เป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรงกันมาตลอดกับอาการ ติดเกม ที่ล่าสุดดูจะมีผลตัดสินออกมาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เมื่อองค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้เพิ่มอาการติดเกมลงไปในคู่มือการจัดจำแนกโรคอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้
แน่นอนว่าเหล่าเกมเมอร์ในสังคมทั้งหลายคงรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับการเคลื่อนไหวนี้ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้กับฝ่ายที่โจมตีการเล่นเกมมาตลอด แต่ทางผู้เชียวชาญได้กล่าวย้ำอย่างชัดเจนว่ามีผู้เล่นเกมส่วนน้อยมากๆ เพียง 2-3% ของผู้เล่นเกมทั่วโลกเท่านั้น และไม่ได้คำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียว แต่ผู้ที่จะสามารถเรียกว่ามีอาการ ติดเกม ทางการแพทย์ได้จริงๆ นั้นจะต้องติดในระดับที่ทำให้ส่วนประกอบอื่นๆ ในชีวิตต้องได้รับผลกระทบในทางลบ เช่นเล่นจนเสียการงาน หรือเสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งคนเหล่านี้มักจะมีปัญหาทางจิตอื่นๆ อย่าง ซึมเศร้าหรือไบโพล่าร์อยุ่แล้วเป็นทุนเดิมด้วย
คงต้องยอมรับกันแต่โดยดีว่าคนที่เสพติดการเล่นเกมจนเกิดผลเสียต่อชีวิตนั้นมีอยู่จริง จากที่เราเห็นในข่าวอยู่ประปราย ทั้งคนที่เล่นเกมจนตายคาคอม หรือคนที่ลาออกจากงาน/โรงเรียนเพื่อที่จะได้อยุ่บ้านเล่นเกม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรจิตเวชแห่งอเมรีการ (APA) ยังเคยระบุไว้ในรายงานในปี 2013 ว่ามีงานวิจัยมากมายในเอเซียที่ตั้งข้อสังเกติว่าผู้มีอาการติดเกมจะถูกกระตุ้นประสาทส่วนที่ควบคุมความรู้สึกอิ่มเอมเป็นสุข คล้ายกับผู้ติดยาเสพติดเวลาได้เสพยานั่นเอง จึงถือได้ว่าอาการติดเกมเป็นอาการที่ส่งผลต่อสมองทางกายภาพด้วย ไม่ใช่แค่ทางอารมณ์อย่างเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการติดเกมยังคงกระทบต่อประชากรเกมเมอร์เพียงส่วนน้อยมากๆ เท่านั้น คนเล่นเกมส่วนที่เหลืออีกเกิน 95% ก็ยังคงเป็นคนธรรมดา รับผิดชอบหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ได้เหมือนคนทั่วไป แถมยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าเกมมีส่วนช่วยบรรเทาอาการทางจิตอย่างซึมเศร้าหรือการวิตกกังวล แถมงานวิจัยหนึ่งยังเคยทดสอบให้คนกลุ่มนึงเล่นเกม Super Mario 64 วันละ 30 นาทีทุกวันเป็นเวลาสองเดือน เมื่อแสกนสมองออกมาแล้วพบว่าสมองมีเนื้อขาว (Grey Matter) ในส่วนที่ควบคุมเรื่องความจำและการวางแผนมากกว่าคนที่ไม่ได้เล่นอีกด้วย จึงสรุป(เข้าข้างตัวเอง 555+)ได้ว่าถ้าเล่นแต่พอดีเกมก็ยังอาจจะส่งผลดีมากกว่าผลเสียนั่นเอง
ปล. ใครรู้สึกวา่ตัวเองอาจจะมีอาการที่เรียกว่าติดเกมได้ ลองขอความช่วยเหลือจากแพทย์และ/หรือคนรอบข้างนะครับ อย่าให้เกมที่เรารักมันกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายชีวิตเราเลยครับ :)
เป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรงกันมาตลอดกับอาการ ติดเกม ที่ล่าสุดดูจะมีผลตัดสินออกมาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เมื่อองค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้เพิ่มอาการติดเกมลงไปในคู่มือการจัดจำแนกโรคอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้
แน่นอนว่าเหล่าเกมเมอร์ในสังคมทั้งหลายคงรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับการเคลื่อนไหวนี้ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้กับฝ่ายที่โจมตีการเล่นเกมมาตลอด แต่ทางผู้เชียวชาญได้กล่าวย้ำอย่างชัดเจนว่ามีผู้เล่นเกมส่วนน้อยมากๆ เพียง 2-3% ของผู้เล่นเกมทั่วโลกเท่านั้น และไม่ได้คำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการเล่นเกมอย่างเดียว แต่ผู้ที่จะสามารถเรียกว่ามีอาการ ติดเกม ทางการแพทย์ได้จริงๆ นั้นจะต้องติดในระดับที่ทำให้ส่วนประกอบอื่นๆ ในชีวิตต้องได้รับผลกระทบในทางลบ เช่นเล่นจนเสียการงาน หรือเสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งคนเหล่านี้มักจะมีปัญหาทางจิตอื่นๆ อย่าง ซึมเศร้าหรือไบโพล่าร์อยุ่แล้วเป็นทุนเดิมด้วย
คงต้องยอมรับกันแต่โดยดีว่าคนที่เสพติดการเล่นเกมจนเกิดผลเสียต่อชีวิตนั้นมีอยู่จริง จากที่เราเห็นในข่าวอยู่ประปราย ทั้งคนที่เล่นเกมจนตายคาคอม หรือคนที่ลาออกจากงาน/โรงเรียนเพื่อที่จะได้อยุ่บ้านเล่นเกม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรจิตเวชแห่งอเมรีการ (APA) ยังเคยระบุไว้ในรายงานในปี 2013 ว่ามีงานวิจัยมากมายในเอเซียที่ตั้งข้อสังเกติว่าผู้มีอาการติดเกมจะถูกกระตุ้นประสาทส่วนที่ควบคุมความรู้สึกอิ่มเอมเป็นสุข คล้ายกับผู้ติดยาเสพติดเวลาได้เสพยานั่นเอง จึงถือได้ว่าอาการติดเกมเป็นอาการที่ส่งผลต่อสมองทางกายภาพด้วย ไม่ใช่แค่ทางอารมณ์อย่างเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการติดเกมยังคงกระทบต่อประชากรเกมเมอร์เพียงส่วนน้อยมากๆ เท่านั้น คนเล่นเกมส่วนที่เหลืออีกเกิน 95% ก็ยังคงเป็นคนธรรมดา รับผิดชอบหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ได้เหมือนคนทั่วไป แถมยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าเกมมีส่วนช่วยบรรเทาอาการทางจิตอย่างซึมเศร้าหรือการวิตกกังวล แถมงานวิจัยหนึ่งยังเคยทดสอบให้คนกลุ่มนึงเล่นเกม Super Mario 64 วันละ 30 นาทีทุกวันเป็นเวลาสองเดือน เมื่อแสกนสมองออกมาแล้วพบว่าสมองมีเนื้อขาว (Grey Matter) ในส่วนที่ควบคุมเรื่องความจำและการวางแผนมากกว่าคนที่ไม่ได้เล่นอีกด้วย จึงสรุป(เข้าข้างตัวเอง 555+)ได้ว่าถ้าเล่นแต่พอดีเกมก็ยังอาจจะส่งผลดีมากกว่าผลเสียนั่นเอง
ปล. ใครรู้สึกวา่ตัวเองอาจจะมีอาการที่เรียกว่าติดเกมได้ ลองขอความช่วยเหลือจากแพทย์และ/หรือคนรอบข้างนะครับ อย่าให้เกมที่เรารักมันกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายชีวิตเราเลยครับ :)