GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] Kirby and the Forgotten Land อีกหนึ่งร่างสมบูรณ์ของ 'เกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ตามสไตล์ Nintendo'
ลงวันที่ 29/03/2022

Kirby เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่อยู่กับทาง Nintendo มาอย่างยาวนาน โดยภาคแรกนั้นได้เปิดตัวออกมาภายในปี 1992 ในชื่อภาค Kirby's Dream Land ซึ่งตัวเกมก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างดี ไปจนถึงยอดขายที่ยอดเยี่ยม จึงส่งผลให้ชื่อของ Kirby ได้รับการสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง


ซึ่งในปี 2022 นี้ ก็เป็นโอกาสครบรอบ 30 ปี ของตัวเกม Kirby แบบพอดิบพอดี แน่นอนว่าทาง Nintendo และ HAL Laboratory ไม่พลาดที่จะนำโอกาสอันดีเช่นนี้ ปล่อยเกมภาคใหม่ของเจ้าก้อนกลมสีชมพู ในชื่อภาค Kirby and the Forgotten Land ที่เป็นการนำตัวของ Kirby เข้าไปสู่โลก 3 มิติแบบจริง ๆ กันเสียที


ซึ่งตัวเกมจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหนนั้น รีวิวนี้มีคำตอบครับ


เนื้อเรื่องย่อยง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลวงเปล่า


แฟน ๆ ของ Kirby น่าจะรู้กันดีว่า เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ภายในเกม Kirby ภาคหลักทุกภาคนั้น จะเป็นเหมือนกับของแถมเสียมากกว่า ด้วยพล็อตสไตล์โบราณที่ว่าด้วยตัวร้ายออกมาก่อความวุ่นวาย และมีพระเอกอย่าง Kirby ที่ต้องเข้าไปคลี่คลายปัญหาให้ลุล่วง มันก็ถูกทำซ้ำมากว่า 30 ปีแล้ว


ซึ่งตัวเกมในภาค Kirby and the Forgotten Land ได้พยายามที่จะฉีกตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ อยู่บ้าง ด้วยการเริ่มเรื่องที่ให้ Kirby และเหล่า Waddle Dee ต้องหลุดในต่างดินแดนผ่านรอยแยกของมิติ แต่สุดท้ายแล้ว แก่นหลักของเนื้อเรื่องมันก็ยังเป็นการต้องไปปราบตัวร้ายที่หวังจะทำเรื่องชั่ว ๆ อยู่ดีนั่นแหละ


โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Kirby ที่หลุดเข้าไปใน Forgotten Land ดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งในช่วงคลี่คลายปมของเรื่องราวก็ยังได้มีการเฉลยอีกด้วยว่า ทำไมดินแดนนี้ถึงถูกทิ้งร้างกันนะ และช่วยทำให้ตัวร้ายภายในเกมดูมีมิติมากขึ้น แทนที่จะเป็นการทำชั่วแบบไร้เหตุไร้ผลแบบในภาคก่อน ๆ 




ทั้งนี้ ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่มาเล่น Kirby เพราะหวังจะติดตามเนื้อเรื่องกันหรอก (หรือถ้ามี มันก็คงเป็นอัตราส่วนที่น้อยมากจริง ๆ) และยังเชื่ออีกว่า ทางผู้พัฒนาอย่าง HAL Laboratory ก็คงรู้ตัวเองดีเช่นกัน ถึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่าเรื่องมากขนาดนั้น และไปมุ่งเน้นที่เกมเพลย์เสียมากกว่า


ระบบการเล่นที่ยังคงสนุก แถมเสริมด้วยความสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์


หากมองผิวเผินในครั้งแรก หลายคนคงน่าจะคิดเหมือนกันว่า นี่มันคือ Super Mario Odyssey เวอร์ชัน Kirby ชัด ๆ เลย

เพราะไม่ว่าจะเป็น มุมกล้อง ฉาก 3 มิติเต็มรูปแบบครั้งแรกของซีรีส์ ไปจนถึงระบบ Mouthful Mode ที่คล้ายกับการ Capturing (โยนหมวก) ของ Mario เพื่อเข้าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ก็ยังดูคล้ายกันราวยังกับแกะ




ทว่าเมื่อได้ลองสัมผัสเกมเพลย์เองแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า ทาง Kirby ค่อนข้างจะทำได้เหนือกว่า Mario ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะด้วยไอเดียดั้งเดิมของตัว Kirby ที่สามารถลอกแบบพลังของศัตรูได้นั้น ถูกผสานเข้ากับไอเดียใหม่ในภาคนี้อย่างระบบอัปเกรดพลัง ไปจนถึง Mouthful Mode ที่ใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ องค์ประกอบเหล่านี้นี่เองที่ช่วยทำให้เกมการเล่นของ Kirby ดูมีมิติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อย


แถมระบบอัปเกรดนี้ ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนเล่นออกตามหาวัสดุที่ใช้ในการอัปเกรดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดลับที่ซ่อนอยู่ตามด่านหลัก หรือจะเป็นด่านรองที่มาในรูปแบบของ Challenge ให้ผู้เล่นได้ท้าทาย แม้กระทั่ง Mini Game อย่าง Colosseum ก็ยังมีของรางวัลตอบแทนเช่นกัน

ด้วยการออกแบบเกมที่ให้รางวัลกับผู้เล่นในทุกกิจกรรม นี่จึงทำให้คนเล่นแทบจะไม่อยากพลาดความลับหรือ Mini Game ไปแม้แต่อันเดียวเลย




ซึ่งต่างจาก  Super Mario Odyssey ที่การเก็บพวกไอเทมต่าง ๆ จะใช้แค่ในปลดล็อกด่านถัดไป และ Skin สวมใส่สำหรับ Mario เท่านั้นเอง


การออกแบบฉากที่ยอดเยี่ยม ทำให้การผจญภัยดูสดใหม่อยู่เสมอ


ถึงตัวเกมจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ 3 มิติ แต่มุมกล้องภายในเกมก็ยังมีความ Fix อยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นหมุนกล้องได้ตามใจชอบเหมือนเกมที่มีมุมมอง Third Person ทั่ว ๆ ไป


ทว่าทางผู้พัฒนากลับทำให้สิ่งที่ควรเป็นข้อเสียตรงนี้ กลายเป็นจุดแข็งของเกมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการวางไอเทม ไปจนถึงทางลับตามจุดต่าง ๆ ก็ได้มีการซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล หลบมุมกล้องไปเพียงนิดเดียว เป็นการออกแบบสไตล์ที่มอบรางวัลให้กับคนช่างสังเกต ปนกับการแอบบอกใบ้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจูงมือชี้ทางตรงไปหาไอเทมเลย


อีกทั้งการใช้มุมกล้องกึ่ง Fix ยังช่วยในเรื่องของการสร้างอารมณ์ให้กับผู้เล่นได้อีกด้วย เช่น ในฉากที่ต้องการให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่หรือความน่าเกรงขามของแผนที่ ตัวเกมจะปรับมุมกล้องไปกลายเป็นมุมเสย ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากสิ่งที่ใหญ่กว่า หรือในบางฉากที่ต้องการให้แก้ปริศนา มุมกล้องก็จะถูกดันให้กลายเป็นแบบ Bird Eye View มองลงมา ช่วยอำนวยความสะดวกในการมองภาพรวมของปริศนามากยิ่งขึ้น




อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชื่นชมก็คือ การออกแบบฉากภายในเกม ที่ไต่ระดับความยากได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งการวางจุดเกิดของศัตรู ไปจนถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีระหว่างทาง ช่วยให้การเล่นตลอดเกมยังคงรู้สึกท้าทาย แม้จะการอัปเกรดพลังของ Kirby เข้ามาช่วยแล้วก็ตาม




และทางผู้พัฒนายังได้นำเสนอการผจญภัยในด่านต่าง ๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะตลอดการเล่น ตัว Kirby จะได้เผชิญกับการแก้ปริศนาที่ต้องใช้การพลิกแพลงมากขึ้น และยังต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุมของผู้เล่นมากขึ้นอีกด้วย

ช่วยให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อเลย แม้จะเล่นเพลินยาวตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมเลยก็ตาม


Mouthful Mode ระบบใหม่ที่ภายนอกอาจจะดูพื้น ๆ แต่ก็ช่วยขยายความเป็นไปได้อย่างมากมาย


หากใครได้ตามข่าวสารของตัวเกมมาบ้าง ก็น่าจะเคยเห็น Trailer ที่แสดงให้เห็นถึง Mouthful Mode ระบบใหม่ในภาคนี้ โดยตัว Kirby จะทำการดูดกลืนสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในร่างกาย และควบคุมสิ่งเหล่านั้นอีกที เช่น รถ กรวย น้ำ ไปจนถึงเครื่องร่อน ซึ่งภายในตัวเกมนั้นได้นำเสนอ Mouthful Mode อีกมากมายให้ผู้เล่นรอได้สัมผัสกัน

แถม Mouthful Mode นี้ ยังช่วยเข้ามาทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นอีกด้วย ทั้งฉากที่ต้องอาศัยความเร็ว ก็ต้องใช้รถยนต์เข้าช่วย  ฉากไต่พื้นที่ต่างระดับต้องใช้แท่นยกพลิกแพลง ฉากที่ต้องทลายพื้นดินต้องใช้กรวยทิ่มลงไป ฉากที่มืดต้องใช้หลอดไฟส่องสว่าง ไปจนถึงฉากบนอากาศก็ต้องใช้เครื่องร่อนนำพา Kirby ไปให้ถึงจุดหมาย 




ถึงแรกเริ่ม Mouthful Mode อาจจะดูเรียบง่ายเมื่อเทียบกับพลัง Copy abiblity ของตัว Kirby ก็จริง แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนเล่นสนุกกับเกมได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แพ้กับระบบอื่น ๆ เลยเช่นกัน


ประสิทธิภาพดี เฟรมไม่มีตก


ถึงเครื่อง Nintendo Switch จะมีอายุปาเข้าไป 5 ขวบแล้ว แถมตัวสเป็กของเครื่องก็อาจจะไม่ได้มีความแรงมากนัก หากเทียบกับ Console จากค่ายอื่น ๆ แต่ Kirby and the Forgotten Land ก็ยังสามารถทำประสิทธิภาพบนเครื่องพกพาสีน้ำเงินแดงนี้ได้อย่างน่าประทับใจ




ทุกฉากจะรันอยู่บนความลื่น 30 FPS ตลอดเวลา อาจจะมีบางจังหวะที่กระตุกบ้าง แต่ก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น อีกทั้งฉากโหลดระหว่างแผนที่ต่าง ๆ ก็ยังทำได้รวดเร็วอีกด้วย ต้องยอมซูฮกให้กับทีมพัฒนาจริง ๆ ที่สามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องออกมาได้แบบสุดลิ่มทิ่มประตูเสียขนาดนี้


และถึงตัวเกมอาจจะไม่ได้มีกราฟิกที่สมจริงหรือล้ำยุคแบบเกม Next Gen แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฉากต่าง ๆ ที่ตัวเกมนำเสนออกมานั้น ยังคงสวยงามตามแบบฉบับลายเส้นการ์ตูนเช่นนี้อยู่ ซึ่งภาพแบบนี้นี่แหละ ที่อยู่กับ Kirby มาทุกยุคทุกสมัย และสามารถครองใจเด็ก ๆ มาได้กว่า 30 ปี


ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?


แม้ภายนอก Kirby and the Forgotten Land อาจจะดูเป็นเกมที่ลอกแบบ Super Mario Odyssey มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่เนื้อในนั้น มันกลับพัฒนา และไปได้ไกลยิ่งกว่าที่้เคยเป็น


ทั้งระบบที่เชื้อชวนให้ผู้เล่นตามเก็บไอเทมภายในเกมเพื่อนำไปอัปเกรด มุมกล้องที่ถูกประยุกต์ใช้กับตัวเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ความท้าทายที่วางมาในระดับที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี ไปจนถึงประสิทธิภาพที่ตัวเกมสามารถรีดเค้นพลังของเครื่องเกมมาได้ทุกหยด


Kirby and the Forgotten Land | Nintendo Switch | Nintendo


หากมีคนถามว่า มีเครื่อง Nintendo Switch แล้ว ควรมีเกมอะไรติดเครื่องเอาไว้บ้าง?

เชื่อว่า Kirby and the Forgotten Land จะต้องขึ้นไปติดอันดับรายชื่อเกมที่ต้องมีเอาไว้ในครอบครองประจำเครื่อง Switch อีกหนึ่งเกมอย่างแน่นอน


มีลูก มีหลาน ก็ซื้อเลยอย่ารีรอ และต่อให้อยู่คนเดียว แต่ถ้าคุณมีเครื่อง Switch คุณก็ควรจะหามันมาเล่นเช่นกัน!



7
ข้อดี

ไอเดียหลักของ Kirby ที่แต่เดิมสนุกอยู่แล้ว ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น

การออกแบบฉากที่ให้ความรู้สึกสดใหม่ทั้งเกม

ควบคุมง่าย เข้าใจง่าย แต่ก็ยังมีความท้าทายให้คนเล่น

ภาพที่สวยงาม แม้จะลงให้กับเครื่อง Switch อายุ 5 ปี

กิจกรรมภายในเกมที่อัดมาแน่นมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียเวลาที่จะทำเลย

ข้อเสีย

ถึงเนื้อเรื่องจะไม่ใช่จุดเด่น แต่เชื่อว่า น่าจะสามารถทำให้ละเมียดกว่านี้ได้

9
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] Kirby and the Forgotten Land อีกหนึ่งร่างสมบูรณ์ของ 'เกมที่เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ตามสไตล์ Nintendo'
29/03/2022

Kirby เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่อยู่กับทาง Nintendo มาอย่างยาวนาน โดยภาคแรกนั้นได้เปิดตัวออกมาภายในปี 1992 ในชื่อภาค Kirby's Dream Land ซึ่งตัวเกมก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างดี ไปจนถึงยอดขายที่ยอดเยี่ยม จึงส่งผลให้ชื่อของ Kirby ได้รับการสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง


ซึ่งในปี 2022 นี้ ก็เป็นโอกาสครบรอบ 30 ปี ของตัวเกม Kirby แบบพอดิบพอดี แน่นอนว่าทาง Nintendo และ HAL Laboratory ไม่พลาดที่จะนำโอกาสอันดีเช่นนี้ ปล่อยเกมภาคใหม่ของเจ้าก้อนกลมสีชมพู ในชื่อภาค Kirby and the Forgotten Land ที่เป็นการนำตัวของ Kirby เข้าไปสู่โลก 3 มิติแบบจริง ๆ กันเสียที


ซึ่งตัวเกมจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหนนั้น รีวิวนี้มีคำตอบครับ


เนื้อเรื่องย่อยง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลวงเปล่า


แฟน ๆ ของ Kirby น่าจะรู้กันดีว่า เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ภายในเกม Kirby ภาคหลักทุกภาคนั้น จะเป็นเหมือนกับของแถมเสียมากกว่า ด้วยพล็อตสไตล์โบราณที่ว่าด้วยตัวร้ายออกมาก่อความวุ่นวาย และมีพระเอกอย่าง Kirby ที่ต้องเข้าไปคลี่คลายปัญหาให้ลุล่วง มันก็ถูกทำซ้ำมากว่า 30 ปีแล้ว


ซึ่งตัวเกมในภาค Kirby and the Forgotten Land ได้พยายามที่จะฉีกตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ อยู่บ้าง ด้วยการเริ่มเรื่องที่ให้ Kirby และเหล่า Waddle Dee ต้องหลุดในต่างดินแดนผ่านรอยแยกของมิติ แต่สุดท้ายแล้ว แก่นหลักของเนื้อเรื่องมันก็ยังเป็นการต้องไปปราบตัวร้ายที่หวังจะทำเรื่องชั่ว ๆ อยู่ดีนั่นแหละ


โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Kirby ที่หลุดเข้าไปใน Forgotten Land ดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งในช่วงคลี่คลายปมของเรื่องราวก็ยังได้มีการเฉลยอีกด้วยว่า ทำไมดินแดนนี้ถึงถูกทิ้งร้างกันนะ และช่วยทำให้ตัวร้ายภายในเกมดูมีมิติมากขึ้น แทนที่จะเป็นการทำชั่วแบบไร้เหตุไร้ผลแบบในภาคก่อน ๆ 




ทั้งนี้ ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่มาเล่น Kirby เพราะหวังจะติดตามเนื้อเรื่องกันหรอก (หรือถ้ามี มันก็คงเป็นอัตราส่วนที่น้อยมากจริง ๆ) และยังเชื่ออีกว่า ทางผู้พัฒนาอย่าง HAL Laboratory ก็คงรู้ตัวเองดีเช่นกัน ถึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่าเรื่องมากขนาดนั้น และไปมุ่งเน้นที่เกมเพลย์เสียมากกว่า


ระบบการเล่นที่ยังคงสนุก แถมเสริมด้วยความสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์


หากมองผิวเผินในครั้งแรก หลายคนคงน่าจะคิดเหมือนกันว่า นี่มันคือ Super Mario Odyssey เวอร์ชัน Kirby ชัด ๆ เลย

เพราะไม่ว่าจะเป็น มุมกล้อง ฉาก 3 มิติเต็มรูปแบบครั้งแรกของซีรีส์ ไปจนถึงระบบ Mouthful Mode ที่คล้ายกับการ Capturing (โยนหมวก) ของ Mario เพื่อเข้าควบคุมสิ่งต่าง ๆ ก็ยังดูคล้ายกันราวยังกับแกะ




ทว่าเมื่อได้ลองสัมผัสเกมเพลย์เองแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า ทาง Kirby ค่อนข้างจะทำได้เหนือกว่า Mario ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะด้วยไอเดียดั้งเดิมของตัว Kirby ที่สามารถลอกแบบพลังของศัตรูได้นั้น ถูกผสานเข้ากับไอเดียใหม่ในภาคนี้อย่างระบบอัปเกรดพลัง ไปจนถึง Mouthful Mode ที่ใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ องค์ประกอบเหล่านี้นี่เองที่ช่วยทำให้เกมการเล่นของ Kirby ดูมีมิติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อย


แถมระบบอัปเกรดนี้ ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนเล่นออกตามหาวัสดุที่ใช้ในการอัปเกรดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดลับที่ซ่อนอยู่ตามด่านหลัก หรือจะเป็นด่านรองที่มาในรูปแบบของ Challenge ให้ผู้เล่นได้ท้าทาย แม้กระทั่ง Mini Game อย่าง Colosseum ก็ยังมีของรางวัลตอบแทนเช่นกัน

ด้วยการออกแบบเกมที่ให้รางวัลกับผู้เล่นในทุกกิจกรรม นี่จึงทำให้คนเล่นแทบจะไม่อยากพลาดความลับหรือ Mini Game ไปแม้แต่อันเดียวเลย




ซึ่งต่างจาก  Super Mario Odyssey ที่การเก็บพวกไอเทมต่าง ๆ จะใช้แค่ในปลดล็อกด่านถัดไป และ Skin สวมใส่สำหรับ Mario เท่านั้นเอง


การออกแบบฉากที่ยอดเยี่ยม ทำให้การผจญภัยดูสดใหม่อยู่เสมอ


ถึงตัวเกมจะถูกนำเสนอในรูปแบบของ 3 มิติ แต่มุมกล้องภายในเกมก็ยังมีความ Fix อยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นหมุนกล้องได้ตามใจชอบเหมือนเกมที่มีมุมมอง Third Person ทั่ว ๆ ไป


ทว่าทางผู้พัฒนากลับทำให้สิ่งที่ควรเป็นข้อเสียตรงนี้ กลายเป็นจุดแข็งของเกมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการวางไอเทม ไปจนถึงทางลับตามจุดต่าง ๆ ก็ได้มีการซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล หลบมุมกล้องไปเพียงนิดเดียว เป็นการออกแบบสไตล์ที่มอบรางวัลให้กับคนช่างสังเกต ปนกับการแอบบอกใบ้นิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจูงมือชี้ทางตรงไปหาไอเทมเลย


อีกทั้งการใช้มุมกล้องกึ่ง Fix ยังช่วยในเรื่องของการสร้างอารมณ์ให้กับผู้เล่นได้อีกด้วย เช่น ในฉากที่ต้องการให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่หรือความน่าเกรงขามของแผนที่ ตัวเกมจะปรับมุมกล้องไปกลายเป็นมุมเสย ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดันจากสิ่งที่ใหญ่กว่า หรือในบางฉากที่ต้องการให้แก้ปริศนา มุมกล้องก็จะถูกดันให้กลายเป็นแบบ Bird Eye View มองลงมา ช่วยอำนวยความสะดวกในการมองภาพรวมของปริศนามากยิ่งขึ้น




อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขอชื่นชมก็คือ การออกแบบฉากภายในเกม ที่ไต่ระดับความยากได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งการวางจุดเกิดของศัตรู ไปจนถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีระหว่างทาง ช่วยให้การเล่นตลอดเกมยังคงรู้สึกท้าทาย แม้จะการอัปเกรดพลังของ Kirby เข้ามาช่วยแล้วก็ตาม




และทางผู้พัฒนายังได้นำเสนอการผจญภัยในด่านต่าง ๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะตลอดการเล่น ตัว Kirby จะได้เผชิญกับการแก้ปริศนาที่ต้องใช้การพลิกแพลงมากขึ้น และยังต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุมของผู้เล่นมากขึ้นอีกด้วย

ช่วยให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อเลย แม้จะเล่นเพลินยาวตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกมเลยก็ตาม


Mouthful Mode ระบบใหม่ที่ภายนอกอาจจะดูพื้น ๆ แต่ก็ช่วยขยายความเป็นไปได้อย่างมากมาย


หากใครได้ตามข่าวสารของตัวเกมมาบ้าง ก็น่าจะเคยเห็น Trailer ที่แสดงให้เห็นถึง Mouthful Mode ระบบใหม่ในภาคนี้ โดยตัว Kirby จะทำการดูดกลืนสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปในร่างกาย และควบคุมสิ่งเหล่านั้นอีกที เช่น รถ กรวย น้ำ ไปจนถึงเครื่องร่อน ซึ่งภายในตัวเกมนั้นได้นำเสนอ Mouthful Mode อีกมากมายให้ผู้เล่นรอได้สัมผัสกัน

แถม Mouthful Mode นี้ ยังช่วยเข้ามาทำให้เกมเพลย์หลากหลายขึ้นอีกด้วย ทั้งฉากที่ต้องอาศัยความเร็ว ก็ต้องใช้รถยนต์เข้าช่วย  ฉากไต่พื้นที่ต่างระดับต้องใช้แท่นยกพลิกแพลง ฉากที่ต้องทลายพื้นดินต้องใช้กรวยทิ่มลงไป ฉากที่มืดต้องใช้หลอดไฟส่องสว่าง ไปจนถึงฉากบนอากาศก็ต้องใช้เครื่องร่อนนำพา Kirby ไปให้ถึงจุดหมาย 




ถึงแรกเริ่ม Mouthful Mode อาจจะดูเรียบง่ายเมื่อเทียบกับพลัง Copy abiblity ของตัว Kirby ก็จริง แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนเล่นสนุกกับเกมได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แพ้กับระบบอื่น ๆ เลยเช่นกัน


ประสิทธิภาพดี เฟรมไม่มีตก


ถึงเครื่อง Nintendo Switch จะมีอายุปาเข้าไป 5 ขวบแล้ว แถมตัวสเป็กของเครื่องก็อาจจะไม่ได้มีความแรงมากนัก หากเทียบกับ Console จากค่ายอื่น ๆ แต่ Kirby and the Forgotten Land ก็ยังสามารถทำประสิทธิภาพบนเครื่องพกพาสีน้ำเงินแดงนี้ได้อย่างน่าประทับใจ




ทุกฉากจะรันอยู่บนความลื่น 30 FPS ตลอดเวลา อาจจะมีบางจังหวะที่กระตุกบ้าง แต่ก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น อีกทั้งฉากโหลดระหว่างแผนที่ต่าง ๆ ก็ยังทำได้รวดเร็วอีกด้วย ต้องยอมซูฮกให้กับทีมพัฒนาจริง ๆ ที่สามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องออกมาได้แบบสุดลิ่มทิ่มประตูเสียขนาดนี้


และถึงตัวเกมอาจจะไม่ได้มีกราฟิกที่สมจริงหรือล้ำยุคแบบเกม Next Gen แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ฉากต่าง ๆ ที่ตัวเกมนำเสนออกมานั้น ยังคงสวยงามตามแบบฉบับลายเส้นการ์ตูนเช่นนี้อยู่ ซึ่งภาพแบบนี้นี่แหละ ที่อยู่กับ Kirby มาทุกยุคทุกสมัย และสามารถครองใจเด็ก ๆ มาได้กว่า 30 ปี


ควรค่าแก่การสละเวลาเล่นไหม ?


แม้ภายนอก Kirby and the Forgotten Land อาจจะดูเป็นเกมที่ลอกแบบ Super Mario Odyssey มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่เนื้อในนั้น มันกลับพัฒนา และไปได้ไกลยิ่งกว่าที่้เคยเป็น


ทั้งระบบที่เชื้อชวนให้ผู้เล่นตามเก็บไอเทมภายในเกมเพื่อนำไปอัปเกรด มุมกล้องที่ถูกประยุกต์ใช้กับตัวเกมได้อย่างยอดเยี่ยม ความท้าทายที่วางมาในระดับที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี ไปจนถึงประสิทธิภาพที่ตัวเกมสามารถรีดเค้นพลังของเครื่องเกมมาได้ทุกหยด


Kirby and the Forgotten Land | Nintendo Switch | Nintendo


หากมีคนถามว่า มีเครื่อง Nintendo Switch แล้ว ควรมีเกมอะไรติดเครื่องเอาไว้บ้าง?

เชื่อว่า Kirby and the Forgotten Land จะต้องขึ้นไปติดอันดับรายชื่อเกมที่ต้องมีเอาไว้ในครอบครองประจำเครื่อง Switch อีกหนึ่งเกมอย่างแน่นอน


มีลูก มีหลาน ก็ซื้อเลยอย่ารีรอ และต่อให้อยู่คนเดียว แต่ถ้าคุณมีเครื่อง Switch คุณก็ควรจะหามันมาเล่นเช่นกัน!




บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header