ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ครับว่ามีอดีตผู้พัฒนา รวมถึงผู้ก่อตั้งของ Blizzard ได้ลาออกมาตั้ง Studio พัฒนาเกมของตัวเองรวมทั้งสิ้น 5 บริษัทด้วยกันคือ Dreamhaven, Frost Giant, Second Dinner, Warchief และ Lightforge Game คำถามคือ โดยแต่ละสตูดิโอก็มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สร้างเกม RPG บ้างก็สร้าง RTS
คำถามที่น่าสนใจคือ "เกิดอะไรขึ้นกับ Blizzard ? ทำไมเหล่านักพัฒนาเกมมากความสามารถมากมายถึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกมาตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นมา?" เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนน่าจะตั้งคำถามนี้กันมาได้สักพักแล้ว บางคนอาจหาคำตอบได้แล้ว บางคนอาจยังสงสัยอยู่ ตัวผมเองเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่ชอบเกมของ Blizzard หลายตัวมาก วันนี้จึงอยากหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง
หลายคนอาจเข้าใจว่า Activision กับ Blizzard เพิ่งมารวมตัวเป็นบริษัทเดียวกันในช่วงเกม Destiny 2 ออกใหม่ๆ ในปี 2017 แต่ในความเป็นจริง Activision กับ Blizzard ได้รวมตัวกันเป็นบริษัทเดียวตั้งแต่ปี 2008 แล้ว (ก่อน Starcraft 2 วางขาย 2 ปี) เพียงแต่ Activision เพิ่งเข้ามาใช้ Battle.net เป็นแพลตฟอร์มในการกระจายเกมบน PC ในช่วงหลังเท่านั้น ต่อมาในปี 2018 บริษัท Activision Blizzard ได้กลายเป็นบริษัทเกมที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในอเมริกา
ดังนั้นประเด็นที่หลายคนเข้าใจผิดว่า "การรวมตัวของ Activision กับ Blizzard ได้ทำให้บริษัทเดินไปในเส้นทางที่ผิด" จึงไม่น่าใช้ความจริงทั้งหมด เนื่องจากหลังจากนั้น Blizzard ก็ยังคงผลิตเกมดีๆ ออกมาขายอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Starcraft 2, Diablo 3, Hearthstone และ Overwatch กล่าวคือแม้จะรวมบริษัทกันจริง แต่ Activision Publishing กับ Blizzard Entertainment ต่างทำงานของใครของมัน ภายใต้ Activision Blizzard
จากการรวมตัวกันระหว่าง Activision กับ Blizzard ตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึง ปัจจุบัน ในแง่ของมูลค่าบริษัทราคาของหุ้นถือว่าเติบโตรวดเร็วมากๆ โดยเฉพาะช่วงปี 2013 - 2018 ที่เติบโตจาก 14 - 15 USD ไปถึง 80 USD เลย ซึ่งสมเหตุสมผลเนื่องจากช่วงนั้นทาง Blizzard Entertainment เพิ่งจะปล่อย Hearthstone และ Overwatch ออกมาใหม่ๆ ส่วนทาง Activision เองก็เพิ่งปล่อย Call of Duty Ghost กับ Destiny ภาคแรกออกมาเช่นกัน
งั้นคำถามคือแล้วมันเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหน? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ Blizzard เริ่มเดินในเส้นทางที่ผิด? คำตอบคงเป็นการประกาศนโยบายใหม่จากบริษัทแม่อย่าง Activision Blizzard ในช่วงปี 2017 - 2018 ซึ่งมีผลกับ 5 บริษัทภายใต้คือ Activision Publishing, Blizzard Entertainment, King, Major League Gaming, และ Activision Blizzard Studios
แม้ว่าจะทำงานแยกกัน แต่บริษัททั้งหมดก็ยังถือว่าอยู่ภายใต้ Activision Blizzard เช่นเดิม หากมีการประกาศนโยบายอะไร มันจะมีผลบังคับใช้กับบริษัททั้งหมดทันที และในปี 2018 ก็มีการประกาศใช้นโยบายเน้นลดต้นทุน ซึ่งได้ส่งผลให้มีการ Layoff และเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ส่วนคนที่อยู่ต่อก็ต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้ เกมออกทันวันวางขายที่เคยประกาศออกมาแล้ว ตัวอย่างที่ดีคือ Call of Duty : Black ops 4 ที่วางขายในปีเดียวกัน และสามารถสร้างเงินให้กับบริษัทมากถึง $500 ล้าน ซึ่งต้องแลกมากับการทำงานที่หนักมากจนทำให้ทีมงานหลายๆ คนเมื่อเกมวางจำหน่ายแล้วจึงประกาศลาออกจากบริษัททันที
นโยบายใหม่นี้ยังขัดต่อแนวทางในการพัฒนาเกมของ Blizzard ที่เน้น "สร้างเกมคุณภาพสูงโดยไม่สนใจว่าต้องใช้เงินไปเท่าไหร่" ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือการประกาศเลิกสนับสนุน Hero of The Storm ทั้งตัวเกม และการแข่งขัน รวมถึงการประกาศ Layoff พนักงานจำนวนมากในฝ่าย Esports ที่ทำเงินไม่ค่อยได้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ บริษัทเติบโต และมีกำไรมากขึ้น World of Warcraft ยังคงทำเงินได้เป็นอย่างดี แต่ก็เริ่มเจอปัญหาใหม่ ที่จำนวนผู้เล่นค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนถึงขนาดทำให้ Blizzard กลายเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กที่สุดของ Activision Blizzard ในเวลาต่อมา แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ในปี 2018 ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้อีก 2 อย่างด้วยกันคือ Blizzcon 2018 และการลาออกของ Mike Morhaime ผู้ก่อตั้ง
Blizzcon 2018 คือปีที่ไม่พร้อมมากที่สุดของ Blizzard พวกเขามีแผนจะสร้าง Diablo 4 กับ Overwatch 2 แล้ว แต่ทั้งสองเกมยังไม่พร้อมจะถูกเอามาโชว์ภายในงาน พวกเขามีเพียง Diablo Immortal กับ Warcraft 3 Reforged เท่านั้นที่สามารถเอามาโชว์ได้ แต่ด้วยกระแสต้องการ Diablo 4 ของแฟนๆ แรงมากในปีช่วงนั้น เลยทำให้ Blizzard ถูกถล่มเละจากเหล่าผู้เล่นที่ผิดหวัง แถม Diablo Immortal ยังเป็นเกมที่มี NetEase เป็นทีมพัฒนาหลักแทนที่จะเป็นตัว Blizzard เองอีก ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนๆ เข้าไปใหญ่
ที่นี่ในช่วงเดียวกัน Mike Morhaime ผู้ก่อตั้ง Blizzard ก็ได้ประกาศลาออกเช่นเดียวกัน ต่อมาในช่วงต้นปี 2019 ทาง Activision Blizzard ได้ Layoff พนักงานอีกกว่า 800 คนจากฝ่าย eSport กับ Community ในช่วงปลายปีนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญอีกหนึ่งอย่างเกิดขึ้น คือดราม่าโปรเพลเยอร์เกม Hearthstone ที่ชื่อว่า Blitzchung
Blitzchung ได้ออกความเห็นสนับสนุน Hong Kong ในความขัดแย้งกับจีนในช่วงนั้น เขาถูกแบนจากการแข่งขันเป็นเวลา 1 ปี (ซึ่งต่อมามีการลดโทษเหลือแค่ 6 เดือน) แต่จุดที่ทำให้แฟนๆ เดือดกันที่สุดคือการที่เขาถูกบังคับให้ขึ้นมาขอโทษ บนเวทีในช่วงปลายปีเดียวกัน ในช่วงนั้นมีบางคนเชื่อว่า Activision Blizzard บังคับให้ Blizzard ต้องทำแบบนี้กับ Blitzchung เนื่องจากตัวบริษัทกำลังมีความสัมพันธ์อันดีกับ NetEase ในโปรเจกต์ Diablo Immortal อยู่ ความหวังที่จะเรียกความเชื่อใจของแฟนๆ กลับมา เลยตกไปอยู่กับ Warcraft 3 Reforged ที่กำลังจะวางขายในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น แต่ความเป็นจริงยังโหดร้ายได้อีก
Activision Blizzard เริ่มรู้ตัวในช่วงปลายปี 2019 ว่า Warcraft 3 Reforged น่าจะไม่สามารถพัฒนาให้เสร็จได้ทันวันวางจำหน่ายที่วางเอาไว้ จึงได้มีการดึงนักพัฒนาจากโปรเจกต์อื่นมาช่วยทำให้เกมนี้มันเสร็จได้ทัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็อย่างที่ทุกคนเห็น เกมถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยผู้เล่น เกิดเป็นดราม่าใหญ่โตช่วงต้นปี 2020 ส่งผลให้ทีมที่รับผิดชอบโดนไล่ออกในเวลาต่อมา
ในช่วงนี้เป็นเวลาเดียวกันกับที่เริ่มมีข่าวลือในหมูผู้เล่น และสื่อเกมว่า Activision ได้เข้ามาแทรกแสงการทำงานของ Blizzard โดยคนภายในเองก็เริ่มมีความเชื่อแบบเดียวกัน จากการถูกตัดนู่นหันนี่มาตลอด 2 ปี ส่งผลให้ Blizzard กลายเป็นบริษัทเล็กที่สุดภายใต้ Activision Blizzard เพื่อปกป้องวัฒนธรรมการทำงานให้ยังคงสามารถไปต่อได้ Blizzard ได้เลือกที่จะปกป้องนักพัฒนาเกมที่เป็นตัวหลักๆ ของบริษัทไว้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ในจุดนี้จึงเกิดการส่งผลให้มีการ Layoff มากขึ้นไปอีก ซึ่งมันส่งผลให้บริษัทมี่จำนวนคนทำงานในด้านอื่นๆ อย่างการจัดอีเว้นท์ การจัดงานแข่งขัน หรือกระทั้งเขียน Patch Note ไม่เพียงพอ จนนักพัฒนาตัวหลักที่พวกเขาพยายามจะปกป้องไว้ก็ต้องลงมาช่วยงานในส่วนนี้ด้วย
"ปีนี้มันดูแย่ เพราะบริษัทเรากำลังอยู่ในช่วงขาลง แม้ว่าปีนี้เราจะไม่ได้ขายเกมอะไร แต่ปีหน้ามันจะต้องดีกว่านี้" คือคำพูดที่คนภายในมักใช้พูดเพื่อปลอบใจกันและกันในช่วงหลายปียากลำบากที่ผ่านมา แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดเพราะพวกเขาต้องรับกับแรงกดดันที่ทำเงินไม่ค่อยได้ เมื่อเทียบกับ Call of Duty ของ Activision ที่โตวันโตคืนอีก "หนึ่งในวัฒนธรรม ที่พบได้ในบริษัทใหญ่ คือการที่คนทำเงินได้เยอะ มักเป็นผู้กำหนดวัฒนธรรมอื่นๆ ขององค์กร และความเป็นจริงก็คือ Call of Duty สามารถทำเงินได้ ไม่ใช่ Blizzard ที่ทำเงินได้"
การแยกตัวของเหล่านักพัฒนา
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ ได้ส่งผลให้มีการแยกตัวของผู้พัฒนาหลักอีกหลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน แต่จุดน่าสนใจคือการแยกตัวนี้ ไม่ได้เป็นการไปหาบริษัทใหญ่ที่มีโปรเจกต์ หรือ IP ชื่อดังอยู่ในตลาด พวกเขาเกือบทั้งหมดออกมาอยู่กับสตูดิโอขนาดเล็ก ไม่ก็ตั้งสตูดิโอ Indie กันขึ้นมาเอง ซึ่ง IGN ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับผู้พัฒนาบางคนด้วย โดยเหตุผลก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็หมดไฟ บ้างก็ไม่อยากรับแรงกดดัน บ้างก็เบื่อการทำงานกับทีมใหญ่ๆ บ้างก็อยากหาประสบการณ์ใหม่
Chris Metzen ร่วมงานกับ Blizzard มาตั้งแต่ช่วง 1990s เขามีส่วนร่วมในการสร้าง Warcraft 2, Starcraft, รวมถึง Warcraft 3 ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานระดับตำนาน เขาลาออกในปี 2016 โดยให้เหตุผลว่า "ที่แรกมันก็รู้สึกยากจริงๆ กับการลาออกในครั้งนี้ แต่ผมรู้สึกหมดไฟหนักมาก ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หัวใจผมต้องการอะไรที่แปลกใหม่ แค่ต้องการจะช้าลงหน่อย แค่ไม่ต้องการแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว"
ต่อมา Chris Metzen ได้ตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นมาในปี 2018 ชื่อว่า Warchief และเปิดระดมทุนบนเว็บไซต์ KickStarter สำหรับโปรเจกต์ Tabletop Gaming ของเขา มันถึงยอดที่พวกเขาต้องการภายใน 11 นาที ตอนนี้โปรเจกต์ดังกล่าวมีทุนมากกว่า $1 ล้านไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีนักพัฒนามากมาย ที่แยกตัวออกมาจาก Blizzard เพื่อทำเกม Indie เช่นเดียวกับ Chris Metzen ซึ่งมีอีกอย่างน้อย 4 บริษัทที่น่าติดตาม
1. Second Dinner จากอดีตผู้ก่อตั้ง Blizzard คุณ Ben Brode ที่ตอนนี้กำลังทำเกม Marvel อยู่
2. Frost Giant ที่ก่อตั้งด้วยทีมพัฒนา Starcraft 2 ที่ต้องการชุบชีวิตแนวเกม RTS
3. Lightforge Games จากการรวมตัวระหว่างอดีตผู้พัฒนาของ Blizzard และ Epic ที่หลงรักใน RPG
4. Dreamhaven ที่นำโดย Mike Morhaime หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Blizzard
สิ่งเดียวที่บริษัททำได้เพื่อเรียกความเชื่อมันของผู้เล่น กับบริษัทแม่ Activision Blizzard กลับคืนมาได้ คือการนำ Overwatch 2 และ Diablo 4 ออกมาวางขายให้เร็วมากที่สุด และจะต้องเป็นเกมที่ไม่ผิดพลาดเหมือนกับ Warcraft 3 Reforged มิเช่นนั้น Blizzard Entertainment อาจไม่ใช้ Blizzard ที่พวกเรารู้จักอีก พวกเขาอาจหันไปพัฒนาเกมที่ใช้เวลาไม่นาน เพื่อหวังทำเงินให้ได้มากๆ แทนที่จะเป็นเกมสุดยอดเยี่ยม แต่ใช้เวลาในการพัฒนานานเหมือนที่ผ่านมาๆ
ทีมาของข้อมูล
IGN : https://www.ign.com/articles/special-report-the-inside-story-of-blizzards-departures-and-a-company-at-a-crossroads
Wiki : https://en.wikipedia.org/wiki/Activision_Blizzard
Kotaku : https://kotaku.com/the-human-cost-of-call-of-duty-black-ops-4-1835859016
Polygon : https://www.polygon.com/2019/2/16/18226581/activision-blizzard-layoffs-executive-pay-unions
ScreenRant : https://screenrant.com/diablo-immortal-backlash-activision-stocks/
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ครับว่ามีอดีตผู้พัฒนา รวมถึงผู้ก่อตั้งของ Blizzard ได้ลาออกมาตั้ง Studio พัฒนาเกมของตัวเองรวมทั้งสิ้น 5 บริษัทด้วยกันคือ Dreamhaven, Frost Giant, Second Dinner, Warchief และ Lightforge Game คำถามคือ โดยแต่ละสตูดิโอก็มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็สร้างเกม RPG บ้างก็สร้าง RTS
คำถามที่น่าสนใจคือ "เกิดอะไรขึ้นกับ Blizzard ? ทำไมเหล่านักพัฒนาเกมมากความสามารถมากมายถึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกมาตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นมา?" เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนน่าจะตั้งคำถามนี้กันมาได้สักพักแล้ว บางคนอาจหาคำตอบได้แล้ว บางคนอาจยังสงสัยอยู่ ตัวผมเองเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่ชอบเกมของ Blizzard หลายตัวมาก วันนี้จึงอยากหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง
หลายคนอาจเข้าใจว่า Activision กับ Blizzard เพิ่งมารวมตัวเป็นบริษัทเดียวกันในช่วงเกม Destiny 2 ออกใหม่ๆ ในปี 2017 แต่ในความเป็นจริง Activision กับ Blizzard ได้รวมตัวกันเป็นบริษัทเดียวตั้งแต่ปี 2008 แล้ว (ก่อน Starcraft 2 วางขาย 2 ปี) เพียงแต่ Activision เพิ่งเข้ามาใช้ Battle.net เป็นแพลตฟอร์มในการกระจายเกมบน PC ในช่วงหลังเท่านั้น ต่อมาในปี 2018 บริษัท Activision Blizzard ได้กลายเป็นบริษัทเกมที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในอเมริกา
ดังนั้นประเด็นที่หลายคนเข้าใจผิดว่า "การรวมตัวของ Activision กับ Blizzard ได้ทำให้บริษัทเดินไปในเส้นทางที่ผิด" จึงไม่น่าใช้ความจริงทั้งหมด เนื่องจากหลังจากนั้น Blizzard ก็ยังคงผลิตเกมดีๆ ออกมาขายอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Starcraft 2, Diablo 3, Hearthstone และ Overwatch กล่าวคือแม้จะรวมบริษัทกันจริง แต่ Activision Publishing กับ Blizzard Entertainment ต่างทำงานของใครของมัน ภายใต้ Activision Blizzard
จากการรวมตัวกันระหว่าง Activision กับ Blizzard ตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึง ปัจจุบัน ในแง่ของมูลค่าบริษัทราคาของหุ้นถือว่าเติบโตรวดเร็วมากๆ โดยเฉพาะช่วงปี 2013 - 2018 ที่เติบโตจาก 14 - 15 USD ไปถึง 80 USD เลย ซึ่งสมเหตุสมผลเนื่องจากช่วงนั้นทาง Blizzard Entertainment เพิ่งจะปล่อย Hearthstone และ Overwatch ออกมาใหม่ๆ ส่วนทาง Activision เองก็เพิ่งปล่อย Call of Duty Ghost กับ Destiny ภาคแรกออกมาเช่นกัน
งั้นคำถามคือแล้วมันเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหน? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ Blizzard เริ่มเดินในเส้นทางที่ผิด? คำตอบคงเป็นการประกาศนโยบายใหม่จากบริษัทแม่อย่าง Activision Blizzard ในช่วงปี 2017 - 2018 ซึ่งมีผลกับ 5 บริษัทภายใต้คือ Activision Publishing, Blizzard Entertainment, King, Major League Gaming, และ Activision Blizzard Studios
แม้ว่าจะทำงานแยกกัน แต่บริษัททั้งหมดก็ยังถือว่าอยู่ภายใต้ Activision Blizzard เช่นเดิม หากมีการประกาศนโยบายอะไร มันจะมีผลบังคับใช้กับบริษัททั้งหมดทันที และในปี 2018 ก็มีการประกาศใช้นโยบายเน้นลดต้นทุน ซึ่งได้ส่งผลให้มีการ Layoff และเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ส่วนคนที่อยู่ต่อก็ต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้ เกมออกทันวันวางขายที่เคยประกาศออกมาแล้ว ตัวอย่างที่ดีคือ Call of Duty : Black ops 4 ที่วางขายในปีเดียวกัน และสามารถสร้างเงินให้กับบริษัทมากถึง $500 ล้าน ซึ่งต้องแลกมากับการทำงานที่หนักมากจนทำให้ทีมงานหลายๆ คนเมื่อเกมวางจำหน่ายแล้วจึงประกาศลาออกจากบริษัททันที
นโยบายใหม่นี้ยังขัดต่อแนวทางในการพัฒนาเกมของ Blizzard ที่เน้น "สร้างเกมคุณภาพสูงโดยไม่สนใจว่าต้องใช้เงินไปเท่าไหร่" ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือการประกาศเลิกสนับสนุน Hero of The Storm ทั้งตัวเกม และการแข่งขัน รวมถึงการประกาศ Layoff พนักงานจำนวนมากในฝ่าย Esports ที่ทำเงินไม่ค่อยได้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ บริษัทเติบโต และมีกำไรมากขึ้น World of Warcraft ยังคงทำเงินได้เป็นอย่างดี แต่ก็เริ่มเจอปัญหาใหม่ ที่จำนวนผู้เล่นค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนถึงขนาดทำให้ Blizzard กลายเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กที่สุดของ Activision Blizzard ในเวลาต่อมา แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ในปี 2018 ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้อีก 2 อย่างด้วยกันคือ Blizzcon 2018 และการลาออกของ Mike Morhaime ผู้ก่อตั้ง
Blizzcon 2018 คือปีที่ไม่พร้อมมากที่สุดของ Blizzard พวกเขามีแผนจะสร้าง Diablo 4 กับ Overwatch 2 แล้ว แต่ทั้งสองเกมยังไม่พร้อมจะถูกเอามาโชว์ภายในงาน พวกเขามีเพียง Diablo Immortal กับ Warcraft 3 Reforged เท่านั้นที่สามารถเอามาโชว์ได้ แต่ด้วยกระแสต้องการ Diablo 4 ของแฟนๆ แรงมากในปีช่วงนั้น เลยทำให้ Blizzard ถูกถล่มเละจากเหล่าผู้เล่นที่ผิดหวัง แถม Diablo Immortal ยังเป็นเกมที่มี NetEase เป็นทีมพัฒนาหลักแทนที่จะเป็นตัว Blizzard เองอีก ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนๆ เข้าไปใหญ่
ที่นี่ในช่วงเดียวกัน Mike Morhaime ผู้ก่อตั้ง Blizzard ก็ได้ประกาศลาออกเช่นเดียวกัน ต่อมาในช่วงต้นปี 2019 ทาง Activision Blizzard ได้ Layoff พนักงานอีกกว่า 800 คนจากฝ่าย eSport กับ Community ในช่วงปลายปีนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญอีกหนึ่งอย่างเกิดขึ้น คือดราม่าโปรเพลเยอร์เกม Hearthstone ที่ชื่อว่า Blitzchung
Blitzchung ได้ออกความเห็นสนับสนุน Hong Kong ในความขัดแย้งกับจีนในช่วงนั้น เขาถูกแบนจากการแข่งขันเป็นเวลา 1 ปี (ซึ่งต่อมามีการลดโทษเหลือแค่ 6 เดือน) แต่จุดที่ทำให้แฟนๆ เดือดกันที่สุดคือการที่เขาถูกบังคับให้ขึ้นมาขอโทษ บนเวทีในช่วงปลายปีเดียวกัน ในช่วงนั้นมีบางคนเชื่อว่า Activision Blizzard บังคับให้ Blizzard ต้องทำแบบนี้กับ Blitzchung เนื่องจากตัวบริษัทกำลังมีความสัมพันธ์อันดีกับ NetEase ในโปรเจกต์ Diablo Immortal อยู่ ความหวังที่จะเรียกความเชื่อใจของแฟนๆ กลับมา เลยตกไปอยู่กับ Warcraft 3 Reforged ที่กำลังจะวางขายในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น แต่ความเป็นจริงยังโหดร้ายได้อีก
Activision Blizzard เริ่มรู้ตัวในช่วงปลายปี 2019 ว่า Warcraft 3 Reforged น่าจะไม่สามารถพัฒนาให้เสร็จได้ทันวันวางจำหน่ายที่วางเอาไว้ จึงได้มีการดึงนักพัฒนาจากโปรเจกต์อื่นมาช่วยทำให้เกมนี้มันเสร็จได้ทัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็อย่างที่ทุกคนเห็น เกมถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยผู้เล่น เกิดเป็นดราม่าใหญ่โตช่วงต้นปี 2020 ส่งผลให้ทีมที่รับผิดชอบโดนไล่ออกในเวลาต่อมา
ในช่วงนี้เป็นเวลาเดียวกันกับที่เริ่มมีข่าวลือในหมูผู้เล่น และสื่อเกมว่า Activision ได้เข้ามาแทรกแสงการทำงานของ Blizzard โดยคนภายในเองก็เริ่มมีความเชื่อแบบเดียวกัน จากการถูกตัดนู่นหันนี่มาตลอด 2 ปี ส่งผลให้ Blizzard กลายเป็นบริษัทเล็กที่สุดภายใต้ Activision Blizzard เพื่อปกป้องวัฒนธรรมการทำงานให้ยังคงสามารถไปต่อได้ Blizzard ได้เลือกที่จะปกป้องนักพัฒนาเกมที่เป็นตัวหลักๆ ของบริษัทไว้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ในจุดนี้จึงเกิดการส่งผลให้มีการ Layoff มากขึ้นไปอีก ซึ่งมันส่งผลให้บริษัทมี่จำนวนคนทำงานในด้านอื่นๆ อย่างการจัดอีเว้นท์ การจัดงานแข่งขัน หรือกระทั้งเขียน Patch Note ไม่เพียงพอ จนนักพัฒนาตัวหลักที่พวกเขาพยายามจะปกป้องไว้ก็ต้องลงมาช่วยงานในส่วนนี้ด้วย
"ปีนี้มันดูแย่ เพราะบริษัทเรากำลังอยู่ในช่วงขาลง แม้ว่าปีนี้เราจะไม่ได้ขายเกมอะไร แต่ปีหน้ามันจะต้องดีกว่านี้" คือคำพูดที่คนภายในมักใช้พูดเพื่อปลอบใจกันและกันในช่วงหลายปียากลำบากที่ผ่านมา แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดเพราะพวกเขาต้องรับกับแรงกดดันที่ทำเงินไม่ค่อยได้ เมื่อเทียบกับ Call of Duty ของ Activision ที่โตวันโตคืนอีก "หนึ่งในวัฒนธรรม ที่พบได้ในบริษัทใหญ่ คือการที่คนทำเงินได้เยอะ มักเป็นผู้กำหนดวัฒนธรรมอื่นๆ ขององค์กร และความเป็นจริงก็คือ Call of Duty สามารถทำเงินได้ ไม่ใช่ Blizzard ที่ทำเงินได้"
การแยกตัวของเหล่านักพัฒนา
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ ได้ส่งผลให้มีการแยกตัวของผู้พัฒนาหลักอีกหลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน แต่จุดน่าสนใจคือการแยกตัวนี้ ไม่ได้เป็นการไปหาบริษัทใหญ่ที่มีโปรเจกต์ หรือ IP ชื่อดังอยู่ในตลาด พวกเขาเกือบทั้งหมดออกมาอยู่กับสตูดิโอขนาดเล็ก ไม่ก็ตั้งสตูดิโอ Indie กันขึ้นมาเอง ซึ่ง IGN ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับผู้พัฒนาบางคนด้วย โดยเหตุผลก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็หมดไฟ บ้างก็ไม่อยากรับแรงกดดัน บ้างก็เบื่อการทำงานกับทีมใหญ่ๆ บ้างก็อยากหาประสบการณ์ใหม่
Chris Metzen ร่วมงานกับ Blizzard มาตั้งแต่ช่วง 1990s เขามีส่วนร่วมในการสร้าง Warcraft 2, Starcraft, รวมถึง Warcraft 3 ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานระดับตำนาน เขาลาออกในปี 2016 โดยให้เหตุผลว่า "ที่แรกมันก็รู้สึกยากจริงๆ กับการลาออกในครั้งนี้ แต่ผมรู้สึกหมดไฟหนักมาก ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หัวใจผมต้องการอะไรที่แปลกใหม่ แค่ต้องการจะช้าลงหน่อย แค่ไม่ต้องการแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว"
ต่อมา Chris Metzen ได้ตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นมาในปี 2018 ชื่อว่า Warchief และเปิดระดมทุนบนเว็บไซต์ KickStarter สำหรับโปรเจกต์ Tabletop Gaming ของเขา มันถึงยอดที่พวกเขาต้องการภายใน 11 นาที ตอนนี้โปรเจกต์ดังกล่าวมีทุนมากกว่า $1 ล้านไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีนักพัฒนามากมาย ที่แยกตัวออกมาจาก Blizzard เพื่อทำเกม Indie เช่นเดียวกับ Chris Metzen ซึ่งมีอีกอย่างน้อย 4 บริษัทที่น่าติดตาม
1. Second Dinner จากอดีตผู้ก่อตั้ง Blizzard คุณ Ben Brode ที่ตอนนี้กำลังทำเกม Marvel อยู่
2. Frost Giant ที่ก่อตั้งด้วยทีมพัฒนา Starcraft 2 ที่ต้องการชุบชีวิตแนวเกม RTS
3. Lightforge Games จากการรวมตัวระหว่างอดีตผู้พัฒนาของ Blizzard และ Epic ที่หลงรักใน RPG
4. Dreamhaven ที่นำโดย Mike Morhaime หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Blizzard
สิ่งเดียวที่บริษัททำได้เพื่อเรียกความเชื่อมันของผู้เล่น กับบริษัทแม่ Activision Blizzard กลับคืนมาได้ คือการนำ Overwatch 2 และ Diablo 4 ออกมาวางขายให้เร็วมากที่สุด และจะต้องเป็นเกมที่ไม่ผิดพลาดเหมือนกับ Warcraft 3 Reforged มิเช่นนั้น Blizzard Entertainment อาจไม่ใช้ Blizzard ที่พวกเรารู้จักอีก พวกเขาอาจหันไปพัฒนาเกมที่ใช้เวลาไม่นาน เพื่อหวังทำเงินให้ได้มากๆ แทนที่จะเป็นเกมสุดยอดเยี่ยม แต่ใช้เวลาในการพัฒนานานเหมือนที่ผ่านมาๆ
ทีมาของข้อมูล
IGN : https://www.ign.com/articles/special-report-the-inside-story-of-blizzards-departures-and-a-company-at-a-crossroads
Wiki : https://en.wikipedia.org/wiki/Activision_Blizzard
Kotaku : https://kotaku.com/the-human-cost-of-call-of-duty-black-ops-4-1835859016
Polygon : https://www.polygon.com/2019/2/16/18226581/activision-blizzard-layoffs-executive-pay-unions
ScreenRant : https://screenrant.com/diablo-immortal-backlash-activision-stocks/