GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
รีวิว Demons Soul Remake นิทานเรื่องเดิมที่สนุกยิ่งกว่าเดิมบนเครื่องใหม่
ลงวันที่ 10/02/2021

ในที่สุดชาวไทยเราก็มีโอกาสได้สัมผัสเกม Demons Souls ภาคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปล่อยให้ต่างชาติเขาเล่นไปก่อนอยู่นาน ตัวผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเกมตระกูลนี้ของ From Software มาก เนื่องจากทุกครั้งที่เล่นจะมีความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเสมอ (เนื่องจากหนึ่งภาคใช้เวลาเล่นนานมากๆ) ซึ่งครั้งนี้เองก็นับเป็นโชคดีของผมที่มีโอกาสได้เล่นเกมนี้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้เลยจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

ก่อนจะเริ่ม ขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเอง "ไม่เคย" เล่นตัวเกมเวอร์ชัน PS3 ที่เป็นตัว Original มาก่อนเลย ดังนั้นประสบการณ์ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านต่อไปนี้จึงเป็น First Impression โดยแท้จริงครับ ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวผมเองทั้งได้สนุก, หัวร้อน, และตื่นเต้น มากมายหลายครั้งเลยในการเล่นเกมนี้ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ!


เนื้อเรื่อง


เรื่องราวของ Demons Soul จะเริ่มด้วยการโยนตัวละครของเราลงไปในโลกโดยไม่บอกอะไรเลยเหมือนกับเกม Dark Souls ภาคอื่นๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มในท่อระบายน้ำของอาณาจักรแห่งหนึ่ง (ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็น Boletaria) ซึ่งหลังจากเดินทางไปได้สักพัก เราจะได้พบกับปีศาจขนาดใหญ่ได้เข้าต่อสู้กับมัน และตายลง (ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสามารถสู้ให้ชนะในฉากนั้นเลยได้หรือไม่) แต่แทนที่จะ Game Over ตัวเกมจะตัดภาพมาที่ The Nexus ดินแดนระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย ที่แห่งนี้เราจะได้พบกับหญิงสาวปริศนา เธอจะบอกว่าดวงวิญญาณของเราเป็นของ The Nexus เราไม่มีทางหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ แต่ยังสามารถไปยังโลกภายนอกได้ผ่าน Archstone


หลังจากเดินทางไปยัง Boletaria และปราบปิศาจตัวแรกลงได้ เมื่อกลับมาที่ The Nexus อีกครั้งหญิงสาวปริศนา จะบอกให้เราไปคุยกับ Monumental (ไม่รู้จะแปลว่าอะไรดีเหมือนกันครับ) ที่อยู่ด้านบนของ The Nexus เพื่อฟังเรื่องราวของโลกใบนี้ และเหตุผลในการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ รูปปั่นจะเล่าว่า เมื่อก่อนโลกใบนี้เคยสงบสุข ทุกดวงวิญญาณอาศัยอยู่รวมกันอย่างเท่าเทียมภายใต้ Soul Arts แต่แล้ววันความหิวกระหายในพลังได้ปลุก The Old One ขึ้นมา (คิดว่าน่าจะหมายถึงราชาของเหล่าปีศาจทั้งมวล)



หมอกควันแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่วโลกทุกๆ เผ่าพันธุ์ บนโลกต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของปิศาจจนเกือบสูญพันธุ์ แต่โชคดีที่เหล่าผู้เหลือรอดได้ทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลได้สำเร็จ แต่ก็แลกมาด้วยความตายของชีวิตมากมายมหาศาล เพื่อป้องกันการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของ The Old One เหล่า Monumental ได้มอบหินวิเศษ 6 ก้อนให้กับผู้นำทั้ง 6 ของเผ่าพันธุ์ที่ยังมีชีวิตเหลือรอด ด้วยพลังของ หินวิเศษทั้ง 6 ทำให้สามารถจองจำ The Old One ไว้ใต้ The Nexus สำเร็จ นั่นคือเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนหวาดกลัวกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความโลภในพลังของราชาผู้โง่เขลา ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว Monumental จะขอให้เราสังหารราชาคนนั้น และทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลอีกครั้ง

เรื่องราวของ Demons Soul ไม่ได้ถูกเล่าเป็นเส้นตรง แต่ให้ผู้เล่นไปหาข้อมูลเอาเองจากการพูดคุยกับ NPC รวมไปจนคำอธิบายในไอเทมต่างๆ แต่โดยรวมถือว่าสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า Dark Souls เป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็ถูกเล่ามาโดย Monumental แล้วหลังจากนี้คือการผจญภัยของเราเอง โดยวิธีการดำเนินเรื่องก็แล้วแต่ผู้เล่นเองเลย จะไปเดินทางไปยัง Archstone ไหน หรือสำรวจดินแดนไหนก่อนก็ได้เพราะปลายทางของเนื้อเรื่องก็จะมาจบที่ The Nexus อยู่ดี เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียด และเสน่ห์ของเนื้อเรื่องตามสไตล์ Souls จาก From Software ไว้ได้อย่างครบถ้วน (ต้องยกนิ้วให้กับ Bluepoint Games กับการ Remake ครั้งนี้ครับ)


กราฟิก / การนำเสนอ


ก่อนอื่นเอาแค่เรื่อง ภาพ, กราฟิก กับ Visual Effects ก่อน สามจุดนี้ขอยอมรับว่าทำออกมาได้ดี, สวยงาม, และเก็บรายละเอียดของวัตถุได้เนี๊ยมากๆ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเครื่อง PS5 ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ และซีพียูที่แรงมากๆ ด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฉากของปราสาทที่กำลังลุกเป็นไฟ, หมอกและควันจากศพที่ไหม้, แสงที่สองผ่านช่องวางของหน้าต่างมา, รูปร่างหน้าตาของปีศาจที่ได้พบ, ซากประหลักหักพังท่ามกลางพายุ, วิหาร The Nexus ทุกอย่างถูกออกแบบใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น พอเอาไปรวมกับความละเอียดแบบ 4K / 60 FPS ก็ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาที่เล่นครับ

ต่อมาในด้านการนำเสนอ จุดแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ พร้อมทั้งรู้สึกดีมากๆ ตลอดเวลาที่เล่นคือระบบสั่น กับแรงต้านของจอ Dualsense และระบบเสียงที่ใช้งานเทคโนโลยี Tempest ของเกม ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเสมือนจริง ได้มากขึ้นเป็นอย่างมากตลอดเวลาในการเล่น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือการที่รูปแบบของแรงสั่นจากจอเวลากระทบกับวัตถุประเภทต่างๆ รวมถึงน้ำหนัก และทิศทางเสียงที่เกิดขึ้นในเกม มันแตกต่างกันออกไปทั้งหมดครับ เห็นในชัดที่สุดคือตอนเวลาเอาอาวุธประเภททุบๆ อย่าง ค้อน, กระบอง หรือคทา โจมตีใส่ศัตรู ความรู้สึกที่สัมผัสได้ผ่านจอคือเหมือนเราได้ตีใส่ศัตรูภายในเกมจริงๆ ด้วยตัวเองเลยครับ


(ความรู้สึกเวลาเอา Mace ทุบหินจะแน่นๆ และทำให้รู้สึกว่ามือชาหน่อยๆ )



(เวลาทุบกระดูกจะแรงต้านไม่เยอะเท่า แต่จะรู้สึกเหมือนทำอะไรแตกหัก)


พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีเสียง Tempest ต่ออีกนิด นอกจากเสียงที่เกิดจากกระทบของวัตถุแล้ว หากใส่หูฟังเล่น จะได้พบกับเสียงของฝน, เสียงไฟ, เสียงกรีดร้อง รวมถึงเสียงการก้าวเดินของตัวละครบนพื้นผิวต่างๆ ที่สมจริงมาก มันสมจริงถึงขนาดที่ว่าถ้าใส่แว่น VR เล่น และเปลี่ยนมุมมองเป็น FPS คงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือความจริงๆ อันไหนคือในเกม ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเพียงแค่ระบบของเสียงเปลี่ยนไปเป็น 3D จะสร้างความแตกต่างทางด้านประสบการณ์ที่ได้รับมากขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าด้วยระบบเสียงใหม่นี้ทำให้สามารถทำให้เรารู้สึกว่าได้เข้าไปเดินในโลกใบนั้นจริงๆ แหล่งกำเนิดเสียงอยู่ที่ไหนเป็นอะไร ก็จะได้ยินเสียงของวัตถุชิ้นนั้นจากทิศทางนั้นจริงๆ คงพูดได้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ จริงครับ


(เสียงตอนเคียวปาดบนเนื้อหินฉากนี้คือสุดยอดมากๆ )


ต่อมาคือในเรื่องของอนิเมชั่นการขยับของตัวละคร ที่เวอร์ชันนี้ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ถูกต้อง แต่จุดที่ผมประทับใจมากที่สุดคือมีการเพิ่มท่าโจมตีแบบ Fatal Attack เข้ามาใหม่ถึงอาวุธละ 3 ท่าด้วยกัน กล่าวคือการจับอาวุธด้วยมือเดียว หรือสองมือ โจมตีแบบ Fatal Attack จากข้างหน้า และข้างหลัง เราจะได้เห็นท่าโจมตีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกหลากหลายมากขึ้นในตอนเล่น และนับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมอยากชมผู้พัฒนา

ต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ ในจุดนี้ตัวผมเองคิดว่าด้วยเซตติ่งของโลก รวมถึงสไตล์ของสถานที่ซึ่งให้เราไปสำรวจแล้ว เกมนี้มีธีมโดยรวมของฉากที่สว่างมากเกินไปครับ ถ้าหากว่าทำออกมาให้มืดมากกว่านี้คิดว่าคงทำให้อินได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตัวผู้พัฒนาเองก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี จึงได้ใส่ Filter ต่างๆ มาให้เราได้ใช้งานด้วย ซึ่งมันเลยทำให้สามารถปรับรูปแบบของสีในฉากต่างๆ ของเกมได้ตามใจผู้เล่นเอง จนปัญหาข้างต้นหมดไป ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Bluepoint Games ให้ความสำคัญ และตัดสินใจทำได้ดีมากๆ ครับ


เกมเพลย์


เบื้องต้นในเรื่องของระบบต่อสู้ Demons Soul ภาคนี้เหมือนเอาระบบต่อสู้ของ Dark Souls 3 มาพัฒนาต่อให้ดีขึ้น การบังคับ, จังหวะการโจมตี, กลิ้ง, ป้องกัน, ระยะของฮิตบล็อก ทุกอย่างถูกทำให้มีความถูกต้องมากขึ้น พอเอาไปรวมกับตัวเกมที่สามารถเล่นได้แบบ 60 FPS แล้ว จึงทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ในภาคนี้ดูดียิ่งกว่า Dark Souls เป็นอย่างมากจุดนี้ขอชมเชยจากใจครับ

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องความยากกันบ้าง ก่อนอื่นศัตรูข้างทางที่เราได้พบมีความยากน้อยกว่า ตระกูล Dark Souls พอสมควรครับ  เนื่องจากรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละตัวจะมีประมาณ 2 - 4 แบบเท่านั้น และประมาณ 70% มีรูปร่างเป็นแบบ Humanoid (รูปร่างแบบมนุษย์) จึงทำคาดเดาการโจมตี รวมถึงระยะสามารถทำได้ง่ายกว่า ถ้าจะมีจุดที่ยากเลย คิดว่าคงเป็นเรื่องของดาเมที่ศัตรูทำได้ในแต่ละครั้งมักจะแรงมากๆ และจุดเซฟแต่ละจุดอยู่ห่างกันแบบสุดๆ ครับ



ต่อที่ความยากเวลาสู้กับบอส โดยปกติแล้วความยากของเกมตระกูล Souls มักจะอยู่ที่ความเก่งของบอสแต่ละตัว ซึ่งใน Demons Soul ภาคใหม่นี้ก็ไม่ใช่แบบนั้น อย่างที่ผมบอกไปว่ารูปแบบการโจมตีของศัตรูในภาคนี้จะมีอยู่แค่ 2 - 4 แบบเท่านั้น ซึ่งมันรวมถึงบอสด้วยครับ ถ้าหากเพื่อนๆ ใจเย็นและค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้การโจมตีของบอสก่อน ทุกตัวน่าจะสามารถผ่านได้ตั้งแต่การสู้ครั้งแรกเลย (ผมเองก็สู้ครั้งเดียวผ่านอยู่หลายตัวมากๆ เช่นกัน) ส่วนหนึ่งคิดว่าคงเป็นเพราะเกมในยุค PS3 ที่เป็นต้นตำรับสามารถใส่ความหลากหลายเข้ามาได้แค่นี้ด้วย แต่เอาตรงๆ สำหรับตัวเกมที่ถูกเรียกว่า Remake แล้ว ผมเองปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคาดหวังความท้าทายที่มากกว่านี้ครับ

ต่อมาจะขอพูดถึงระบบภายในเกมที่น่าสนใจในภาคนี้กันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมชอบมากๆ คือระบบที่มีชื่อว่า Fractured World ที่จะสลับซ้าย และขวาของทุกอย่างในเกม (ย้ำว่าทุกอย่าง กระทั่งตัวละครเราเองก็จะเปลี่ยนไปถืออาวุธในมือซ้าย ถือโล่มือขวาเช่นกัน) การสลับซ้ายกับขวานี้จะทำให้การเดินทางในสถานที่เดิน และการกลิ้งหลบเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความลับบางอย่างที่เราสามารถหาได้ในโลกแบบสลับด้านนี้เท่านั้นด้วย ถือได้ว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ ครับ



ระบบที่สองที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่คือระบบที่ให้เราสามารถขอขมากรรมที่ทำไปได้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ในเกมตระกูล Souls เราสามารถโจมตี NPC ทั้งหมดที่มีในเกมได้ ซึ่งบางตัวจะไม่ยอมยกโทษให้กับรวมถึงไม่ยอมคุยด้วย (ทีนี้จะฝากของ หรือตีบวกอาวุธก็ทำไม่ได้อีก) ระบบขอขมากรรมมีไว้เพื่อการนี้ โดยหลังจ่าย Souls เท่ากับกรรมที่ทำไปแล้ว เราก็จะได้รับการยกโทษให้จากเหล่า NPC มันช่วยได้เยอะมากๆ เนื่องจากบางครั้งมันก็มีการกดผิดจากปุ่มตกลงเป็นปุ่มโจมตีกันอยู่บ้างครับ (ก็มันชินอะ)

ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้ว มาดูข้อเสียของเกมนี้บ้าง หลักเลยๆ ผมมีเรื่องเดียวที่จะติครับ นั้นคือการที่จำนวนชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการเคลียร์มันน้อยมาก ถ้าชินกับจังหวะของเกมแล้วคิดว่า 10 - 15 ชั่วโมงก็สามารถเคลียร์ได้แล้ว จริงอยู่ว่าเกมนี้มีความลับ รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมให้เราเล่นด้วย แต่คิดว่าคงกินเวลาเพิ่มไม่ถึงอีก 10 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่าใช้เวลาน้อยมากๆ ครับ


สรุป


โดยรวมแล้ว Demons Souls Remake ถือเป็นภาคหนึ่งของตระกูล Souls ที่สนุก, กราฟิกสวย, เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย, มีระบบใหม่ที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การหามาเล่นสักครั้งสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ แต่ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นไม่นาน และอาจไม่ยากถูกใจสาย Hardcore เท่าไหร่นัก (แต่ถือว่ายากกว่าเกมในยุคปัจจุบันพอสมควรเลย) แน่นอนว่าเกมนี้ไม่ได้มอบสิ่งใหม่ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ ดังนั้นคิดว่าโดยรวมแล้วเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 แม้จะสนุกมากแต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมจริงๆ

หลังจากที่ได้เล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวผมเองได้พบกับจุดเชื่อมโยงเนื้อเรื่องของ Demons Soul, Dark Souls และ Bloodborne เข้าด้วยกันไม่แน่ว่าโลกทั้ง 3 ใบของ From Software อาจใกล้เคียงกันมากกว่าที่เราคิดก็ได้ ถ้าหากรวบรวมข้อมูลได้แล้ว จะเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันอย่างแน่นอนครับ

[penci_review id="78504"]

7
ข้อดี
ข้อเสีย
8
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
รีวิว Demons Soul Remake นิทานเรื่องเดิมที่สนุกยิ่งกว่าเดิมบนเครื่องใหม่
10/02/2021

ในที่สุดชาวไทยเราก็มีโอกาสได้สัมผัสเกม Demons Souls ภาคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปล่อยให้ต่างชาติเขาเล่นไปก่อนอยู่นาน ตัวผมเองเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเกมตระกูลนี้ของ From Software มาก เนื่องจากทุกครั้งที่เล่นจะมีความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเสมอ (เนื่องจากหนึ่งภาคใช้เวลาเล่นนานมากๆ) ซึ่งครั้งนี้เองก็นับเป็นโชคดีของผมที่มีโอกาสได้เล่นเกมนี้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้เลยจะมารีวิวเกมนี้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

ก่อนจะเริ่ม ขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเอง "ไม่เคย" เล่นตัวเกมเวอร์ชัน PS3 ที่เป็นตัว Original มาก่อนเลย ดังนั้นประสบการณ์ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านต่อไปนี้จึงเป็น First Impression โดยแท้จริงครับ ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวผมเองทั้งได้สนุก, หัวร้อน, และตื่นเต้น มากมายหลายครั้งเลยในการเล่นเกมนี้ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ!


เนื้อเรื่อง


เรื่องราวของ Demons Soul จะเริ่มด้วยการโยนตัวละครของเราลงไปในโลกโดยไม่บอกอะไรเลยเหมือนกับเกม Dark Souls ภาคอื่นๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะเริ่มในท่อระบายน้ำของอาณาจักรแห่งหนึ่ง (ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็น Boletaria) ซึ่งหลังจากเดินทางไปได้สักพัก เราจะได้พบกับปีศาจขนาดใหญ่ได้เข้าต่อสู้กับมัน และตายลง (ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสามารถสู้ให้ชนะในฉากนั้นเลยได้หรือไม่) แต่แทนที่จะ Game Over ตัวเกมจะตัดภาพมาที่ The Nexus ดินแดนระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย ที่แห่งนี้เราจะได้พบกับหญิงสาวปริศนา เธอจะบอกว่าดวงวิญญาณของเราเป็นของ The Nexus เราไม่มีทางหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ แต่ยังสามารถไปยังโลกภายนอกได้ผ่าน Archstone


หลังจากเดินทางไปยัง Boletaria และปราบปิศาจตัวแรกลงได้ เมื่อกลับมาที่ The Nexus อีกครั้งหญิงสาวปริศนา จะบอกให้เราไปคุยกับ Monumental (ไม่รู้จะแปลว่าอะไรดีเหมือนกันครับ) ที่อยู่ด้านบนของ The Nexus เพื่อฟังเรื่องราวของโลกใบนี้ และเหตุผลในการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ รูปปั่นจะเล่าว่า เมื่อก่อนโลกใบนี้เคยสงบสุข ทุกดวงวิญญาณอาศัยอยู่รวมกันอย่างเท่าเทียมภายใต้ Soul Arts แต่แล้ววันความหิวกระหายในพลังได้ปลุก The Old One ขึ้นมา (คิดว่าน่าจะหมายถึงราชาของเหล่าปีศาจทั้งมวล)



หมอกควันแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่วโลกทุกๆ เผ่าพันธุ์ บนโลกต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของปิศาจจนเกือบสูญพันธุ์ แต่โชคดีที่เหล่าผู้เหลือรอดได้ทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลได้สำเร็จ แต่ก็แลกมาด้วยความตายของชีวิตมากมายมหาศาล เพื่อป้องกันการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของ The Old One เหล่า Monumental ได้มอบหินวิเศษ 6 ก้อนให้กับผู้นำทั้ง 6 ของเผ่าพันธุ์ที่ยังมีชีวิตเหลือรอด ด้วยพลังของ หินวิเศษทั้ง 6 ทำให้สามารถจองจำ The Old One ไว้ใต้ The Nexus สำเร็จ นั่นคือเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนหวาดกลัวกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความโลภในพลังของราชาผู้โง่เขลา ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว Monumental จะขอให้เราสังหารราชาคนนั้น และทำให้ The Old One กลับไปหลับใหลอีกครั้ง

เรื่องราวของ Demons Soul ไม่ได้ถูกเล่าเป็นเส้นตรง แต่ให้ผู้เล่นไปหาข้อมูลเอาเองจากการพูดคุยกับ NPC รวมไปจนคำอธิบายในไอเทมต่างๆ แต่โดยรวมถือว่าสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า Dark Souls เป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็ถูกเล่ามาโดย Monumental แล้วหลังจากนี้คือการผจญภัยของเราเอง โดยวิธีการดำเนินเรื่องก็แล้วแต่ผู้เล่นเองเลย จะไปเดินทางไปยัง Archstone ไหน หรือสำรวจดินแดนไหนก่อนก็ได้เพราะปลายทางของเนื้อเรื่องก็จะมาจบที่ The Nexus อยู่ดี เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียด และเสน่ห์ของเนื้อเรื่องตามสไตล์ Souls จาก From Software ไว้ได้อย่างครบถ้วน (ต้องยกนิ้วให้กับ Bluepoint Games กับการ Remake ครั้งนี้ครับ)


กราฟิก / การนำเสนอ


ก่อนอื่นเอาแค่เรื่อง ภาพ, กราฟิก กับ Visual Effects ก่อน สามจุดนี้ขอยอมรับว่าทำออกมาได้ดี, สวยงาม, และเก็บรายละเอียดของวัตถุได้เนี๊ยมากๆ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะความสามารถของตัวเครื่อง PS5 ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ และซีพียูที่แรงมากๆ ด้วย ทำให้ตลอดเวลาที่ได้เล่นเกมนี้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฉากของปราสาทที่กำลังลุกเป็นไฟ, หมอกและควันจากศพที่ไหม้, แสงที่สองผ่านช่องวางของหน้าต่างมา, รูปร่างหน้าตาของปีศาจที่ได้พบ, ซากประหลักหักพังท่ามกลางพายุ, วิหาร The Nexus ทุกอย่างถูกออกแบบใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น พอเอาไปรวมกับความละเอียดแบบ 4K / 60 FPS ก็ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาที่เล่นครับ

ต่อมาในด้านการนำเสนอ จุดแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ พร้อมทั้งรู้สึกดีมากๆ ตลอดเวลาที่เล่นคือระบบสั่น กับแรงต้านของจอ Dualsense และระบบเสียงที่ใช้งานเทคโนโลยี Tempest ของเกม ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเสมือนจริง ได้มากขึ้นเป็นอย่างมากตลอดเวลาในการเล่น สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือการที่รูปแบบของแรงสั่นจากจอเวลากระทบกับวัตถุประเภทต่างๆ รวมถึงน้ำหนัก และทิศทางเสียงที่เกิดขึ้นในเกม มันแตกต่างกันออกไปทั้งหมดครับ เห็นในชัดที่สุดคือตอนเวลาเอาอาวุธประเภททุบๆ อย่าง ค้อน, กระบอง หรือคทา โจมตีใส่ศัตรู ความรู้สึกที่สัมผัสได้ผ่านจอคือเหมือนเราได้ตีใส่ศัตรูภายในเกมจริงๆ ด้วยตัวเองเลยครับ


(ความรู้สึกเวลาเอา Mace ทุบหินจะแน่นๆ และทำให้รู้สึกว่ามือชาหน่อยๆ )



(เวลาทุบกระดูกจะแรงต้านไม่เยอะเท่า แต่จะรู้สึกเหมือนทำอะไรแตกหัก)


พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีเสียง Tempest ต่ออีกนิด นอกจากเสียงที่เกิดจากกระทบของวัตถุแล้ว หากใส่หูฟังเล่น จะได้พบกับเสียงของฝน, เสียงไฟ, เสียงกรีดร้อง รวมถึงเสียงการก้าวเดินของตัวละครบนพื้นผิวต่างๆ ที่สมจริงมาก มันสมจริงถึงขนาดที่ว่าถ้าใส่แว่น VR เล่น และเปลี่ยนมุมมองเป็น FPS คงแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือความจริงๆ อันไหนคือในเกม ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเพียงแค่ระบบของเสียงเปลี่ยนไปเป็น 3D จะสร้างความแตกต่างทางด้านประสบการณ์ที่ได้รับมากขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าด้วยระบบเสียงใหม่นี้ทำให้สามารถทำให้เรารู้สึกว่าได้เข้าไปเดินในโลกใบนั้นจริงๆ แหล่งกำเนิดเสียงอยู่ที่ไหนเป็นอะไร ก็จะได้ยินเสียงของวัตถุชิ้นนั้นจากทิศทางนั้นจริงๆ คงพูดได้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ จริงครับ


(เสียงตอนเคียวปาดบนเนื้อหินฉากนี้คือสุดยอดมากๆ )


ต่อมาคือในเรื่องของอนิเมชั่นการขยับของตัวละคร ที่เวอร์ชันนี้ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ถูกต้อง แต่จุดที่ผมประทับใจมากที่สุดคือมีการเพิ่มท่าโจมตีแบบ Fatal Attack เข้ามาใหม่ถึงอาวุธละ 3 ท่าด้วยกัน กล่าวคือการจับอาวุธด้วยมือเดียว หรือสองมือ โจมตีแบบ Fatal Attack จากข้างหน้า และข้างหลัง เราจะได้เห็นท่าโจมตีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมันทำให้รู้สึกหลากหลายมากขึ้นในตอนเล่น และนับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมอยากชมผู้พัฒนา

ต่อมาคือเรื่องของบรรยากาศ ในจุดนี้ตัวผมเองคิดว่าด้วยเซตติ่งของโลก รวมถึงสไตล์ของสถานที่ซึ่งให้เราไปสำรวจแล้ว เกมนี้มีธีมโดยรวมของฉากที่สว่างมากเกินไปครับ ถ้าหากว่าทำออกมาให้มืดมากกว่านี้คิดว่าคงทำให้อินได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตัวผู้พัฒนาเองก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี จึงได้ใส่ Filter ต่างๆ มาให้เราได้ใช้งานด้วย ซึ่งมันเลยทำให้สามารถปรับรูปแบบของสีในฉากต่างๆ ของเกมได้ตามใจผู้เล่นเอง จนปัญหาข้างต้นหมดไป ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Bluepoint Games ให้ความสำคัญ และตัดสินใจทำได้ดีมากๆ ครับ


เกมเพลย์


เบื้องต้นในเรื่องของระบบต่อสู้ Demons Soul ภาคนี้เหมือนเอาระบบต่อสู้ของ Dark Souls 3 มาพัฒนาต่อให้ดีขึ้น การบังคับ, จังหวะการโจมตี, กลิ้ง, ป้องกัน, ระยะของฮิตบล็อก ทุกอย่างถูกทำให้มีความถูกต้องมากขึ้น พอเอาไปรวมกับตัวเกมที่สามารถเล่นได้แบบ 60 FPS แล้ว จึงทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ในภาคนี้ดูดียิ่งกว่า Dark Souls เป็นอย่างมากจุดนี้ขอชมเชยจากใจครับ

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องความยากกันบ้าง ก่อนอื่นศัตรูข้างทางที่เราได้พบมีความยากน้อยกว่า ตระกูล Dark Souls พอสมควรครับ  เนื่องจากรูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละตัวจะมีประมาณ 2 - 4 แบบเท่านั้น และประมาณ 70% มีรูปร่างเป็นแบบ Humanoid (รูปร่างแบบมนุษย์) จึงทำคาดเดาการโจมตี รวมถึงระยะสามารถทำได้ง่ายกว่า ถ้าจะมีจุดที่ยากเลย คิดว่าคงเป็นเรื่องของดาเมที่ศัตรูทำได้ในแต่ละครั้งมักจะแรงมากๆ และจุดเซฟแต่ละจุดอยู่ห่างกันแบบสุดๆ ครับ



ต่อที่ความยากเวลาสู้กับบอส โดยปกติแล้วความยากของเกมตระกูล Souls มักจะอยู่ที่ความเก่งของบอสแต่ละตัว ซึ่งใน Demons Soul ภาคใหม่นี้ก็ไม่ใช่แบบนั้น อย่างที่ผมบอกไปว่ารูปแบบการโจมตีของศัตรูในภาคนี้จะมีอยู่แค่ 2 - 4 แบบเท่านั้น ซึ่งมันรวมถึงบอสด้วยครับ ถ้าหากเพื่อนๆ ใจเย็นและค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้การโจมตีของบอสก่อน ทุกตัวน่าจะสามารถผ่านได้ตั้งแต่การสู้ครั้งแรกเลย (ผมเองก็สู้ครั้งเดียวผ่านอยู่หลายตัวมากๆ เช่นกัน) ส่วนหนึ่งคิดว่าคงเป็นเพราะเกมในยุค PS3 ที่เป็นต้นตำรับสามารถใส่ความหลากหลายเข้ามาได้แค่นี้ด้วย แต่เอาตรงๆ สำหรับตัวเกมที่ถูกเรียกว่า Remake แล้ว ผมเองปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคาดหวังความท้าทายที่มากกว่านี้ครับ

ต่อมาจะขอพูดถึงระบบภายในเกมที่น่าสนใจในภาคนี้กันบ้าง หนึ่งในระบบที่ผมชอบมากๆ คือระบบที่มีชื่อว่า Fractured World ที่จะสลับซ้าย และขวาของทุกอย่างในเกม (ย้ำว่าทุกอย่าง กระทั่งตัวละครเราเองก็จะเปลี่ยนไปถืออาวุธในมือซ้าย ถือโล่มือขวาเช่นกัน) การสลับซ้ายกับขวานี้จะทำให้การเดินทางในสถานที่เดิน และการกลิ้งหลบเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความลับบางอย่างที่เราสามารถหาได้ในโลกแบบสลับด้านนี้เท่านั้นด้วย ถือได้ว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ ครับ



ระบบที่สองที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่คือระบบที่ให้เราสามารถขอขมากรรมที่ทำไปได้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ในเกมตระกูล Souls เราสามารถโจมตี NPC ทั้งหมดที่มีในเกมได้ ซึ่งบางตัวจะไม่ยอมยกโทษให้กับรวมถึงไม่ยอมคุยด้วย (ทีนี้จะฝากของ หรือตีบวกอาวุธก็ทำไม่ได้อีก) ระบบขอขมากรรมมีไว้เพื่อการนี้ โดยหลังจ่าย Souls เท่ากับกรรมที่ทำไปแล้ว เราก็จะได้รับการยกโทษให้จากเหล่า NPC มันช่วยได้เยอะมากๆ เนื่องจากบางครั้งมันก็มีการกดผิดจากปุ่มตกลงเป็นปุ่มโจมตีกันอยู่บ้างครับ (ก็มันชินอะ)

ฟังข้อดีกันไปเยอะแล้ว มาดูข้อเสียของเกมนี้บ้าง หลักเลยๆ ผมมีเรื่องเดียวที่จะติครับ นั้นคือการที่จำนวนชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการเคลียร์มันน้อยมาก ถ้าชินกับจังหวะของเกมแล้วคิดว่า 10 - 15 ชั่วโมงก็สามารถเคลียร์ได้แล้ว จริงอยู่ว่าเกมนี้มีความลับ รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมให้เราเล่นด้วย แต่คิดว่าคงกินเวลาเพิ่มไม่ถึงอีก 10 ชั่วโมงครับ ซึ่งถือว่าใช้เวลาน้อยมากๆ ครับ


สรุป


โดยรวมแล้ว Demons Souls Remake ถือเป็นภาคหนึ่งของตระกูล Souls ที่สนุก, กราฟิกสวย, เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย, มีระบบใหม่ที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การหามาเล่นสักครั้งสำหรับคนที่ชื่นชอบเกมแนวนี้ แต่ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นไม่นาน และอาจไม่ยากถูกใจสาย Hardcore เท่าไหร่นัก (แต่ถือว่ายากกว่าเกมในยุคปัจจุบันพอสมควรเลย) แน่นอนว่าเกมนี้ไม่ได้มอบสิ่งใหม่ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ ดังนั้นคิดว่าโดยรวมแล้วเกมนี้ควรจะมีคะแนนอยู่ที่ 8 เต็ม 10 แม้จะสนุกมากแต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมจริงๆ

หลังจากที่ได้เล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวผมเองได้พบกับจุดเชื่อมโยงเนื้อเรื่องของ Demons Soul, Dark Souls และ Bloodborne เข้าด้วยกันไม่แน่ว่าโลกทั้ง 3 ใบของ From Software อาจใกล้เคียงกันมากกว่าที่เราคิดก็ได้ ถ้าหากรวบรวมข้อมูลได้แล้ว จะเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันอย่างแน่นอนครับ

[penci_review id="78504"]


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header