GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
บทความ
ชวนนั่งคิด เป็นไปได้หรือไม่ที่จักรวาล Soulsborne ทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน?
ลงวันที่ 03/03/2021

ประเด็นที่ว่าจักวาล SoulBorne ทั้งหมด (Demons Souls, Dark Souls 1 - 3, และ BloodBorne) ซึ่งบ้างก็บอกว่าทั้งสามไม่น่าเป็นเกมที่อยู่ในจักรวาล หรือ Timeline เดียวกับ แต่ก็ยังมี Youtuber และนักเขียนหลายคนที่นำเสนอทิศดีที่ชื้ให้เห็นว่า ทั้ง 3 เกมอยู่ในจักรวาล และ Timeline เดียวกัน ซึ่งทาง From Software ก็ไม่เคยออกมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงพูดคุยในหมู่แฟนเกม

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว เชื่ออย่างยิ่ง ว่าทั้ง 3 เกม อยู่ในจักวาลเดียวกัน โดยมี Demons Souls เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล ต่อมาด้วยประเด็นความขัดแย้งเรื่องว่า โลกควรจะมีพลังของไฟอยู่หรือไม่ใน Dark Souls ก็เป็นจุดเริ่นต้นของเรื่องราวในโลกของ Bloodborne ซึ่งวันนี้ผมจะขออธิบายทฤษฎีของผมให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ

ป.ล "บทความนี้มีการสรุปเนื้อเรื่องของตัวเกม SoulBorn ทั้งหมดเอาไว้แบบพอสังเขป และมีการสปอยเนื้อเรื่องบางส่วนด้วย"


เรื่องราวของ Demon’s Souls เกี่ยวกับอะไร ?


บทเริ่มต้นของ Demons Souls ได้กล่าวว่า

 

"ในวันแรกมนุษย์ได้รับดวงวิญญาณ / สติความนึกคิดมา และในวันที่สองแผนดินของถูกปลูกด้วยพิษร้ายแรง ปิศาจที่กัดกินดวงวิญญาณทั้งปวง"




เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ)



การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า

 

"ฉันยินดีที่จะยกไอเทมเหล่านี้ให้กับเธอ เพื่อแลกกับ Souls จำนวนที่เท่าเทียม เธอก็รู้ว่าฉันต้องการ Souls เพื่อให้ตัวเองยังคงมีสติอยู่" 



เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก


ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ




เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น


ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder, Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม

ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง



เมื่อพลังแห่งความมืดเข้มแข็งกว่า การตายของมนุษย์จึงไม่ทำให้พวกเขาตาย แต่ได้รับ Dark Sign มา โดยแลกกับ Humanity ที่ตัวเองมี และทำให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะ Undead และยิ่ง Undead ต้นนั้นตายซ้ำตายซากมากขึ้นเท่าไหร่ พวกมันก็จะสูญเสียความนึกคิดกับสติปัญญาไปมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง เหล่า Undead จะกลายเป็น Hollow ที่ไม่มีความนึกคิด ไม่มีจุดหมาย ลืมกระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร Hollow บางตัวก็อยู่นิ่งเฉยๆ แต่ Hollow บางตัวก็โจมตีผู้อื่นไปทั่ว (ซึ่งนี่อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของ Lore ช่วงแรกจากเกม Demons Soul ที่กล่าวว่าถึงพิษที่ถูกปลูกลงมายกพื้นโลก เพราะถ้าหากเข้าใจว่า Souls และ ไฟ คือพลังของมนุษย์ Deep Fog กับพลังแห่งความมืด ก็คือสิ่งที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามครับ)

เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง

Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One)


เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel 


เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน)

โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen One ที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ Father Ariandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ  Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ



อีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เลือด มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าไฟ คือในฉากที่เลือดของเหล่า The Abyss Watcher ไปรวมกันที่ร่างเดียว และหลอมรวม Soul ของพวกเขาทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง ก่อให้กำเนิดร่างที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา หรือตอนจบของ DLC The Ringed City ที่ Slave Knight Gael ดื่มเลือดของราชาแห่ง Pygmy เข้าไป และได้รับพลังแห่งความมืดมา รวมถึงประโยคที่เขาพูดว่าหลังเลือดลดไปได้ครึ่งหลอดที่บอกว่า "นี้คือเลือด เลือดที่มีพลังของ Dark Souls" กล่าวคือนอกจาก เลือด จะเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ใช้ส่งต่อพลังให้กับคนอื่นได้ด้วย

ในขณะเดียวกัน เลือด ก็เป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกันสามารถสังเกตได้ในตอนที่ Father Ariandel ใช้ ถ้วยทองขนาดใหญ่ ทุบลงไปที่เลือดของ Elfriede ที่นองอยู่บนพื้นจนทำเกิดเปลวไฟขึ้นมา (ให้ไปนาทีที่ 3.19 ในคลิปด้านบน) ในจุดนี้ผมจึงคิดว่า เลือด เปรียบเสมือนภาชนะที่ใช้ในการกักเก็บพลังของแสงสว่าง หรือความมืดก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง

ใน DLC Ashes of Ariandel เราจะได้พบกับหญิงสาวผมขาวที่ต้องการจะวาดภาพโลกที่ มืดมิด หนาวเหน็บ และอ่อนโยน และเธอหวังว่ามันจะเป็นบ้านที่แสนสุขให้กับใครสักคน ซึ่งภาพวาดของเธอถูกวาดขึ้นมาด้วย "เลือด" เพื่อที่จะวาดภาพนี้ให้สำเร็จเธอกล่าวว่าเธอต้องการที่จะเห็น ไฟ (ซึ่งผมเข้าใจว่า เพื่อเธอจะไม่เผลอวาดพลังของ ไฟ เข้าไปในโลกใบนี้ด้วย) ในตอนจบหลังจากเอาชนะ Father Ariandel กับ Friede ได้ ไฟจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่ง Ariandel ถ้าหากกลับไปคุยกับเธอ เธอจะขอบคุณเรา และเริ่มวาดภาพต่อ โดยถ้าหากอ้างอิงว่าภาพที่ถูกวาดด้วยเลือดคือโลกหนึ่งใบ ภาพที่หญิงสาวผมขาววาดขึ้นมาด้วยเลือด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นโลกของ BloodBorne ครับ


โลกของ BloodBorne เรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลา ซึ่งต้องการจะวิวัฒนาการ


BloodBorne จะกล่าวถึงโลกที่มนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็น Hunter ได้ เพียงแค่รับเลือด "PaleBlood" เข้าไป โดยโลกของเกมไม่มีการกล่าวถึงคอนเซ็ปต์เรื่อง Souls หรือ ไฟ และความมืดอีกเลย ราวกับว่าเป็นโลกที่มนุษย์ลืมพลังเหล่านั้นและหันมาพึ่งพาเพียงแค่พลังของ เลือด อย่างเดียว

แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด  แล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป)



เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้

ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน



ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ " โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)

 

อีกหนึ่งหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของผม คือบทพูดของ NPC ที่ชื่อว่า Marvellous Chester ที่เมือง Oolacile ในภาคแรกที่มีใจความว่า

 

"อืม ขอฉันเดานะ เดินเข้าไปในความมืด แล้วรู้ตัวอีกที่ก็มาโผล่อยู่ในอดีตสินะ? เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน เราทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น ที่มาอยู่ในแดนประหลาด"




บวกกับแต่งตัวเหมือนมาจากเมือง Yharnam มากกว่า Oolacile แถมยังถือมีดที่โจมตีติดเลือดไหล กับหน้าไม้ในมืออีกข้าง (ดูยังไงก็เป็นรูปแบบการใช้อาวุธของ Hunter ในเกม BloodBorne) ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเรื่องราวของ BloodBorne คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตอันห่างไกลจาก Dark Souls ซึ่งมันยิ่งทำให้คิดแบบนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพบว่า ใต้เมืองของ Yharnam มีซากชุดเกราะจากยุคอดีตที่เหมือนกับตัวละครของเราใน Dark Souls ดังนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของ Oolacile


ความเป็นไปได้ของ Elden Ring


ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ



เป็นอย่างไรกันบ้างกับทฤษฎีเนื้อเรื่องของผม? ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่เพื่อนๆ ได้อ่านมา เป็นการคิด วิเคราะห์ และสรุปจากหลักฐานที่ผมมี หมายความว่า มันอาจจะไม่ถึงต้องเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้ แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องที่ทั้ง 3 เกม อาจอยู่บนจักรวาล และ Timeline เดียวกัน? คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่? คอมเม้นต์พูดคุยกันได้ครับ


GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
ชวนนั่งคิด เป็นไปได้หรือไม่ที่จักรวาล Soulsborne ทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน?
03/03/2021

ประเด็นที่ว่าจักวาล SoulBorne ทั้งหมด (Demons Souls, Dark Souls 1 - 3, และ BloodBorne) ซึ่งบ้างก็บอกว่าทั้งสามไม่น่าเป็นเกมที่อยู่ในจักรวาล หรือ Timeline เดียวกับ แต่ก็ยังมี Youtuber และนักเขียนหลายคนที่นำเสนอทิศดีที่ชื้ให้เห็นว่า ทั้ง 3 เกมอยู่ในจักรวาล และ Timeline เดียวกัน ซึ่งทาง From Software ก็ไม่เคยออกมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงพูดคุยในหมู่แฟนเกม

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว เชื่ออย่างยิ่ง ว่าทั้ง 3 เกม อยู่ในจักวาลเดียวกัน โดยมี Demons Souls เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล ต่อมาด้วยประเด็นความขัดแย้งเรื่องว่า โลกควรจะมีพลังของไฟอยู่หรือไม่ใน Dark Souls ก็เป็นจุดเริ่นต้นของเรื่องราวในโลกของ Bloodborne ซึ่งวันนี้ผมจะขออธิบายทฤษฎีของผมให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ

ป.ล "บทความนี้มีการสรุปเนื้อเรื่องของตัวเกม SoulBorn ทั้งหมดเอาไว้แบบพอสังเขป และมีการสปอยเนื้อเรื่องบางส่วนด้วย"


เรื่องราวของ Demon’s Souls เกี่ยวกับอะไร ?


บทเริ่มต้นของ Demons Souls ได้กล่าวว่า

 

"ในวันแรกมนุษย์ได้รับดวงวิญญาณ / สติความนึกคิดมา และในวันที่สองแผนดินของถูกปลูกด้วยพิษร้ายแรง ปิศาจที่กัดกินดวงวิญญาณทั้งปวง"




เรื่องราวของ Demon’s Soul จะกล่าวถึง The Old One สิ่งมีชีวิตจากยุคโบราณ มารดาแห่งปีศาจทั้งปวง ที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และต้องการจะกลืนกินดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลก ในโลกของเกมนี้ Souls (วิญญาณ) คือตัวแทนของสติปัญญา และความนึกคิดของสิ่งมีชีวิต หากเป็นร่างกายที่ปราศจาก Souls สิ่งจะไร้สติปัญญา ไม่สามารถตอบสนองสิ่งรอบตัวได้อย่างปกติ (ดังนั้นในโลกนี้ Souls จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ)



การตื่นของ The Old One ยังทำเกิดการกระจาย Deep Fog (หมอกหนาที่พบในเกม) ไปยังทั่วทุกแผ่นดินของโลก หมอกนี้ไม่สามารถมองทะลุได้ ทั้งยังมีความสามารถในการสูบ Souls เช่นกัน ใครก็ตามที่เข้าไปในหมอกนี้จะไม่มีวันได้กลับออกมา ซึ่งถ้าหากคิดตาม Logic ของโลกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า Deep Fog คือขั้วตรงกันข้ามของ Souls เมื่อมันถูกกระจ่ายไปทั่วโลก ย่อมหมายถึงการที่ Souls เริ่มถูกแย่งชิงไปจตากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อพื้นฐานของทุกสิ่งมีชีวิตถูกช่วงชิงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เหตุผล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมประกอบ และโหยหา Souls เพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์ จนถึงขนาดที่ต้องพยายามแย่งชิงมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องนี้สามารถสังเกตได้จากคำพูดของ สตรีผู้ขายของอยู่ในคุกหอคอยในประโยคที่ว่า

 

"ฉันยินดีที่จะยกไอเทมเหล่านี้ให้กับเธอ เพื่อแลกกับ Souls จำนวนที่เท่าเทียม เธอก็รู้ว่าฉันต้องการ Souls เพื่อให้ตัวเองยังคงมีสติอยู่" 



เลือก Evil End เนื้อเรื่องดูจะโยงไปถึง Dark Souls ภาคแรก


ในฉากจบแบบ Evil Ending ตัวละครเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ The Old One และกระจายหมอกขนาดใหญ่ออกไปปกคลุมโลก พร้อมทั้งกลืนกืน Souls เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่าน Lore ของ Dark Souls ในช่วงเปิดเกมของภาคแรก จะสังเกตุได้ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา คือเรียกได้ว่าเป็นการส่งต่อที่สมเหตุสมผลมากๆ ครับ




เรื่องราวของ Dark Souls โศกนาฏกรรมการจุดไฟที่ไม่จบสิ้น


ในยุคโบราณของ Dark Souls สิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุดของโลกคือเหล่ามังกร แต่การค้นพบเปลวเพลิง ได้ทำให้ลำดับชั้นของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อ Hollow สี่ตนได้พบกับเปลวเพลิง และพบกับ Soul of the Lord ในนั้น Hollow ทั้งต่อมาได้ถูกกล่าวขานว่า Gravelord Nito , Gwyn Lord of Cinder, Witch of Izalith ที่เป็นเผ่ายักษ์ กับ Pygmy ที่เป็นมนุษย์ ในจุดนี้ต้องขออธิบายก่อนว่า พลังที่ Pygmy ได้รับมาแตกต่างจากที่เหล่ายักษ์ได้ เนื่องจากมันเป็นพลังแห่งความมืด ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง อันเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งแสงของยักษ์ทั้งสาม

ต่อมาเหล่ายักษ์ได้ท้าทายกับมังกร และสามารถเอาชนะมาได้ ทำให้อารยธรรมกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ยุคแห่งไฟที่สงบสุขได้เริ่มต้นขึ้น (Age of Fire) แต่ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมันเอง Pygmy อันเป็นบิดา ของมนุษย์ทั้งปวงได้ส่งมอบพลังแห่งความมืดที่เขามี ต่อมาให้มนุษย์ยุคหลังๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมันก็ถูกรู้จักในชื่อ "Humanity" ยิ่งเวลาผ่านไปพลังแห่งความมืดก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามกองไฟ The First Flame อันเป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งแสงสว่างกลับค่อยๆ มอดดับลง



เมื่อพลังแห่งความมืดเข้มแข็งกว่า การตายของมนุษย์จึงไม่ทำให้พวกเขาตาย แต่ได้รับ Dark Sign มา โดยแลกกับ Humanity ที่ตัวเองมี และทำให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะ Undead และยิ่ง Undead ต้นนั้นตายซ้ำตายซากมากขึ้นเท่าไหร่ พวกมันก็จะสูญเสียความนึกคิดกับสติปัญญาไปมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง เหล่า Undead จะกลายเป็น Hollow ที่ไม่มีความนึกคิด ไม่มีจุดหมาย ลืมกระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร Hollow บางตัวก็อยู่นิ่งเฉยๆ แต่ Hollow บางตัวก็โจมตีผู้อื่นไปทั่ว (ซึ่งนี่อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของ Lore ช่วงแรกจากเกม Demons Soul ที่กล่าวว่าถึงพิษที่ถูกปลูกลงมายกพื้นโลก เพราะถ้าหากเข้าใจว่า Souls และ ไฟ คือพลังของมนุษย์ Deep Fog กับพลังแห่งความมืด ก็คือสิ่งที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามครับ)

เพื่อให้เหตุการณ์นี้จบลง และต่ออายุยุคแห่งไฟให้ยาวนานขึ้น Witch of Izalith ได้ทำการทดลองต่างๆ เพื่อที่จะจุดกองไฟ The First Flame ให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่การทดลองที่ผิดพลาด ได้เปลี่ยนเหล่าลูกหลาน ของเธอบางคนให้กลายเป็นปีศาจ (Demon) ซึ่งตัวเธอเองก็ได้กลายเป็น Bed of Chaos ปีศาจที่สูญเสียสติ นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Demon กับ มนุษย์ และยักษ์ ที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งในตอนนั้น Gwyn Lord of Cinder ได้ตระหนักแล้วว่ายุคแห่งไฟกำลังจะสิ้นสุดลง

Gwyn Lord of Cinder ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยัง Kiln of The First Flame เพื่อที่สละร่างกาย และวิญญาณของตนเพื่อจุดให้ The First Flame กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าไฟจะร้อนแรงขนาดไหนวันก็ย่อมมีวันมอดดับ เนื้อเรื่องของ Dark Souls จึงจะวนเวียนอยู่กับการจุดไฟ The First Flame เพื่อต่ออายุของ Age of Fire ในทุกๆ ภาค ซึ่งมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ (The Chosen Undead, Bearer of the Curse, Ashen One)


เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 และโลกแห่งภาพวาด Ariandel 


เรื่องราวของ Dark Souls 3 จะเป็นช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีหลังจากภาคแรก ยุคแห่งไฟได้ถูกต่อมาหลายต่อหลายครั้งจน Lord of Cinder (ผู้ต่ออายุให้กับกองไฟ) มีมากมาย 6 - 7 คนแล้ว โดยแน่นอนว่าเนื้อเรื่องก็ยังคงเกี่ยวกับการจุดไฟอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เราจะได้ทราบว่าทุกครั้งที่ The Fire Flame กำลังจะมอดดับลง และ The Chosen Undead (ซึ่งภาคนี้เรียกว่า Ashen One) จำเป็นต้องจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง โลกจะจะอยู่ในยุคที่เสื่อมโทรมถึงขีดสุดเช่นกัน และมันมักจะนำพาการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่างกับความมืดมาด้วย (เนื่องจากในเกมมีตัวละครฝั่ง Undead กับ Hollow ที่อยากให้ยุคของไฟจบลงเช่นกัน)

โดย0ความจริงแล้ว Ashen One ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวด้วย ใน DLC ตัวแรกของเกม Ashes of Ariandel ได้อธิบายถึงจุดนี้ไว้ชัดเจน เนื้อเรื่องจะเล่าถึง Ashen One ที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรการจุดไฟ การต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับความมืดที่ไม่จบสิ้น เธอเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่จุดไฟ และเดินทางไปยังโลกแห่งภาพวาด Ariandel (The Painted World of Ariandel) และเล่าเรื่องของวัฏจักรการจุดไฟ กับโศกนาฏกรรมที่มาพร้อมกับไฟให้ Father Ariandel ชายผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า Elfriede หลังจากฟังเรื่องราวของไฟแล้ว Father Ariandel ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของ  Elfriede เขาเฆี่ยนตัวเองด้วยแส้ เพื่อใช้ เลือด ของตัวเองในการสยบกองไฟไม้ให้โชติช่วงขึ้นมาในโลกแห่งนี้ ในจุดนี้เราจึงได้ทราบว่า เลือด คือสิ่งที่มีพลังมากพอจะสยบประกายของ กองไฟ ได้ครับ



อีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เลือด มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าไฟ คือในฉากที่เลือดของเหล่า The Abyss Watcher ไปรวมกันที่ร่างเดียว และหลอมรวม Soul ของพวกเขาทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง ก่อให้กำเนิดร่างที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา หรือตอนจบของ DLC The Ringed City ที่ Slave Knight Gael ดื่มเลือดของราชาแห่ง Pygmy เข้าไป และได้รับพลังแห่งความมืดมา รวมถึงประโยคที่เขาพูดว่าหลังเลือดลดไปได้ครึ่งหลอดที่บอกว่า "นี้คือเลือด เลือดที่มีพลังของ Dark Souls" กล่าวคือนอกจาก เลือด จะเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ใช้ส่งต่อพลังให้กับคนอื่นได้ด้วย

ในขณะเดียวกัน เลือด ก็เป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกันสามารถสังเกตได้ในตอนที่ Father Ariandel ใช้ ถ้วยทองขนาดใหญ่ ทุบลงไปที่เลือดของ Elfriede ที่นองอยู่บนพื้นจนทำเกิดเปลวไฟขึ้นมา (ให้ไปนาทีที่ 3.19 ในคลิปด้านบน) ในจุดนี้ผมจึงคิดว่า เลือด เปรียบเสมือนภาชนะที่ใช้ในการกักเก็บพลังของแสงสว่าง หรือความมืดก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง

ใน DLC Ashes of Ariandel เราจะได้พบกับหญิงสาวผมขาวที่ต้องการจะวาดภาพโลกที่ มืดมิด หนาวเหน็บ และอ่อนโยน และเธอหวังว่ามันจะเป็นบ้านที่แสนสุขให้กับใครสักคน ซึ่งภาพวาดของเธอถูกวาดขึ้นมาด้วย "เลือด" เพื่อที่จะวาดภาพนี้ให้สำเร็จเธอกล่าวว่าเธอต้องการที่จะเห็น ไฟ (ซึ่งผมเข้าใจว่า เพื่อเธอจะไม่เผลอวาดพลังของ ไฟ เข้าไปในโลกใบนี้ด้วย) ในตอนจบหลังจากเอาชนะ Father Ariandel กับ Friede ได้ ไฟจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่ง Ariandel ถ้าหากกลับไปคุยกับเธอ เธอจะขอบคุณเรา และเริ่มวาดภาพต่อ โดยถ้าหากอ้างอิงว่าภาพที่ถูกวาดด้วยเลือดคือโลกหนึ่งใบ ภาพที่หญิงสาวผมขาววาดขึ้นมาด้วยเลือด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นโลกของ BloodBorne ครับ


โลกของ BloodBorne เรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลา ซึ่งต้องการจะวิวัฒนาการ


BloodBorne จะกล่าวถึงโลกที่มนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็น Hunter ได้ เพียงแค่รับเลือด "PaleBlood" เข้าไป โดยโลกของเกมไม่มีการกล่าวถึงคอนเซ็ปต์เรื่อง Souls หรือ ไฟ และความมืดอีกเลย ราวกับว่าเป็นโลกที่มนุษย์ลืมพลังเหล่านั้นและหันมาพึ่งพาเพียงแค่พลังของ เลือด อย่างเดียว

แม้ว่าจะเลิกพึ่งพาพลังของ Souls, ไฟ, หรือความมืด  แล้วแต่ในโลกของ BloodBorne ก็ยังคงมีตัวตนที่มนุษย์เทิดทูนเปรียบเสมือนเหล่าเทพอยู่เหมือนเดิม พวกเขาถูกเรียกว่า The Great Ones แต่แตกต่างจาก Demons Souls กับ Dark Souls ตรงที่ว่า The Great One ดูมีความใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวมากกว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่แรกเลย (ในประเด็นว่า The Great One คืออะไรกันแน่ อันนี้ผมไม่ขอสรุปนะ เพราะมีหลายทฤษฎีเกินไป)



เพื่อที่จะเข้าใกล้ The Great One หรือเป็น The Great One เอง มนุษย์ได้ทำการทดลองสุดโหดร้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคือการนำเลือดของ The Great One มาทดลองถ่ายให้กับมนุษย์ ความสำเร็จที่ได้คือมนุษย์เหล่านั้นได้พละกำลังที่ยอดเยี่ยมมา แต่ก็แลกกับการกลายเป็นปีศาจอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากกลายเป็นปีศาจเต็มตัว มนุษย์ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่น ส่งผลให้เกิดเหล่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อหยุดปีศาจเหล่านี้

ที่นี่หลายคนน่าจะตั้งคำถามว่า "แล้วมันเชื่อมโยงกับเกมก่อนหน้านี้ยังไง?" จุดเชื่อมโยงที่น่าสนใจของ BloodBorne กับ Dark Souls จริงๆ แล้วมีอยู่หนึ่งจุดครับ นั้นคือการที่เลือดของ Lady Maria ที่ใช้โจมตีเราใน DLC The Old Hunter มันสามารถติด ไฟ ได้!!!! อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เลือด สามารถเป็นต้นกำเนิดของ ไฟ ได้เช่นกัน



ที่นี่ผมก็คิดขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ " โลกของภาพวาดจริงๆ แล้วไม่ใช้โลกอีกหนึ่งใบที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งบนโลกที่ไม่สามารถไปด้วยการเดินทางปกติได้ ? " (เหมือน Greed Island ในการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter)

 

อีกหนึ่งหลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของผม คือบทพูดของ NPC ที่ชื่อว่า Marvellous Chester ที่เมือง Oolacile ในภาคแรกที่มีใจความว่า

 

"อืม ขอฉันเดานะ เดินเข้าไปในความมืด แล้วรู้ตัวอีกที่ก็มาโผล่อยู่ในอดีตสินะ? เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน เราทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น ที่มาอยู่ในแดนประหลาด"




บวกกับแต่งตัวเหมือนมาจากเมือง Yharnam มากกว่า Oolacile แถมยังถือมีดที่โจมตีติดเลือดไหล กับหน้าไม้ในมืออีกข้าง (ดูยังไงก็เป็นรูปแบบการใช้อาวุธของ Hunter ในเกม BloodBorne) ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเรื่องราวของ BloodBorne คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตอันห่างไกลจาก Dark Souls ซึ่งมันยิ่งทำให้คิดแบบนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพบว่า ใต้เมืองของ Yharnam มีซากชุดเกราะจากยุคอดีตที่เหมือนกับตัวละครของเราใน Dark Souls ดังนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของ Oolacile


ความเป็นไปได้ของ Elden Ring


ในเมื่อมาจนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ครับว่าเนื้อเรื่องของเกมต่อไป Elden Ring เองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับผลงานทั้ง 3 ของ From Software ด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าถามว่า "มันจะไปเชื่อมโยงกับตรงไหน" ส่วนตัวเลยผมคิดว่า BloodBorne เป็นเกมที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าหากจะมีจุกที่เป็นปริศนาเลย ผมคิดว่าคงเป็นเนื้อเรื่องหลังจากเลือกฉากจบ Dark Lord หรือการไม่ต่อยุคแห่งไฟของ Dark Souls ที่ยังไม่เคยถูกหยิบมาเล่าเลยสักครั้งมากกว่า แต่ก็ยังมีสิทธิที่เกมใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเช่นกันครับ



เป็นอย่างไรกันบ้างกับทฤษฎีเนื้อเรื่องของผม? ขอยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่เพื่อนๆ ได้อ่านมา เป็นการคิด วิเคราะห์ และสรุปจากหลักฐานที่ผมมี หมายความว่า มันอาจจะไม่ถึงต้องเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้ แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องที่ทั้ง 3 เกม อาจอยู่บนจักรวาล และ Timeline เดียวกัน? คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่? คอมเม้นต์พูดคุยกันได้ครับ


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header