ในหนังสือ SuperBetter โดย Jane McGonigal หนังสือที่พูดถึงข้อดีของการเล่นเกมและการนำความสามารถที่เราได้จากการเล่นเกมมาออกแบบชีวิตเราให้ดีขึ้น คนเขียนบอกว่าจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมสำหรับการเล่นเกมก็คือ ไม่เกิน 21 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้ามากกว่านี้อาจเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันจนเกิดปัญหาตามมาได้ (ข้อมูลมาจากงานวิจัย)
ผมนำข้อมูลนี้มาใช้กำหนดชั่วโมงการเล่นเกมของตัวเอง จดจำนวนชั่วโมงที่เหลือลงในโทรศัพท์ จับเวลาทุกครั้งที่นั่งลงเล่นเกม ชีวิตผมดีขึ้นทันตาเห็น จนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่กำลังนั่งเขียนบทความนี้ ผมยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถ้ามีใครมาชี้หน้าบอกว่า "มึงมันเป็นพวกเด็กติดเกม!" ผมจะไม่โกรธ
เอาเข้าจริง คนแบบไหนกันที่จะต้องมาจับเวลาให้ตัวเองเล่นเกมแบบพอดีๆ ตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองติดเกม? หรือจริงๆ แล้วจำนวนชั่วโมงไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินการติดเกมของใครสักคนเลย แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้น
ความทรงจำแรกของผมต่อวิดีโอเกมคือเครื่องเกมแบบใช้ตลับในตระกูล Famicom ที่ญาติผู้ใหญ่เอามาไว้ที่บ้าน (ไม่แน่ใจว่าเป็นของแท้หรือของเลียนแบบ) ความสนุกของ Contra และอีกหลายๆ เกมน่าจะมากกว่ากิจกรรมหลายๆ อย่างในชีวิตตอนนั้น เพราะไม่นานจากนั้นเครื่องเกมเครื่องนี้ก็กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเมื่อคุณพ่อทุ่มเครื่องเกมลงพื้นเพราะผมเล่นเกมจนไม่ยอมไปอาบน้ำ Contra เกมที่สร้างความชอบในวิดีโอเกมมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเล่นยังไงก็ไม่ผ่านก็ตาม[/caption]
หลังจากนั้นมีมาตรการอีกหลายอย่างที่ถูกคิดค้นมาเพื่อให้ผมเล่นเกมด้วยความพอดี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดช่วงเวลาเล่นเกมให้เป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น หรือการมีข้อแม้เรื่องผลการเรียนเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าผลการเรียนแย่กว่าเพื่อนคนอื่นในชั้นจะถูกห้ามไม่ให้เล่นเกมเป็นต้น
จำได้ว่าช่วงที่ย้ายเข้ามาเรียนกรุงเทพใหม่ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมตื่นเต้นมาก คือการที่ผมจะมีอิสระเล่นเกมได้ทุกวันโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุมอีก แต่น่าแปลกที่ 3 ปีของชีวิตม. ปลายในกรุงเทพ ผมใช้เวลาเล่นเกมรวมกันน้อยกว่า 3 ปีก่อนหน้านี้ที่ต่างจังหวัดมาก แต่ไม่ว่าช่วงไหนผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองติดเกม จนกระทั่งตอนนี้
องค์การอนามัยโลกได้ระบุให้อาการติดเกมเป็นโรคชนิดหนึ่งเมื่อต้นปีนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้ในปี 2022 และมีรายละเอียดคร่าวๆ ของอาการติดเกมดังนี้
"อาการติดเกมเป็นรูปแบบของพฤติกรรมเล่นเกมที่มีลักษณะของความบกพร่องในการควบคุมการเล่นเกม ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมมากกว่ากิจกรรมอื่น จนถึงขั้นที่เกมมาก่อนความสนใจอื่นๆ และกิจวัตรประจำวัน และมีการเล่นเกมติดต่อกันหรือต่อเนื่องแม้จะพบว่ามีผลเสียเกิดขึ้นแล้วก็ตาม"
ความแตกต่างสำคัญระหว่างตอนนี้กับที่ผ่านๆ มาคือผมให้ความสำคัญกับเกมมาก เวลา 21 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ที่เคยกำหนดไว้ไม่ให้เล่นเกมมากเกินไปกลายเป็นเวลา 21 ชั่วโมงที่ต้องเล่นให้ครบ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าใช้เวลาได้ไม่คุ้ม ด้วยความคิดแบบนี้เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการนั่งอยู่หน้าจอทีวี และไม่ใช่การเล่นเกมขำๆ แต่เป็นการนั่งเล่นเกมจนเมื่อยตูด นั่งเล่นเกมจนรู้สึกว่าตาล้าจนต้องลุกไปกินข้าว ไปอาบน้ำ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและหนังสือหลายเล่มพูดถึงปัญหาของ การเสพติด ในมุมมองที่ต่างออกไปจากความเชื่อส่วนใหญ่ คนเหล่านี้มองว่าสิ่งเสพติดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เหล้า บุหรี่ หรือการพนัน ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นทางออกของปัญหา เป็นเครื่องมือที่ใครหลายคนใช้ในการหนีปัญหา ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผล เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่จะกลายเป็นคนติดเหล้าติดบุหรี่ ในขณะเดียวกันการงานที่หาเงินมาให้เราก็ยังมีคนเสพติดจนกลายเป็นโรคติดงานได้
หรือจริงๆ แล้วเราสามารถมองปัญหาการติดเกมด้วยมุมมองแบบนี้ได้ เราเล่นเกมเพื่อความสนุก หรือเราใช้เกมเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหา เรากำลังหนีอะไรอยู่หรือเปล่า?
ช่วงที่ยังไร้อิสระผมเกลียดระเบียบมากมายของโรงเรียน แต่ผมก็เกลียดเสียงทะเลาะของที่บ้านพอๆ กัน ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับหนังสือและเกม สองกิจกรรมที่ผมแบ่งเวลาว่างส่วนใหญ่ให้มาจนถึงทุกวันนี้ อ่านหนังสือในวันที่ห้ามเล่นเกม และเล่นเกมอย่างเต็มที่ในวันที่เล่นได้ บางทีถ้าไม่ได้ข้อห้ามเรื่องการเล่นเกมผมอาจไม่ได้ชอบอ่านหนังสือมาจนถึงทุกวันนี้ บางทีผมอาจติดเกมตั้งแต่ตอนนั้น แต่ยังไงก็ตามด้วยการที่กิจกรรมในชีวิตส่วนใหญ่ถูกจัดการด้วยคนที่มีอำนาจมากกว่า ทำให้อาการติดเกมของผมไม่ได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นจนทำให้มีผลกับชีวิตอะไรนัก
สาเหตุที่ช่วงม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัยผมกลับเล่นเกมน้อยลงทั้งๆ ที่ไม่มีใครมากำหนดเวลาเล่นเกม มองย้อนกลับไปเหตุผลน่าจะไม่ใช่อะไรนอกจากผมชอบชีวิตในช่วงนั้นมากๆ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ได้มีความรู้สึกอยากรีบกลับบ้านหรืออยากให้ถึงปิดเทอมเร็วๆ เพราะการใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ในตอนนั้นสนุกกว่ามาก เกมที่เล่นส่วนมากก็มักจะเป็นเกมที่เล่นกับเพื่อนอย่าง Dota หรือ Left 4 Dead
ช่วงนี้เวลาในการเล่นเกมของผมกลับไปคล้ายกับตอนเด็กอีก คือไปเล่นเยอะๆ เอาในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะว่าวันธรรมดากว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดมากแล้ว บางวันอาจได้เล่นเกมนิดหน่อยแต่ไม่ทันไรก็ง่วงหลับ สิ่งที่ต่างไปคือผมเล่นเกมด้วยความจริงจังมากขึ้น เกมที่เล่นส่วนใหญ่เป็นเกมเล่นคนเดียว และจากที่เล่นจนจบเฉยๆ ก็กลายเป็นการเล่นจนเก็บภารกิจ ค้นหาความลับให้หมด ใช้เวลาต่อเกมมากกว่าแต่ก่อนมาก ถ้านับตามชั่วโมงที่เล่นแล้วก็ต้องถือว่าคุ้มค่ากับราคาแผ่นเกมที่จ่ายไปมาก แต่ถ้านับเอาแค่ความสนุกเฉยๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมเล่นเกมสนุกน้อยกว่าเดิมมาก ผมใช้ชีวิตด้วยความรีบเร่ง รีบๆ ทำอะไรให้เสร็จจะได้ไปเล่นเกม แต่พอได้เล่นเกมจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความสุขมากไปกว่าเดิม
จริงๆ แล้วอาจมีความคล้ายกันอยู่ระหว่างตัวผมที่ให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่งในตอนเด็ก กับตัวผมที่ให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ ในตอนเด็กผมพยายามหนีไปหาโลกที่ดีกว่าโลกที่ผมอยู่ในตอนนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปในโลกแฟนตาซีของเกม RPG และตามมาด้วย MMORPG ที่ทำให้โลกแฟนตาซีน่าอยู่ขึ้นอีก เพราะมีผู้เล่นคนอื่นๆ อยู่เป็นเพื่อนกัน
ตอนนี้ผมเล่นเกมหลากหลายกว่าแต่ก่อน แต่ความพยายามในการเคลียร์เกมให้ครบสมบูรณ์อาจไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการหนีไปหาความสำเร็จที่ควบคุมได้ง่ายกว่า ได้มาง่ายกว่า สิ่งที่ผมฝันไว้ในใจไว้แต่ละอย่างเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่มีอะไรมารับประกันว่าเวลานับร้อยชั่วโมงที่หมดไปจะได้ผลตามที่ตั้งใจไว้ ชีวิตเต็มไปด้วยอะไรแบบนี้ แต่ด้วยเวลาเท่ากันในโลกของวิดีโอเกมผมทำอะไรได้สำเร็จเป็นร้อยอย่าง แถมถ้าทำภารกิจไหนไม่ผ่านก็แทบจะมีบทสรุปหรือเฉลยบอกเอาไว้เต็มไปหมดในอินเทอร์เน็ต
ผมคิดว่าจำนวนชั่วโมงไม่สำคัญเท่ากับลำดับความสำคัญที่เราให้กับเกม ใครบางคนอาจให้เวลากับเกมต่อวันหลายสิบชั่วโมง แต่ถ้าชีวิตด้านอื่นอยู่ในความสมดุลก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะว่าอะไร แต่ถ้าในใจเรารู้อยู่ว่ามีอะไรที่เราต้องทำ ต้องจัดการ มีความสำคัญกับชีวิตเรามากกว่า แต่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเรากลับให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่ง ไม่สามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้เล่นเกมไม่เกิน 21 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ตามผลวิจัย ก็คงต้องถึงเวลายอมรับว่าเราเองกำลัง ติดเกม และถึงเวลาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ชีวิตกลับสู่ความสมดุลอีกครั้ง
ชีวิตจะไปสนุกอะไรถ้าเล่นเกมแล้วไม่สนุก
ในหนังสือ SuperBetter โดย Jane McGonigal หนังสือที่พูดถึงข้อดีของการเล่นเกมและการนำความสามารถที่เราได้จากการเล่นเกมมาออกแบบชีวิตเราให้ดีขึ้น คนเขียนบอกว่าจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมสำหรับการเล่นเกมก็คือ ไม่เกิน 21 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้ามากกว่านี้อาจเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันจนเกิดปัญหาตามมาได้ (ข้อมูลมาจากงานวิจัย)
ผมนำข้อมูลนี้มาใช้กำหนดชั่วโมงการเล่นเกมของตัวเอง จดจำนวนชั่วโมงที่เหลือลงในโทรศัพท์ จับเวลาทุกครั้งที่นั่งลงเล่นเกม ชีวิตผมดีขึ้นทันตาเห็น จนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่กำลังนั่งเขียนบทความนี้ ผมยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถ้ามีใครมาชี้หน้าบอกว่า "มึงมันเป็นพวกเด็กติดเกม!" ผมจะไม่โกรธ
เอาเข้าจริง คนแบบไหนกันที่จะต้องมาจับเวลาให้ตัวเองเล่นเกมแบบพอดีๆ ตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองติดเกม? หรือจริงๆ แล้วจำนวนชั่วโมงไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินการติดเกมของใครสักคนเลย แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้น
ความทรงจำแรกของผมต่อวิดีโอเกมคือเครื่องเกมแบบใช้ตลับในตระกูล Famicom ที่ญาติผู้ใหญ่เอามาไว้ที่บ้าน (ไม่แน่ใจว่าเป็นของแท้หรือของเลียนแบบ) ความสนุกของ Contra และอีกหลายๆ เกมน่าจะมากกว่ากิจกรรมหลายๆ อย่างในชีวิตตอนนั้น เพราะไม่นานจากนั้นเครื่องเกมเครื่องนี้ก็กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเมื่อคุณพ่อทุ่มเครื่องเกมลงพื้นเพราะผมเล่นเกมจนไม่ยอมไปอาบน้ำ Contra เกมที่สร้างความชอบในวิดีโอเกมมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเล่นยังไงก็ไม่ผ่านก็ตาม[/caption]
หลังจากนั้นมีมาตรการอีกหลายอย่างที่ถูกคิดค้นมาเพื่อให้ผมเล่นเกมด้วยความพอดี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดช่วงเวลาเล่นเกมให้เป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น หรือการมีข้อแม้เรื่องผลการเรียนเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าผลการเรียนแย่กว่าเพื่อนคนอื่นในชั้นจะถูกห้ามไม่ให้เล่นเกมเป็นต้น
จำได้ว่าช่วงที่ย้ายเข้ามาเรียนกรุงเทพใหม่ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมตื่นเต้นมาก คือการที่ผมจะมีอิสระเล่นเกมได้ทุกวันโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุมอีก แต่น่าแปลกที่ 3 ปีของชีวิตม. ปลายในกรุงเทพ ผมใช้เวลาเล่นเกมรวมกันน้อยกว่า 3 ปีก่อนหน้านี้ที่ต่างจังหวัดมาก แต่ไม่ว่าช่วงไหนผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองติดเกม จนกระทั่งตอนนี้
องค์การอนามัยโลกได้ระบุให้อาการติดเกมเป็นโรคชนิดหนึ่งเมื่อต้นปีนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้ในปี 2022 และมีรายละเอียดคร่าวๆ ของอาการติดเกมดังนี้
"อาการติดเกมเป็นรูปแบบของพฤติกรรมเล่นเกมที่มีลักษณะของความบกพร่องในการควบคุมการเล่นเกม ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมมากกว่ากิจกรรมอื่น จนถึงขั้นที่เกมมาก่อนความสนใจอื่นๆ และกิจวัตรประจำวัน และมีการเล่นเกมติดต่อกันหรือต่อเนื่องแม้จะพบว่ามีผลเสียเกิดขึ้นแล้วก็ตาม"
ความแตกต่างสำคัญระหว่างตอนนี้กับที่ผ่านๆ มาคือผมให้ความสำคัญกับเกมมาก เวลา 21 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ที่เคยกำหนดไว้ไม่ให้เล่นเกมมากเกินไปกลายเป็นเวลา 21 ชั่วโมงที่ต้องเล่นให้ครบ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าใช้เวลาได้ไม่คุ้ม ด้วยความคิดแบบนี้เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการนั่งอยู่หน้าจอทีวี และไม่ใช่การเล่นเกมขำๆ แต่เป็นการนั่งเล่นเกมจนเมื่อยตูด นั่งเล่นเกมจนรู้สึกว่าตาล้าจนต้องลุกไปกินข้าว ไปอาบน้ำ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและหนังสือหลายเล่มพูดถึงปัญหาของ การเสพติด ในมุมมองที่ต่างออกไปจากความเชื่อส่วนใหญ่ คนเหล่านี้มองว่าสิ่งเสพติดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เหล้า บุหรี่ หรือการพนัน ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นทางออกของปัญหา เป็นเครื่องมือที่ใครหลายคนใช้ในการหนีปัญหา ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผล เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่จะกลายเป็นคนติดเหล้าติดบุหรี่ ในขณะเดียวกันการงานที่หาเงินมาให้เราก็ยังมีคนเสพติดจนกลายเป็นโรคติดงานได้
หรือจริงๆ แล้วเราสามารถมองปัญหาการติดเกมด้วยมุมมองแบบนี้ได้ เราเล่นเกมเพื่อความสนุก หรือเราใช้เกมเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหา เรากำลังหนีอะไรอยู่หรือเปล่า?
ช่วงที่ยังไร้อิสระผมเกลียดระเบียบมากมายของโรงเรียน แต่ผมก็เกลียดเสียงทะเลาะของที่บ้านพอๆ กัน ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับหนังสือและเกม สองกิจกรรมที่ผมแบ่งเวลาว่างส่วนใหญ่ให้มาจนถึงทุกวันนี้ อ่านหนังสือในวันที่ห้ามเล่นเกม และเล่นเกมอย่างเต็มที่ในวันที่เล่นได้ บางทีถ้าไม่ได้ข้อห้ามเรื่องการเล่นเกมผมอาจไม่ได้ชอบอ่านหนังสือมาจนถึงทุกวันนี้ บางทีผมอาจติดเกมตั้งแต่ตอนนั้น แต่ยังไงก็ตามด้วยการที่กิจกรรมในชีวิตส่วนใหญ่ถูกจัดการด้วยคนที่มีอำนาจมากกว่า ทำให้อาการติดเกมของผมไม่ได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นจนทำให้มีผลกับชีวิตอะไรนัก
สาเหตุที่ช่วงม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัยผมกลับเล่นเกมน้อยลงทั้งๆ ที่ไม่มีใครมากำหนดเวลาเล่นเกม มองย้อนกลับไปเหตุผลน่าจะไม่ใช่อะไรนอกจากผมชอบชีวิตในช่วงนั้นมากๆ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ได้มีความรู้สึกอยากรีบกลับบ้านหรืออยากให้ถึงปิดเทอมเร็วๆ เพราะการใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ในตอนนั้นสนุกกว่ามาก เกมที่เล่นส่วนมากก็มักจะเป็นเกมที่เล่นกับเพื่อนอย่าง Dota หรือ Left 4 Dead
ช่วงนี้เวลาในการเล่นเกมของผมกลับไปคล้ายกับตอนเด็กอีก คือไปเล่นเยอะๆ เอาในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะว่าวันธรรมดากว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดมากแล้ว บางวันอาจได้เล่นเกมนิดหน่อยแต่ไม่ทันไรก็ง่วงหลับ สิ่งที่ต่างไปคือผมเล่นเกมด้วยความจริงจังมากขึ้น เกมที่เล่นส่วนใหญ่เป็นเกมเล่นคนเดียว และจากที่เล่นจนจบเฉยๆ ก็กลายเป็นการเล่นจนเก็บภารกิจ ค้นหาความลับให้หมด ใช้เวลาต่อเกมมากกว่าแต่ก่อนมาก ถ้านับตามชั่วโมงที่เล่นแล้วก็ต้องถือว่าคุ้มค่ากับราคาแผ่นเกมที่จ่ายไปมาก แต่ถ้านับเอาแค่ความสนุกเฉยๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมเล่นเกมสนุกน้อยกว่าเดิมมาก ผมใช้ชีวิตด้วยความรีบเร่ง รีบๆ ทำอะไรให้เสร็จจะได้ไปเล่นเกม แต่พอได้เล่นเกมจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความสุขมากไปกว่าเดิม
จริงๆ แล้วอาจมีความคล้ายกันอยู่ระหว่างตัวผมที่ให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่งในตอนเด็ก กับตัวผมที่ให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ ในตอนเด็กผมพยายามหนีไปหาโลกที่ดีกว่าโลกที่ผมอยู่ในตอนนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปในโลกแฟนตาซีของเกม RPG และตามมาด้วย MMORPG ที่ทำให้โลกแฟนตาซีน่าอยู่ขึ้นอีก เพราะมีผู้เล่นคนอื่นๆ อยู่เป็นเพื่อนกัน
ตอนนี้ผมเล่นเกมหลากหลายกว่าแต่ก่อน แต่ความพยายามในการเคลียร์เกมให้ครบสมบูรณ์อาจไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการหนีไปหาความสำเร็จที่ควบคุมได้ง่ายกว่า ได้มาง่ายกว่า สิ่งที่ผมฝันไว้ในใจไว้แต่ละอย่างเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่มีอะไรมารับประกันว่าเวลานับร้อยชั่วโมงที่หมดไปจะได้ผลตามที่ตั้งใจไว้ ชีวิตเต็มไปด้วยอะไรแบบนี้ แต่ด้วยเวลาเท่ากันในโลกของวิดีโอเกมผมทำอะไรได้สำเร็จเป็นร้อยอย่าง แถมถ้าทำภารกิจไหนไม่ผ่านก็แทบจะมีบทสรุปหรือเฉลยบอกเอาไว้เต็มไปหมดในอินเทอร์เน็ต
ผมคิดว่าจำนวนชั่วโมงไม่สำคัญเท่ากับลำดับความสำคัญที่เราให้กับเกม ใครบางคนอาจให้เวลากับเกมต่อวันหลายสิบชั่วโมง แต่ถ้าชีวิตด้านอื่นอยู่ในความสมดุลก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะว่าอะไร แต่ถ้าในใจเรารู้อยู่ว่ามีอะไรที่เราต้องทำ ต้องจัดการ มีความสำคัญกับชีวิตเรามากกว่า แต่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเรากลับให้ความสำคัญกับเกมเป็นอันดับหนึ่ง ไม่สามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้เล่นเกมไม่เกิน 21 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ตามผลวิจัย ก็คงต้องถึงเวลายอมรับว่าเราเองกำลัง ติดเกม และถึงเวลาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ชีวิตกลับสู่ความสมดุลอีกครั้ง
ชีวิตจะไปสนุกอะไรถ้าเล่นเกมแล้วไม่สนุก