GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
บทความ
เข้าสู่ระบบ
รีวิวเกม
[Review] รีวิวเกม The Callisto Protocol (PC) เกมสยองขวัญตัวใม่ที่ยังไม่กล้าก้าวข้ามผลงานเก่าที่ตัวเองเคยทำไว้
ลงวันที่ 10/12/2022

เป็นเกม Survival Horror ที่หลายคนรอคอยกันมาตั้งแต่การประกาศเปิดตัวแล้ว เพราะนี่คือผลงานของผู้ที่สร้าง Dead Space เกมสยองขวัญขึ้นหิ้งระดับตำนานที่หยิบมาเล่นตอนนี้ก็ยังสนุก และมีหลายคนยังคงสะดุ้งกับฉาก Jump Scare และบรรยากาศ ความน่ากลัวของมัน แต่การกลับในผลงานใหม่นี้จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็มาดูกันในรีวิว The Callisto Protocol ของเรา

หนีตายจากสถานที่ปิดตายบนอวกาศ


สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนกันกับ Dead Space คือ Setting หรือฉากหลังของโลกภายในเกม ที่เป็นสถานที่เกือบ ๆ จะปิดตายเมือนกัน ใน Dead Space นั้น อิงจากภาคแรกคือยานอิชิมูระ และใน The Callisto Protocol นั้น คือคุกจองจำกลางอวกาศที่มีชื่อว่า Black Iron 

ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Jacob Lee (รับบทโดย Josh Duhamel) เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้าในอวกาศเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และการทำงานครั้งนี้คือการขนของบางอย่างไปยังคุก Black Iron แต่เขากลับถูกโจมตีโดยกลุ่มต่อต้านที่นำโดย Dani Nakamura (รับบทโดย Karen Fukuhara) ยานของเขาจึงโหม่งไปยังพื้นผิวของดาวเคราะห์ที่เป็นที่ตั้งของคุก Black Iron เพื่อนสนิทของเขาเสียชีวิต แต่แทนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือ เขากลับถูกจับตัวไปในฐานะนักโทษ 


เรื่องราวบานปลายมากยิ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคุก Black Iron เกิดความโกลาหล เมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาออกอาละวาดไล่ฆ่าคนในคุก แถมระบบความปลอดภัยในคุกยังถูกเปิดใช้งาน จนพวกจักรกลต่าง ๆ ไม่ได้แยกแยะ และไล่ล่าสังหารนักโทษที่คิดจะหลบหนี งานนี้ Jacob Lee จึงต้องหาทางเอาตัวรอด หาความจริงว่าทำไมเขาถึงโดนจับ และหนีตายจากจักรกลสังหาร และสิ่งมีชีวิตปริศนา และหาต้นตอของมันให้เจอ


เมื่อผู้เล่นได้เล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรับรู้เรื่องราวผ่านสถานที่ ไฟล์เอกสาร และเตุการณ์ต่าง ๆ การบริหารคุก Black Iron ที่ทำให้นักโทษไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ถูกนำเสนอแบบเป็นเส้นตรงที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากต้นฉบับที่เป็น Dead Space มากนัก แต่ด้วยความที่มันเป็นเส้นตรงนี่แหละ ทางทีมพัฒนาเลยสามารถที่จะนำเอาความคิด ความสามารถไปทุ่มให้กับการนำเสนอและเกมเพลย์แบบเต็ม ๆ 

แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี มันดี เพียงแต่มันไม่ได้ว้าว หรือเซอร์ไพรส์ หรือเข้มข้นจนเรารู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม เพราะมันก็เป็นพล็อตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราเห็นกันมานักต่อนักแล้ว กับการหนีตายเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตปริศนา แค่คราวนี้มันดู Sci-Fi ล้ำโลกอย่างคุกกลางอวกาศ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องเกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือการที่ตัวเกมได้สองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Josh Duhamel และ Karen Fukuhara มารับบทนำ และ Motion Capture + พากย์เสียงตัวละครด้วย ทำให้แม้เนื้อเรื่องจะดูธรรมดา แต่พลังดารา ทำใ้ห้เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้กราฟิกเข้าใกล้ความสมจริงมากยิ่งขึ้น บอกเลยว่า ตลอดเกมการเล่นนี้ เหมือนนั่งดูภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าเนื้อเรื่องและบทของเกมนั้น มันไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป รับรองว่าเล่นจบแล้วยังไงก็เต็มอิ่มแน่นอน แต่จะมีข้อเสียตรงที่ ตอนจบของเกมนั้น ชัดเจนเลยว่ายังไม่จบ มีไปต่อกันที่ DLC แน่นอน

ยกระดับกราฟิกและโมเดลตัวละครที่เข้าใกล้ความสมจริงไปอีกขั้น


สิ่งแรกที่ผู้เขียนประทับใจจริง ๆ นับตั้งแต่การเข้าเกมครั้งแรกเลยคือเรื่องของกราฟิกที่สวยงามมาก จุดเด่นไม่ใช่การนำเสนอฉาก และสถานที่ที่สวยงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากเลยคือเรื่องของโมเดลตัวละคร ทั้งตัวละครเอก ตัวละครต่าง ๆ และพวกศัตรูที่มาในรูปแบบสมจริง ราวกับจับต้องได้ และเป็นภาพยนตร์มากกว่าเกมซะอีก นับตั้งแต่ฉากแรก ๆ ไปจนถึงจบเกม ผู้เขียนรู้สึกว่าโมเดลตัวละครนั้น ถูกออกแบบมาได้ดี และมีชีวิตชีวามาก มันดูเหมือนเป็นคนจริง ๆ ที่มาให้เราควบคุมเป็นวิดีโอเกม แม้จะยังไม่ใช่ Unreal Engine 5 แต่นี่เหมือนเป็นการรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของ Unreal Engine 4 มาใช้แล้ว


รูปแบบเกมของ The Callisto Protocol นั้น อย่างที่บอกว่ามันเป็นเกมเส้นตรง และที่สำคัญคือเกมเน้นความ Immersive ทั้งบรรยากาศและตัวผู้เล่นเอง ตลอดเวลาการเล่นและการเอาตัวรอดในคุก Black Iron นั้น เวลาที่ผู้เล่นเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เรามักจะเจอทางแยก หรือเส้นทางให้สำรวจเพิ่ม เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเส้นทางไหน เป็นเส้นทางหลักที่เราไปต่อได้ หรือเป็นเส้นทางแยกที่เราสามารถไปสำรวจเพื่อหาของ หาไอเทมได้ ผู้เล่นต้องอาศัยการคาดเดา การอ่านป้ายบอกทาง หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจดจำไว้ว่า เราจะต้องไปทางไหน โชคดีที่บางจุดเรายังย้อนกลับมาได้ ถ้ามันเป็นการเดินทางตรงสู่เนื้อเรื่อง แต่บางจุดก็ย้อนไม่ได้ ก็ต้องระวังให้ดี ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะเราอาจจะเสียโอกาสในการเก็บไอเทมต่าง ๆ ไป


ในส่วนของ UX/UI Interface นั้น ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณของ Dead Space หนึ่งในคำชมที่ Dead Space ได้รับ คือการออกแบบ HUD / UX/UI ที่โดดเด่นมาก การมีพลังชีวิตเป็นเส้นตรงแกนกระดูกสันหลัง จำนวนกระสุนอาวุธที่เป็นเหมือนหน้าจอ LCD และช่องเก็บของ ถูกนำมาต่อยอดในเกมนี้จนเหมือนกับว่ามันโคลนนิ่งกันมาอย่างไรอย่างนั้น โดยใน The Callisto Protocol นี้ พลังชีวิตจะถูกระบุไว้ที่เครื่องที่ติดอยู่ตรงหลังคอ และมีจำนวนพลังงานแบตเตอรี่บอก ส่วนอาวุธปืนจะบอกจำนวนกระสุนแทน หน้าจอช่องเก็บของก็จะเป็นเหมือนจอ LCD ลอยขึ้นมา เรียกได้ว่าหน้าตาตัวเกมนั้น เหมือนหยิบเอา Dead Space มาต่อยอดแบบไม่มีผิด 


และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เราน่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ตัวอย่างเปิดตัว และข่าวสารที่ออกมาแล้ว กับความรุนแรงชนิดจัดเต็มของเกมนี้ ถึงขั้นที่ว่าญี่ปุ่นไม่อนุมัติให้ขายกันเลยทีเดียว ในเกมนี้จะมาพร้อมกับความรุนแรงแบบเต็มข้อ เลือดสาด ตัวขาด 18+ ขึ้นกันแน่นอน สำหรับเราในการจัดการศัตรูนั้น อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะมันคือสัตว์ประหลาด ยิ่งฆ่าโหดยิ่งสะใจ แต่หากเราพลาดท่าตายซะเอง นี่แหละความบันเทิง เกมนี้มีฉากตายหลากหลายรูปแบบให้เราได้เพลิดเพลินกับความตายของ Jacob Lee ถ้านับรวมทั้งการตายจากฉากด้วยแล้วก็น่าจะเกินกว่า 20 แบบขึ้นไป เอาแค่ศัตรู 1 ตัวก็สามารถฆ่าเราได้ 2-3 แบบแล้ว แถมแต่ละแบบนี่ โหด ๆ ทั้งนั้น ฉีกปากจนหน้าขาด หน้าแหว่ง ฉีกแขนจนขาด บีบหัวเราจนแตก จกลูกตา เอาว่าใครขวัญอ่อน ทนดูอะไรโหด ๆ ไม่ได้ เลี่ยงเกมนี้เลยจะดีกว่า แต่ใครที่ชอบความรุนแรง ชอบการเห็นตัวละครเอกตายอย่างทรมาน เกมนี้ถือว่าไปสุดทางมาก นี่ยังไม่รวมพวกการตายจากฉากต่าง ๆ ด้วย เห็นแล้วก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงตัดสินใจไม่อนุมัติขายเกมนี้ในประเทศตัวเอง


สำหรับความยาวของเกมนั้น เกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรงเพียว ๆ พื้นที่ให้สำรวจก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ผู้เล่นจะสามารถจบเกมนี้ได้ด้วยเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ตอนนี้คอนเทนต์หลังจากจบ Endgame แล้วยังมีไม่มากนัก เพราะโหมด New Game+ จะมาถึงในช่วงปีหน้า พร้อมกับเนื้อหาเสริมจาก Expansion ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าด้วย แต่ในตอนนี้ เอาแค่แคมเปญหลักของเกมก็คิดว่าคุ้มราคาแล้ว ข้อเสียเดียวของมันคือ ดันจบไม่สนิท จบไม่จริงนี่ล่ะ

การต่อสู้ระยะประชิดที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร !


หาก Dead Space เป็นทำระบบการยิงตัดอวัยวะของศัตรูออกมาได้ดีมาก เกมนี้ก็เป็นเหมือนกับอีกความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้มันออกมาเป็นขั้วตรงข้ามของ Dead Space ด้วยการเน้นและผลักดันการโจมตีระยะประชิดแทน จริงอยู่ว่าอาวุธปืนของเกมนี้มีให้ใช้งานตามปกติ แต่ความสะใจ ความดุดันจะไม่เท่ากับการใช้การโจมตีระยะประชิด เพราะมันออกแบบมาได้ลื่นไหล และมีฟิสิกส์ที่ดุดัน สะใจมาก การฟาดโจมตีศัตรูแต่ละครั้งเราจะสัมผัสได้เลยว่ามันรุนแรงจริง ๆ 


นอกเหนือไปจากการโจมตีระยะประชิด หลายสิ่งหลายอย่าง เหมือนกับทีมพัฒนาไม่อาจจะมูฟออนไปจาก Dead Space ได้ เพราะเราจะเห็นอะไรที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ถูกใส่เข้ามาแทนที่ตลอด อย่างระบบการกระทืบซ้ำก็ยังคงใส่เข้ามา การใช้พลัง GRP ที่เหมือนกับพลัง Slow ของ Dead Space หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเราหยิบเกมนี้ไปเทียบกับ Dead Space เยอะเกินไปหรือไม่ แต่มันไม่อาจลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า ตลอดเกมการเล่นของ The Callisto Protocol นั้น มันมีเงาของ Dead Space อยู่มากมายเหลือเกิน

สำหรับอาวุธหลัก ๆ ของเราจะอยู่ที่กระบองไฟฟ้าและปืน รวมไปถึง GRP ทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถอัปเกรดได้ที่โต๊ะอัปเกรด โดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นดาเมจ คอมโบ จำนวนกระสุน เมื่อมีการอัปเกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เราต้องออกสำรวจ เพื่อหาเงิน เงินในเกมนี้ก็จะได้มาทั้งจากการได้เป็น Callisto Credit โดยตรง หรืออีกวิธีคือได้มาในรูปแบบของไอเทมที่เอาไว้ขายโดยเฉพาะ ให้เรานำไอเทมนั้นมาขายหาเงินโดยตรงได้เลย


เรื่องของระบบการต่อสู้ อย่างที่บอกไปว่าเรามีไอเทมเป็นกระบองไฟฟ้าและปืน แต่ลูกเล่นของการต่อสู้ก็จะมีทั้งการกดหลบหลีก ซึ่งก็ใส่กลยุทธ์เข้ามานิดหน่อย คือถ้าหากเราจะกดหลบหลีกนั้น หากหลบทางเดียวกันซ้ำเกินสองรอบจะไม่สามารถหลบหลีกได้ กระตุ้นให้ผู้เล่นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรือการกดถอยหลังขณะที่ศัตรูฟาดโจมตีเข้ามา ก็จะเป็นการบล็อกที่ช่วยลดดาเมจลงไปได้  แต่สิ่งที่เราอยากบอกผู้เล่นทุกคนว่า หากคุณไม่ใช่เกมเมอร์ที่ชื่นชอบความตึง การเล่นเกมนี้ด้วยโหมดง่ายนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย มันอาจจะทำให้เกมสนุกมากขึ้น การปรับโหมดยาก-ง่าย ของเกมนี้ อาจจะไม่ได้แสดงผลออกมาผ่านความอึดของศัตรู แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่จะอึดขึ้นมาก ๆ ชนิดที่ว่าโดนรุมตบ 3-4 ที เลือดยังเขียวอยู่ก็มี ทำให้ความยากของเกมนี้ ถ้าปรับง่ายสุด เชื่อว่าทุกคนเล่นได้ และสนุกด้วย แต่ใครที่เก้งแล้ว เชี่ยวชาญแล้ว อยากลองของ โหมดยากก็พร้อมจะเสิร์ฟความเข้มข้นฉบับถึงเลือดถึงเนื้อให้ผู้เล่นด้วย


 แน่นอนว่าความสามารถในการกดคอมโบ ผสมผสานอาวุธและการใช้งาน GRP นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง และถ้าใครที่เป็นคนจิตแข็ง และไม่กลัวอะไรเลย เราก็สามารถเล่นแบบลุย ๆ ก็ได้ เพียงแต่การออกแบบเกมของทีมพัฒนานี้เขาไม่ได้ออกแบบมาให้เราบู๊แหลกอะไรขนาดนั้น ยิ่งเล่นโหมดยาก ไอเทมที่ได้ จำนวนกระสุน ความอึดศัตรู ความอึดเรา จะเป็นตัวแปรในการต่อสู้มากกว่า แต่ในเรื่องของบรรยากาศความน่ากลัวนั้นก็ถือว่าทำได้ดี จังหวะ Jump Scare จังหวะที่ศัตรูโผล่หน้าออกมา ทำให้เราสะดุ้งได้อยู่หลายครั้ง รวมไปถึงฉากและความมืดบางส่วนของเกม และความเลือดสาด ทำให้เกมนี้ ถ่ายทอดความดุเดือดออกมาได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว บรรยากาศ ภาพรวมและความกดดันของมัน กลับไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า Dead Space เหมือนที่เราได้คาดหวังกันเอาไว้ ซึ่งคนจะมองแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะหลาย ๆ อย่าง เหมือนมันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการหยิบเอาของเก่าที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด เลยทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เกมใหม่ซะทีเดียว


ภาพรวมของ The Callisto Protocol จึงดูเหมือเป็นเกมที่ตั้งใจทำ แต่ดันทำออกมาไม่สุดซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้ามูฟออนจากผลงานเก่าของตัวเอง หรือเพราะอยากคารวะผลงานเดิม ๆ เอาไว้ เลยทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เกมที่แย่ แต่อาจบอกได้ว่า เราคาดหวังกับมันมากจนเกินไป ซึ่งพอมันออกมาธรรมดา จะผิดหวังบ้างก็ไม่แปลกอะไรนัก แต่สำหรับตัวผู้เขียนแล้วก็ถือว่าสนุกดี แต่ใจก็คาดหวังไปที่ Dead Space Remake แทนแล้วในตอนนี้

ปัญหา Performance ที่ยังไม่หายสนิทในตอนนี้


และสำหรับใครที่ติดตามข่าวสารของเกมนี้มาอย่างใกล้ชิด จะรู้ดีว่า The Callisto Protocol นั้น เปิดตัวได้ไม่สวยเอาซะเลย เพราะปัญหา Performance ปัญหาหลัก ๆ ของมันคือการที่เกมเกิดอาการกระตุกอย่างหนักในการเข้าไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามุกตลกชาวเกมอย่างการโหลดผียังคงใช้ได้กับเกมนี้ เพราะแทนที่มันจะกระตุกเฉย ๆ แต่มันกลับเป็นสัญญาณบอกว่ามีศัตรูรออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ทำให้จังหวะที่ควรจะน่ากลัวก็ไม่น่ากลัวซะอย่างนั้น

โชคดีที่แม้ว่าปัญหาอาการกระตุกตอนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะมีแพทช์แก้ในวันเดียว แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่ขาดจริง ๆ เลยคืออาการเฟรมเรทดรอปตอนต่อสู้ อย่างที่เราบอกไปว่าเกมนี้ใช้การต่อสู้ระยะประชิดสูงมาก หากมีเฟรมเรทดรอป จะทำให้ส่งผลกระทบต่อเกมการเล่น อย่างน้อยที่สุดคือเสียอรรถรส ซึ่งอาจจะเพราะ Particle Effect หรืออะไรก็ตาม ทำให้เกมนี้ เกิดอาการเฟรมเรทดรอปตอนสู้อยู่เป็นประจำ อย่างน้อยแพทช์แก้ก็ทำให้ตัวเกมเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ใครที่มีปัญหาส่วนนี้ก็คงต้องรอการแก้ไขกันต่อไป

The Callisto Protocol อาจเป็นความพยายามในการก้าวออกจากเงาของผลงานตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนมันยังคงยึดติดอยู่กับผลงานเดิมของ Glen Schofield น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถทำให้เราจดจำมันได้ในแบบเดียวกันกับ Dead Space แต่มันก็ไม่ใช่เกมที่แย่ แค่มันธรรมดาจนเกินไป

7
ข้อดี

ฉากความรุนแรง เลือดสาด สะใจมาก แบบที่น้อยเกมจะทำได้

การออกแบบ UX/UI ยังคงยอดเยี่ยม

กราฟิกและโมเดลตัวละครเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ

การแสดงของ Josh Duhamel / Karen Fukuhara ที่ยอดเยี่ยม

ข้อเสีย

หลาย ๆ อย่างชัดเจนว่าต่อยอดจาก Dead Space จนเราไม่รู้สึกว่าได้เล่นเกมใหม่

ปัญหา Performance ทำให้เปิดตัวไม่ค่อยสวยนัก

7
บทความที่คล้ายกัน

GameFever TH | เพราะเกมคือชีวิต
[Review] รีวิวเกม The Callisto Protocol (PC) เกมสยองขวัญตัวใม่ที่ยังไม่กล้าก้าวข้ามผลงานเก่าที่ตัวเองเคยทำไว้
10/12/2022

เป็นเกม Survival Horror ที่หลายคนรอคอยกันมาตั้งแต่การประกาศเปิดตัวแล้ว เพราะนี่คือผลงานของผู้ที่สร้าง Dead Space เกมสยองขวัญขึ้นหิ้งระดับตำนานที่หยิบมาเล่นตอนนี้ก็ยังสนุก และมีหลายคนยังคงสะดุ้งกับฉาก Jump Scare และบรรยากาศ ความน่ากลัวของมัน แต่การกลับในผลงานใหม่นี้จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็มาดูกันในรีวิว The Callisto Protocol ของเรา

หนีตายจากสถานที่ปิดตายบนอวกาศ


สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนกันกับ Dead Space คือ Setting หรือฉากหลังของโลกภายในเกม ที่เป็นสถานที่เกือบ ๆ จะปิดตายเมือนกัน ใน Dead Space นั้น อิงจากภาคแรกคือยานอิชิมูระ และใน The Callisto Protocol นั้น คือคุกจองจำกลางอวกาศที่มีชื่อว่า Black Iron 

ตัวเกมว่าด้วยเรื่องราวของ Jacob Lee (รับบทโดย Josh Duhamel) เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้าในอวกาศเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ และการทำงานครั้งนี้คือการขนของบางอย่างไปยังคุก Black Iron แต่เขากลับถูกโจมตีโดยกลุ่มต่อต้านที่นำโดย Dani Nakamura (รับบทโดย Karen Fukuhara) ยานของเขาจึงโหม่งไปยังพื้นผิวของดาวเคราะห์ที่เป็นที่ตั้งของคุก Black Iron เพื่อนสนิทของเขาเสียชีวิต แต่แทนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือ เขากลับถูกจับตัวไปในฐานะนักโทษ 


เรื่องราวบานปลายมากยิ่งขึ้น เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคุก Black Iron เกิดความโกลาหล เมื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาออกอาละวาดไล่ฆ่าคนในคุก แถมระบบความปลอดภัยในคุกยังถูกเปิดใช้งาน จนพวกจักรกลต่าง ๆ ไม่ได้แยกแยะ และไล่ล่าสังหารนักโทษที่คิดจะหลบหนี งานนี้ Jacob Lee จึงต้องหาทางเอาตัวรอด หาความจริงว่าทำไมเขาถึงโดนจับ และหนีตายจากจักรกลสังหาร และสิ่งมีชีวิตปริศนา และหาต้นตอของมันให้เจอ


เมื่อผู้เล่นได้เล่นไปเรื่อย ๆ เราจะรับรู้เรื่องราวผ่านสถานที่ ไฟล์เอกสาร และเตุการณ์ต่าง ๆ การบริหารคุก Black Iron ที่ทำให้นักโทษไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ถูกนำเสนอแบบเป็นเส้นตรงที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากต้นฉบับที่เป็น Dead Space มากนัก แต่ด้วยความที่มันเป็นเส้นตรงนี่แหละ ทางทีมพัฒนาเลยสามารถที่จะนำเอาความคิด ความสามารถไปทุ่มให้กับการนำเสนอและเกมเพลย์แบบเต็ม ๆ 

แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องมันไม่ดี มันดี เพียงแต่มันไม่ได้ว้าว หรือเซอร์ไพรส์ หรือเข้มข้นจนเรารู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม เพราะมันก็เป็นพล็อตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราเห็นกันมานักต่อนักแล้ว กับการหนีตายเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตปริศนา แค่คราวนี้มันดู Sci-Fi ล้ำโลกอย่างคุกกลางอวกาศ แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อเรื่องเกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น คือการที่ตัวเกมได้สองนักแสดงมากฝีมืออย่าง Josh Duhamel และ Karen Fukuhara มารับบทนำ และ Motion Capture + พากย์เสียงตัวละครด้วย ทำให้แม้เนื้อเรื่องจะดูธรรมดา แต่พลังดารา ทำใ้ห้เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้กราฟิกเข้าใกล้ความสมจริงมากยิ่งขึ้น บอกเลยว่า ตลอดเกมการเล่นนี้ เหมือนนั่งดูภาพยนตร์ดี ๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าเนื้อเรื่องและบทของเกมนั้น มันไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป รับรองว่าเล่นจบแล้วยังไงก็เต็มอิ่มแน่นอน แต่จะมีข้อเสียตรงที่ ตอนจบของเกมนั้น ชัดเจนเลยว่ายังไม่จบ มีไปต่อกันที่ DLC แน่นอน

ยกระดับกราฟิกและโมเดลตัวละครที่เข้าใกล้ความสมจริงไปอีกขั้น


สิ่งแรกที่ผู้เขียนประทับใจจริง ๆ นับตั้งแต่การเข้าเกมครั้งแรกเลยคือเรื่องของกราฟิกที่สวยงามมาก จุดเด่นไม่ใช่การนำเสนอฉาก และสถานที่ที่สวยงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นมากเลยคือเรื่องของโมเดลตัวละคร ทั้งตัวละครเอก ตัวละครต่าง ๆ และพวกศัตรูที่มาในรูปแบบสมจริง ราวกับจับต้องได้ และเป็นภาพยนตร์มากกว่าเกมซะอีก นับตั้งแต่ฉากแรก ๆ ไปจนถึงจบเกม ผู้เขียนรู้สึกว่าโมเดลตัวละครนั้น ถูกออกแบบมาได้ดี และมีชีวิตชีวามาก มันดูเหมือนเป็นคนจริง ๆ ที่มาให้เราควบคุมเป็นวิดีโอเกม แม้จะยังไม่ใช่ Unreal Engine 5 แต่นี่เหมือนเป็นการรีดเอาประสิทธิภาพสูงสุดของ Unreal Engine 4 มาใช้แล้ว


รูปแบบเกมของ The Callisto Protocol นั้น อย่างที่บอกว่ามันเป็นเกมเส้นตรง และที่สำคัญคือเกมเน้นความ Immersive ทั้งบรรยากาศและตัวผู้เล่นเอง ตลอดเวลาการเล่นและการเอาตัวรอดในคุก Black Iron นั้น เวลาที่ผู้เล่นเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เรามักจะเจอทางแยก หรือเส้นทางให้สำรวจเพิ่ม เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเส้นทางไหน เป็นเส้นทางหลักที่เราไปต่อได้ หรือเป็นเส้นทางแยกที่เราสามารถไปสำรวจเพื่อหาของ หาไอเทมได้ ผู้เล่นต้องอาศัยการคาดเดา การอ่านป้ายบอกทาง หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจดจำไว้ว่า เราจะต้องไปทางไหน โชคดีที่บางจุดเรายังย้อนกลับมาได้ ถ้ามันเป็นการเดินทางตรงสู่เนื้อเรื่อง แต่บางจุดก็ย้อนไม่ได้ ก็ต้องระวังให้ดี ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะเราอาจจะเสียโอกาสในการเก็บไอเทมต่าง ๆ ไป


ในส่วนของ UX/UI Interface นั้น ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณของ Dead Space หนึ่งในคำชมที่ Dead Space ได้รับ คือการออกแบบ HUD / UX/UI ที่โดดเด่นมาก การมีพลังชีวิตเป็นเส้นตรงแกนกระดูกสันหลัง จำนวนกระสุนอาวุธที่เป็นเหมือนหน้าจอ LCD และช่องเก็บของ ถูกนำมาต่อยอดในเกมนี้จนเหมือนกับว่ามันโคลนนิ่งกันมาอย่างไรอย่างนั้น โดยใน The Callisto Protocol นี้ พลังชีวิตจะถูกระบุไว้ที่เครื่องที่ติดอยู่ตรงหลังคอ และมีจำนวนพลังงานแบตเตอรี่บอก ส่วนอาวุธปืนจะบอกจำนวนกระสุนแทน หน้าจอช่องเก็บของก็จะเป็นเหมือนจอ LCD ลอยขึ้นมา เรียกได้ว่าหน้าตาตัวเกมนั้น เหมือนหยิบเอา Dead Space มาต่อยอดแบบไม่มีผิด 


และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เราน่าจะได้เห็นกันตั้งแต่ตัวอย่างเปิดตัว และข่าวสารที่ออกมาแล้ว กับความรุนแรงชนิดจัดเต็มของเกมนี้ ถึงขั้นที่ว่าญี่ปุ่นไม่อนุมัติให้ขายกันเลยทีเดียว ในเกมนี้จะมาพร้อมกับความรุนแรงแบบเต็มข้อ เลือดสาด ตัวขาด 18+ ขึ้นกันแน่นอน สำหรับเราในการจัดการศัตรูนั้น อาจจะรู้สึกเฉย ๆ เพราะมันคือสัตว์ประหลาด ยิ่งฆ่าโหดยิ่งสะใจ แต่หากเราพลาดท่าตายซะเอง นี่แหละความบันเทิง เกมนี้มีฉากตายหลากหลายรูปแบบให้เราได้เพลิดเพลินกับความตายของ Jacob Lee ถ้านับรวมทั้งการตายจากฉากด้วยแล้วก็น่าจะเกินกว่า 20 แบบขึ้นไป เอาแค่ศัตรู 1 ตัวก็สามารถฆ่าเราได้ 2-3 แบบแล้ว แถมแต่ละแบบนี่ โหด ๆ ทั้งนั้น ฉีกปากจนหน้าขาด หน้าแหว่ง ฉีกแขนจนขาด บีบหัวเราจนแตก จกลูกตา เอาว่าใครขวัญอ่อน ทนดูอะไรโหด ๆ ไม่ได้ เลี่ยงเกมนี้เลยจะดีกว่า แต่ใครที่ชอบความรุนแรง ชอบการเห็นตัวละครเอกตายอย่างทรมาน เกมนี้ถือว่าไปสุดทางมาก นี่ยังไม่รวมพวกการตายจากฉากต่าง ๆ ด้วย เห็นแล้วก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงตัดสินใจไม่อนุมัติขายเกมนี้ในประเทศตัวเอง


สำหรับความยาวของเกมนั้น เกมนี้เป็นเกมแบบเส้นตรงเพียว ๆ พื้นที่ให้สำรวจก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ผู้เล่นจะสามารถจบเกมนี้ได้ด้วยเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่ตอนนี้คอนเทนต์หลังจากจบ Endgame แล้วยังมีไม่มากนัก เพราะโหมด New Game+ จะมาถึงในช่วงปีหน้า พร้อมกับเนื้อหาเสริมจาก Expansion ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าด้วย แต่ในตอนนี้ เอาแค่แคมเปญหลักของเกมก็คิดว่าคุ้มราคาแล้ว ข้อเสียเดียวของมันคือ ดันจบไม่สนิท จบไม่จริงนี่ล่ะ

การต่อสู้ระยะประชิดที่ดุดัน ไม่เกรงใจใคร !


หาก Dead Space เป็นทำระบบการยิงตัดอวัยวะของศัตรูออกมาได้ดีมาก เกมนี้ก็เป็นเหมือนกับอีกความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้มันออกมาเป็นขั้วตรงข้ามของ Dead Space ด้วยการเน้นและผลักดันการโจมตีระยะประชิดแทน จริงอยู่ว่าอาวุธปืนของเกมนี้มีให้ใช้งานตามปกติ แต่ความสะใจ ความดุดันจะไม่เท่ากับการใช้การโจมตีระยะประชิด เพราะมันออกแบบมาได้ลื่นไหล และมีฟิสิกส์ที่ดุดัน สะใจมาก การฟาดโจมตีศัตรูแต่ละครั้งเราจะสัมผัสได้เลยว่ามันรุนแรงจริง ๆ 


นอกเหนือไปจากการโจมตีระยะประชิด หลายสิ่งหลายอย่าง เหมือนกับทีมพัฒนาไม่อาจจะมูฟออนไปจาก Dead Space ได้ เพราะเราจะเห็นอะไรที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน ถูกใส่เข้ามาแทนที่ตลอด อย่างระบบการกระทืบซ้ำก็ยังคงใส่เข้ามา การใช้พลัง GRP ที่เหมือนกับพลัง Slow ของ Dead Space หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเราหยิบเกมนี้ไปเทียบกับ Dead Space เยอะเกินไปหรือไม่ แต่มันไม่อาจลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า ตลอดเกมการเล่นของ The Callisto Protocol นั้น มันมีเงาของ Dead Space อยู่มากมายเหลือเกิน

สำหรับอาวุธหลัก ๆ ของเราจะอยู่ที่กระบองไฟฟ้าและปืน รวมไปถึง GRP ทั้งหมดนี้ผู้เล่นสามารถอัปเกรดได้ที่โต๊ะอัปเกรด โดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นดาเมจ คอมโบ จำนวนกระสุน เมื่อมีการอัปเกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เราต้องออกสำรวจ เพื่อหาเงิน เงินในเกมนี้ก็จะได้มาทั้งจากการได้เป็น Callisto Credit โดยตรง หรืออีกวิธีคือได้มาในรูปแบบของไอเทมที่เอาไว้ขายโดยเฉพาะ ให้เรานำไอเทมนั้นมาขายหาเงินโดยตรงได้เลย


เรื่องของระบบการต่อสู้ อย่างที่บอกไปว่าเรามีไอเทมเป็นกระบองไฟฟ้าและปืน แต่ลูกเล่นของการต่อสู้ก็จะมีทั้งการกดหลบหลีก ซึ่งก็ใส่กลยุทธ์เข้ามานิดหน่อย คือถ้าหากเราจะกดหลบหลีกนั้น หากหลบทางเดียวกันซ้ำเกินสองรอบจะไม่สามารถหลบหลีกได้ กระตุ้นให้ผู้เล่นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หรือการกดถอยหลังขณะที่ศัตรูฟาดโจมตีเข้ามา ก็จะเป็นการบล็อกที่ช่วยลดดาเมจลงไปได้  แต่สิ่งที่เราอยากบอกผู้เล่นทุกคนว่า หากคุณไม่ใช่เกมเมอร์ที่ชื่นชอบความตึง การเล่นเกมนี้ด้วยโหมดง่ายนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย มันอาจจะทำให้เกมสนุกมากขึ้น การปรับโหมดยาก-ง่าย ของเกมนี้ อาจจะไม่ได้แสดงผลออกมาผ่านความอึดของศัตรู แต่ตัวละครของเรานี่แหละที่จะอึดขึ้นมาก ๆ ชนิดที่ว่าโดนรุมตบ 3-4 ที เลือดยังเขียวอยู่ก็มี ทำให้ความยากของเกมนี้ ถ้าปรับง่ายสุด เชื่อว่าทุกคนเล่นได้ และสนุกด้วย แต่ใครที่เก้งแล้ว เชี่ยวชาญแล้ว อยากลองของ โหมดยากก็พร้อมจะเสิร์ฟความเข้มข้นฉบับถึงเลือดถึงเนื้อให้ผู้เล่นด้วย


 แน่นอนว่าความสามารถในการกดคอมโบ ผสมผสานอาวุธและการใช้งาน GRP นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง และถ้าใครที่เป็นคนจิตแข็ง และไม่กลัวอะไรเลย เราก็สามารถเล่นแบบลุย ๆ ก็ได้ เพียงแต่การออกแบบเกมของทีมพัฒนานี้เขาไม่ได้ออกแบบมาให้เราบู๊แหลกอะไรขนาดนั้น ยิ่งเล่นโหมดยาก ไอเทมที่ได้ จำนวนกระสุน ความอึดศัตรู ความอึดเรา จะเป็นตัวแปรในการต่อสู้มากกว่า แต่ในเรื่องของบรรยากาศความน่ากลัวนั้นก็ถือว่าทำได้ดี จังหวะ Jump Scare จังหวะที่ศัตรูโผล่หน้าออกมา ทำให้เราสะดุ้งได้อยู่หลายครั้ง รวมไปถึงฉากและความมืดบางส่วนของเกม และความเลือดสาด ทำให้เกมนี้ ถ่ายทอดความดุเดือดออกมาได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว บรรยากาศ ภาพรวมและความกดดันของมัน กลับไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า Dead Space เหมือนที่เราได้คาดหวังกันเอาไว้ ซึ่งคนจะมองแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะหลาย ๆ อย่าง เหมือนมันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการหยิบเอาของเก่าที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด เลยทำให้เรารู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เกมใหม่ซะทีเดียว


ภาพรวมของ The Callisto Protocol จึงดูเหมือเป็นเกมที่ตั้งใจทำ แต่ดันทำออกมาไม่สุดซะอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้ามูฟออนจากผลงานเก่าของตัวเอง หรือเพราะอยากคารวะผลงานเดิม ๆ เอาไว้ เลยทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เกมที่แย่ แต่อาจบอกได้ว่า เราคาดหวังกับมันมากจนเกินไป ซึ่งพอมันออกมาธรรมดา จะผิดหวังบ้างก็ไม่แปลกอะไรนัก แต่สำหรับตัวผู้เขียนแล้วก็ถือว่าสนุกดี แต่ใจก็คาดหวังไปที่ Dead Space Remake แทนแล้วในตอนนี้

ปัญหา Performance ที่ยังไม่หายสนิทในตอนนี้


และสำหรับใครที่ติดตามข่าวสารของเกมนี้มาอย่างใกล้ชิด จะรู้ดีว่า The Callisto Protocol นั้น เปิดตัวได้ไม่สวยเอาซะเลย เพราะปัญหา Performance ปัญหาหลัก ๆ ของมันคือการที่เกมเกิดอาการกระตุกอย่างหนักในการเข้าไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามุกตลกชาวเกมอย่างการโหลดผียังคงใช้ได้กับเกมนี้ เพราะแทนที่มันจะกระตุกเฉย ๆ แต่มันกลับเป็นสัญญาณบอกว่ามีศัตรูรออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ทำให้จังหวะที่ควรจะน่ากลัวก็ไม่น่ากลัวซะอย่างนั้น

โชคดีที่แม้ว่าปัญหาอาการกระตุกตอนไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ จะมีแพทช์แก้ในวันเดียว แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่ขาดจริง ๆ เลยคืออาการเฟรมเรทดรอปตอนต่อสู้ อย่างที่เราบอกไปว่าเกมนี้ใช้การต่อสู้ระยะประชิดสูงมาก หากมีเฟรมเรทดรอป จะทำให้ส่งผลกระทบต่อเกมการเล่น อย่างน้อยที่สุดคือเสียอรรถรส ซึ่งอาจจะเพราะ Particle Effect หรืออะไรก็ตาม ทำให้เกมนี้ เกิดอาการเฟรมเรทดรอปตอนสู้อยู่เป็นประจำ อย่างน้อยแพทช์แก้ก็ทำให้ตัวเกมเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ใครที่มีปัญหาส่วนนี้ก็คงต้องรอการแก้ไขกันต่อไป

The Callisto Protocol อาจเป็นความพยายามในการก้าวออกจากเงาของผลงานตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนมันยังคงยึดติดอยู่กับผลงานเดิมของ Glen Schofield น่าเสียดายที่มันยังไม่สามารถทำให้เราจดจำมันได้ในแบบเดียวกันกับ Dead Space แต่มันก็ไม่ใช่เกมที่แย่ แค่มันธรรมดาจนเกินไป


บทความที่คล้ายกัน

ล่าสุด
Ragnarok Origin รวมไกด์แนวทางการเล่นทั้งหมดของเกม(อัปเดตเรื่อย ๆ)
testprofile
YeeTester2
test
IHu
[เกมลดเป๋าสั่น] Euro Truck Simulator 2 เกมขับสิบล้อเน้นสมจริง และมีให้เล่นแบบ Coop ลดเหลือ 102 บาท!
IHu
วิธีรับ The Evil Within เกมสยองชื่อดังแนว Survival Horror กำลังแจกฟรี!
IHu
[ขุมทรัพย์ GF] รู้จักกับ Drug Dealer Simulator 2 เกม Coop Open World ให้เล่นเป็นเด็กส่งยากับเพื่อน!
IHu
Editors' Choice
[แนะนำเกม] Spire Horizon เกม RPG Open World ฝีมือคนไทย ! กับการตามหาตัวตนของโครงกระดูก ผจญภัยในโลกจินตนาการ
YoJung
The Ants: Underground Kingdom เกมดูแลอาณาจักรมด ประกาศกิจกรรมฉลองคร 2 ปี รับ Code รางวัลพิเศษก่อนใครที่นี่เลย!
BASUP!
PS VR2 + HORIZON: CALL OF THE MOUNTAIN REVIEW "ประสบการณ์ VR สุดล้ำหน้า กับความคุ้มค่าที่ยังไม่มีคำตอบ"
OcelotBoy
[โชว์ห่วย] ย้อนรอยหนังดัง Super Mario Bros. The Movie (1993) กับความพังที่ยากจะให้อภัย
sLAUGHTER
Show header