามมากเท่ากับความสัมพันธ์พี่น้องในองก์แรก โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ หน้าใหม่ที่ไม่ได้มีความผูกพันธ์กับโลกของ LoL มาก่อน
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะไม่ได้รู้สึก “อิ่ม” ในตัวเองมากเท่ากับสามตอนแรก/องก์แรก แต่ Arcane องก์ 2 (4-6) ก็ยังคงรักษามาตรฐานหลายๆ อย่างเอาไว้ โดยเฉพาะในแง่ของอนิเมชั่นอันสวยงาม และฉากแอคชั่นที่ออกแบบมุมกล้องมาได้น่าตื่นเต้นเสมอ คงต้องไปวัดกันในองก์สุดท้ายที่ออกอากาศในวันที่ 20 พฤษจิกายนนี้ ว่าซีรีส์จะสามารถควบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ไปสู่จุดจบที่น่าพอใจได้แค่ไหน