GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ซีซั่น 1: ซีรีส์อนิเมชั่นที่จะกลายเป็น "ตำนาน" สมชื่อ League of Legends
ลงวันที่ 23/11/2021

ไม่ว่าจะในฐานะอดีต “เกมออนไลน์ที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลก” หรือ “หนึ่งในเกมอีสปอร์ตชั้นนำของโลก” ไปจนถึงการมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีผ่านวง Virtual ต่างๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นด้วยว่า ‘League of Legends’ ถือเป็นเกมและ/หรือแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควรอยู่แล้ว โดยน้อยคนในวงการเกมที่จะไม่รู้จักกับเกมนี้ ไม่ว่าจะเคยเล่นหรือไม่ก็ตาม

แต่ไม่ว่าแฟรนไชส์ LoL จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในอดีต เชื่อว่าทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของความสำเร็จที่แท้จริงของแฟรนไชส์เท่านั้น เพราะซีรีส์อนิเมชั่น ‘Arcane’ ได้พิสูจน์แล้วว่าจักรวาล League of Legends ที่เราเคยเห็นมาตลอด เป็นเพียงเสี้ยวกระจิ๊ดริดของศักยภาพที่แท้จริงของแฟรนไชส์นี้ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนออกมาได้อย่างเฉียบคม และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เมื่อนำมารวมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูโดยค่ายสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Productions ทำให้ Arcane ไม่ได้เป็นเพียงผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดบน Netflix แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของการดัดแปลงวิดีโอเกมเลยทีเดียว

(อ่านรีวิว ตอน 1-3 และ 4-6)

เรื่องราวของ Arcane จะตั้งอยู่ในเมือง Piltover เมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันีุ่งเรือง และ Zaun ย่านสลัมใต้ดินของเมือง Piltover ที่รู้จักกันในนาม “เมืองเบื้องล่าง” (Undercity) ที่ถูกควบคุมโดยอาชญากรและแก๊งมาเฟียต่างๆ แถมยังปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีและก๊าซจากใต้ดิน ทำให้สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองเป็นไปอย่างลำบาก โดยผู้คนจากเมืองทั้งสองต่างมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม ในฝั่ง Piltover ก็มองชาวเมืองเบื้องล่างเป็นเพียงเดนมนุษย์สกปรก ในขณะที่ชาวเมือง Zaun ก็มองผู้คนในอีกเมืองเป็นผู้กดขี่ที่คอยเอาเปรียบพวกเขาตลอดเวลา

ความขัดแย้งที่ก่อตัวมายาวนาน นำไปสู่การก่อจลาจลโดยผู้คนของเมืองเบื้องล่างที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก Piltover และปกครองตนเอง ซึ่งถูกปราบอย่างโหดเหี้ยมโดยกองกำลังรักษากฏหมายของ Piltover โดยในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตยังรวมถึงพ่อแม่ของ ‘ไว’ (Vi ย่อจาก Violet) และ ‘พาวเดอร์’ สองพี่น้องจากเมืองเบื้องล่าง ผู้ซึ่งต้องเอาชีวิตรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ของพวกเธอ

ซีรีส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งของไวและพาวเดอร์ได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมือง Piltover โดยการกระทำครั้งนั้นทำให้พวกเธอต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และ Zaun อีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอลงในที่สุด

เนื้อเรื่องของ Arcane ซีซั่นแรกอาจแยกออกได้เป็นสองซีกใหญ่ๆ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ไว’ และ ‘พาวเดอร์’ เป็นซีกแรก ในขณะที่อีกซีกคือเรื่องราวของเจซ (Jayce) และวิคเตอร์ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ให้กำเนิดเทคโนโลยี ‘Hextech’ เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมเวทมนต์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์

สำหรับผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนดั้งเดิมของ LoL ความสัมพันธ์พี่-น้องของไวและพาวเดอร์ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อนว่าพวกเธอเป็นใครในบริบทของโลก Runeterra เพราะปมขัดแย้งต่างๆ ของทั้งสอง ในขณะที่เจซและวิคเตอร์ก็ช่วยให้ทั้งแฟนดั้งเดิมและแฟนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกับโลกของซีรีส์ได้ลึกขึ้น และได้เห็นแง่มุมที่อาจไม่เคยได้เห็นมาก่อนในเกมหรือสื่ออื่นๆ ในแฟรนไชส์ League of Legends อีกด้วย

สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเมื่อมองซีรีส์จากภายนอก คือการที่เนื้อเรื่องและเหตุการณ์หลายๆ อย่างถูกนำเสนอด้วย “ความเป็นผู้ใหญ่” มากอย่างคาดไม่ถึง ตัวละครทุกตัวต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์และความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญคือเหตุการณ์ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกของ “มนุษย์” ล้วนๆ มากกว่าจะเป็นเหตุผลไซไฟแฟนตาซีกู้โลกอะไรก็ไม่รู้ โดยไม่มีการแก้ปัญหาแบบ “เอาง่าย” หรือ “ขอไปที” เลยในฝั่งของผู้เขียนบท

เรื่องราวทั้งหมดยังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานอนิเมชั่นชั้นครูของ Fortiche Productions ที่สามารถผสมผสานกราฟฟิกแบบ 2D และ 3D เข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งสามารถมอบชีวิตชีวาให้กับตัวละครทุกตัวได้อย่าง “สมจริง” ทั้งในแง่ภาษากายและสีหน้า ซึ่งไม่ใช่คำชมที่มักจะนึกถึงเวลาพูดถึงผลงานอนิเมชั่นที่จัดจ้านขนาดนี้ ทำให้ภาพทุกฉากในซีรีส์มอบความรู้สึกราวกับภาพสีน้ำที่ขยับได้ และที่น่าชมมากกว่านั้นอีกคือเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ ที่สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมา พร้อมนำพาอารมณ์ของผู้ชมไปด้วยอย่างแยบยล

หากจะมีอะไรให้ตำหนิซะหน่อยเกี่ยวกับซีซั่นแรกนี้ โดยส่วนตัวคงเป็นเรื่องของ Pacing หรือจังหวะในการเล่าเรื่องที่รวดเร็วเหลือเกิน โดยทิ้งคำถามหลายๆ อย่างให้ผู้ชมต้องตีความคำตอบเอาเองจากบทพูดหรือองค์ประกอบในฉาก มากกว่าจะแสดงคำตอบนั้นให้เห็นตรงๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้ผลงานด้านการอนิเมชั่นและเนื้อเรื่องโดยรวมเสียไปนัก แต่ก็อาจพูดได้ว่าซีรีส์ Arcane มักจะทำผิดกฏ “Show, Don’t Tell” (จงแสดงให้เห็น มากกว่าเล่าให้ฟัง) ของสื่อซีรีส์และภาพยนตร์บ่อยครั้งเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นตัวละครพาวเดอร์ ที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างถึงได้เสียสติไปเช่นนี้? อะไรทำให้เด็กหญิงขี้อายไม่สู้คนในซีรีส์ตอนที่ 3 กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งที่พร้อมฆ่าคนไม่เลือกหน้า? เธอใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้เก่งขึ้นขนาดนั้น?

หรืออย่างความสัมพันธ์ระหว่างจิ๊งซ์และพ่อบุณธรรมอย่างซิลโก้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองถึงทำให้รักกันขนาดนั้น ถึงขนาดที่ซิลโก้พร้อมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตและความใฝ่ฝันของตัวเองเพื่อจิ๊งซ์ได้? 

หรือกระทั่งพัฒนาการของเจซ จากหนุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ประสา ไปสู่ผู้นำของสภาปกครองเมือง Piltover ที่พร้อมจะเขี่ยอาจารย์ผู้นับถืออย่าง Heimerdinger ไปจากตำแหน่ง ซึ่งแลดูจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจซยังเกรงใจ Heimerdinger จนไม่กล้าเปิดเผยสิ่งประดิษฐ์ใหม่อยู่เลย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียง “ความเรื่องมาก” ของผู้เขียนคนเดียว และต้องยืนยันว่าผู้เขียนยังมอง Arcane เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมในระดับที่หาผลงานมาเทียบได้ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถ้าซีรีส์ให้เวลาในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปทีละขั้น หรือซีซั่นมีความยาวกว่านี้ซัก 2-3 ตอน ก็อาจจะมีพื้นที่มากพอจะให้เหตุการณ์ต่างๆ สามารถดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นข้อจำกัดในด้านการผลิต เพราะแค่ซีซั่นแรกนี้ก็ใช้เวลาสร้างกว่า 6 ปีแล้ว และซีซั่น 2 ที่จะตามมาก็อาจกินเวลามากกว่า 2 ปีในการผลิต สุดท้ายการใช้ทางลัดในการเล่าเรื่องบ้างจึงอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในฝั่งของผู้สร้าง

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Arcane เป็นผลงานอนิเมชั่นที่ตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับผลงานการดัดแปลงเกมสู่ซีรีส์หรือภาพยนตร์ รวมไปถึงซีรีส์อนิเมชั่นโดยรวมด้วย ที่สำคัญคือ Arcane ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับซีรีส์ League of Legends ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน และทำให้แฟรนไชส์ MOBA ที่กระแสนิยมเริ่มตกลง สามารถกลับมาฮิตติดปากทั้งเกมเมอร์และผู้บริโภคทั่วไปได้ไม่ต่างกัน

แม้จะมีข้อติเล็กน้อยในส่วนของจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไปหมด แต่บอกเลยว่าถ้าผลงานในร่ม Riot Forge สามารถคงมาตรฐานที่ทั้ง Arcane และ Ruined King: A League of Legends Story ได้ตั้งเอาไว้สำหรับผลงานอื่นๆ ในอนาคต ความฝันที่จะดัน League of Legends ให้กลายเป็น “แฟรนไชส์แห่งยุคสมัย” ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม

บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] ซีรีส์ 'Arcane' ซีซั่น 1: ซีรีส์อนิเมชั่นที่จะกลายเป็น "ตำนาน" สมชื่อ League of Legends
23/11/2021

ไม่ว่าจะในฐานะอดีต “เกมออนไลน์ที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลก” หรือ “หนึ่งในเกมอีสปอร์ตชั้นนำของโลก” ไปจนถึงการมีตัวตนอยู่ในวงการดนตรีผ่านวง Virtual ต่างๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นด้วยว่า ‘League of Legends’ ถือเป็นเกมและ/หรือแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควรอยู่แล้ว โดยน้อยคนในวงการเกมที่จะไม่รู้จักกับเกมนี้ ไม่ว่าจะเคยเล่นหรือไม่ก็ตาม

แต่ไม่ว่าแฟรนไชส์ LoL จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในอดีต เชื่อว่าทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของความสำเร็จที่แท้จริงของแฟรนไชส์เท่านั้น เพราะซีรีส์อนิเมชั่น ‘Arcane’ ได้พิสูจน์แล้วว่าจักรวาล League of Legends ที่เราเคยเห็นมาตลอด เป็นเพียงเสี้ยวกระจิ๊ดริดของศักยภาพที่แท้จริงของแฟรนไชส์นี้ ด้วยเนื้อเรื่องและตัวละครที่เขียนออกมาได้อย่างเฉียบคม และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม เมื่อนำมารวมกับผลงานอนิเมชั่นและการจัดภาพชั้นครูโดยค่ายสัญชาติฝรั่งเศษ Fortiche Productions ทำให้ Arcane ไม่ได้เป็นเพียงผลงานอนิเมชั่นที่ดีที่สุดบน Netflix แต่อาจเป็นผลงานซีรีส์อนิเมชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของการดัดแปลงวิดีโอเกมเลยทีเดียว

(อ่านรีวิว ตอน 1-3 และ 4-6)

เรื่องราวของ Arcane จะตั้งอยู่ในเมือง Piltover เมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันีุ่งเรือง และ Zaun ย่านสลัมใต้ดินของเมือง Piltover ที่รู้จักกันในนาม “เมืองเบื้องล่าง” (Undercity) ที่ถูกควบคุมโดยอาชญากรและแก๊งมาเฟียต่างๆ แถมยังปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีและก๊าซจากใต้ดิน ทำให้สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองเป็นไปอย่างลำบาก โดยผู้คนจากเมืองทั้งสองต่างมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม ในฝั่ง Piltover ก็มองชาวเมืองเบื้องล่างเป็นเพียงเดนมนุษย์สกปรก ในขณะที่ชาวเมือง Zaun ก็มองผู้คนในอีกเมืองเป็นผู้กดขี่ที่คอยเอาเปรียบพวกเขาตลอดเวลา

ความขัดแย้งที่ก่อตัวมายาวนาน นำไปสู่การก่อจลาจลโดยผู้คนของเมืองเบื้องล่างที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก Piltover และปกครองตนเอง ซึ่งถูกปราบอย่างโหดเหี้ยมโดยกองกำลังรักษากฏหมายของ Piltover โดยในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตยังรวมถึงพ่อแม่ของ ‘ไว’ (Vi ย่อจาก Violet) และ ‘พาวเดอร์’ สองพี่น้องจากเมืองเบื้องล่าง ผู้ซึ่งต้องเอาชีวิตรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อยพร้อมกับแก๊งโจรเล็กๆ ของพวกเธอ

ซีรีส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งของไวและพาวเดอร์ได้รับคำแนะนำให้ไปปล้นห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมือง Piltover โดยการกระทำครั้งนั้นทำให้พวกเธอต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง Piltover และ Zaun อีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอลงในที่สุด

เนื้อเรื่องของ Arcane ซีซั่นแรกอาจแยกออกได้เป็นสองซีกใหญ่ๆ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ไว’ และ ‘พาวเดอร์’ เป็นซีกแรก ในขณะที่อีกซีกคือเรื่องราวของเจซ (Jayce) และวิคเตอร์ (Viktor) สองนักประดิษฐ์หนุ่มไฟแรงที่ให้กำเนิดเทคโนโลยี ‘Hextech’ เพื่อให้มนุษย์สามารถควบคุมเวทมนต์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์

สำหรับผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนดั้งเดิมของ LoL ความสัมพันธ์พี่-น้องของไวและพาวเดอร์ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อนว่าพวกเธอเป็นใครในบริบทของโลก Runeterra เพราะปมขัดแย้งต่างๆ ของทั้งสอง ในขณะที่เจซและวิคเตอร์ก็ช่วยให้ทั้งแฟนดั้งเดิมและแฟนหน้าใหม่ได้ทำความรู้จักกับโลกของซีรีส์ได้ลึกขึ้น และได้เห็นแง่มุมที่อาจไม่เคยได้เห็นมาก่อนในเกมหรือสื่ออื่นๆ ในแฟรนไชส์ League of Legends อีกด้วย

สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเมื่อมองซีรีส์จากภายนอก คือการที่เนื้อเรื่องและเหตุการณ์หลายๆ อย่างถูกนำเสนอด้วย “ความเป็นผู้ใหญ่” มากอย่างคาดไม่ถึง ตัวละครทุกตัวต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์และความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญคือเหตุการณ์ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึกของ “มนุษย์” ล้วนๆ มากกว่าจะเป็นเหตุผลไซไฟแฟนตาซีกู้โลกอะไรก็ไม่รู้ โดยไม่มีการแก้ปัญหาแบบ “เอาง่าย” หรือ “ขอไปที” เลยในฝั่งของผู้เขียนบท

เรื่องราวทั้งหมดยังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานอนิเมชั่นชั้นครูของ Fortiche Productions ที่สามารถผสมผสานกราฟฟิกแบบ 2D และ 3D เข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งสามารถมอบชีวิตชีวาให้กับตัวละครทุกตัวได้อย่าง “สมจริง” ทั้งในแง่ภาษากายและสีหน้า ซึ่งไม่ใช่คำชมที่มักจะนึกถึงเวลาพูดถึงผลงานอนิเมชั่นที่จัดจ้านขนาดนี้ ทำให้ภาพทุกฉากในซีรีส์มอบความรู้สึกราวกับภาพสีน้ำที่ขยับได้ และที่น่าชมมากกว่านั้นอีกคือเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ ที่สามารถสื่อความหมายและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครออกมา พร้อมนำพาอารมณ์ของผู้ชมไปด้วยอย่างแยบยล

หากจะมีอะไรให้ตำหนิซะหน่อยเกี่ยวกับซีซั่นแรกนี้ โดยส่วนตัวคงเป็นเรื่องของ Pacing หรือจังหวะในการเล่าเรื่องที่รวดเร็วเหลือเกิน โดยทิ้งคำถามหลายๆ อย่างให้ผู้ชมต้องตีความคำตอบเอาเองจากบทพูดหรือองค์ประกอบในฉาก มากกว่าจะแสดงคำตอบนั้นให้เห็นตรงๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้ทำให้ผลงานด้านการอนิเมชั่นและเนื้อเรื่องโดยรวมเสียไปนัก แต่ก็อาจพูดได้ว่าซีรีส์ Arcane มักจะทำผิดกฏ “Show, Don’t Tell” (จงแสดงให้เห็น มากกว่าเล่าให้ฟัง) ของสื่อซีรีส์และภาพยนตร์บ่อยครั้งเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นตัวละครพาวเดอร์ ที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างถึงได้เสียสติไปเช่นนี้? อะไรทำให้เด็กหญิงขี้อายไม่สู้คนในซีรีส์ตอนที่ 3 กลายเป็นอาชญากรบ้าคลั่งที่พร้อมฆ่าคนไม่เลือกหน้า? เธอใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้เก่งขึ้นขนาดนั้น?

หรืออย่างความสัมพันธ์ระหว่างจิ๊งซ์และพ่อบุณธรรมอย่างซิลโก้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองถึงทำให้รักกันขนาดนั้น ถึงขนาดที่ซิลโก้พร้อมจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตและความใฝ่ฝันของตัวเองเพื่อจิ๊งซ์ได้? 

หรือกระทั่งพัฒนาการของเจซ จากหนุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ประสา ไปสู่ผู้นำของสภาปกครองเมือง Piltover ที่พร้อมจะเขี่ยอาจารย์ผู้นับถืออย่าง Heimerdinger ไปจากตำแหน่ง ซึ่งแลดูจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจซยังเกรงใจ Heimerdinger จนไม่กล้าเปิดเผยสิ่งประดิษฐ์ใหม่อยู่เลย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียง “ความเรื่องมาก” ของผู้เขียนคนเดียว และต้องยืนยันว่าผู้เขียนยังมอง Arcane เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมในระดับที่หาผลงานมาเทียบได้ยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถ้าซีรีส์ให้เวลาในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปทีละขั้น หรือซีซั่นมีความยาวกว่านี้ซัก 2-3 ตอน ก็อาจจะมีพื้นที่มากพอจะให้เหตุการณ์ต่างๆ สามารถดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นข้อจำกัดในด้านการผลิต เพราะแค่ซีซั่นแรกนี้ก็ใช้เวลาสร้างกว่า 6 ปีแล้ว และซีซั่น 2 ที่จะตามมาก็อาจกินเวลามากกว่า 2 ปีในการผลิต สุดท้ายการใช้ทางลัดในการเล่าเรื่องบ้างจึงอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในฝั่งของผู้สร้าง

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะมีข้อตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Arcane เป็นผลงานอนิเมชั่นที่ตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับผลงานการดัดแปลงเกมสู่ซีรีส์หรือภาพยนตร์ รวมไปถึงซีรีส์อนิเมชั่นโดยรวมด้วย ที่สำคัญคือ Arcane ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับซีรีส์ League of Legends ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน และทำให้แฟรนไชส์ MOBA ที่กระแสนิยมเริ่มตกลง สามารถกลับมาฮิตติดปากทั้งเกมเมอร์และผู้บริโภคทั่วไปได้ไม่ต่างกัน

แม้จะมีข้อติเล็กน้อยในส่วนของจังหวะการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไปหมด แต่บอกเลยว่าถ้าผลงานในร่ม Riot Forge สามารถคงมาตรฐานที่ทั้ง Arcane และ Ruined King: A League of Legends Story ได้ตั้งเอาไว้สำหรับผลงานอื่นๆ ในอนาคต ความฝันที่จะดัน League of Legends ให้กลายเป็น “แฟรนไชส์แห่งยุคสมัย” ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header