หากพูดถึงชื่อของ Resident Evil เกมที่มีภาคหลักและภาคย่อยรวม ๆ กันแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ภาค มีอยู่ไม่กี่ภาคที่แฟน ๆ ลงความเห็นกันว่า มันเป็นเกมระดับขึ้นหิ้งที่ไม่ควรพลาด และภาคที่ทุกคนพูดถึงกันนั้นก็คือ Resident Evil 4 และเเรากำลังจะได้สัมผัสประสบการณ์ตัวเกมเวอร์ชั่น Remake กันในเดือนหน้านี้แล้วด้วย แต่หลังจากที่แฟน ๆ บางส่วนผิดหวังไปกับภาค 2 และผิดหวังอย่างหนักไปกับภาค 3 ทำไมเราจึงสามารถตั้งความหวังไว้กับภาค 4 นี้ได้ วันนี้มาหาคำตอบรวมไปถึงย้อนวันวานของ Resident Evil 4 กัน

ภาคที่แฟน ๆ ไม่ได้ต้องการ Remake

นับตั้งแต่การประกาศ Remake เกมภาค 2 ตามมาด้วย 3 หลายคนคงพอจะคาดเดากันได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วมันอาจจะมีการ Remake ลากยาวมาเรื่อย ๆ แต่ภาคที่แฟน ๆ ไม่ได้ต้องการเวอร์ชั่น Remake เลยคือภาค 4 รวมไปถึงจากบทสัมภาษณ์ตัวล่าสุดของทีมผู้พัฒนาเอง พวกเขาก็บอกว่า ไม่กล้าจะหยิบเอาภาคนี้มา Remake เพราะมันดีเกินไป จนพวกเขารู้สึกกดดัน ถ้าจะต้องหยิบมันมาทำใหม่

สองผู้กำกับในภาค Remake อย่าง Kazunori Kadoi และ Yasuhiro Ampo ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Game Informer ว่า ตอนแรกพวกเขาไม่อยากจะมารับหน้าที่นี้เลย เพราะเกมเวอร์ชั่นต้นฉบับ แม้จะผ่านมากว่า 18 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมในระดับที่หยิบมาเล่นตอนนี้ก็ยังสนุกอยู่ 

"ในจำนวนเกม Resident Evil ทั้งหมด ภาค 4 มันเป็นภาคที่เป็นตำนานไปแล้ว และผมรู้แน่ว่าการ Remake เกมระดับนี้มันยากมาก ถ้าพลาดขึ้นมาสักอย่าง แฟน ๆ จะโกรธเราแน่"

แต่ถึงอย่างนั้น ในตอนนี้โปรเจกต์เกม Resident Evil 4 Remake ก็พัฒนามาจนเข้าใกล้สู่ช่วงของการวางจำหน่ายแล้ว และจากบทสัมภาษณ์ จากตัวอย่างที่ออกมา อย่างน้อยก็อาจจะทำให้เราใจชื้นขึ้นได้ว่า มันน่าจะไม่ล้มเหลว เพราะอย่างที่บอก ตัวผู้กำกับเองก็รู้ดี ว่าถ้าพลาดไปสักหน่อย แฟน ๆ ก็พร้อมจะกำหมัด

แนวทางการออกแบบของ Resident Evil 4 Remake ที่ผู้กำกับเลือกใช้

สองผู้กำกับ Kadoi และ Ampo นั้น ไม่ใช่ทีมนักพัฒนาหน้าใหม่ พวกเขามีประสบการณ์พัฒนาเกมมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะกับซีรีส์ Resident Evil ที่อยู๋กับมันมาตั้งแต่ปี 1996 และผ่านการทำงานกับชื่อเกมนี้มาแล้วมากมาย ทั้ง Resident Evil: Outbreak, Resident Evil 5, Resident Evil Revelations 2 โดยเฉพาะภาค 5 และ Revelations 2 ที่สองคนนี้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ

พวกเขาเปิดเผยว่า แนวทางในการออกแบบและสร้างเกมนี้ก็คือ การซื่อสัตย์กับตัวเกมเวอร์ชั่น Original แต่ก็ต้องนำเอาวิวัฒนาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใส่เข้ามาด้วย เพื่อทำให้มันกลายเป็นเกม Resident Evil รูปแบบใหม่ ถ้าพวกเขาทำได้ แฟน ๆ ก็อาจจะยอมรับมันได้ พวกเขาจึงใช้วิธีที่ให้ทั้งตัวเองและทีมงาน ต้องเล่นฉากเดิม ๆ จุดเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อตรวจสอบและมองหาจุดที่คิดว่าสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ และยังเล่นวิเคราะห์ส่วนอื่น ๆ ภายในเกม เช่นองค์ประกอบสถานการณ์ ตัวละคร โครงเรื่อง และยังรักษาตัวละครหน้าเดิมเอาไว้ครบชุด ทั้ง Leon, Ashley และตัวอื่น ๆ เป้าหมายในการ Remake คือทำให้เราได้เห็นถึงบุคลิกตัวละคร ปฏิสัมพันธ์และเรื่องราวอื่น ๆ มากขึ้น

และอีกระบบที่พวกเขาตัดสินใจว่า จะต้องนำมันออกไปให้มากที่สุดในเวอร์ชั่น Remake คือระบบอย่าง Quick Time Events แม้ว่าจะยังมีแฟนเกมที่ชื่นชอบกับการรัวปุ่มเพื่อช่วย Leon หลบหินยักษ์ แต่ Kadoi กลับมองว่าระบบ Quick Time Events นั้น มันไม่ได้รับความนิยมหรือน่าสนใจเท่าแต่ก่อนแล้วในสมัยนี้ และเมื่อจะเอามันออกไป ก็ต้องมีระบบที่ถูกใส่เข้ามาแทน เพราะระบบนี้ถือเป็นหัวใจหลักในฉากสำคัญของเกมภาค 4 ที่เราต้องดวลมีดกับ Jack Krauser และสิ่งนี้จึงกลายเป็นที่มาของระบบ Parry แบบใหม่ในเกมภาคนี้ มันจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมทันที และผู้สร้างมองว่ามันเพิ่มความสนุกและมั่นใจว่ามันมาถูกทางและออกมาดีแน่นอน

ความดาร์คที่เพิ่มมากขึ้นจากต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัด

ในแง่ของภาพและงานศิลป์ นับตั้งแต่ภาค 7 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่ามันจะถูกวางการออกแบบตัวเกมให้มีโทนที่คล้ายคลึงกันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในภาค 4 Remake ทีมงานจึงได้นำเอาต้นแบบการดีไซน์ฉากและงานภาพมาจากภาค 7 และภาค Village โดยตั้งข้อสังเกตว่า Resident Evil สมัยใหม่นั้น ควรมีลกษณะอย่างไรบ้าง เราจึงได้เห็น Resident Evil 4 ในโทนที่มืดมน และดาร์คมากขึ้น ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างจากเวอร์ชั่นต้นฉบับ 

อย่างในเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้น แม้อากาศและสภาพแวดล้อมจะดูขมุกขมัว ให้สมกับเป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ แต่เราก็อาจจะแค่รู้สึกประหลาด ๆ เท่านั้น ในขณะที่ใครรับชมตัวอย่างภาค 4 Remake แล้ว จะเห็นได้เลยว่ามันมีความดาร์๕ ความน่ากลัว ดูก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่น่าจะเฉียดกรายเข้าไปใกล้ได้เลย

นอกจากนั้นยังมีการหยิบยืมเอาระบบอีกหลายอย่างจากภาคใหม่ ๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มภารกิจรอง ที่จะเป็นคุณค่าในการเล่นซ้ำให้กับตัวเกมได้ เพราะพวกเขาสามารถที่จะสร้างอิสระให้กับโลกในเกมได้มากขึ้นกว่าต้นฉบับ มันจะต้องมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีการเพิ่มเส้นทางใหม่ ๆ และมีพื้นที่ให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจ จึงต้องมีการสร้างฉากใหม่ หรือสร้างเพิ่มขึ้นมา โดยอิงจากงานศิลป์ของตัวเกมภาค 7-8 และเมื่ออะไร ๆ มันเยอะขึ้น มันจึงส่งผลกระทบกับการต่อสู้ที่ทำให้มันหลากหลายมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะมีทั้งการลอบเร้น การเลือกจู่โจมศัตรูด้วยวิธีต่าง ๆ ที่หลากหลายกว่าเดิม และมีการเพิ่มอาวุธใหม่ ๆ เข้ามาให้กับตัวเกมมากขึ้นอีกต่างหาก แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยว่ามีอะไรบ้าง

Ashley กับการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและส่งผลกับเกมการเล่น

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ คือการเปลี่ยนแปลงตัวละครอย่าง Ashley ที่เชื่อว่าแค่แฟน ๆ มองเห็นรูปลักษณ์ตัวละครก็อยากจะเสียเงินซื้อกันแล้ว แต่ไม่ใช่แค่ใบหน้าและรูปร่างที่มีการปรับเปลี่ยน ระบบการเล่น การควบคุมและเอไอของเธอก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน อย่างเช่นในภาคต้นฉบับเราสามารถสั่งให้เธอติดตาม รักษาระยะห่างได้ แต่ในภาค Remake นี้จะทำไม่ได้แล้ว แต่เธอจะติดตามตัวผู้เล่น (Leon) ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือเราไม่สามารถทิ้งเธอไว้ในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเคลียร์ฝูงศัตรูได้แล้ว และมันมีเหตุผลง่าย ๆ ที่ตรงกับตรรกะความเป็นจริงคือ Ashley ควรจะอยู่เคียงข้าง Leon ตลอด เพราะตามความจริงคือเธอคงไม่อยากถูกทิ้งไว้ตัวคนเดียวในสภาพแวดล้อมสุดอันตรายเช่นนี้

Ashley จะไม่มีหลอดพลังชีวิต แต่ถ้าถูกโจมตีมากไป ก็จะทำให้เธอล้มลงและเราต้องเข้าไปช่วยเธอ หากยังโดนโจมตีในขณะที่ล้มลงหรืออ่อนแออีก คราวนี้ก็เกมโอเวอร์ รวมไปถึงศัตรูยังสามารถจับเธออุ้มและพาหนีไปได้ และหากมันอยู๋ห่างตัวผู้เล่นมากไป ก็ล้มเหลว เกมโอเวอร์อีกเช่นกัน ด้วยการออกแบบใหม่นี้ ทำให้ผู้เล่นต้องคอยโฟกัสไปที่ Ashley มากขึ้น รวมไปถึงมันส่งผลกับฉากต่าง ๆ ด้วย เพราะคราวนี้ดีไซน์ฉากนั้น จะมีสภาพแวดล้อมที่บังคับให้มีการแท็กทีมกันมากขึ้นแทน ทั้งแพลตฟอร์ม อุปสรรค ปริศนาต่าง ๆ 

บอกได้เลยว่า Resident Evil 4 น่าจะเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ของทีมผู้พัฒนา และเราเชื่อว่า หลังจากกระแสตอบรับของตัวเกมภาค 2 และ 3 Remake น่าจะทำให้ Capcom รู้แล้วว่าต้องทำยังไงบ้าง จึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเราต้องรอพิสูจน์กันได้กับ Resident Evil 4 Remake ที่กำลังจะมาถึงมือพวกเราในวันที่ 24 มีนาคม 2023 นี้