ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ที่ Back 4 Blood ผลงานเกมยิงซอมบี้แบบ Co-op ตัวใหม่ของทาง Turtle Rock ที่ได้ออกวางจำหน่ายมา และในช่วงเกือบ 1 ปีมานี้ ก็มีการอัปเดตใหญ่ไปแล้วทั้งสิ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือ Tunnel of Terror และครั้งล่าสุดที่เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มากกว่าครั้งแรก เพราะครั้งนี้ได้เพิ่มเนื้อเรื่องใหม่เข้ามาโดยตรง พร้อมกับตัวละครใหม่ และการ์ดใหม่อีกมากมาย แต่มันจะคุ้มค่า และสนุกแค่ไหน ก็มาดูกันได้กับรีวิวของเรากัน
ไถ่บาปด้วยบุญปืนกับเนื้อเรื่อง Act 5 และตัวละครใหม่ Dan, The Prophet
ในเนื้อเรื่องใหม่บทที่ 5 นี้ เหล่า Cleaners หรือผู้รอดชีวิต ที่ต่อสู้จนขับไล่ Abomination จนหลบหนีไปทางใต้ดินได้แล้ว พวกเขาเดินทางมาจนพบกับดินแดนใหม่ ที่เป็นที่อยู่ของลัทธิปริศนา แต่ลัทธินี้กลับถูกโจมตีโดยกลุ่มคนเถื่อนที่พยายามเลี้ยงผู้ติดเชื้อหรือ Ridden เอาไว้ และจับมันผสมพันธุ์กับมนุษย์จนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อันบ้าคลั่ง แถมกลุ่มคนเถื่อนยังจับเอาสาวกของลัทธินี้ไว้เพื่อรอทดลอง Dan หลวงพ่อที่ผันตัวมาจับปืนต่อสู้กับคนเถื่อน และต้องเอาตัวรอดจากฝูง Ridden ได้เจอเข้ากับพวก Cleaners และตัดสินใจบุกถิ่นคนเถื่อน เพื่อช่วยเหลือสมาชิกลัทธิของเขาออกมา
จริง ๆ แล้ว Back 4 Blood เป็นเกมที่นำเสนอเกมเพลย์การเล่นมากกว่าเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เอาแค่ช่วงเกมหลัก หลายคนก็ต้องมานั่งปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง จากทั้งคัทซีนและ Trailer ที่ทีมงานปล่อยออกมาอยู่แล้ว เนื้อเรื่องจึงอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น และการมาถึงของ Act 5 ก็เป็นแบบเดียวกัน เราจะได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง Dan เปิดตัวแบบงง ๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป และเหตุการณ์ใน Act 5 ก็เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในเวลา 6 ฉากย่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่านึกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เพราะในตอนจบของ Act 5 นั้น Dan ก็ได้พูดเอาไว้ว่า ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และตัวเกมยืนยันแล้วว่าจะยังมี Expansion 3 ตามมาอีกด้วย ดังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า เนื้อเรื่องของ Back 4 Blood จะไปจบลงตรงไหน
ความยากยังคงอยู่ แถมมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เกมเพลย์ที่ยังคงคอนเซปต์อภิมหาความยาก แม้เราจะมีของใหม่มาช่วยเสริมให้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริง ๆ คือสิ่งที่เรียกว่า Teamwork ระหว่างการเล่น เพราะ Back 4 Blood นั้น ขึ้นชื่อเรื่องความยากของเกมมาตั้งแต่ตอนเกมหลักเปิดตัวแล้ว และใน Children of the Worm นี้ ต้องบอกว่าหนักหนากว่ามาก เพราะเงื่อนไขใน Act 5 นั้น มาพร้อมกับระบบ Corruption Card ที่ยากมากขึ้น สำหรับใครที่ไม่รู้ ระบบ Corruption Card จะเป็นเหมือนกับอุปสรรค หรือดีบัฟที่จะเข้ามาทำให้เกมของผู้เล่นยากขึ้นไปอีก
Corruption Card ของ Act 5 นี้มีใบหนึ่งที่ค่อนข้างโหดร้ายนั่นคือ Ravenous ที่จะทำให้คุณหิวทุก ๆ 30 วินาที และต้องหาอาหารภายในฉากกินตลอดเวลา หากปล่อยให้ตัวละครหิว ตัวละครจะได้รับอาการบาดเจ็บ 1 หน่วย ซึ่งทำให้พลังชีวิตสูงสุดลดลง ทำให้การเล่นยากมากขึ้น คือนอกจากจะต้องรับมือเหล่าซอมบี้สุดโหดแล้ว ยังต้องวิ่งหาอาหารกินอีกด้วย และคิดดูว่าเกมที่ฝูงซอมบี้มาเป็นคลื่นขนาดนี้ ยิงไป วิ่งหนีไป หาอาหารไป มันจะวุ่นวายขนาดไหน ถ้าไปเล่นกับคนทั่วไป รับรองเลยว่าถ้าไม่สื่อสารกันให้ดี ก็ยากแน่นอน
และใน Act 5 นี้ยังมาพร้อมกับศัตรูประเภทใหม่ ซึ่งต่างจากเดิมไปพอสมควร ปกติแล้วในเกม Back 4 Blood ศัตรูในเกมหลักของเราจะเป็นพวก Ridden หรือก็คือซอมบี้ แต่ใน Children of the Worm นี้ นอกจากพวกซอมบี้แล้ว ยังเป็นพวกกลุ่มลัทธิคนเถื่อน ทำให้ศัตรูของเราในคราวนี้เป็นมนุษย์ด้วย และยังมีหลายประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น Slasher ที่จะวิ่งเข้ามาประชิดตัวเรา หรือมือสไนเปอร์ที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะยิงจัดการได้ง่าย แต่ถ้าพลาดโดนมันยิงขึ้นมาก็อาจจะเจ็บหนักถึงขั้นร่วงได้เลย
.ส่วนของเกมเพลย์การเล่นใหม่ก็ยังคงเน้นทีมเวิร์ค โดยเฉพาะในช่วงด่าน Light Guide Us ที่เราจะต้องวิ่งหาอุปกรณ์มาซ่อมเรือ โดยมีเวลานับถอยหลังที่ฝูง Horde จะเริ่มต้น ดังนั้นถ้ามัวแต่วิ่งยิง โดยไม่สนใจการวิ่งไปเก็บอุปกรณ์ซ่อมเรือเพื่อจบภารกิจ รับรองว่าจะวนลูปอยู่กับการยิงจนกระสุนหมด ของหมดแน่นอน ทีมเวิร์คจึงสำคัญมาก หรือในด่าน In the Depths ที่มีรูปแบบการเล่นคล้าย ๆ กับการ Escort ที่เราต้องดันรถไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แถมต้องคอยซ่อมสะพานด้วยการไปหยิบไม้มาซ่อม และต้องคอยยิงซอมบี้ด้วย ทำให้ความหลากหลายในด้านเกมเพลย์การเล่นของ Children of the Worm มีความหลากหลายมาก
ถึงแม้ว่าความยากจะเพิ่มขึ้น แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะในการอัปเดตนี้ได้เพิ่มสิ่งของที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Bait Jars ที่เอาไว้ใช้ล่อฝูงศัตรูทำให้เราได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ยังกับดักหมีหรือ Bear Traps ที่ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้ยาก แต่ในกรณีที่ศัตรูมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน (ซึ่งเกมนี้เราจะเจอบ่อยมาก) ก็อาจจะพอให้เราได้ทำให้เราได้พัก สรุปคือไอเทมใหม่ อาจจะไม่ได้มาเพื่อช่วยให้เราได้เล่นสบายขึ้น แต่ทำให้เราได้มีช่องว่างพักมากขึ้นนั่นเอง
และในด้านความสามารถของตัวละครใหม่อย่าง Dan, The Prophet เองก็ถือว่าเป็นตัวละครที่นอกจากจะเท่แล้ว ความสามารถยังถือว่าช่วยทีมได้มากอีกด้วย นั่นคือทุก ๆ ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมล้มแล้วไปชุบขึ้นมา ทีมจะได้รับเอฟเฟกต์บัฟแบบสุ่มทุกครั้ง แต่การใช้ Defibrillator หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจชุบชีวิตจะไม่ได้บัฟนี้ การมีตัวละคร Dan ในทีม ทำให้การฝ่าด่านอันทุลักทุเลนี้ อย่างน้อยก็มีตัวช่วยมากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาดูกันให้ดีว่าในทีมมีใครหยิบตัวละครใดมาบ้าง เพราะฟอร์เมชั่นการเล่นแบบเพื่อทีมกับการเล่นแบบเน้นลุยแหลก เอาตัวรอดนั้น เกมนี้จะมีความต่างกันอย่างชัดเจน
น่าเสียดายที่การมาถึงของ Act 5 นั้น ค่อนข้างสนุกกว่าระบบ Ridden Hive ใน DLC เสริมตัวก่อนหน้าก็จริง แต่ความยาวของมันก็น้อยมาก โดย Act 5 จะมีความยาวทั้งหมดเพียง 6 ด่านเท่านั้น ถ้าเริ่มเล่นกันที่ระดับความง่ายแบบ Recruit ไม่ถึงชั่วโมงก็จบแล้ว ความสนุกของเกมนี้จึงอยู่ที่ความยากในระดับ Veteran ขึ้นไป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็ต้องระวังหัวร้อนกันหน่อย
ทางด้าน Performance ด้วยความที่เกมหลักก็ออกมาเป็นปีแล้ว ใครที่เล่นเกมนี้ได้ตั้งแต่ตอนเปิดตัว ก็จะยังสามารถเล่นเกมนี้ได้อยู่อย่างสบาย ๆ หมดปัญหา ถึงแม้ว่าฉากใหม่จะสวยงาม และมีฝูงซอมบี้ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ Back 4 Blood ทำได้ดีตลอดมาตั้งแต่ช่วงแรกก็คือการ Optimize ตัวเกม
ข้อดีอีกอย่างสำหรับ DLC Children of the Worm คือ DLC นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อทุกคน ขอเพียงแค่ 1 คนที่ยอมเสียเงินซื้อ หรือคนที่เป็นเจ้าของ Annual Pass อยู่แล้ว คนที่เข้ามา Join เกม ก็จะสามารถเล่นเนื้อหา DLC ได้เลย โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเพิ่มแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจะหารเงินกันให้คนสักคนซื้อ DLC ก็ได้ หรือจะไปเกาะคนอื่นเล่นเอาก็ได้ ไม่เสียหาย แค่จะไม่ได้สกินใน DLC เท่านั้น
โดยรวมแล้ว Back 4 Blood: Children of the Worm เป็นการอัปเดตเพิ่มความหลลากหลายให้กับเกมเพลย์การเล่น และสานต่อเนื้อเรื่องที่น่าสนุกมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว มันสั้นเกินไปมาก แต่สำหรับแฟนเกม Back 4 Blood แล้ว ยังไงก็ไม่ควรพลาด
เกมเพลย์การเล่นทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น
เพิ่มรูปแบบการเล่นที่หลากหลายกว่าเดิม
ความสนุกในการไล่ยิงฝูงซอมบี้ ถือว่าหาได้ยากจากเกมอื่น
การ Optimize ที่ดีงามเหมือนเกมต้นฉบับ
มีเนื้อเรื่องต่อแน่นอน..
ยังคงความยากระดับหัวร้อนเอาไว้ ถ้าเล่นคนเดียว
สั้นไปหน่อย ถ้าเทียบกับราคา แถมทิ้งปมไว้ชัดเจน
ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ที่ Back 4 Blood ผลงานเกมยิงซอมบี้แบบ Co-op ตัวใหม่ของทาง Turtle Rock ที่ได้ออกวางจำหน่ายมา และในช่วงเกือบ 1 ปีมานี้ ก็มีการอัปเดตใหญ่ไปแล้วทั้งสิ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือ Tunnel of Terror และครั้งล่าสุดที่เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มากกว่าครั้งแรก เพราะครั้งนี้ได้เพิ่มเนื้อเรื่องใหม่เข้ามาโดยตรง พร้อมกับตัวละครใหม่ และการ์ดใหม่อีกมากมาย แต่มันจะคุ้มค่า และสนุกแค่ไหน ก็มาดูกันได้กับรีวิวของเรากัน
ไถ่บาปด้วยบุญปืนกับเนื้อเรื่อง Act 5 และตัวละครใหม่ Dan, The Prophet
ในเนื้อเรื่องใหม่บทที่ 5 นี้ เหล่า Cleaners หรือผู้รอดชีวิต ที่ต่อสู้จนขับไล่ Abomination จนหลบหนีไปทางใต้ดินได้แล้ว พวกเขาเดินทางมาจนพบกับดินแดนใหม่ ที่เป็นที่อยู่ของลัทธิปริศนา แต่ลัทธินี้กลับถูกโจมตีโดยกลุ่มคนเถื่อนที่พยายามเลี้ยงผู้ติดเชื้อหรือ Ridden เอาไว้ และจับมันผสมพันธุ์กับมนุษย์จนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อันบ้าคลั่ง แถมกลุ่มคนเถื่อนยังจับเอาสาวกของลัทธินี้ไว้เพื่อรอทดลอง Dan หลวงพ่อที่ผันตัวมาจับปืนต่อสู้กับคนเถื่อน และต้องเอาตัวรอดจากฝูง Ridden ได้เจอเข้ากับพวก Cleaners และตัดสินใจบุกถิ่นคนเถื่อน เพื่อช่วยเหลือสมาชิกลัทธิของเขาออกมา
จริง ๆ แล้ว Back 4 Blood เป็นเกมที่นำเสนอเกมเพลย์การเล่นมากกว่าเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เอาแค่ช่วงเกมหลัก หลายคนก็ต้องมานั่งปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอาเอง จากทั้งคัทซีนและ Trailer ที่ทีมงานปล่อยออกมาอยู่แล้ว เนื้อเรื่องจึงอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้น และการมาถึงของ Act 5 ก็เป็นแบบเดียวกัน เราจะได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง Dan เปิดตัวแบบงง ๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป และเหตุการณ์ใน Act 5 ก็เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในเวลา 6 ฉากย่อย ๆ เช่นกัน แต่อย่านึกว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เพราะในตอนจบของ Act 5 นั้น Dan ก็ได้พูดเอาไว้ว่า ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และตัวเกมยืนยันแล้วว่าจะยังมี Expansion 3 ตามมาอีกด้วย ดังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า เนื้อเรื่องของ Back 4 Blood จะไปจบลงตรงไหน
ความยากยังคงอยู่ แถมมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เกมเพลย์ที่ยังคงคอนเซปต์อภิมหาความยาก แม้เราจะมีของใหม่มาช่วยเสริมให้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริง ๆ คือสิ่งที่เรียกว่า Teamwork ระหว่างการเล่น เพราะ Back 4 Blood นั้น ขึ้นชื่อเรื่องความยากของเกมมาตั้งแต่ตอนเกมหลักเปิดตัวแล้ว และใน Children of the Worm นี้ ต้องบอกว่าหนักหนากว่ามาก เพราะเงื่อนไขใน Act 5 นั้น มาพร้อมกับระบบ Corruption Card ที่ยากมากขึ้น สำหรับใครที่ไม่รู้ ระบบ Corruption Card จะเป็นเหมือนกับอุปสรรค หรือดีบัฟที่จะเข้ามาทำให้เกมของผู้เล่นยากขึ้นไปอีก
Corruption Card ของ Act 5 นี้มีใบหนึ่งที่ค่อนข้างโหดร้ายนั่นคือ Ravenous ที่จะทำให้คุณหิวทุก ๆ 30 วินาที และต้องหาอาหารภายในฉากกินตลอดเวลา หากปล่อยให้ตัวละครหิว ตัวละครจะได้รับอาการบาดเจ็บ 1 หน่วย ซึ่งทำให้พลังชีวิตสูงสุดลดลง ทำให้การเล่นยากมากขึ้น คือนอกจากจะต้องรับมือเหล่าซอมบี้สุดโหดแล้ว ยังต้องวิ่งหาอาหารกินอีกด้วย และคิดดูว่าเกมที่ฝูงซอมบี้มาเป็นคลื่นขนาดนี้ ยิงไป วิ่งหนีไป หาอาหารไป มันจะวุ่นวายขนาดไหน ถ้าไปเล่นกับคนทั่วไป รับรองเลยว่าถ้าไม่สื่อสารกันให้ดี ก็ยากแน่นอน
และใน Act 5 นี้ยังมาพร้อมกับศัตรูประเภทใหม่ ซึ่งต่างจากเดิมไปพอสมควร ปกติแล้วในเกม Back 4 Blood ศัตรูในเกมหลักของเราจะเป็นพวก Ridden หรือก็คือซอมบี้ แต่ใน Children of the Worm นี้ นอกจากพวกซอมบี้แล้ว ยังเป็นพวกกลุ่มลัทธิคนเถื่อน ทำให้ศัตรูของเราในคราวนี้เป็นมนุษย์ด้วย และยังมีหลายประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น Slasher ที่จะวิ่งเข้ามาประชิดตัวเรา หรือมือสไนเปอร์ที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะยิงจัดการได้ง่าย แต่ถ้าพลาดโดนมันยิงขึ้นมาก็อาจจะเจ็บหนักถึงขั้นร่วงได้เลย
.ส่วนของเกมเพลย์การเล่นใหม่ก็ยังคงเน้นทีมเวิร์ค โดยเฉพาะในช่วงด่าน Light Guide Us ที่เราจะต้องวิ่งหาอุปกรณ์มาซ่อมเรือ โดยมีเวลานับถอยหลังที่ฝูง Horde จะเริ่มต้น ดังนั้นถ้ามัวแต่วิ่งยิง โดยไม่สนใจการวิ่งไปเก็บอุปกรณ์ซ่อมเรือเพื่อจบภารกิจ รับรองว่าจะวนลูปอยู่กับการยิงจนกระสุนหมด ของหมดแน่นอน ทีมเวิร์คจึงสำคัญมาก หรือในด่าน In the Depths ที่มีรูปแบบการเล่นคล้าย ๆ กับการ Escort ที่เราต้องดันรถไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แถมต้องคอยซ่อมสะพานด้วยการไปหยิบไม้มาซ่อม และต้องคอยยิงซอมบี้ด้วย ทำให้ความหลากหลายในด้านเกมเพลย์การเล่นของ Children of the Worm มีความหลากหลายมาก
ถึงแม้ว่าความยากจะเพิ่มขึ้น แต่เกมก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราขนาดนั้น เพราะในการอัปเดตนี้ได้เพิ่มสิ่งของที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Bait Jars ที่เอาไว้ใช้ล่อฝูงศัตรูทำให้เราได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ยังกับดักหมีหรือ Bear Traps ที่ถึงแม้ว่าจะใช้งานได้ยาก แต่ในกรณีที่ศัตรูมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน (ซึ่งเกมนี้เราจะเจอบ่อยมาก) ก็อาจจะพอให้เราได้ทำให้เราได้พัก สรุปคือไอเทมใหม่ อาจจะไม่ได้มาเพื่อช่วยให้เราได้เล่นสบายขึ้น แต่ทำให้เราได้มีช่องว่างพักมากขึ้นนั่นเอง
และในด้านความสามารถของตัวละครใหม่อย่าง Dan, The Prophet เองก็ถือว่าเป็นตัวละครที่นอกจากจะเท่แล้ว ความสามารถยังถือว่าช่วยทีมได้มากอีกด้วย นั่นคือทุก ๆ ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมล้มแล้วไปชุบขึ้นมา ทีมจะได้รับเอฟเฟกต์บัฟแบบสุ่มทุกครั้ง แต่การใช้ Defibrillator หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจชุบชีวิตจะไม่ได้บัฟนี้ การมีตัวละคร Dan ในทีม ทำให้การฝ่าด่านอันทุลักทุเลนี้ อย่างน้อยก็มีตัวช่วยมากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาดูกันให้ดีว่าในทีมมีใครหยิบตัวละครใดมาบ้าง เพราะฟอร์เมชั่นการเล่นแบบเพื่อทีมกับการเล่นแบบเน้นลุยแหลก เอาตัวรอดนั้น เกมนี้จะมีความต่างกันอย่างชัดเจน
น่าเสียดายที่การมาถึงของ Act 5 นั้น ค่อนข้างสนุกกว่าระบบ Ridden Hive ใน DLC เสริมตัวก่อนหน้าก็จริง แต่ความยาวของมันก็น้อยมาก โดย Act 5 จะมีความยาวทั้งหมดเพียง 6 ด่านเท่านั้น ถ้าเริ่มเล่นกันที่ระดับความง่ายแบบ Recruit ไม่ถึงชั่วโมงก็จบแล้ว ความสนุกของเกมนี้จึงอยู่ที่ความยากในระดับ Veteran ขึ้นไป แต่ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นด้วยก็ต้องระวังหัวร้อนกันหน่อย
ทางด้าน Performance ด้วยความที่เกมหลักก็ออกมาเป็นปีแล้ว ใครที่เล่นเกมนี้ได้ตั้งแต่ตอนเปิดตัว ก็จะยังสามารถเล่นเกมนี้ได้อยู่อย่างสบาย ๆ หมดปัญหา ถึงแม้ว่าฉากใหม่จะสวยงาม และมีฝูงซอมบี้ถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ Back 4 Blood ทำได้ดีตลอดมาตั้งแต่ช่วงแรกก็คือการ Optimize ตัวเกม
ข้อดีอีกอย่างสำหรับ DLC Children of the Worm คือ DLC นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อทุกคน ขอเพียงแค่ 1 คนที่ยอมเสียเงินซื้อ หรือคนที่เป็นเจ้าของ Annual Pass อยู่แล้ว คนที่เข้ามา Join เกม ก็จะสามารถเล่นเนื้อหา DLC ได้เลย โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเพิ่มแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจะหารเงินกันให้คนสักคนซื้อ DLC ก็ได้ หรือจะไปเกาะคนอื่นเล่นเอาก็ได้ ไม่เสียหาย แค่จะไม่ได้สกินใน DLC เท่านั้น
โดยรวมแล้ว Back 4 Blood: Children of the Worm เป็นการอัปเดตเพิ่มความหลลากหลายให้กับเกมเพลย์การเล่น และสานต่อเนื้อเรื่องที่น่าสนุกมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว มันสั้นเกินไปมาก แต่สำหรับแฟนเกม Back 4 Blood แล้ว ยังไงก็ไม่ควรพลาด