เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ)
การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า
เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก
ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ
เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น
ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder,Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม
ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง
เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง
Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One)
เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel
เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน)
โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen Oneที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ FatherAriandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ
แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด ไปแล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป)
เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้
ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน
ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ "โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)
ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ
เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ)
การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า
เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก
ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ
เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น
ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder,Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม
ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง
เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง
Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One)
เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel
เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน)
โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen Oneที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ FatherAriandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ
แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด ไปแล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป)
เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้
ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน
ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ "โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)
ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ