แม้จะไม่ได้เป็นแฟรนไชส์เกมที่โดดเด่นมากในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับยุค 2000 ต้นๆ ที่เกมถือกำเนิดขึ้น แต่แฟรนไชส์ Ratchet & Clank ก็เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกม PlayStation Exclusive ที่มีประวัตืศาสตร์ยาวนาน และยังคงได้มีแฟนๆ หลายชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์นี้ที่ยังคงติดตามเกมภาคใหม่ๆ อย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเสน่ห์ของแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาเกมของผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ตั้งเป้าไว้ให้ Ratchet & Clank เป็นดั่ง “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ทั้งในแง่ของอนิเมชั่น กราฟิก และเนื้อเรื่องที่แม้จะมุ่งเน้นให้กับเด็ก แต่ก็มีเนื้อหากินใจและมุขตลกที่ผู้ใหญ่สามารถเพลิดเพลินไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน
นับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วตั้งแต่ที่เกมภาคก่อนหน้านี้อย่าง Ratchet & Clank (PS4) วางจำหน่ายไป โดยเกมภาคล่าสุด Ratchet & Clank: Rift Apart ก็กำลังจะวางจำหน่ายให้กับเครื่อง PlayStation 5 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ (วันที่ 11 มิถุนายน) ในฐานะเกม PlayStation 5 Exclusive ฟอร์มใหญ่เกมแรกๆ ที่ไม่ใช่เกม Remake เหมือน Dark Souls (หรือถูกพัฒนาโดยค่ายอินดี้อย่าง Returnal) ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนๆ ไม่มากก็น้อยในการแสดงออกถึงศักยภาพของเครื่อง PS5 ทั้งในแง่ของกราฟิก เกมเพลย์ และความเปลี่ยนแปลงหรือข้อปรับปรุงที่ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PS5 อย่างจอย DualSense หรือระบบเสียง 3D มีต่อประสบการณ์การเล่นโดยรวม
หลังจากที่เล่นเกมจนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment และผู้พัฒนา Insomniac Games สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนยืนยันได้ว่า Ratchet & Clank: Rift Apart สามารถมอบประสบการณ์ “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ที่ผู้พัฒนาตั้งมั่นไว้ได้อย่างไร้ที่ติในแง่ของกราฟิกและอนิเมชั่นที่สวยงามและมีเสน่ห์ในระดับที่ก้าวกระโดดขึ้นจากเกมในยุค PlayStation 4 อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ภายในฉากหลังหลายๆ ฉากยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาและรู้สึกกว้างใหญ่มากขึ้นไปด้วย ราวกับว่าผู้เล่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของโลกที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา
แต่เมื่อหันกลับมามองดูทางเกมเพลย์ แม้ผู้เขียนจะยังยืนยันว่าเกมเล่นสนุกมากๆ ตลอดระยะเวลาราว 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องจนจบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PlayStation 5 ยังไม่สามารถยกระดับเกมเพลย์ของ Rift Apart ให้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าได้มากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมไม่ได้ต่างจากเกม Ratchet & Clank (PS4) มากขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ยังถือเป็นผลงานที่คุ้มค่าในการเล่นอย่างแน่นอนสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัส “น้ำจิ้ม” ของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะตามมาในอนาคต
เรื่องราวของ Ratchet & Clank: Rift Apart เริ่มขึ้นในงานเฉลิมฉลองอันใหญ่โตที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์แก่คู่หูตัวเอก Ratchet และ Clank และเพื่อขอบคุณที่ทั้งสองได้ร่วมกันกอบกู้จักรวาลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่งานยังไม่ทันได้เริ่มดีก็กลับโดนจู่โจมโดยกลุ่มวายร้ายที่ถูกว่างจ้างมาโดยหุ่นยนตร์สติเฟื่อง Dr. Nefarious ผู้ซึ่งต้องการขโมยปืนข้ามมิติ Dimensionator ที่ Clank ตั้งใจมอบให้ Ratchet ใช้เพื่อตามหาเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์ Lombax ที่กระจัดกระจายอยู่ในมิติต่างๆ โดยในระหว่างการต่อสู้ Dr. Nefarious ผู้ซึ่งกำลังจะพ่ายแพ้อีกครั้งก็ตัดสินใจเปิดประตูมิติไปยังจักรวาลที่ “เขาคือผู้ชนะเสมอ” และดูดเอาคู่หูตัวเอกทั้งสองเข้าไปด้วย
ในระหว่างที่เดินทางข้ามมิติ Ratchet กลับพลัดกับ Clank โดยเขาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเมือง “Nefarious City” ที่ถูกปกครองโดย “จักรพรรดิ Nefarious” หรือร่างคู่ขนานของ Dr. Nefarious ในจักรวาลนี้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น Ratchet ยังพบว่าในจักรวาลนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ Lombax อีกคนอยู่ด้วย โดย Lombax สาวที่ชื่อว่า Rivet นี้ยังบังเอิญพบกับ Clank เข้า และตัดสินใจนำตัวเขาไปด้วยเพราะคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนตร์สมุนของ จักรพรรดิ์ Nefarious ทำให้ Ratchet จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาเพื่อนรักของเขา ในขณะที่ Clank ก็ต้องร่วมมือกับ Rivet ในการต่อสู้กับจักรพรรดิ์ Nefarious พร้อมกับหาวิธีสร้างปืนข้ามมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ด้วยความที่เกมถูกพัฒนามาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กซะมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องของ Ratchet & Clank: Rift Apart มีความเรียบง่ายอยู่พอสมควร แต่ก็ยังแฝงไปด้วยแง่คิดที่กินใจและมุขตลกแบบสองแง่สองง่ามเพื่อเอาใจผู้ใหญ่ ตรงตามสูตรของหนัง Pixar ที่เป็นแรงบันดาลใจของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งก็ทำหน้าที่มันได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้มีอะไรพิเศษให้จดจำมากมายนัก
ความรู้สึก “Pixar” ของเกมเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดจากกราฟิกและการนำเสนอโดยรวม ที่ทำให้บรรยากาศของเกมมีชีวิตชีวามากๆ เพราะมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในฉากหลังตลอดเวลา ตั้งแต่ NPC หุ่นยนตร์ที่จับกลุ่มแซวหัวหน้าที่ทำงาน หรือเหล่ารถบินได้ที่แล่นผ่านตึกสูงเสียดฟ้าจำนวนมากในเมือง Nefarious City ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดสามารถแสดงอยู่บนจอได้ในระดับความละเอียดเต็ม 100% โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเกม
หลายคนที่เคยเล่น (หรือเคยติดตามข่าว) ผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Insomniac Games อย่าง Marvel’s Spider-man อาจจะพอจำเหล่า NPC ความละเอียดต่ำรูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่บนเรือในเกมได้ ที่ดูออกว่าถูกออกแบบมาให้มองจากไกลๆ เท่านั้น ผู้พัฒนาจึงสามารถลดทอนความละเอียดของโมเดลตัวละครลงเพื่อให้เกมไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ซึ่งเกม Rift Apart ไม่จำเป็นต้องแลกความละเอียดของโมเดลสิ่งของเพื่อรักษามรรถภาพของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ใบหญ้า ไปจนถึงรถบินได้ที่อยู่ไกลออกไปสุดระยะสายตา ล้วนมีรายละเอียดแบบจัดเต็มในระดับที่เกม PlayStation 4 ไม่มีทางทำได้แน่นอน แถมเกมยังสามารถรักษาเฟรมเรตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดไปในโหมด Fidelity ที่ทำให้เกมแสดงผลที่ 4K, 30FPS พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษอย่าง Ray Tracing แบบเต็มสูบ เพราะโหมด Performance ที่รองรับเฟรมเรต 60FPS และโหมด Performance + Ray Tracing ได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากที่เล่นจบไปแล้ว จึงไม่ได้ใช้ในการพิจารณาสำหรับรีวิวนี้ (จะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในโหมดเหล่านี้ในช่วงท้ายของบทความ)
แน่นอนว่ารายละเอียดด้านกราฟิกเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงในระหว่างการต่อสู้ด้วย โดยรายละเอียดของศัตรูทุกชนิดในเกมรวมไปถึงอาวุธหลากหลายชนิดของผู้เล่นเองอยู่ในมาตรฐานเดียวกับในฉากเมืองเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองที่ปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาในระยะสั้น หรือปืนลำแสงขนาดใหญ่ที่ต้องชาร์จก่อนยิง ที่ล้วนปล่อยเอฟเฟกต์แสงสีเสียงจัดเต็มทุกครั้งที่ลั่นไก ซึ่งทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกดุเดือดขึ้นมาเสมอจากเอฟเฟกต์พิเศษที่อุบัติขึ้นทั่วจอตลอดเวลา นอกจากนี้ ศัตรูหลายชนิดในเกมยังมักจะมี “ชิ้นส่วน” อย่างชุดเกราะที่กระเด็นออกจากตัวทุกครั้งที่โดนยิง แถมเมื่อตายแล้วยังมักจะปล่อย “น๊อต” ที่เกมใช้แทนเงินเพื่อซื้ออาวุธออกมาเป็นเศษเล็กน้อยเต็มพื้น พูดง่ายๆ ว่าเกมจะมีเอฟเฟกต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยไปมาแทบจะตลอดเวลาที่ต่อสู้ในระดับที่ไม่สามารถทำได้แน่นอนในคอนโซลรุ่นเก่า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรตของเกมเลยแม้แต่น้อย เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าจากเครื่อง PS4 มายังเครื่อง PS5 อย่างชัดเจน
แต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในขณะที่กราฟิกของเกมแสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดในศักยภาพของคอนโซลสองรุ่น ประสบการณ์การเล่นเกมเพลย์โดยรวมกลับไม่ได้พัฒนาไปมากนักเมื่อเทียบกัน โดยลูกเล่นที่รู้สึกว่าจะเพิ่มสัมผัสใหม่ให้กับการเล่นน่าจะเป็นปุ่ม Adaptive Trigger หรือปุ่ม L2/R2 ที่เกมสามารถปรับให้มีแรงต้านในระดับต่างๆ กันไปตามแต่ชนิดของอาวุธ และสามารถใช้ในการยิง Alternate Fire หรือโหมดพิเศษของปืนแต่ละชนิดได้ด้วย ยกตัวอย่างปืน The Executor ที่มีลักษณะคล้ายลูกซองแฝดซึ่งจะยิงกระบอกแรกเมื่อลั่นไกลงครึ่งทาง และกระบอกที่สองเมื่อลั่นไกลงจนสุด ซึ่งจะมีแรงต้านในปุ่มอนาล๊อคให้รู้ว่าตรงไหนคือครึ่งทาง ตรงไหนคือสุดทางด้วย หรืออย่างปืน Negatron Collider ที่สามารถชาร์จและยิงลำแสงขนาดใหญ่ใส่ศัตรู ซึ่งผู้เล่นสามารถดึงไกลงจนรู้สึกถึงแรงต้านเพื่อชาร์จ และดึงต่อจนสุดเพื่อปล่อยลำแสง เป็นต้น
ในช่วงที่เริ่มเล่นเกมแรกๆ การใช้ประโยชน์จากปุ่ม Adaptive Trigger เช่นนี้อาจจะรู้สึก “ใหม่” ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมหรือเพิ่มเติมประสบการณ์โดยรวมมากเท่าไหร่นัก กล่าวคือต่อให้เกมใช้วิธีควบคุมแบบเก่าๆ (เช่นการกด L2 ค้างไว้เพื่อชาร์จลำแสงและกด R2 เพื่อยิงเป็นต้น) ก็คงไม่ได้แตกต่างกันนักในความเป็นจริง
นอกเหนือจากระบบ Adaptive Trigger (และระบบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้) เกมเพลย์การต่อสู้ ของ Rift Apart มีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนๆ น้อยมาก แม้แต่ปืนหลายกระบอกยังดึงมาจากเกมภาค 2016 เป๊ะเลย และแม้ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครใหม่อย่าง Rivet ได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถแตกต่างจาก Ratchet เลยแม้แต่น้อย และทั้งสองยังใช้อาวุธและเงินจากแห่งเดียวกันด้วย ความแตกต่างเดียวของการเล่นตัวละครทั้งสองจึงมีแค่หน้าตาเท่านั้น
ผู้เล่นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มศัตรูด้วยอาวุธชนิดต่างๆ ที่สามารถสลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว เกมมักจะส่งศัตรูมาให้ผู้เล่นสู้พร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ ด้วยเพื่อบังคับให้ต้องสลับอาวุธไปมาเพื่อใช้อาวุธที่เหมาะสมกับศัตรูแต่ละชนิดและเพื่อประหยัดกระสุน โดยในภาคนี้ยังเพิ่มระบบการพุ่งหลบที่เรียกว่า Phantom Dash เข้าไปด้วย อาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเหมือน Doom สำหรับเด็กก็คงไม่ผิดหนัก อาจจะไม่ใหม่ แต่รับประกันว่าสนุกเร้าใจ (แบบเด็กๆ) แน่นอน
เกมเพลย์ส่วนอื่นๆ นอกจากการต่อสู้ก็ค่อนข้างคล้ายกับเกมภาคก่อนๆ เช่นเดียวกัน ผู้เล่นจะสามารถสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ เพื่อทำภารกิจเสริมและเก็บเงินหรือเพชรไว้อัปเกรดอาวุธ และยังมีพัซเซิ่ลประปรายที่เกมเรียกว่า Anomoly ที่ผู้เล่นจะต้องบังคับ Clank เพื่อแก้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ยากมากมายนักเพราะออกแบบมาสำหรับเด็ก แต่ก็ท้าทายพอให้ต้องใช้สมองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไมไ่ด้แตกต่างหรือแปลกใหม่ไปกว่าการต่อสู้ของเกม
หากจะมีระบบที่ดูจะเป็นการก้าวกระโดดขึ้นจากคอนโซลเก่าอาจจะเป็นระบบ Rift ที่ให้ผู้เล่นสามารถเดินทางข้ามประตูมิติขนาดเล็กๆ มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ตามฉาก รวมไปถึงประตูขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ตามดาวเคราะห์ต่างๆ ที่มีพัซเซิ่ลการกระโดด (Platformer) อยู่ข้างใน ซึ่งทั้งสองระบบทำงานอย่างลื่นไหลให้ผู้เล่นข้ามมิติไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องโหลดฉาก ที่ผู้พัฒนากล่าวว่าเป็นศักยภาพของตัว SSD ของ PS5 ที่ทำให้ระบบนี้เป็นไปได้ แต่เมื่อเช่นเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใหม่นัก แต่เป็นเพียงการปรับปรุงการเล่นรูปแบบเก่าๆ ให้สมบูรณ์แบบขึ้นซะมากกว่า
ระบบ Performance Mode และ Performance RT Mode
สำหรับ Performance Mode จะทำให้เกมเน้นความลื่นไหลมากกว่าความคมชัด โดยจะแสดงผลที่ความคมชัดต่ำกว่า 4K (ไม่มั่นใจว่า 2K หรือ Full HD แล้วอัพสเกลเอา) และลดความหนาแน่นของสิ่งของและ NPC ในฉากลงอีกด้วย เพื่อให้เกมสามารถรันที่ความเร็ว 60FPS ได้แบบไม่มีสะดุด โดยจากการทดลองพบว่าเกมสามารถรักษาเฟรมเรตนี้เอาไว้ได้อย่างเสถียรมากๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น แลกมากับสิ่งของในฉากที่บางตาลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่จะขาดไปอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสองโหมดที่เหลือ (Performance RT + Fidelity) คือแสงสีในเกมที่แลดูแบนลงอย่างมาก และทำให้เกมดูใกล้เคียงกับเกม PS4 มากขึ้นพอสมควร
ในส่วนโหมด Performane RT น่าจะเป็นโหมดที่แนะนำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือก เพราะแม้จะลดรายละเอียดแบบเดียวกับ Performance Mode แต่ก็ยังคงรักษาแสงสีอันสวยงามของเกมเอาไว้ได้ และทำให้เกมยังคงสามารถแสดงผลที่เฟรมเรต “เกือบ” 60FPS แบบนิ่งๆ อาจจะมีกระตุกเล็กๆ บ้างเวลาอยู่ในฉากที่แสงสีเจิดจ้าเป็นพิเศษ แต่โดยรวมๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
หากถามว่าได้เล่นเกมในโหมดเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะมีผลต่อประสบการณ์ไหม ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้เขียนอาจจะรู้สึกทึ่งกับเกมมากขึ้นเล็กน้อยหากได้เล่นที่เฟรมเรต 60FPS แต่โดยรวมก็ยอมรับว่ารายละเอียดที่เพิ่มขึ้นใน Fidelity Mode อาจจะคุ้มค่ากับการเล่นเกมที่ 30FPS สำหรับผู้เล่นหลายๆ คนด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป Ratchet & Clank: Rift Apart ถือเป็นเกมที่อวดศักยภาพด้านกราฟิกของเครื่อง PlayStation 5 ได้เป็นอย่างดี แม้จะยังไม่ได้นำเสนอประสบการณ์การเล่นที่ก้าวกระโดดไปจากรุ่นเก่ามากนักในแง่ของการออกแบบเกมเพลย์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ยังสนุกและท้าทายในระดับที่ใครๆ ก็น่าจะสามารถเล่นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยอะไร และเป็นเกมเรียกน้ำย่อยที่ดีสำหรับยุคคอนโซลใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
กราฟิกสวยระดับ Next-Gen ของแท้
อนิเมชั่นเทพมาก เหมือนเล่นหนัง Pixar อยู่จริงๆ
เกมเพลย์สนุกสำหรับทุกเพศทุกวัย
เกมทำมาสำหรับเด็ก บางคนอาจรู้สึกว่าง่ายไป
เกมเพลย์ไม่น่าทึ่งเท่ากราฟิก ไม่ต่างจากเกม PS4 นัก
แม้จะไม่ได้เป็นแฟรนไชส์เกมที่โดดเด่นมากในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับยุค 2000 ต้นๆ ที่เกมถือกำเนิดขึ้น แต่แฟรนไชส์ Ratchet & Clank ก็เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกม PlayStation Exclusive ที่มีประวัตืศาสตร์ยาวนาน และยังคงได้มีแฟนๆ หลายชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับแฟรนไชส์นี้ที่ยังคงติดตามเกมภาคใหม่ๆ อย่างเหนียวแน่นตลอดมา ด้วยเสน่ห์ของแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาเกมของผู้พัฒนา Insomniac Games ที่ตั้งเป้าไว้ให้ Ratchet & Clank เป็นดั่ง “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ทั้งในแง่ของอนิเมชั่น กราฟิก และเนื้อเรื่องที่แม้จะมุ่งเน้นให้กับเด็ก แต่ก็มีเนื้อหากินใจและมุขตลกที่ผู้ใหญ่สามารถเพลิดเพลินไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน
นับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วตั้งแต่ที่เกมภาคก่อนหน้านี้อย่าง Ratchet & Clank (PS4) วางจำหน่ายไป โดยเกมภาคล่าสุด Ratchet & Clank: Rift Apart ก็กำลังจะวางจำหน่ายให้กับเครื่อง PlayStation 5 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ (วันที่ 11 มิถุนายน) ในฐานะเกม PlayStation 5 Exclusive ฟอร์มใหญ่เกมแรกๆ ที่ไม่ใช่เกม Remake เหมือน Dark Souls (หรือถูกพัฒนาโดยค่ายอินดี้อย่าง Returnal) ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้เกมต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนๆ ไม่มากก็น้อยในการแสดงออกถึงศักยภาพของเครื่อง PS5 ทั้งในแง่ของกราฟิก เกมเพลย์ และความเปลี่ยนแปลงหรือข้อปรับปรุงที่ลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PS5 อย่างจอย DualSense หรือระบบเสียง 3D มีต่อประสบการณ์การเล่นโดยรวม
หลังจากที่เล่นเกมจนจบเนื้อเรื่อง (ขอบคุณบริษัท Sony Interactive Entertainment และผู้พัฒนา Insomniac Games สำหรับโค้ดรีวิวเกมล่วงหน้า) ผู้เขียนยืนยันได้ว่า Ratchet & Clank: Rift Apart สามารถมอบประสบการณ์ “หนัง Pixar แห่งวงการเกม” ที่ผู้พัฒนาตั้งมั่นไว้ได้อย่างไร้ที่ติในแง่ของกราฟิกและอนิเมชั่นที่สวยงามและมีเสน่ห์ในระดับที่ก้าวกระโดดขึ้นจากเกมในยุค PlayStation 4 อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ภายในฉากหลังหลายๆ ฉากยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้โลกของเกมรู้สึกมีชีวิตชีวาและรู้สึกกว้างใหญ่มากขึ้นไปด้วย ราวกับว่าผู้เล่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของโลกที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา
แต่เมื่อหันกลับมามองดูทางเกมเพลย์ แม้ผู้เขียนจะยังยืนยันว่าเกมเล่นสนุกมากๆ ตลอดระยะเวลาราว 25 ชั่วโมงที่ผู้เขียนใช้ในการเล่นเนื้อเรื่องจนจบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกเล่นทั้งหลายของเครื่อง PlayStation 5 ยังไม่สามารถยกระดับเกมเพลย์ของ Rift Apart ให้แตกต่างจากเกมภาคก่อนหน้าได้มากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ และทำให้ประสบการณ์การเล่นโดยรวมไม่ได้ต่างจากเกม Ratchet & Clank (PS4) มากขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เกม Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ยังถือเป็นผลงานที่คุ้มค่าในการเล่นอย่างแน่นอนสำหรับคนที่มีเครื่อง PlayStation 5 อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้สัมผัส “น้ำจิ้ม” ของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะตามมาในอนาคต
เรื่องราวของ Ratchet & Clank: Rift Apart เริ่มขึ้นในงานเฉลิมฉลองอันใหญ่โตที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์แก่คู่หูตัวเอก Ratchet และ Clank และเพื่อขอบคุณที่ทั้งสองได้ร่วมกันกอบกู้จักรวาลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในเกมภาคที่ผ่านๆ มา แต่งานยังไม่ทันได้เริ่มดีก็กลับโดนจู่โจมโดยกลุ่มวายร้ายที่ถูกว่างจ้างมาโดยหุ่นยนตร์สติเฟื่อง Dr. Nefarious ผู้ซึ่งต้องการขโมยปืนข้ามมิติ Dimensionator ที่ Clank ตั้งใจมอบให้ Ratchet ใช้เพื่อตามหาเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์ Lombax ที่กระจัดกระจายอยู่ในมิติต่างๆ โดยในระหว่างการต่อสู้ Dr. Nefarious ผู้ซึ่งกำลังจะพ่ายแพ้อีกครั้งก็ตัดสินใจเปิดประตูมิติไปยังจักรวาลที่ “เขาคือผู้ชนะเสมอ” และดูดเอาคู่หูตัวเอกทั้งสองเข้าไปด้วย
ในระหว่างที่เดินทางข้ามมิติ Ratchet กลับพลัดกับ Clank โดยเขาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเมือง “Nefarious City” ที่ถูกปกครองโดย “จักรพรรดิ Nefarious” หรือร่างคู่ขนานของ Dr. Nefarious ในจักรวาลนี้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น Ratchet ยังพบว่าในจักรวาลนี้ยังมีเผ่าพันธุ์ Lombax อีกคนอยู่ด้วย โดย Lombax สาวที่ชื่อว่า Rivet นี้ยังบังเอิญพบกับ Clank เข้า และตัดสินใจนำตัวเขาไปด้วยเพราะคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนตร์สมุนของ จักรพรรดิ์ Nefarious ทำให้ Ratchet จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อตามหาเพื่อนรักของเขา ในขณะที่ Clank ก็ต้องร่วมมือกับ Rivet ในการต่อสู้กับจักรพรรดิ์ Nefarious พร้อมกับหาวิธีสร้างปืนข้ามมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ด้วยความที่เกมถูกพัฒนามาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กซะมากกว่า ทำให้เนื้อเรื่องของ Ratchet & Clank: Rift Apart มีความเรียบง่ายอยู่พอสมควร แต่ก็ยังแฝงไปด้วยแง่คิดที่กินใจและมุขตลกแบบสองแง่สองง่ามเพื่อเอาใจผู้ใหญ่ ตรงตามสูตรของหนัง Pixar ที่เป็นแรงบันดาลใจของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งก็ทำหน้าที่มันได้ดี แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้มีอะไรพิเศษให้จดจำมากมายนัก
ความรู้สึก “Pixar” ของเกมเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดจากกราฟิกและการนำเสนอโดยรวม ที่ทำให้บรรยากาศของเกมมีชีวิตชีวามากๆ เพราะมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในฉากหลังตลอดเวลา ตั้งแต่ NPC หุ่นยนตร์ที่จับกลุ่มแซวหัวหน้าที่ทำงาน หรือเหล่ารถบินได้ที่แล่นผ่านตึกสูงเสียดฟ้าจำนวนมากในเมือง Nefarious City ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดสามารถแสดงอยู่บนจอได้ในระดับความละเอียดเต็ม 100% โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเกม
หลายคนที่เคยเล่น (หรือเคยติดตามข่าว) ผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนา Insomniac Games อย่าง Marvel’s Spider-man อาจจะพอจำเหล่า NPC ความละเอียดต่ำรูปร่างบิดเบี้ยวที่อยู่บนเรือในเกมได้ ที่ดูออกว่าถูกออกแบบมาให้มองจากไกลๆ เท่านั้น ผู้พัฒนาจึงสามารถลดทอนความละเอียดของโมเดลตัวละครลงเพื่อให้เกมไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ซึ่งเกม Rift Apart ไม่จำเป็นต้องแลกความละเอียดของโมเดลสิ่งของเพื่อรักษามรรถภาพของเกมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินทุกก้อน ต้นไม้ใบหญ้า ไปจนถึงรถบินได้ที่อยู่ไกลออกไปสุดระยะสายตา ล้วนมีรายละเอียดแบบจัดเต็มในระดับที่เกม PlayStation 4 ไม่มีทางทำได้แน่นอน แถมเกมยังสามารถรักษาเฟรมเรตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเล่นเนื้อเรื่องทั้งหมดไปในโหมด Fidelity ที่ทำให้เกมแสดงผลที่ 4K, 30FPS พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษอย่าง Ray Tracing แบบเต็มสูบ เพราะโหมด Performance ที่รองรับเฟรมเรต 60FPS และโหมด Performance + Ray Tracing ได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากที่เล่นจบไปแล้ว จึงไม่ได้ใช้ในการพิจารณาสำหรับรีวิวนี้ (จะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในโหมดเหล่านี้ในช่วงท้ายของบทความ)
แน่นอนว่ารายละเอียดด้านกราฟิกเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงในระหว่างการต่อสู้ด้วย โดยรายละเอียดของศัตรูทุกชนิดในเกมรวมไปถึงอาวุธหลากหลายชนิดของผู้เล่นเองอยู่ในมาตรฐานเดียวกับในฉากเมืองเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองที่ปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาในระยะสั้น หรือปืนลำแสงขนาดใหญ่ที่ต้องชาร์จก่อนยิง ที่ล้วนปล่อยเอฟเฟกต์แสงสีเสียงจัดเต็มทุกครั้งที่ลั่นไก ซึ่งทำให้การต่อสู้ในเกมรู้สึกดุเดือดขึ้นมาเสมอจากเอฟเฟกต์พิเศษที่อุบัติขึ้นทั่วจอตลอดเวลา นอกจากนี้ ศัตรูหลายชนิดในเกมยังมักจะมี “ชิ้นส่วน” อย่างชุดเกราะที่กระเด็นออกจากตัวทุกครั้งที่โดนยิง แถมเมื่อตายแล้วยังมักจะปล่อย “น๊อต” ที่เกมใช้แทนเงินเพื่อซื้ออาวุธออกมาเป็นเศษเล็กน้อยเต็มพื้น พูดง่ายๆ ว่าเกมจะมีเอฟเฟกต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยไปมาแทบจะตลอดเวลาที่ต่อสู้ในระดับที่ไม่สามารถทำได้แน่นอนในคอนโซลรุ่นเก่า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรตของเกมเลยแม้แต่น้อย เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าจากเครื่อง PS4 มายังเครื่อง PS5 อย่างชัดเจน
แต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในขณะที่กราฟิกของเกมแสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดในศักยภาพของคอนโซลสองรุ่น ประสบการณ์การเล่นเกมเพลย์โดยรวมกลับไม่ได้พัฒนาไปมากนักเมื่อเทียบกัน โดยลูกเล่นที่รู้สึกว่าจะเพิ่มสัมผัสใหม่ให้กับการเล่นน่าจะเป็นปุ่ม Adaptive Trigger หรือปุ่ม L2/R2 ที่เกมสามารถปรับให้มีแรงต้านในระดับต่างๆ กันไปตามแต่ชนิดของอาวุธ และสามารถใช้ในการยิง Alternate Fire หรือโหมดพิเศษของปืนแต่ละชนิดได้ด้วย ยกตัวอย่างปืน The Executor ที่มีลักษณะคล้ายลูกซองแฝดซึ่งจะยิงกระบอกแรกเมื่อลั่นไกลงครึ่งทาง และกระบอกที่สองเมื่อลั่นไกลงจนสุด ซึ่งจะมีแรงต้านในปุ่มอนาล๊อคให้รู้ว่าตรงไหนคือครึ่งทาง ตรงไหนคือสุดทางด้วย หรืออย่างปืน Negatron Collider ที่สามารถชาร์จและยิงลำแสงขนาดใหญ่ใส่ศัตรู ซึ่งผู้เล่นสามารถดึงไกลงจนรู้สึกถึงแรงต้านเพื่อชาร์จ และดึงต่อจนสุดเพื่อปล่อยลำแสง เป็นต้น
ในช่วงที่เริ่มเล่นเกมแรกๆ การใช้ประโยชน์จากปุ่ม Adaptive Trigger เช่นนี้อาจจะรู้สึก “ใหม่” ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมหรือเพิ่มเติมประสบการณ์โดยรวมมากเท่าไหร่นัก กล่าวคือต่อให้เกมใช้วิธีควบคุมแบบเก่าๆ (เช่นการกด L2 ค้างไว้เพื่อชาร์จลำแสงและกด R2 เพื่อยิงเป็นต้น) ก็คงไม่ได้แตกต่างกันนักในความเป็นจริง
นอกเหนือจากระบบ Adaptive Trigger (และระบบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้) เกมเพลย์การต่อสู้ ของ Rift Apart มีความแตกต่างกับเกมภาคก่อนๆ น้อยมาก แม้แต่ปืนหลายกระบอกยังดึงมาจากเกมภาค 2016 เป๊ะเลย และแม้ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนไปควบคุมตัวละครใหม่อย่าง Rivet ได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถแตกต่างจาก Ratchet เลยแม้แต่น้อย และทั้งสองยังใช้อาวุธและเงินจากแห่งเดียวกันด้วย ความแตกต่างเดียวของการเล่นตัวละครทั้งสองจึงมีแค่หน้าตาเท่านั้น
ผู้เล่นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มศัตรูด้วยอาวุธชนิดต่างๆ ที่สามารถสลับไปมาได้อย่างรวดเร็ว เกมมักจะส่งศัตรูมาให้ผู้เล่นสู้พร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ ด้วยเพื่อบังคับให้ต้องสลับอาวุธไปมาเพื่อใช้อาวุธที่เหมาะสมกับศัตรูแต่ละชนิดและเพื่อประหยัดกระสุน โดยในภาคนี้ยังเพิ่มระบบการพุ่งหลบที่เรียกว่า Phantom Dash เข้าไปด้วย อาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็นเหมือน Doom สำหรับเด็กก็คงไม่ผิดหนัก อาจจะไม่ใหม่ แต่รับประกันว่าสนุกเร้าใจ (แบบเด็กๆ) แน่นอน
เกมเพลย์ส่วนอื่นๆ นอกจากการต่อสู้ก็ค่อนข้างคล้ายกับเกมภาคก่อนๆ เช่นเดียวกัน ผู้เล่นจะสามารถสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆ เพื่อทำภารกิจเสริมและเก็บเงินหรือเพชรไว้อัปเกรดอาวุธ และยังมีพัซเซิ่ลประปรายที่เกมเรียกว่า Anomoly ที่ผู้เล่นจะต้องบังคับ Clank เพื่อแก้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ยากมากมายนักเพราะออกแบบมาสำหรับเด็ก แต่ก็ท้าทายพอให้ต้องใช้สมองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไมไ่ด้แตกต่างหรือแปลกใหม่ไปกว่าการต่อสู้ของเกม
หากจะมีระบบที่ดูจะเป็นการก้าวกระโดดขึ้นจากคอนโซลเก่าอาจจะเป็นระบบ Rift ที่ให้ผู้เล่นสามารถเดินทางข้ามประตูมิติขนาดเล็กๆ มากมายที่กระจัดกระจายอยู่ตามฉาก รวมไปถึงประตูขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ตามดาวเคราะห์ต่างๆ ที่มีพัซเซิ่ลการกระโดด (Platformer) อยู่ข้างใน ซึ่งทั้งสองระบบทำงานอย่างลื่นไหลให้ผู้เล่นข้ามมิติไปมาได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องโหลดฉาก ที่ผู้พัฒนากล่าวว่าเป็นศักยภาพของตัว SSD ของ PS5 ที่ทำให้ระบบนี้เป็นไปได้ แต่เมื่อเช่นเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใหม่นัก แต่เป็นเพียงการปรับปรุงการเล่นรูปแบบเก่าๆ ให้สมบูรณ์แบบขึ้นซะมากกว่า
ระบบ Performance Mode และ Performance RT Mode
สำหรับ Performance Mode จะทำให้เกมเน้นความลื่นไหลมากกว่าความคมชัด โดยจะแสดงผลที่ความคมชัดต่ำกว่า 4K (ไม่มั่นใจว่า 2K หรือ Full HD แล้วอัพสเกลเอา) และลดความหนาแน่นของสิ่งของและ NPC ในฉากลงอีกด้วย เพื่อให้เกมสามารถรันที่ความเร็ว 60FPS ได้แบบไม่มีสะดุด โดยจากการทดลองพบว่าเกมสามารถรักษาเฟรมเรตนี้เอาไว้ได้อย่างเสถียรมากๆ ตลอดระยะเวลาที่เล่น แลกมากับสิ่งของในฉากที่บางตาลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่จะขาดไปอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับสองโหมดที่เหลือ (Performance RT + Fidelity) คือแสงสีในเกมที่แลดูแบนลงอย่างมาก และทำให้เกมดูใกล้เคียงกับเกม PS4 มากขึ้นพอสมควร
ในส่วนโหมด Performane RT น่าจะเป็นโหมดที่แนะนำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือก เพราะแม้จะลดรายละเอียดแบบเดียวกับ Performance Mode แต่ก็ยังคงรักษาแสงสีอันสวยงามของเกมเอาไว้ได้ และทำให้เกมยังคงสามารถแสดงผลที่เฟรมเรต “เกือบ” 60FPS แบบนิ่งๆ อาจจะมีกระตุกเล็กๆ บ้างเวลาอยู่ในฉากที่แสงสีเจิดจ้าเป็นพิเศษ แต่โดยรวมๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
หากถามว่าได้เล่นเกมในโหมดเหล่านี้ตั้งแต่แรกจะมีผลต่อประสบการณ์ไหม ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้เขียนอาจจะรู้สึกทึ่งกับเกมมากขึ้นเล็กน้อยหากได้เล่นที่เฟรมเรต 60FPS แต่โดยรวมก็ยอมรับว่ารายละเอียดที่เพิ่มขึ้นใน Fidelity Mode อาจจะคุ้มค่ากับการเล่นเกมที่ 30FPS สำหรับผู้เล่นหลายๆ คนด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป Ratchet & Clank: Rift Apart ถือเป็นเกมที่อวดศักยภาพด้านกราฟิกของเครื่อง PlayStation 5 ได้เป็นอย่างดี แม้จะยังไม่ได้นำเสนอประสบการณ์การเล่นที่ก้าวกระโดดไปจากรุ่นเก่ามากนักในแง่ของการออกแบบเกมเพลย์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ยังสนุกและท้าทายในระดับที่ใครๆ ก็น่าจะสามารถเล่นได้ไม่ว่าจะเป็นเพศหรือวัยอะไร และเป็นเกมเรียกน้ำย่อยที่ดีสำหรับยุคคอนโซลใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น