แนวเกม: Action-Adventure
ผู้พัฒนา: Rockstar Games
แพลตฟอร์ม: PlayStation 4, Xbox One
เวลาเล่น: ไม่ต่ำกว่า 50 ชั่วโมง (ยังไม่จบเนื้อเรื่อง)
ข้อดี
- เกมสมจริงและละเอียดในระดับที่ไม่เคยเห็นในเกมไหนๆ มาก่อน
- ระบบยิงปืนสนุก ระทึกใจทุกครั้ง
- โลกและ NPC ที่มีชีวิต มีอะไรเกิดขึ้นรอบๆ ตัวผู้เล่นตลอดเวลา
- เนื้อเรื่องจริงจังแต่สนุก มีความเป็นเกมผู้ใหญ่สูง
- โลกสวยมาก มีภูมิประเทศหลากหลาย มีอะไรให้ค้นหาสำหรับคนที่ชอบผจญภัย
- เป็นเกมที่น่าทึ่งจนทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของคอนโซลเจนถัดไปเลย
ข้อเสีย
- ความสมจริงบางครั้งก็ทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่ารำคาญได้เหมือนกัน
- เกมปลายเปิดเกินไป บางครั้งก็รู้สึกไร้ทิศทางได้
- อธิบายระบบต่างๆ ไม่ค่อยดี มีหลายอย่างที่เกมไม่ได้บอก
- การเดินทางใช้เวลานานมากๆ ทำให้เกมรู้สึกเนือยได้เวลาต้องขี่ม้านานๆ
คำเตือน: รีวิวฉบับนี้จะไม่สปอยเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลัก แต่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นแบบแรนด้อมที่ก็อาจจะถือเป็นสปอยได้สำหรับคนที่อยากไปเจอด้วยตัวเอง
ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานของค่ายพัฒนาในตำนานอย่าง
Rockstar Games บวกกับความนิยมของเกมภาคแรกในเครื่อง
PS3/Xbox 360 ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายๆ คนจะคาดหวังกับเกม
Red Dead Redemption 2 จนถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในเกมตัวเต็งตำแหน่ง Game of the Year ไปได้สบายๆ ตั้งแต่เกมยังไม่วางจำหน่ายด้วยซ้ำ
หลังจากที่ได้เล่นเกมมาแล้วเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40-50 ชั่วโมง ผู้เขียนสามารถยืนยันได้เลยว่าในแง่ของคุณภาพและรายละเอียดนั้น เกม
Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่ตั้งบรรทัดฐานใหม่ให้กับเกม
Open-World ทั้งหมดต่อจากนี้ได้เลย ด้วยกราฟิคและการใช้แสงที่สมจริงจนบางมุมดูเหมือน
Live-Action (คนแสดงจริง) ไปแล้ว และโลกของเกมที่มีชีวิต ดำเนินไปได้เองแม้ไม่มีผู้เล่น แถมยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งสามารถเกิดกับตัวผู้เล่นได้ตลอดเวลา ทำให้การเล่นเกม
Red Dead Redemption 2 ให้ความรู้สึกเหมือนการใช้ชีวิตจริงในบางครั้ง ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
แต่ในทางกลับกัน ความพยายามสร้างความสมจริงทุกกระเบียดนิ้วของผู้พัฒนาก็ทำให้มีจังหวะที่รู้สึกไม่สนุกอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน อย่างในเรื่องการขยับตัวและการปฏิสัมพันธ์กับโลกในบางแง่ แถมบางครั้งเกมยังดูจะลงโทษผู้เล่นที่อยากจะแค่เล่นเกมให้เป็นเกม และไม่ได้อยากจะเสียเวลาพะวงหน้าพะวงหลังกับระบบยิบย่อยต่างๆ ในเกมอย่างการกินข้าวหรือการโกนหนวด ที่ล้วนส่งผลต่อตัวผู้เล่นทั้งสิ้น
ถามว่าแล้วแบบนี้หมายความว่าเกมไม่ดีหรือเปล่า? ตอบได้เต็มคำว่า ไม่ใช่
Red Dead Redemption 2 ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยเล่นมาในยุค
PS4/Xbox One แม้ว่าความสมจริงของเกมจะสร้างความลำบากในการเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ผู้เขียนกลับมองว่าความไม่เป็นมิตรของเกมกลับช่วยเสริมความสมจริงและเนื้อเรื่องของเกมได้ดี ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตจริงที่ไม่มีอะไรง่าย และในบางจังหวะที่เกมเป็นเกมจริงๆ ก็ยังสนุกไม่ต่างกับเกมอื่นๆ ของผู้พัฒนาอย่าง
GTA V เลย แถมยังชนะขาดในเรื่องของการนำเสนอและความปราณีตในทุกรายละเอียดไปเลย
เกม
Red Dead Redemption 2 อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า
Rockstar Games ได้สร้างผลงานที่ยกระดับเกมแนว
Open-World ขึ้นไปอีกระดับในแบบที่น้อยเกมในประวัติศาสตร์จะสามารถทำได้เช่นกัน เกมอาจจะต้องใช้เวลาและความใจเย็นมากกว่าเกมแนวเดียวกันที่ผ่านมา แต่รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้จะตราตรึงใจผู้เล่นหลายๆ คนไปอีกนาน
[caption id="attachment_10782" align="aligncenter" width="3840"]
เหมือนภาพถ่ายจริงอย่างน่ากลัว[/caption]
การนำเสนอ/กราฟิค
ในจุดนี้คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าในเรื่องของการนำเสนอทั้งในด้านกราฟิค เสียงพากย์ตัวละคร ไปจนถึงอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างปราณีตในระดับที่เกมอื่นๆ ในตลาดเทียบไม่ติดเลยทีเดียว แถมอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เกมทำได้ดีมากๆ คือการทำให้ตัวละครและโลกรู้สึกมีชีวิตจริงๆ บทสนทนาและการใช้เสียงพากย์ทำออกมาได้อย่างมีคุณภาพสมชื่อ
Rockstar
เช่นในฉากเนื้อเรื่องฉากนึงตอนต้น ที่จะมีตัวละคร NPC ผู้หญิงสามคนนั่งรถม้าไปกับเรา พร้อมกับร้องเพลงประสานเสียงไปด้วย โดยจุดที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจมากๆ คือจังหวะที่หนึ่งในตัวละคร NPC ร้องเพลงผิดเนื้อร้อง และหัวเราะเยาะตัวเองและร้องเพลงต่อไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต่างกับสิ่งที่คนจริงๆ จะทำเมื่อร้องเพลงผิดเลย
[caption id="attachment_10777" align="aligncenter" width="3840"]
บางครั้งการตอบทางเลือกที่ถูกก็อาจช่วยให้เลี่ยงการปะทะได้[/caption]
แต่อาจจะด้วยความสมจริงที่ผู้พัฒนาต้องการสร้างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการใช้เมนูต่างๆ ในเกมมีความช้าๆ ขัดๆ มาก เหมือนว่าผู้พัฒนาจะอยากสร้างความรู้สึกเหมือนเราหยิบสมุดหรือแผนที่ออกมาดูจริงๆ อย่างถ้าจะดูสถานะเช่นอุญภูมิของสถานที่รอบๆ (เกมมีระบบที่ให้เราต้องแต่งตัวให้อุ่นหรือเย็นตามสภาพอากาศ) หรือความสามารถของตัวละคร ก็จะต้องเข้าไปในเมนูของเกมซึ่ง Interface ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมการทำแบบนี้บางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะการเล่นได้เหมือนกันเวลาที่พยายามจะทำอะไรง่ายๆ กลับมีขั้นตอนมากมายแบบนี้
และแน่นอนว่าในเกมระดับนี้ ย่อมต้องมีบัคอยู่ไม่มากก็น้อย ต้องพูดว่าสำหรับเกมที่อิสระ กว้าง และละเอียดเท่านี้ จำนวนหรือรูปแบบของบัคที่เจอกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดใจอะไรนัก ส่วนมากจะเป้นเรื่องการ Clipping (สิ่งของทะลุกันเอง) หรือการที่ปุ่มคำสั่งหลายๆ อย่างทำงานช้าๆ ขัดๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพราะอนิเมชั่นกิริยาตัวละครหลายๆ อย่างของเกมสร้างมาอย่างสมจริงจัด ไม่สามารถลัดขั้นตอนหรือท่าทางได้เหมือนเกมอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนพอรู้สึกว่ายอมแลกกันได้บ้าง
โดยรวมแล้วการนำเสนอของเกมนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้น
Red Dead Redemption 2 ก็ยังถือว่าเป็นต่อเกมคู่แข่งในตลาดทั้งหมดในแง่นี้เช่นกันเมื่อวัดจากสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกเมื่อได้เล่น เพราะกราฟิคของเกมในบางจังหวะก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เราเพิ่งเริ่มเล่นเกมคอนโซลเจนใหม่เป็นครั้งแรก ที่เราตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกมสามารถทำได้เลย
[caption id="attachment_10790" align="aligncenter" width="3840"]
ธรรมชาติอันงดงามในเกม[/caption]
เนื้อเรื่อง
อย่างที่บางคนอาจจะทราบกันดี เนื้อเรื่องของ
Red Dead Redemption 2 เป็นการเล่าย้อนไปก่อนเหตุการณ์ในเกมภาคแรก โดยเราจะรับบทเป็นนาย Arthur Morgan สิงห์ปืนไวมือขวาของ Dutch Van der Linde ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งโจร Van der Linde ที่ตัวเอก John Marston เคยเป็นสมาชิก และต้องออกตามล่าในเกมภาคแรกนั่นเอง โดยเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การล่มสลายของแก๊งในยุคที่ความเจริญเริ่มคืบคลานเข้ามาในดินแดนคาวบอยอันไร้กฏหมาย
[caption id="attachment_10784" align="alignnone" width="3840"]
การนั่งพักคุยกับเพื่อนในแคมป์ก็ช่วยพัฒนาตัวละครได้ดี[/caption]
เนื้อเรื่องของเกม
Red Dead Redemption 2 นั้นไม่ได้เกี่ยวกับการกู้โลกหรือภารกิจใหญ่ๆ เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่เปรียบเหมือนเหตุการณ์เล็กๆ หลายเรื่องที่สะสมจนนำไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ในชีวิตของตัวละครต่างๆ มากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนการดูซีรี่ย์ ที่จะเล่าเหตุการณ์เล็กๆ ที่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวกับเส้นเรื่องหลัก แต่ก็ค่อยๆ เล่าและปูทางไปสู่เส้นเรื่องหลักจนได้ โดยการเล่าเรื่องแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง
ในแง่นึง การเล่าเรื่องเป็นเหตุการณ์เล็กๆ เช่นนี้ก็ช่วยให้ผู้เล่นได้ทำความรู้จักกับตัวละครในเกมอย่างลึกซึ้ง ทั้งตัวนาย Arthur เอง สมาชิกแก๊ง และเหล่าคนแปลกหน้าที่พบเจอได้ในโลกของเกม แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาสามารถสำรวจเรื่องราวที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับช่วยเสริมตัวละคร Arthur และโลกของเกมได้ดี ยกตัวอย่างเช่นภารกิจการเก็บเงินจากลูกหนี้ ที่ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นภารกิจที่มีเส้นเรื่องที่ผู้เขียนชอบที่สุดเลยเป็นต้น เพราะทำให้การกระทำของตัวละคร Arthur สามารถตีความให้ลึกซึ้งได้มากขึ้นจากการพัฒนาตัวละครจากภารกิจเสริม ซึ่งถ้าไม่ได้เล่นก็อาจจะทำให้การมองตัวละครของผู้เขียนเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยก็ได้
[caption id="attachment_10775" align="aligncenter" width="3840"]
ขนาดเล่นไป 50 ชั่วโมงยังเปิดแผนที่ไม่หมด[/caption]
เช่นเดียวกับเหล่าเนื้อเรื่องเล็กๆ ที่เราอาจจะได้สัมผัสเมื่อเจอเหตุการณ์แรนด้อมข้างทาง เช่นอาจจะมีผู้หญิงขอติดม้าเข้าเมือง หรืออาจจะมีคนกำลังถูกปล้น หรือกระทั่งเราถูกดักปล้นซะเอง โดยเหตุการณ์เหล่านี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเลือกทางเลือกง่ายๆ ได้ว่าจะพยายามค่อยพูดค่อยจา หรือจะเกรียนใส่อีกฝ่ายก็ได้ ทำให้ตัวละคร Arthur สามารถมีมิติเปลี่ยนไปตามทางเลือกของคนเล่น
แต่ในอีกแง่ การเล่าเรื่องแบบเป็นซีรี่ย์เช่นนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะบางครั้งก็มีช่วงที่เนื้อเรื่องถึงจุดเอื่อยเป็นระยะเวลานานๆ และเมื่อรวมกับเวลาการเดินทางที่ค่อนข้างนานไม่แพ้กัน ทำให้บางทีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเป็นพักใหญ่ๆ ได้เช่นกัน แต่คนที่สามารถมองข้ามจุดบอดเหล่านี้ไปได้จะพบกับเนื้อเรื่องที่เขียนมาได้อย่างปราณีต และมีความเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ผู้พัฒนาหลายๆ เจ้าคงไม่กล้าทำ
[caption id="attachment_10785" align="aligncenter" width="3840"]
เนื้อเรื่องบางช่วงก็ทำให้ต้องฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน[/caption]
เกมเพลย์
ในส่วนของแก่นเกมเพลย์นั้น เกม
Red Dead Redemption 2 ไม่ได้ต่างจากเกม
Action-Adventure Open-World อื่นๆ มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เกมมีความพิเศษที่สุดก็คือความสมจริงในทุกองค์ประกอบของเกม เรียกว่าสมจริงจน "เยอะ" ในบางจุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามสมจริงของเกมนี้ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกมพิเศษที่สุด และผู้เขียนก็ยอมรับว่าความสมจริงนี้คือต้นตอของความสนุกหลายๆ อย่างในเกมนี้ และคือสิ่งที่ทำให้เกมมีความเหนือชั้นกว่าเกมในตลาดอื่นๆ ในขณะนี้
อย่างสิ่งที่เป็นจุดเด่นจริงๆ คงเป็นเหล่าเหตุการณ์ บังเอิญ ที่เราสามารถเจอได้ในเกม เช่นการเจอคนข้างทางคอยโบกให้ช่วยเหลือด้วยเหตุผลต่างๆ หรือกระทั่งการถูกแก๊งคู่อริดักปล้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมาชาติมากกว่าสิ่งที่เกมเนรมิตขึ้นมาเอง แถมบางภารกิจยังนำไปสู่เหตุการณ์น่าจดจำที่ไม่น่าจะพบได้ในเกมอื่นอีกด้วย
[caption id="attachment_10786" align="aligncenter" width="3840"]
กินอะไรผิดสำแดงมาล่ะหนุ่ม[/caption]
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผู้เขียนชอบมากๆ เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังขี่ม้าอยู่ในเมือง จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาโบกให้ช่วย โดยบอกกับผู้เขียนว่าต้องการให้ตามขึ้นไปในห้องบนโรงแรม (คิดเหมือนผู้เขียนล่ะสิ) แต่เมื่อขึ้นไปแล้วก็พบศพของผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ และก็ถูกวานให้นำศพของผู้ชายคนนั้นไปทิ้ง ระหว่างที่ผู้หญิงที่วานให้ช่วยตอนแรกทำลายหลักฐานในห้อง เมื่อผู้เขียนนำศพไปทิ้งกลับมาก็รับรางวัลจากผู้หญิงตามปกติ
ในเกมอื่นๆ ภารกิจคงจบตรงนี้ แต่ผู้เขียนเดินผ่านนายอำเภอพอดี เลยกด L2 เพื่อจะทักทายตามประสา และพบว่าสามารถแจ้งความให้นายอำเภอไปจับผู้หญิงที่ให้ภารกิจได้! เมื่อลองกดแจ้งความไปก็ลองเดินตามนายอำเภอไปถึงห้องโรงแรม และนายอำเภอก็จับผู้หญิงคนนี้ไปจริงๆ! ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นนั้นผู้เขียนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ (ไม่ใช่คัตซีนหรือภารกิจ) ซึ่งก็จะทำให้พลาดเหตุการณ์นี้ไปเลยเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างของความ สมจริง ที่ผู้พัฒนาต้องการจะสร้างในเกมนี้ และเหตุการณ์ในเกมที่ให้ความรู้สึกละเอียดกว่าเกมทั่วๆ ไปมากๆ
[caption id="attachment_10787" align="alignnone" width="3840"]
บอกเลยว่าเหี้ยมกว่าตำรวจ GTA เยอะ[/caption]
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าความสมจริงเหล่านี้ก็เป็นต้นตอของความน่ารำคาญและน่าเบื่อของเกมได้ แถมยังมีการตัดสินใจหลายอย่างที่ทำไปเพื่อความสมจริงซะจนรู้สึกว่าทำให้เกมเพลย์ไม่ค่อยสะดวกในบางแง่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ ซะส่วนมาก เช่นการที่เราไม่สามารถใช้ระบบ Fast Travel เพื่อเดินทางกลับค่ายของแก๊งได้ (สามารถ Fast Travel จากค่ายไปที่อื่นได้ แต่ถ้ากลับค่ายต้องควบม้ากลับเท่านั้น) หรือการที่ถูกบังคับให้ต้องเดินช้าๆ ในบางสถานที่ (จริงๆ มีปัญหากับความเร็วการเดินเกมนี้โดยรวมๆ) ซึ่งทำให้การเล่นเกมรู้สึกจำกัดแบบไม่มีเหตุผลเวลาเจอการตัดสินใจแปลกๆ เหล่านี้
จริงๆ แล้วเกม
Red Dead Redemption 2 มีปัญหาใหญ่ๆ ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ในการเล่น แต่เกมมีความลึกซึ้งสูงมากๆ และระบบหลายๆ อย่างก็มีความเกี่ยวโยงกันไปมาอีกด้วย อย่างหลายๆ คน (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วยจนไปดูมาจากยูทูป) อาจจะไม่รู้ว่าเกมมีระบบที่ให้เราต้องกินอาหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาน้ำหนักของร่างกายด้วย โดยการกินอาหารมากหรือน้อยเกินไปก็ส่งผลต่อการเล่นเช่นกัน การกินอาหารเยอะจนอ้วนก็จะทำให้เราวิ่งได้ช้าและสั้นลง แต่ทำให้เราอึดทนต่อความบาดเจ็บต่างๆ มากขึ้น ในทางกลับกันถ้ากินน้อยจนผอมก็จะวิ่งเร็วขึ้นแต่โดนยิงแรงขึ้นเป็นต้น และการจะดูว่าเราอยู่ในระดับการกินไหนก็ต้องขุดหาเอาจากเมนูหลายขั้นถึงจะเจอ หรือกระทั่งทริคง่ายๆ ว่าเราสามารถเปิดแผนที่ด้วยการกดปุ่ม Option ค้างไว้แทนการกดเปิดเมนูแล้วเข้าแผนที่ทุกครั้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนช่วยให้เกมเล่นง่ายขึ้นสำหรับคนเล่น แต่เกมกลับสื่อข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ค่อยดีเลย ขนาดเล่นมาหลายสิบชั่วโมงแล้วก็ยังมีทริคง่ายๆ ที่ถ้าไม่มีคนมาบอกหรือไม่ไปอ่านมาจากที่อื่นก็ไม่มีทางรู้เลย
[caption id="attachment_10791" align="aligncenter" width="3840"]
เมื่ออารยธรรมเริ่มคืบคลานเข้ามา ก็ถึงคราวสูญพันธ์โจรโฉด[/caption]
อีกอย่างคือความบอบบางของ NPC ที่แค่ขี่ม้าเฉี่ยวนิดๆ ก็ตกใจจะเป็นจะตาย รีบวิ่งไปแจ้งนายอำเภอจับเรา ซึ่งนอกจากจะโดนค่าหัวแล้วยังต้องรอหน้าจอโหลดเกมอีกพักใหญ่ อาจจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ถ้า NPC สามารถหลบออกจากเส้นทางได้ด้วยตัวเอง แต่หลายๆ ครั้ง NPC ดูจะเต็มใจให้เราควบม้าเหยียบตลอด และทำให้เราต้องมีปัญหากับตำรวจตลอดเช่นกัน
แน่นอนว่าการที่ผู้เขียนเล่นเกมมาหลายสิบชั่วโมงโดยที่ยังอยากเล่นต่อก็หมายความว่าข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้สาหัสถึงขั้นที่รับไม่ได้ แน่นอนว่าเกมคงจะสามารถให้ประสบการณ์การเล่นที่ราบรื่นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็เข้าใจได้ถ้าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถอดทนกับความไม่เป็นมิตรของเกมในหลายๆ ด้านได้เช่นกัน
สรุป
[caption id="attachment_10788" align="aligncenter" width="3840"]
บางครั้งสันติภาพก็ไม่ใช่ทางออก[/caption]
Red Dead Redemption 2 ถือเป็นเกมที่น่าทึ่งที่สุดในปี 2018 ได้สบายๆ เลย แม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเกมที่ถือว่าเข้าใกล้เจนคอนโซลต่อไปมากที่สุดในขณะนี้ สามารถทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของเกมในยุคต่อไปอีกครั้ง ยิ่งถ้าโหมด
Red Dead Online ที่กำลังจะตามมาสามารถต่อยอดเกมไปได้แบบเดียวกับ
GTA: Online แล้ว
Red Dead Redemption 2 อาจจะเป็นเกมที่อยู่กับเราไปได้จนถึงเจนคอนโซลต่อไปแบบเดียวกับ
GTA V ในขณะนี้ได้สบายๆ
[penci_review id="10224"]